สุดยอดนักฆ่า มีอยู่จริง
http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=255836.0เรื่องราวนี้อยู่ในเงามืดมานานกว่าสามทศวรรษ บัดนี้ผู้ปฏิบัติการตัวจริงบางคนยอมเปิดปากพูดเป็นครั้งแรก พวกเขาเล่าเรื่องที่กลุ่มผู้นำมอสสาดอนุญาตให้ทำสงครามจิตวิทยาในการนำทีมไปทำภารกิจล้างแค้น นี่คือเรื่องราวของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง จากคำบอกเล่าของผู้อยู่ในเหตุการณ์
วันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1972 ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี มือปืนแปดคนจากกลุ่มชาวปาเลสไตน์ ที่ชื่อว่า 'Black September' ได้แฝงตัวเข้าไปในหมู่บ้านนักกีฬา พวกเขาจับนักกีฬาอิสราเอล 11 คนเป็นตัวประกันท่ามกลางสายตาสื่อมวลชนจากทั่วโลก
กลุ่มนี้เรียกร้องให้ปล่อยนักโทษ 250 คนเพื่อแลกกับชีวิตนักกีฬา หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงตำรวจเยอรมนีตัดสินใจลงมือช่วยเหลือตัวประกัน แต่เกิดความผิดพลาดอย่างร้ายกาจ กลุ่ม Black September หันไปเล่นงานตัวประกัน นักกีฬาอิสราเอลทั้งหมดถูกฆ่าตาย
อันกี สปิตเซอร์ ภรรยาม่ายของนักกีฬาที่เสียชีวิต กล่าวว่า “ภาพที่เห็นนั้นสุดจะบรรยาย เพราะพวกนั้นจับพวกเขาเป็นตัวประกัน พวกนั้นฆ่าตัวประกันคนหนึ่งต่อหน้าเพื่อน ๆ ของเขา พวกเขาต้องทนดูเพื่อนของตนเลือดไหลจนตายไปอย่างช้า ๆ ฉันบอกตัวเองว่า ถ้าสามีของฉันที่อายุเพียง 27 ปี ต้องใช้เวลาชั่วโมงสุดท้ายของชีวิตแบบนั้น มันคงต้องมีใครชดใช้กันบ้าง และฉันจะไม่ยอมนิ่งเฉย ฉันจะทวงถามความยุติธรรมในเรื่องนี้ให้ได้”
วันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 1972 ในอิสราเอล ความโศกเศร้าเสียใจของประชาชนแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ คนทั้งประเทศหันไปหานายกรัฐมนตรี โกลด้า แมร์ หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง เธอก็แสดงการตอบโต้ให้ปรากฏต่อสายตาสาธารณชนด้วยการโจมตีทางอากาศใส่ค่ายผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 200 คน
โกลด้า แมร์ สั่งการให้มอสสาด ซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติการลับของอิสราเอลส่งมือสังหารไปทั่วยุโรปและตะวันออกกลาง เพื่อกำจัดกลุ่มคนที่ต้องสงสัยว่าอยู่เบื้องหลังการลงมือสังหารที่มิวนิก
ภารกิจมรณะ เอฟราอิม ฮาเลวี และ เดวิด คิมเช ผู้บัญชาการระดับสูงของมอสสาด เล่าถึงช่วงเวลานั้นว่า ภารกิจของมอสสาดเป็นที่รู้กันในนามปฏิบัติการพระพิโรธ และผู้บริหารของมอสสาดไม่เคยบอกสาธารณชนเรื่องปฏิบัติการนี้มาก่อน
สายลับมอสสาดรู้อยู่แล้วว่า Black September เป็นกลุ่มลับที่แยกตัวออกมาจากองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ (พีแอลโอ) ซึ่งสมาชิกในองค์การนี้ต่อสู้กับอิสราเอลมานานหลายทศวรรษ แต่การจะระบุตัวและสังหารกลุ่มคนที่วางแผนปฏิบัติการมิวนิก คงไม่ใช่เรื่องง่าย
