เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 04 มิถุนายน 2024, 10:34:51
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ⒷⒼ*, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  เรื่อง น้ำมัน ครับ ช่วยแสดงความคิดเห็น หน่อย
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] 2 พิมพ์
ผู้เขียน เรื่อง น้ำมัน ครับ ช่วยแสดงความคิดเห็น หน่อย  (อ่าน 2562 ครั้ง)
น.นกเค้าแมว
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 108


« เมื่อ: วันที่ 23 มกราคม 2010, 16:40:05 »

ใครดูรายการของคุณสัญา คุนากร
ได้คุยเรื่องน้ำมันในประเทศไทย ฟังเเล้วช๊อคจริงๆครับเพื่อนๆ
ทางคุณสัญาได้เชิญอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวงพลังงานมาเล่าให้ฟัง
ซึ่งผู้ใหญ่ท่านนี้เป็นข้าราชการระดับสูงในกระทรวงพลังงานในสมัยพลเอกเปรม
ได้ฟังท่านเล่าเเล้วผมขนลุก...ครับ
ผมเข้าใจผิดมาตลอดว่าเมืองไทยไม่สามารถผลิตนำมันได้เองต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
ซึ่งท่านบอกว่าเมืองไทยมีกำลังผลิตได้ 1,000,000 บาร์เรล/วัน(ปตท.)
เเละเมืองไทยใช้น้ำมันวันละ 700,000 บาเรล/วัน
เเละเมืองไทยส่งออกน้ำมันประมาณ 100,000 บาเรล/วัน

ฟังเเล้วเพื่อนคิดยังงัยครับ
เเละที่เเย่กว่านั้น.น้ำมันที่ส่งออกไปขายในต่างประเทศราคาถูกกว่าที่ขายในเมืองไทยหลายบาทถ้าเทียบต่อลิตร
ตอนนี้มาเลเซียใช้น้ำมันเบนซินเเละดีเซลประมาณลิตรละ 20 บาทต้นๆ
ท่านบอกว่าสาเหตุที่ทำให้น้ำมันราคาเเพง เพราะว่าอธิบดีหรือผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงพลังงานถือหุ้นบริษัทโรงกลั่น
ทำให้ไม่มีการเข้ามาจัดการเเละดูเเล
ราคาที่ปรับขึ้นทีละ .50 บาทเป็นการขึ้นจากโรงกลั่นซึ่งราคาที่ปรับขึ้นไม่ได้มาจาก cost ต้นทุน
เเต่ป็นราคาที่ตั้งขึ้นมาลอยๆ โดยอ้างอิงจากตลาดที่ผันผวนมากที่สุด
ในที่นี้ท่านยกตัวอย่างตลาดสิงคโปร์ เเต่จริงๆเราซื้อจากตะวันออกกลาง

เเละอีกอย่างที่น่าตกใจ ท่านบอกว่าในประเทศไทยมี stock น้ำมัน 2 เดือนเเละหมุนเวียนอย่างนี้เรื่อยๆ
พอเวลากระทรวงปรับน้ำขึ้นพวกพ่อค้าเอาน้ำมันใน stock มาปรับขึ้นด้วย
คิดดูเอาเองว่าเป็นเงินเท่าไหร่
ไทยใช้ 700,000 บาเรล/วัน ( 1 บาเรล = 159 ลิตร )
2 เดือนกี่ลิตร ลิตรละ .50 บาท ลองคูณดู

บริษัทที่ได้กำไรเยอะมากคือ ปตท เพราะมีโรงกลั่น 5 โรง อีก 2 โรงเป็นของเอกชน
รวมในประเทศไทยมีโรงกลั่น 7 โรง เป็นของ ปตท 5 โรง
เเล้วท่านสรุปกำไรของปตทในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ประมาณปี 2540-2544 ปตท กำไรปีละ 22,000 ล้านบาทครับ
ฟังเเล้วเป็นงัยครับพี่น้อง...
กำไรเท่ากับงบประมาณ 1 กรมเลยทีเดียว

เเละที่สุดยอดกว่านั้น ปี 2545-2550 ปตทกำไรเพิ่มเป็น 50,000ล้านบาท/ปี
เเละที่สุดๆ คือ ในปี 2548 กำไร 195,000 ล้านบาท
ฟังเเล้วอยากให้ลูกทำงานบริษัท ปตท มั้ยครับเพื่อนๆ
ประชาชนตาดำๆอย่างเราเสียค่าน้ำมันลิตรละ 36 บาท
ถ้าเป็นรัฐบาลก่อนๆ น้ำมันขึ้น 3 บาท รัฐมนตรี นายก ต้องก้นร้อนเเล้ว
เเล้วรัฐบาลน ี้ล่ะ..ตอนนี้ขึ้นไปกี่บาทเเล้ว เพื่อนๆลองคิดดูเเล้วกัน
ถ้า ปตท ลดกำไรลงเท่ากับ 20,000 ล้านบาท/ปี
เเค่นี้เราก็ใช้นำมันลิตร 20 บาทเเล้วครับ
(นี่เเหละเหตุผลที่ไม่อยากให้เเปรรูปอุตสาหกรรมพวกนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน)

เพราะมันจะเป็นเหมือนน้ำมัน ซึ่งพอเข้าตลาดหุ้นจะมีผลประโยชน์ทับซ้อนตามมา
อธิบดี รัฐมนตรี เมียอธิบดี เมียรัฐมนตรี ถือหุ้นโรงกลั่น
ทำให้ไอ้พวกนี้ไม่เข้าไปดูเเลเเละจัดการอย่างจริงจัง
ทำให้น้ำมันเเตะลิตรละ 40 บาทเเล้ว ณ ปัจจุบัน

มาร่วมมือกันดีไหม...

