เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 25 เมษายน 2024, 19:36:33
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ศาสนา กิจกรรมทางวัด (ผู้ดูแล: ap.41, ลุงหนาน)
| | |-+  มหายานไม่ใช่เซ็น - เซ็นไม่ใช่มหายาน
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน มหายานไม่ใช่เซ็น - เซ็นไม่ใช่มหายาน  (อ่าน 601 ครั้ง)
ร้อยป่า
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,864



« เมื่อ: วันที่ 15 กันยายน 2014, 08:06:05 »

ปรัศนี: มีผู้กล่าวว่า ท่านอาจารย์เอาลัทธิเซ็นมาเผยแพร่ในประเทศไทย แล้วก็สอนอะไรๆ เป็นเซ็น หรือมหายานไปหมด เป็นการเสียหายอย่างยิ่งแก่พุทธศาสนา นี่อาจารย์จะว่าอย่างไรครับ?

พุทธทาส: แปลว่า คนถามนั่นไม่รู้อะไรเป็นอะไร เขาไม่รู้ว่า เซ็นก็คือพุทธศาสนานั่นเอง คือหลักพุทธศาสนาที่เอาไปปรับปรุงวิธีพูด วิธีสอนให้มันโลดโผนรุนแรง ให้มันเหมาะกับคนเฉียบแหลม มีสติปัญญาของประเทศจีนในสมัยนั้น ประเทศจีนในสมัยที่พระพุทธศาสนานี้เข้าไปถึง ประชาชนส่วนใหญ่มันฉลาดอยู่ก่อนแล้วด้วยลัทธิขงจื้อ ลัทธิเล่าจื้อ ลัทธิเต๋า เขาฉลาดมาก จะไปสอนพุทธศาสนางุ่มง่ามๆ ธรรมดาอย่างนี้เขาไม่เอาหรอก มันต้องมีวิธีพูด วิธีสอนให้คมคายโลดโผน มันจึงเกิดวิธีพูดวิธีสอนอย่างเซ็นขึ้นมา แล้วก็เป็นพุทธศาสนาอยู่ตามเดิม ไม่ใช่เป็นศาสนาอื่นไป

ลัทธิเซ็นทุกนิกายเอามาดูแล้ว ก็สอนตรงกันในข้อที่ว่า อย่ามีอุปาทานในขันธ์ทั้งห้านั่นแหละ จะยกเรื่อง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มาแล้วก็สอนอย่าให้มีอุปาทานในขันธ์ แต่ละขันธ์อย่างนี้ทั้งนั้น แต่วิธีพูดวิธีสอนนั้นมีอย่างอื่นให้มันโลดโผนให้มันจับจิตจับใจ ก็เป็นพุทธศาสนาที่มีวิธีพูดอย่างใหม่ให้มันโลดโผน เซ็นนั้นก็ไม่ใช่ลัทธิอื่น ซึ่งไม่ใช่พุทธศาสนา

ทีนี้คนถามนี้ไม่รู้อะไรเสียแล้ว แสดงว่า สอนอย่างนั้นเป็นเซ็น เป็นมหายานไปหมด มหายานนั้นไม่ใช่เซ็น เซ็นนั้นไม่ใช่มหายาน เซ็นเกิดขึ้นเพื่อล้อเลียนมหายานมากกว่า มหายานนั้นมันง่ายเกินไป เพียงแต่ทำพิธีรีตองอย่างนั้นอย่างนี้ สวดมนต์ออกชื่อ อมิตาภะ กี่หมื่นครั้งก็ไม่รู้ ก็แปลว่า ไปอยู่สวรรค์ชั้นสุขาวี นี่เขาเรียกมหายาน คือทำให้ง่ายให้ไปได้ทุกคน เพราะทุกคนแม้จะไม่มีสติปัญญาอะไร เพียงแต่ปฏิบัติพิธีรีตองนี้นับว่าครบถ้วนแล้วก็ไปสุขาวดีได้ ไปได้มากจึงเรียกว่า "มหายาน"