มอสสาดจะต้องปฏิบัติการเป็นความลับสุดยอด บรรดาสายลับมอสสาดตระหนักถึงภาระหน้าที่นี้ดี และเริ่มทำงานของตน เจ้าหน้าที่ข่าวกรองจดจ่อที่การหลุดปากของกลุ่ม Black September ภายในไม่กี่สัปดาห์ มอสสาดก็รวบรวมข่าวกรองที่มีคุณภาพได้
โรเนน เบิร์กแมน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องมอสสาด กล่าวว่า “ข้อมูลที่เจ้าหน้าที่รวบรวมมาได้ 97 ถึง 99 เปอร์เซ็นต์มาจากพีแอลโอ และองค์กรปาเลสไตน์อื่น ๆ บางคนเดินเข้ามาให้เบาะแสอย่างน่าประหลาดใจ คือเดินเข้ามาในสถานทูตอิสราเอลและสำนักงานต่างๆ ของมอสสาด แล้วก็เสนอตัวว่าจะช่วยมอสสาด ทำไมน่ะเหรอครับ? ก็เพราะพวกเขาต้องการรับประกันว่าญาติของพวกเขาซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศต่าง ๆ จะมีชีวิตที่สะดวกสบาย และปลอดภัย”
ขณะที่เจ้าหน้าที่มอสสาดรวบรวมรายชื่อผู้ต้องสงสัย ก็มีชื่อหนึ่งปรากฏขึ้นมา อาลี ฮัสซัน ซาลาเมห์ ผู้นำของกลุ่ม กันยายนทมิฬ (Black September) ที่สื่อมวลชนตั้งฉายาว่า เจ้าชายแดง เขามีส่วนพัวพันกับปฏิบัติการจี้เครื่องบินและการก่อการร้ายหลายครั้ง รวมถึงการสังหารหมู่ที่สนามบินเทลอาวีฟ ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 26 คน แต่เมื่อไม่รู้ว่าจะไปหาซาลาเมห์ได้ที่ไหน อิสราเอลจึงหันไปสนใจคนอื่นๆ ในบัญชีรายชื่อ 26 คน แต่เมื่อไม่รู้ว่าจะไปหาซาลาเมห์ได้ที่ไหน อิสราเอลจึงหันไปสนใจคนอื่นๆ ในบัญชีรายชื่อ
สามสัปดาห์หลังจากการสังหารหมู่ที่มิวนิก คณะกรรมการเอ็กซ์ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีโกลด้า แมร์ เป็นผู้ดูแลในฐานะประธานคณะกรรมการลับของรัฐบาลก็อนุญาตให้ลอบสังหารเป้าหมายรายแรก ชายที่ตกเป็นเป้าหมายนั้น เชื่อกันว่าเป็นหัวหน้ากลุ่ม Black September ในกรุงโรม
กรุงโรม เดือนตุลาคม ค.ศ. 1972 หน่วยปฏิบัติการลับของอิสราเอลกำลังสะกดรอยตาม เป้าหมายแรกของพวกเขา คือ วาเอล สเวตเตอร์ ล่ามวัย 30 ปีเขาทำงานให้สถานทูตลิเบียในกรุงโรม ในสายตาชาวตะวันตก สเวตเตอร์เป็นนักเขียนฝ่ายซ้ายที่รักสงบ แต่สำหรับพวกมอสสาด เขาเป็นหัวหน้ากลุ่ม Black September ในอิตาลี และเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับการวางแผนสังหารหมู่ในมิวนิก การวางแผนลอบสังหารสเวตเตอร์เป็นปฏิบัติการที่มีหลายขั้นตอน และควบคุมอย่างเคร่งครัดโดยสำนักงานใหญ่มอสสาดในเทลอาวีฟ
เดวิด คิมเช อดีตรองหัวหน้ามอสสาด กล่าวว่า “เราพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะให้สายลับเข้าไปประชิดเป้าหมาย เพื่อจะรู้ว่าพวกเขาคิดอะไร พวกเขาทำอะไร พวกเขากินอะไรเป็นอาหารเช้า และเราอยากรู้ทุกอย่างที่เราจะรู้ได้เกี่ยวกับตัวเขา”
ภายในไม่กี่วัน ทางการอิตาลีพบร่างของ สเวตเตอร์ ถูกยิง 16 นัดในอพาร์ตเมนต์ของเขา แต่งานของคณะกรรมการเอ็กซ์ยังไม่เสร็จ บรรดาเจ้าหน้าที่ได้พัฒนาเทคนิคการฆ่าใหม่ ๆ เพื่อแพร่ความหวาดกลัวไปในหมู่ศัตรู