ด้วยการไม่เติม esso, shell
และถ้าจะให้ดีกว่านี้..เราต้องร่วมมือกันไม่ซื้อมากกว่าที่จำเป็นต้องใช้
ถ้าทุกครั้งเราเคยเติม 1000 บาทหรือเต็มถ้ง.. คราวนี้เราจะไม่เติมมากกว่าที่เราจำเป็นต้องใช้
ตัวอย่างเช่น วันนี้จะวิ่ง 30 กม. เราก็เติม 4.5 ลิตรหรือ 200 บาท
จะวิ่งอีก 70 กม. เราก็เติม 10 ลิตรหรือ 400 บาท
จะวิ่งอีก 100 กม. เราก็เติม 14 ลิตรหรือ 500 บาท

อย่าเติมเยอะ...
ไม่ต้องไปตุนเพราะกลัวว่าพรุ่งนี้จะขึ้นราคา
คราวนี้สต็อกน้ำมันในคลังก็จะล้น
เพราะปริมาณที่เคยขายทุกวันก็จะถูกเลื่อนให้ต้องเก็บไปขายในอนาคต
ถ้ามันยังอยากขายก็ต้องลดราคาลงมาให้มันรู้ว่าไผเป็นไผ
เคยมีคนศึกษากรณีไข่ไก่แพง และได้ลองทำล้กษณะนี้ได้ผลมาแล้ว

สั่งสอนให้บทเรียนมันหน่อย เริ่มลงมือปฏิบัติการได้เลย
ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย ขอเพียงช่วยกันกระจายข่าวไปให้มากที่สุด
สามัคคีคือพลัง...
ส่งมาให้อ่านกันเพราะอยากให้ราคาน้ำมันลดลงจริงๆ
พวกเราโดนโอเปครวมหัวขึ้นราคาอย่างไม่เป็นธรรม ก็น่าจะมีมาตรการที่จะต่อสู้ ตอบโต้กลับไปบ้าง
ข้อเสนอนี ้ก็น่าจะเป็นข้อเสนอหนึ่งที่ถ้าร่วมกันทำจริงๆ ก็น่าจะแสดงอะไรออกมาได้บ้าง

 
IP : บันทึกการเข้า
ละอ่อนโบราณ
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,466



« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 23 มกราคม 2010, 18:48:35 »

ครับทำได้อย่างเดียว คือทำใจ
IP : บันทึกการเข้า

..............
Red Shirts
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 23 มกราคม 2010, 19:31:47 »

คนภาคใต้ใช้น้ำมันราคาถูกกว่าภาคอื่น ๆ
เพราะมีการลักลอบนำเข้ามาจากฝั่งมาเลย์



-  อดีตไทยกับมาเลย์ความเจริญเท่า ๆกัน

-  ปัจจุบันมาเลย์มองไทย  ว่าล้าหลังเหมือนไทยมองพม่า

-  อนาคตไทยกับพม่าก็อาจจะเท่าๆ กัน ส่วนมาเลย์ต้องพูดถึง เราอาจจะตามไม่ทัน
IP : บันทึกการเข้า
D-max
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,130



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 23 มกราคม 2010, 19:34:02 »

มาทำใจอีกคนครับ ตกใจ
IP : บันทึกการเข้า
YURI
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 737


我叫王艳平


« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 23 มกราคม 2010, 19:49:25 »

 อายจัง อายจัง ก๋ำเวรแต้นอเกิดมาในช่วงรัฐมนตรีขี้โกง ย้ายไปอยู่ประเทศอื่นก็บ่าได้ ลังเล ลังเล
IP : บันทึกการเข้า

เชียงรายพันธุ์แท้
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,024



« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 23 มกราคม 2010, 20:09:28 »

นี่คือหนึ่งในหลายร้อยปรากฏการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในดินแดนแห่งนี้
ซึ่งไพร่ตาดำๆอย่างพวกเราคงได้แต่ทำใจ และ... ถอนหายใจ

ปตท.ช่วยปลูกป่า
ปตท.ช่วยสร้างฝายชะลอน้ำ
กร้าก!!!
เพื่อนที่ทำงานบริษัทโฆษณาบอกว่ามันจัดฉากทั้งนั้น

รู้นานแล้วล่ะเรื่องน้ำมันน่ะ เรื่องอื่นๆด้วย แต่ก็นะ พูดไม่ได้


อายจัง อายจัง ก๋ำเวรแต้นอเกิดมาในช่วงรัฐมนตรีขี้โกง ย้ายไปอยู่ประเทศอื่นก็บ่าได้ ลังเล ลังเล

อธิบดี รัฐมนตรี เมียอธิบดี เมียรัฐมนตรี ถือหุ้นโรงกลั่น

เห็นคุณเจ้าของกระทู้บอกว่า
"อธิบดี รัฐมนตรี เมียอธิบดี เมียรัฐมนตรี ถือหุ้นโรงกลั่น"
อธิบดี = ข้าราชการประจำ (ส่วนน้อย)
รัฐมนตรี = นักการเมือง (ส่วนน้อย)
เมียอธิบดี = เมียข้าราชการประจำ (ส่วนน้อย)
เมียรัฐมนตรี = เมียนักการเมือง (ส่วนน้อย)
ตามนี้ใช่ไหมครับ คุณเจ้าของกระทู้


* 001.jpg (29.79 KB, 355x480 - ดู 255 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 23 มกราคม 2010, 20:19:41 โดย เชียงรายพันธุ์แท้ » IP : บันทึกการเข้า
oyoyo *^_^*
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,012



« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 23 มกราคม 2010, 20:13:48 »

ทำใจครับ บ้านเราไม่มีบ่อน้ำมันเองต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศอย่างเดียว
IP : บันทึกการเข้า

"มนุษย์ใช้เหตุผลทางความคิด
ในการตัดสินว่าอะไรถูกอะไรผิด
ขณะที่ธรรมชาติใช้ความจริงทางจิต
ในการตัดสินว่าอะไรเป็นบุญอะไรเป็นบาป"

วาทะดังตฤณ "ด้วยความเป็นห่วง"
Red Shirts
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 23 มกราคม 2010, 22:26:43 »

สรุปได้ว่า

" ผู้ถือหุ้นปั่นราคาน้ำมันเพื่อผลประโยชน์ของตนเองซึ่งเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน "

ผู้ถือหุ้น มีใครบ้าง....