ส่วน "เซ็น" นั้นเพื่อจะล้อมหายาน เขาต้องรู้ธรรมลึกซึ้งอย่างเดียวกับที่เรารู้ คือไม่มีอุปาทานในขันธ์ทั้งห้า ฉะนั้น "เซ็น" นั้นไม่ใช่มหายาน มหายานไม่ใช่เซ็น แม้มันเกิดในเมืองจีนด้วยกัน นี่มันเรียนมาลวกๆ มันฟังมาลวกๆ ว่า เซ็นนี้เป็นมหายาน ถ้าใครเคยเข้าใจอย่างนี้ ให้เข้าใจเสียใหม่ให้ถูกต้องว่า เซ็นนั้นมันล้อมหายาน ไม่ใช่มหายาน แต่ก็เป็นพุทธศาสนาด้วยกัน

พุทธศาสนาอย่างเซ็นนั้น มันโลดโผนมีรสมีชาติเหมาะสำหรับนักปราชญ์ ส่วนมหายานนั้นขยายให้มันง่ายลงไป ให้มันมีรสมีชาติสำหรับตาแก่ ยายแก่ชาวนา คนที่ไม่มีปัญญาทั้งนั้นแหละ ก็ใช้สิทธิมหายานได้ เพราะเขาลดต่ำลงไปจนถึงว่า ทำกันอย่างเป็นพิธีรีตองก็ได้ ถ้าเขาเชื่อจริง ก็ได้จริงเหมือนกัน คือไม่ต้องมีทุกข์จริงเหมือนกัน เพราะคนมันเชื่อเสียแล้ว

เช่นเขาเชื่อว่า ความหมายนี้ เป็นการเรียกร้องของพระเจ้า เขาก็ไม่กลัวก็ไม่เป็นทุกข์ และจะสมัครใจเสียด้วยซ้ำไป เพราะเป็นการเรียกร้องของพระเป็นเจ้า นี่ด้วยอำนาจของความเชื่อ ทำให้การตายไม่เป็นที่หวาดเสียวแก่คนเชื่อ แต่เราไม่ถือลัทธิอย่างนี้ เรามีปัญญาที่จะถือว่า ความตายเป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่แปลกประหลาดอะไร นี่มันมีความหมายคนละอย่าง เราอย่าไปดูถูกเขาเลย แม้จะเป็นอย่างเซ็นหรือจะเป็นอย่างมหายาน เขาก็เป็นพุทธศาสนาที่มุ่งหมายจะดับทุกข์ทั้งนั้น มันต้องเลือกให้เหมาะสม อย่างคนไม่มีปัญญาจะมาศึกษาอย่างเซ็น นี่ก็ทำไม่ได้ เอาอย่างมหายานดีกว่า เพียงแต่สวดมนต์ครบเท่านั้นครั้งเท่านี้ครั้ง เท่านั้นก็จะไม่มีความทุกข์อีกต่อไป

ถ้าความเจ็บไข้มาถึง จะตายอยู่ก็ยิ่งดีใจว่าจะได้ไปเร็วไม่ต้องรอนาน ฉะนั้น พวกอาซิ้มนี้เขาก็ไม่ต้องกลัวความตาย เพราะว่าเขาได้สวดมนต์ไว้พอแล้ว เช่นสมมติว่า แปดหมื่นครั้ง พอเขาจะเจ็บจะตายรถมารออยู่บนหลังคาแล้ว ฉะนั้น คนอย่างนี้ไม่เป็นทุกข์ เพราะพอดับจิตเขาไปขึ้นรถไปสุขาวดี มันเป็นอุบายเป็นวิธีที่เขาวางไว้ให้ครบถ้วน ให้คนทุกประเภททำได้ คนโง่ที่สุดก็ทำได้ คนละแบบคนละวิธี มุ่งผลอย่างเดียวกัน คือไม่ต้องเป็นทุกข์ ฉะนั้น อย่าไปดูหมิ่นกันอย่างนี้.