เอามาเฉลยให้ประชาชนผู้บริโภคและเสียภาษี
ทราบบ้างจะได้ไหมครับ  ฮืม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 23 มกราคม 2010, 22:36:28 โดย Red Shirts » IP : บันทึกการเข้า
เชียงรายพันธุ์แท้
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,024



« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 23 มกราคม 2010, 22:40:25 »

สรุปได้ว่า

" ผู้ถือหุ้นปั่นราคาน้ำมันเพื่อผลประโยชน์ของตนเองซึ่งเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน "

ผู้ถือหุ้น มีใครบ้าง....

เอามาเฉลยให้ประชาชนผู้บริโภคและเสียภาษี
ทราบบ้างจะได้ไหมครับ  ฮืม



เดี๋ยวเป็นคดีความขึ้นมา จะลำบากเจ้าของเว็บเขาเปล่าๆนะครับ คุณเร้ดฯ
เอางี้เป็นไง ใครสนใจข้อมูลก็ฝากเมล์ไว้ หุๆ


* 003.jpg (101.37 KB, 800x400 - ดู 227 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
salao
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 266



« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 23 มกราคม 2010, 22:41:14 »

ตัวอย่าง 4 ใน 6 รายชื่อผู้ถือหุ้น ปตท มากสุด

1. นายทวีฉัตร จุฬารกูร – หลานของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ (เลขาธิการพรรคไทยรักไทย) 2.2ล้านหุ้น

2. นายประยุทธ มหากิจศิริ – กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 2ล้านหุ้น

3. นายดิษฐพล ดำรงรัตน์ – ญาติ นพ. พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ สส. กทม. พรรคไทยรักไทย 1.7ล้านหุ้น

4. นายสุธี มีนชัยนันท์ – ญาตินายวิชาญ มีนชัยนันท์สส. กทม. พรรคไทยรักไทย 3แสนหุ้น

IP : บันทึกการเข้า

ติดต่ออีเมล์ jchairit@gmail.com โทร 086-5283895 ติดต่อ วิภู
Line ID: wipoochairit
https://www.facebook.com/ChiangmaiJade
salao
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 266



« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 23 มกราคม 2010, 22:53:02 »

เปล่าครับ เมื่อกี้ไปหาข้อมูลมาให้ ผมไม่ได้ตัดตอนเอง เอาเต็มๆ แล้วกัน
ไม่มีเจตนาเป็นอื่นครับ แค่เสิร์ชเจอ..

ความคิดเห็น

ลำดับที่ 1
ตัวอย่างของการแปรรูปที่ชวนน้ำลายหก

คัดมาฝาก

นี่ไงครับรายชื่อผู้ถือหุ้น ปตท.
ตัวอย่าง 4 ใน 6 รายชื่อผู้ถือหุ้น ปตท มากสุดซึ่งล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับพรรคไทยรักไทยทั้งสิ้น

1. นายทวีฉัตร จุฬารกูร – หลานของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ (เลขาธิการพรรคไทยรักไทย) 2.2ล้านหุ้น

2. นายประยุทธ มหากิจศิริ – กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 2ล้านหุ้น

3. นายดิษฐพล ดำรงรัตน์ – ญาติ นพ. พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ สส. กทม. พรรคไทยรักไทย 1.7ล้านหุ้น

4. นายสุธี มีนชัยนันท์ – ญาตินายวิชาญ มีนชัยนันท์สส. กทม. พรรคไทยรักไทย 3แสนหุ้น

จริงๆแล้ว 6 อันดับแรกนั้นได้หุ้นทั้งหมด 16 ล้านหุ้น มูลค่าขณะนั้นมีมูลค่าเพียง 385 ล้านบาท แต่2ปีถัดมามีมูลค่าถึง 1,377 ล้านบาทแล้ว ดูแค่นี้ก็น่าจะรู้แล้วว่าทำไม ทรท ถึงอยากนำ กฟผ. เข้าตลาดหุ้นนัก แล้วนี่ก็คือเหตุผลที่นายยกไม่กล้าเผชิญหน้ากับกลุ่มประท้วง แบบนี้ไม่เรียกว่าขายชาติแล้วจะขายอะไรครับ

แหล่งข้อมูล: นสพ. ไทยรัฐ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2547 หน้า 19 หัวข้อ “ทักษิณกร้าว” แหล่งข่าวนี้ไม่ได้เปิดเผยถึง 2 หุ้นที่เหลือ แต่จำนวนที่หุ้นที่หักล้างจากจำนวนหุ้นของสี่บุคคลข้างบนนี้ก็คือ 2 หุ้นที่เหลือนั้นถือหุ้นถึง 9.8ล้านหุ้น
IP : บันทึกการเข้า

ติดต่ออีเมล์ jchairit@gmail.com โทร 086-5283895 ติดต่อ วิภู
Line ID: wipoochairit
https://www.facebook.com/ChiangmaiJade
GEN-Z
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,099


« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 23 มกราคม 2010, 22:54:59 »

ภาษีต่างๆก้อหนักนะครับ รัฐบาลชุดนี้เก็บเพิ่มหลายเปอร์เซ็นนะ ลองไปหาข้อมูลดูนะครับ อย่าว่าแต่ ปตท.ครับ บริษัทเอกชนทำไมไม่ขายถูกกว่าละครับ หลายครั้งที่บริษัทเหล่านั้นต้องปรับราคาน้ำมันขึ้นก่อน ปตท. ปรับด้วยซ้ำครับ ราคาน้ำมันนะวันนี้ที่จริงน่าจะลดได้อีกเยอะหากว่าไม่โดนรีดภาษีต่างๆมากมายเหลือเกิน ยังจำได้ไหมปีก่อนๆที่ราคาน้ำมันราคาประมาณปัจจุบันนี้ราคาน้ำมันดิบสูงกว่านี้มากมายต่อบาเรล เป็นร้อยเหรียญ ปัจจุบัน 70 กว่า แต่ทำไม ราคาน้ำมันถึงแพงพอๆกัน...
IP : บันทึกการเข้า
zombie01
ผู้ดูแลบอร์ด
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,517


ความสุขเกิดขึ้นได้ เพียงแต่รู้จักใช้ชีวิต


« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 23 มกราคม 2010, 23:13:20 »

คนภาคใต้ใช้น้ำมันราคาถูกกว่าภาคอื่น ๆ
เพราะมีการลักลอบนำเข้ามาจากฝั่งมาเลย์



-  อดีตไทยกับมาเลย์ความเจริญเท่า ๆกัน

-  ปัจจุบันมาเลย์มองไทย  ว่าล้าหลังเหมือนไทยมองพม่า

-  อนาคตไทยกับพม่าก็อาจจะเท่าๆ กัน ส่วนมาเลย์ต้องพูดถึง เราอาจจะตามไม่ทัน


ออกเทนน้ำมันมันไม่เท่ากันครับ เติมไป ใช้ระยะยาวรถพัง ใครรับผิดชอบ และส่วนหนึ่งมาเลย์เขามีบ่อน้ำมัน อีกอย่าง เรื่องเศรษฐกิจ เขาก้าวไปไกลกว่าเราไม่ต่ำกว่า 20-30 ปีอยู่แล้ว ค่าเงินเขามากกว่าเราสิบเท่า
IP : บันทึกการเข้า

salao
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 266



« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 23 มกราคม 2010, 23:16:42 »

เปล่าครับ เมื่อกี้ไปหาข้อมูลมาให้ ผมไม่ได้ตัดตอนเอง เอาเต็มๆ แล้วกัน
ไม่มีเจตนาเป็นอื่นครับ แค่เสิร์ชเจอ..

ความคิดเห็น

ลำดับที่ 1
ตัวอย่างของการแปรรูปที่ชวนน้ำลายหก

คัดมาฝาก

นี่ไงครับรายชื่อผู้ถือหุ้น ปตท.
ตัวอย่าง 4 ใน 6 รายชื่อผู้ถือหุ้น ปตท มากสุดซึ่งล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับพรรคไทยรักไทยทั้งสิ้น

1. นายทวีฉัตร จุฬารกูร – หลานของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ (เลขาธิการพรรคไทยรักไทย) 2.2ล้านหุ้น

2. นายประยุทธ มหากิจศิริ – กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 2ล้านหุ้น

3. นายดิษฐพล ดำรงรัตน์ – ญาติ นพ. พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ สส. กทม. พรรคไทยรักไทย 1.7ล้านหุ้น

4. นายสุธี มีนชัยนันท์ – ญาตินายวิชาญ มีนชัยนันท์สส. กทม. พรรคไทยรักไทย 3แสนหุ้น

จริงๆแล้ว 6 อันดับแรกนั้นได้หุ้นทั้งหมด 16 ล้านหุ้น มูลค่าขณะนั้นมีมูลค่าเพียง 385 ล้านบาท แต่2ปีถัดมามีมูลค่าถึง 1,377 ล้านบาทแล้ว ดูแค่นี้ก็น่าจะรู้แล้วว่าทำไม ทรท ถึงอยากนำ กฟผ. เข้าตลาดหุ้นนัก แล้วนี่ก็คือเหตุผลที่นายยกไม่กล้าเผชิญหน้ากับกลุ่มประท้วง แบบนี้ไม่เรียกว่าขายชาติแล้วจะขายอะไรครับ

แหล่งข้อมูล: นสพ. ไทยรัฐ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2547 หน้า 19 หัวข้อ “ทักษิณกร้าว” แหล่งข่าวนี้ไม่ได้เปิดเผยถึง 2 หุ้นที่เหลือ แต่จำนวนที่หุ้นที่หักล้างจากจำนวนหุ้นของสี่บุคคลข้างบนนี้ก็คือ 2 หุ้นที่เหลือนั้นถือหุ้นถึง 9.8ล้านหุ้น


ปัจจุบันผู้ถือหุ้นทั้ง 6 คน ก็ไม่มีบทบาท ไม่มีอำนาจในรัฐบาลนี้แล้วไม่ใช่เหรอครับ
เพราะฉะนั้นจะเรียกว่าเป็นประโยชน์ทับซ้อนก็คงจะไม่ได้แล้วล่ะสิครับ

แล้วราคาน้ำมันทำไมไม่ลดลงล่ะครับ


เมื่อกี้ถามเรื่องคนถือหุ้นปตท. ผมก็เสิร์ชหาข้อมูลมาตอบให้ไงครับ
ข้อมูลนี้เก่าตั้งแต่ปี 2547 แต่เจ้าของหุ้นก็ยังถือหุ้นอยู่
เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน น่าจะเรียกว่าต่างฝ่ายต่างได้มากกว่า
เพราะนอกจากคนกลุ่มนี้แล้ว นักการเมืองหลายคนก็มีหุ้นอยู่ด้วย
เรื่องราคา เป็นผลจากภาษีโภคภัณฑ์ ซึ่งเอามาชดเชยกับตอนที่อั้นราคาดีเซลไว้
เพราะรัฐบาลชุดนี้ ไม่มีรายได้ทางอื่น นอกจากภาษี
แล้วเป็นนโยบายของกระทรวงการคลัง ร่วมกับกระทรวงพลังงาน และกระทรวงสิ่งแวดล้อม
ในการที่จะผลักดันให้ประชาชนหันไปใช้พลังงานทางเลือกอื่นๆ
เป็นกลไกเพื่อขยายฐานการใช้พลังงานชีวภาพ ทั้งE20-E85 และไบโอดีเซล
เพราะพลังงานฟอสซิลคงจะมีเวลาของมันอีกไม่นาน