แล้วที่ว่าผมทำความเสียหายให้แก่พระพุทธศาสนาโดยเอาลัทธิเซ็นมาเผยแผ่ในประเทศไทยนั้น ผมก็ไม่ได้ทำความเสียหายกลับเป็นผลดีเสียอีก คือให้คนไทยได้หายโง่ว่า เซ็นนั้น เขาปฏิบัติกันอย่างไร คนไทยจะได้หายโง่ไปเป็นกอง ถ้าคนไทยบางคนยังมีปัญญาเฉียบแหลม จะใช้วิธีอย่างเซ็นบ้าง มันก็อาจจะใช้ได้ ซึ่งก็เป็นพุทธศาสนารูปหนึ่ง ไม่เป็นการเสียหายแก่พุทธศาสนาตรงไหน เพราะมันเป็นพุทธศาสนาเดียวกัน ซึ่งมันมีวิธีต่างๆ กัน อย่างจะไปกรุงเทพฯ นี้ คนหนึ่งจะไปเรือบินก็ได้ ได้ยินว่าเสีย ๑๐๐ เท่านั้น ที่สถานีอากาศยานบินในกรุงเทพฯ คนหนึ่งเสียพันบาท แต่คนหนึ่งจะคลานไปก็ได้ จะว่าอะไรมันเล่า แล้วใครผิดใครถูกเล่า มันก็ถูกเฉพาะของตนๆ อย่าไปดูถูก ไปดูถูกเข้ามันจะโง่ คนหนึ่งมันจะขี่เกวียนไปก็ได้ คนหนึ่งมันจะขี่รถยนต์ไปก็ได้ แต่คนหนึ่งมันจะคืบคลานไปอย่างกับปลิงหรือหอยทากก็ได้ อย่าไปว่าเขาซี มันก็เป็นวิธีที่ไปถึงได้

พุทธศาสนาต้องการจะให้มีจิตใจที่ไม่เป็นทุกข์ มีวิธีใดที่จะไม่ให้เป็นทุกข์ได้ละก็ ใช้ได้ทั้งนั้น

ฉะนั้น อย่าไปหาว่าเขาผิด-เขาถูก มันจะโง่เอง คนที่ว่านั้นมันจะโง่เอง ถ้าเขาเชื่อหรือพอใจแล้ว เขาจะไม่เป็นทุกข์เหมือนกัน เขาเป็นพวกสัทธาธิกะ อาศัยกำลังของศรัทธา เป็นเบื้องหน้าเพื่อดับทุกข์ พวกเรามันเป็นปัญญาธิกะ อาศัยกำลังของปัญญาเป็นเครื่องดับทุกข์ แต่ไม่ควรจะทะเลาะกัน เพราะว่าเขาไม่เป็นทุกข์ด้วยกัน ฉะนั้น เราจึงไม่ควรดูหมิ่นศาสนาอื่นที่เขาเอาศรัทธามาเป็นเบื้องหน้า เช่น ศาสนาคริสเตียนก็ดี ศาสนาอิสลามก็ดี ศาสนาพราหมณ์บางนิกายก็ดี ที่เขามีศรัทธาเป็นเบื้องหน้า เขาก็ไม่เป็นทุกข์ก็พอแล้ว เพราะมันอยู่ที่ไม่เป็นทุกข์ก็พอแล้ว

ฉะนั้น ผมไม่ได้ทำความเสียหายให้แก่พุทธศาสนาแม้แต่นิดเดียว แต่ว่าไปเอาเรื่องพุทธบริษัทพวกอื่นมาให้พุทธบริษัทพวกนี้รู้ไว้บ้าง ว่าพวกอื่นเขามีวิธีอย่างไร และคงหายโง่ไปบ้าง ผมก็จะทวงบุญคุณว่า ผมได้ทำผลดีให้แก่พุทธบริษัท ไม่ได้ทำความเสียหายให้แก่พุทธศาสนาเลย.


* image.jpg (40.99 KB, 285x360 - ดู 56 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
nantong
ปั๋น กั๋นฮู้ แล้วก่อยเอาไปกึ๊ดอ่าน กั๋น แหมกำ อาจมีผิดถูก ฯ
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,579



« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 15 กันยายน 2014, 18:33:49 »

ไหว้สา  พระธัมมวินัย  สายบุญ

สาธุ ๆ ๆ  อนุโมทามิ

พระพุทธเจ้า สอนว่า การมีมานะ เป็นต้นว่า ดีกว่าเขา  เลวกว่าเขา  เสมอเขา นี่ไม่ควร ฯ

การถกหาความรู้ เป็นการเสวนาธัมมทาน หรือ การปันความรู้แก่กัน  ชนะการให้อย่างอื่น  พระท่านสอนเอาไว้กว่า สองพันปี

สาธุ


IP : บันทึกการเข้า

หนานขี้อู้หำยาน : นายจิราวัฒน์  โสรัจพงศ์เกษม / หนานธง   อีเมล : k e n g k a b h e n g @ g m a i l . c o m    มือถือ  081 777  51 76
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!