ที่จริง ว่านี่เป็นการหารายได้ทางหนึ่งของรัฐบาลก็ถูก
แต่อีกทาง ต้องถามว่าแล้วเราปฏิวัติตัวเองอย่างไร
เรามีกำลังซื้อรถ แล้วเราไม่มีกำลังเติมน้ำมัน
หรือเราประเมินตัวเองผิดพลาดตั้งแต่ต้น

ตั้งแต่ปี 2504 ที่เราเริ่มสร้างถนน จนถึงวันนี้ ใครได้ประโยชน์จากถนนบ้าง
บริษัทขายรถ? บริษัทน้ำมัน?
เขาเปลี่ยนวิถีชีวิตของเราเพื่อเราหรือเพื่อเขา
แล้วเราคิดทำอย่างไรได้บ้าง
นอกจากหาคนมาก่นบาป
IP : บันทึกการเข้า

ติดต่ออีเมล์ jchairit@gmail.com โทร 086-5283895 ติดต่อ วิภู
Line ID: wipoochairit
https://www.facebook.com/ChiangmaiJade
GEN-Z
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,099


« ตอบ #14 เมื่อ: วันที่ 23 มกราคม 2010, 23:18:12 »

เรื่องขายชาติ ไม่ขายชาติ คิดตื้นๆไม่ได้หรอกครับ มันมีอะไรมากมายที่หลายๆคนไม่รู้อีกมาก ดูตัวอย่างรัฐวิสาหกิจต่างๆที่พนักงานเคยชิน ทำงานเช้าชามเย็นชาม องค์กรมีแต่ขาดทุนต้องเอาเงิน รัฐมาโปะขาดทุนตลอดเงินที่โปะก้อมาจากภาษีทั้งนั้น เสพสุขกันอย่างสบาย ใครทำอะไรไม่ได้ พอเขาแปรรูปก้อกลัวดสียผลประโยชน์ ยกมาอีก 1 ตัวอย่าง อสมท. ก่อนหน้าแปรรูการบริหารไม่ได้เรื่องมีแต่จะขาดทุน โดนแทรกแซงตลอด เขาถึงว่าแดนสนธยา(ตามรายการสารคดี) ช่วงจะแปรรูปดดนต่อต้านอย่างหนัก
ทั้งจากพนักงานและอื่นๆ พอแปรรูปเป็นบริษัทที่ช่วงนั้น โดย นายมิ่งขวัญ เป็น ผอ.
ปรากฎว่า อสมท. ถึงยุคโผล่ออกจากแดนสนธยา สามารถทำกำไรได้โดยสู้กับช่องอื่นได้
ไม่ปล่อยให้คนอื่นกอบโกยอย่างเดียว แล้วพนักงานที่เคยต่อต้านก้อรู้และเงียบกริบ
เงินเดือนขึ้นจากเดิม ไม่ต่ำกว่า 50% ในทันที ชอบใจกันใหญ่ พวกที่เคยตัวทำงานแบบ
เฉื่อยก้อปรับตัวกัน มีความคล่องตัวสูงขึ้น เม็ดเงินสามารถระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์ได้ การแปรรูปมันมีข้อดีและข้อเสียครับ ก่อนจะว่าใครขายชาติขอให้ศึกษากันดีๆครับ
ทุกวันนี้มีพวกเกาะกินผลประโยชน์ของชาติมานานมากจนเคยตัวคิดว่าพวกข้านี้ใหญ่คับฟ้าใครทำอะไรไม่ได้ กดหัวประชาชนไม่ให้รู้ทัน แต่ยุคนี้มันเปลี่ยนไปแล้วคนรู้ทันมีมากขึ้นครับเรียกว่า ตาสว่าง
IP : บันทึกการเข้า
zombie01
ผู้ดูแลบอร์ด
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,517


ความสุขเกิดขึ้นได้ เพียงแต่รู้จักใช้ชีวิต


« ตอบ #15 เมื่อ: วันที่ 23 มกราคม 2010, 23:24:13 »

อีกอย่าง ข้อมูลที่ จขกท นำมาเปิดประเด็น คาดว่าค่อนข้างเก่านะครับ รายการตาสว่างหลุดผังไปแล้วไม่ใช่เหรอ น่าจะอ้างอิงวันที่สักหน่อยครับ ท่าทางจะเป็นฟอร์เวิร์ดเมล์ด้วย
IP : บันทึกการเข้า

GEN-Z
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,099


« ตอบ #16 เมื่อ: วันที่ 23 มกราคม 2010, 23:26:09 »

ถามนิดนะครับ ปตท. ก่อนการแปรรูปทำไมไม่ขายน้ำมันให้ถูกว่า บริษัทเอกชนครับ
เห็นขายราคาพอกันเลย แล้วพอแปรรูปทำไมเอกชนไม่ขายถูกกว่าล่ะครับ เห็นราคาก้อคือกันเหมือนเดิม ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า
salao
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 266



« ตอบ #17 เมื่อ: วันที่ 23 มกราคม 2010, 23:29:36 »

ไปให้ไกลกว่าเรื่องน้ำมันแพงนะครับ พอดีผมเคยเขียนบทความเรื่องนี้เอาไว้ รายละเอียดด้านล่างครับ..

         
ทำไมในประเทศซาอุดิอาระเบีย น้ำบริสุทธิ์จึงมีราคาแพงกว่าน้ำมัน?
   
ถามใหม่ดีกว่าว่า หากรถยนต์สามารถใช้น้ำเป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน น้ำจะมีราคาแพงขึ้นหรือไม่?
   
เป็นข้อเท็จจริงที่ว่า สิ่งใดก็ตาม เมื่อมีความต้องการของตลาดเพิ่มสูงขึ้น ราคาก็จะถีบตัวสูงขึ้นตามไปด้วย และสิ่งใดก็ตามที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เมื่อโลกสามารถหาสิ่งทดแทนได้ ความจำเป็นของสิ่งนั้นก็จะค่อยๆ ลดลง
   
ข้อพิสูจน์ที่ว่านี้อาจเปรียบเทียบได้จากตัวอย่างระหว่าง “น้ำมัน” กับ “ทองคำ” ซึ่งต่างก็เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ด้วยกันทั้งคู่ สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ตลาดโลกกำหนดให้ทองคำสามารถแทนค่าของเงินตราได้ทุกสกุลในโลก และความต้องการเครื่องประดับที่ทำด้วยทองคำจากทั่วโลกโดยเฉพาะในอินเดียและจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดนั้น ก็ยังไม่มีโลหะใดสามารถเข้าไปทดแทนวัฒนธรรมการใช้ทองคำได้ ดังนั้น ราคาทองคำจึงมีแนวโน้มที่จะขยับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง(ข้อมูลจากหนังสือเนชันแนลจีโอกราฟฟิก ฉบับเดือนมกราคม 2552 บอกเราว่า ราคาทองคำได้พุ่งขึ้นถึงร้อยละ 235 โดยใช้เวลาเพียง 8 ปีเท่านั้นเอง)
   
กล่าวถึงน้ำมัน ซึ่งเพิ่งเข้ามามีบทบาทต่อโลกหลังทองคำหลายพันปี หรือหากเฉพาะเจาะจงลงที่ประเทศไทย จะพบว่าเราเพิ่งเริ่มรู้จักการใช้ปิโตรเลียมกันในยุคพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(พ.ศ.2411-2453) หรือเมื่อร้อยกว่าปีมานี้เอง โดยในปี พ.ศ. 2435 บริษัทต่างชาติที่เข้ามาค้าน้ำมันกับไทยเป็นบริษัทแรก คือ บริษัท รอยัลดัทช์ ปิโตรเลียม จำกัด ต่อมาร่วมทุนกับบริษัท เชลล์ทรานสปอร์ตแอนด์เทรดดิ้ง จำกัด ก่อตั้งบริษัท เอเชียติกปิโตรเลียม(สยาม) เพื่อจำหน่ายน้ำมันก๊าด นำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อจุดตะเกียงให้แสงสว่าง จนปี พ.ศ.2439 คนไทยจึงได้มีโอกาสเห็นรถยนต์คันแรก ที่พระยาสุรศักดิ์มนตรี เสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ ได้นำมาทดลองวิ่งบนท้องถนน
   
กระนั้น เราพบว่าด้วยเวลาเพียงร้อยกว่าปีเศษของการรู้จักใช้น้ำมันในประเทศไทย มลพิษจากน้ำมันเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ก็ได้ทำให้เกิดปัญหาอากาศเป็นพิษ และฝนกรดในเมืองใหญ่ๆ เช่น กรุงเทพมหานครและเชียงใหม่ เป็นต้น นอกจากนั้นแล้ว น้ำมันปิโตรเลียมที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ ก็กำลังจะหมดโลกในอีกไม่ช้าด้วย
   
หากความแตกต่างระหว่างน้ำมันกับทองคำอยู่ที่ว่า มนุษย์โลกสามารถคิดค้นพลังงานที่จะใช้ทดแทนน้ำมันได้แล้ว ทั้งยังสามารถลดมลพิษในอากาศ ช่วยเครื่องยนต์ให้มีประสิทธิภาพการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ เมื่อเป็นอย่างนี้ ต่อไปความต้องการที่จะใช้น้ำมันในโลกก็จะลดน้อยลง และสามารถบรรเทาปัญหาที่น้ำมันจะหมดโลกได้
   
แต่ทุกการเปลี่ยนแปลงมิได้ง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือ
   
!!!...?
   

เราต้องเข้าใจก่อนว่าปัจจุบันนี้ ทั้งโลกมีปริมาณการใช้รถยนต์อยู่ที่กี่ล้านคัน นั่นนับตั้งแต่รถที่มีอายุงานหลายสิบปีซึ่งเจ้าของยังไม่ปลดระวาง รวมถึงรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ทำให้การสำรวจนี้ค่อนข้างยากที่จะวัดตัวเลขแท้จริง สำหรับข้อมูลที่เราทราบแน่ชัดก็คือ ทุกวัน..ทั่วโลกมีความต้องการใช้น้ำมันรวมแล้วไม่น้อยกว่า 84-85 ล้านบาร์เรล อันเป็นการใช้น้ำมันที่เกี่ยวเนื่องในทุกกิจกรรมตั้งแต่กับรถยนต์และยานพาหนะต่างๆ การนำไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม การผลิตพลาสติก การผลิตกระแสไฟฟ้า หรือแม้แต่เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอางเป็นต้น
   
ส่วนพลังงานทดแทน ไม่ว่าจะเป็นพลังงานสิ้นเปลือง(ถ่านหิน, ก๊าซธรรมชาติ, นิวเคลียร์, หินน้ำมัน) หรือพลังงานหมุนเวียน(แสงอาทิตย์, ลม, ชีวมวล, น้ำ, และไฮโดรเจน เป็นต้น) ปัจจุบันล้วนยังถูกนำมาใช้น้อยกว่าน้ำมัน โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นผลดีต่อประเทศเขตร้อนที่สามารถเพาะปลูกพืชพลังงาน(หมายถึง “ชีวมวล” เช่น อ้อย, ข้าวโพด, มันสำปะหลัง, และฟางข้าว) ยังได้รับความนิยมจากทั่วโลกเพียงแค่ 9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
   
ที่เป็นอย่างนี้เพราะว่าเทคโนโลยีโดยส่วนใหญ่เท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงหลักมานับร้อยปี ก่อนที่จะเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทนได้ จำเป็นจะต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีให้ตอบสนองต่อเชื้อเพลิงชนิดใหม่เสียก่อน และการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็ถือเป็นการลงทุนครั้งสำคัญ หากกระแสของทั้งโลกไม่เอาด้วย เทคโนโลยีด้านพลังงานทดแทนก็จะคงมีราคาสูง ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน
   
ดังนั้น วาระของการเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทน หรือพลังงานสะอาด จึงจำเป็นจะต้องรณรงค์ให้เกิดเป็นวาระสำคัญของทั้งโลก!
   
   
บรรดาผู้กล้าพิทักษ์โลกด้วยเทคโนโลยีพลังงานสะอาด
   
เท่าที่ทราบกันดี ในโลกยุคที่เทคโนโลยีพลังงานน้ำมันยังฝังรากลึก การเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ แม้จะให้ภาพลักษณ์ด้านบวกแก่ผู้ริเริ่มขนาดไหน หากความเสี่ยงต่อการขาดทุนยิ่งมีมากกว่า ดังนั้น สำหรับกลุ่มผู้เริ่มต้นปฏิวัติเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกดังรายนามที่จะกล่าวถัดจากนี้ จึงควรได้รับเสียงปรบมือในฐานะผู้กล้าปรารถนาดีต่อโลก ที่ไม่ได้ก้าวตามมาด้วยเหตุผลของกระแสการเปลี่ยนแปลง ซึ่งก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การปฏิวัติพลังงานสะอาดเป็นมิตรต่อโลก จะสามารถกลายเป็นพลังงานกระแสหลักได้ในวันข้างหน้า
   
มาดูกันว่าวันนี้ใครทำอะไรไปบ้างแล้ว..
   
..เครื่องบิน..
   
เมื่อปี 2551 สายการบินเวอร์จิน แอตแลนติก ได้เริ่มใช้น้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ หรือ biofuel โดยเริ่มทดลองใช้ในเส้นทางลอนดอนฮีทโธรว์-อัมสเตอดัมเป็นครั้งแรก โดยมีเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
   
..รถยนต์..
   
ปัจจุบันหลายค่ายรถยนต์ทั้งในยุโรป สหรัฐอเมริกา และเอเชีย ต่างเริ่มผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ที่ตอบสนองต่อการประหยัดพลังงาน และการใช้พลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฮบริด, รถยนต์พลังงานไฟฟ้า, รถยนต์ E85, รถยนต์CNG, หรือรถยนต์ฟิวเซลส์ที่ใช้พลังงานไฮโดรเจน ซึ่งค่ายใหญ่อย่างGM เองก็อาสาบุกเบิกทั้ง เชฟโรเลต อิมพาลาที่ใช้ก๊าซโซฮอล์ E85 เป็นขุมพลังในการขับเคลื่อน     เชฟโรเลตอีควินอกซ์ ที่เป็นรถฟิวเซลส์พลังไฮโดรเจน รวมถึงการปฏิวัติวงการรถกระบะ ด้วยการส่งรถกระบะโคโรลาโด้CNG ที่ใช้ CNG ถึง 65 เปอร์เซ็นต์ออกมา(ในภายหลังรถกระบะยี่ห้อTATA ได้มีการพัฒนาจนใช้ CNG ได้ 100 เปอร์เซ็นต์) เป็นต้น จากนั้นค่ายฮอนด้า และโตโยต้าก็เปิดตัวรถยนต์พลังงานทางเลือกนี้มาติดๆ ในขณะที่ค่ายรถยนต์จากจีนมุ่งเน้นไปที่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า
   
ประโยชน์ที่จะได้รับจากพลังงานทดแทนหรือทางเลือกโดยสังเขปดีอย่างไร?

ขอขยายความที่คำว่า E85 เป็นลำดับแรก E85 หมายถึงน้ำมันที่ประกอบด้วยเอธานอล(ผลิตมาจากอ้อย และมันสำปะหลัง) 85 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 25 เปอร์เซ็นต์มาจากน้ำมันเบนซิน ปัจจุบันนี้มีบางประเทศ เช่น บราซิลซึ่งเพาะปลูกอ้อยมากที่สุดในโลก ได้บังคับให้ค่ายรถยนต์ผลิตรถยนต์ E100 หรือเอธานอล 100 เปอร์เซ็นต์ป้อนตลาดบราซิลเป็นผลสำเร็จ เช่นเดียวกับประเทศสวีเดน ที่จูงใจค่ายรถด้วยกลไกของภาษี เนื่องจากต้องการลดผลกระทบจากปัญหาสิ่งแวดล้อม(การศึกษาพบว่ามลพิษที่ปล่อยจากไอเสียของFFVs ที่ใช้ก๊าซโซฮอล์(E85)เมื่อเทียบกับใช้เบนซิน จะลดลงทุกตัว ไม่ว่าจะเป็นสารอินทรีย์ไฮโดรคาร์บอน(VOCs) คาร์บอนมอนน็อกไซด์(CO) ฝุ่นละออง(Particulates) ไนโตรเจนออกไซด์(NOx) ซัลเฟต(Sulfate) ก๊าซเรือนกระจก(GHG)และสารพิษอื่นๆ(Toxics) ซึ่งต่างมีส่วนในการก่อให้เกิดปัญหาภาวะโลกร้อน) และสำหรับไทยเราเอง หากคิดคร่าวๆ ว่าเราสามารถใช้น้ำมันเบนซินลดลง 85 เปอร์เซ็นต์ต่อลิตร โดยเปลี่ยนเป็นเอธานอลแทน ก็จะส่งผลให้เกษตรกรไทยและโรงงานผลิตเอธานอลมีรายได้กลับมาประมาณ 82,000 ล้านบาทต่อปี และสามารถประหยัดเงินค่าน้ำมันได้อย่างต่ำปีละ 97,000 ล้านบาท(ข้อมูลประมาณการรายได้จากคอลัมน์ลมเปลี่ยนทิศ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ มิถุนายน 2551)
   
อันดับต่อมา รถยนต์ CNG (Compressed Natural Gas) หมายถึงรถยนต์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัดในการขับเคลื่อน โดยจะใช้ก๊าซ NGV ซึ่งมีคุณสมบัติคือน้ำหนักเบา ปลอดภัยสูงเพราะติดไฟยากกว่าน้ำมันเบนซิน ดีเซล และก๊าซLPG โดยจะลุกไหม้ก็ต่อเมื่อมีอุณหภูมิสูงถึง 540 องศาเซลเซียส ก๊าซ NGV สามารถผลิตได้ในประเทศ และมีราคาถูกกว่าน้ำมันเบนซิน กับดีเซลมาก
   
รถยนต์ไฮบริด คือรถเครื่องยนต์ลูกผสมระหว่างไฟฟ้ากับน้ำมัน ที่พลังงานไฟฟ้าจะเข้าไปช่วยลดอัตราการสูญเสียน้ำมันในเวลาที่รถออกตัวหรือเร่งแซง ส่วนในเวลาที่รถยนต์ลดความเร็วลงด้วยการเบรกหรือถอนคันเร่ง กำลังที่เกิดขึ้นซึ่งมักจะสูญเสียไปในรูปความร้อนจะถูกมอเตอร์ไฟฟ้าคอยชาร์ตไฟเข้าสู่แบตเตอรี่ เพื่อเป็นพลังงานสำรองยามที่รถต้องการดึงเอาไฟฟ้าจากมอเตอร์ไปใช้ใหม่ ทำให้ไม่ต้องเสียเวลากับการชาร์ตแบตเตอรี่ จากการทดลองขับขี่พบว่า รถยนต์ไฮบริดนี้มีส่วนช่วยประหยัดพลังงานได้กว่า 40-60 เปอร์เซ็นต์ โดยขึ้นกับเทคโนโลยีของแต่ละยี่ห้อและรุ่นของรถนั้นๆ และผลจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่ลดลง ก็ยังช่วยให้มลพิษลดลงอีกด้วย
   
นอกจากที่ยกตัวอย่างมาแล้ว เทคโนโลยีพลังงานทางเลือกอื่นๆ ยังคงได้รับการวิจัยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ การใช้น้ำ(ซึ่งมีส่วนประกอบคือไฮโดรเจนกับออกซิเจน)แทนน้ำมัน เว้นแต่พลังงานลมที่แทบจะไม่ได้ข่าวการวิจัย ทั้งที่ลองคิดดูดีๆ จะเห็นว่าการวิ่งของรถสามารถให้กำเนิดแหล่งพลังงานลมได้เช่นกัน และเป็นพลังงานสะอาดที่สุดในการให้กำเนิดไฟฟ้า ในทุกสภาพอากาศ
   
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีทางเลือกโดยส่วนใหญ่ดังกล่าวมา ยังมีปัญหาการเข้าถึงด้วยราคาที่สูง มักจะเริ่มต้นที่คันละล้านกว่าบาทขึ้นไป จึงทำให้กระแสรถยนต์พลังงานทดแทนจากโรงงานประกอบโดยตรง ยังไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนักในประเทศไทย
   
สิ่งเดียวที่จะช่วยส่งเสริมให้วาระการเลือกพลังงานทดแทนที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมีความเป็นไปได้ นอกจากค่ายรถยนต์จะต้องมีความพร้อมในด้านการลงทุนผลิตรถเครื่องยนต์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมออกมาแล้ว รัฐบาลจะต้องช่วยสนับสนุนให้ตลาดมีความเป็นไปได้ โดยอาจยกเว้นภาษีในช่วง 5 ปีแรก และเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำจนเหมาะสมแก่การลงทุนในปีถัดๆ ไป เพื่อให้ประชาชนมีกำลังที่จะเข้าถึงเทคโนโลยีได้ พร้อมๆ กันนั้นก็อาจจูงใจบรรดาโรงงานต่างๆ ด้วยการปรับลดภาษี สำหรับโรงงานที่เปลี่ยนไปใช้เครื่องจักรพลังงานทดแทนด้วย เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนในเทคโนโลยีการผลิต แล้วอีก 5 ปีข้างหน้าค่อยใช้นโยบายการเพิ่มกำแพงภาษีให้สูงขึ้น สำหรับโรงงานที่ยังคงใช้เครื่องจักรที่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
   
เชื่อว่าหากมีแรงจูงใจที่ดี ไม่มีมนุษย์คนไหนไม่รักโลก แล้ววันข้างหน้าเราทุกคน รวมถึงเด็กที่กำลังจะเกิดใหม่ ก็จะได้ลมหายใจที่เคยสะอาดกลับคืนมา ปัญหาโลกร้อนก็คงพอทุเลาได้
   
      
IP : บันทึกการเข้า

ติดต่ออีเมล์ jchairit@gmail.com โทร 086-5283895 ติดต่อ วิภู
Line ID: wipoochairit
https://www.facebook.com/ChiangmaiJade
bm farm
หัวหมู่ทะลวงฟัน
ผู้ดูแลบอร์ด
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,575


canon eos


« ตอบ #18 เมื่อ: วันที่ 24 มกราคม 2010, 06:20:26 »

 ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ...แวะมารับฟังครับ..
IP : บันทึกการเข้า

ยิ้มกว้างๆ .....อ่านกฏ,กติกาการใช้งานเวบบอร์ดด้วยครับ.....
۰•ฮักแม่จัน©®
เลวบ้างในบางเวลา
ผู้ดูแลบอร์ด
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,019


"มารบ่มี บารมี บ่เกิด.."


« ตอบ #19 เมื่อ: วันที่ 24 มกราคม 2010, 12:27:36 »

กระทู้นี้ได้ความรู้เยอะจริงๆๆ
IP : บันทึกการเข้า

"ทำบุญเท่าไรก็ไม่สามารถลบล้างบาปได้ บุญอยู่ส่วนบุญ บาปอยู่ส่วนบาป"

ไม่มีใครหรอกที่จะเลวโดยสันดาน ..
หากแต่สถานการณ์มันบีบบังคับให้ทำ
หน้า: [1] 2 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!