กรุงปารีส เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1972 มือสังหารมอสสาดกำลังเตรียมลงมือครั้งที่สอง เป้าหมายคือ ดร. มาห์มุด ฮัมชีรี โฆษกองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ในฝรั่งเศส ข้อมูลของมอสสาดพบว่าเขาไม่เพียงเกี่ยวข้องกับการวางแผนสังหารหมู่ที่มิวนิกเท่านั้น แต่เขากำลังวางแผนการโจมตีทั่วยุโรปในอนาคตอันใกล้อีกด้วย
สายลับพบว่าฮัมชีรีอยู่กับภรรยาและลูกในอพาร์ตเมนต์หรูหราทางตอนใต้ของปารีส เพื่อหลีกเลี่ยงการทำร้ายครอบครัวที่บริสุทธิ์ มอสสาดจึงได้วางแผนการอันซับซ้อน เขาส่งหน่วยพิเศษที่เรียกว่าเคเช็ท ลอบเข้าไปติดตั้งระเบิดในอพาร์ตเมนต์ของเขา วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 1972 เมื่อภรรยาและลูกสาวของฮัมชีรีออกจากอพาร์ตเมนต์ เป้าหมายอยู่คนเดียว เมื่อสถานีโทรทัศน์ฝรั่งเศสโทรศัพท์เข้ามาเพื่อขอสัมภาษณ์ฮัมชีรี จึงเป็นการให้สัมภาษณ์ครั้งสุดท้ายของเขา
การทำสงครามจิตวิทยาของมอสสาดดูเหมือนจะได้ผล คนสำคัญ ๆ ของปาเลสไตน์เริ่มกลัวตายขึ้น แต่ภารกิจล้างแค้นของมอสสาดยังคงดำเนินต่อไป
อารอน ไคลน์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องมอสสาด ให้ความเห็นว่า “รัฐบาลทุกประเทศรู้ว่าคนอิสราเอลอยู่เบื้องหลังการลอบสังหารนี้ และเนื่องจากมีคำอธิบายว่า มันเป็นการล้างแค้นของอิสราเอลสำหรับเหตุการณ์ที่มิวนิก พวกเขาก็เลยไม่เข้มงวดกับคนอิสราเอลมากนัก”
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1973 แหล่งข่าวในเลบานอนชี้เบาะแสที่อยู่ของเป้าหมายสำคัญสามคนคือ อาบู ยูเซฟ, คามาล นาสเซอร์ และ คามาล อัดวาน สมาชิกหัวรุนแรงคนสำคัญของพีแอลโอ ปฏิบัติการพระพิโรธเตรียมดำเนินภารกิจเหี้ยมเกรียมที่สุดเท่าที่เคยทำมา คือการโจมตีทางทหารใส่ที่มั่นของชาวปาเลสไตน์ในกรุงเบรุต
เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1973 มอสสาดได้รับข้อมูลที่อยู่ของอาลี ฮัสซัน ซาลาเมห์ เป้าหมายอันดับหนึ่งของอิสราเอล พวกเขาแกะรอยไปถึงนอร์เวย์ แต่เนื่องจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงกำลังยุ่งอยู่กับภารกิจอื่น สถานการณ์จึงบีบให้มอสสาดต้องปฏิบัติภารกิจกันเอง ทีมสังหารที่ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่หลายคนซึ่งไม่มีประสบการณ์ภาคสนาม พวกเขาถูกนำมารวมกันแบบรีบเร่ง แล้วในวันที่ 18 กันยายน 1973 ทั้งหมดก็บินไปกรุงออสโล
เมืองลิลแฮมเมอร์ ประเทศนอร์เวย์ วันที่ 21 กรกฎาคม ค.ศ. 1973 ที่ชั้นสามของอาคารอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง แดกเม บริง วัย 23 ปี ถูกยิงเสียชีวิตด้วยปืนเบเร็ตตาขนาด .22 จำนวน 14 นัด มือสังหารทำพลาดอย่างร้ายแรง พวกเขายิงผิดคน ข้อมูลซึ่งบอกที่อยู่ของซาลาเมห์กลายเป็นข้อมูลปลอมที่สายลับปาเลสไตน์จงใจจัดฉากไว้ เวลานี้ปฏิบัติการทั้งหมดตกอยู่ในความเสี่ยง และไม่กี่วันต่อมาตำรวจก็กวาดจับสายลับได้หกคน
สายลับถูกตัดสินว่ามีความผิด และถูกจำคุก สื่อทั่วโลกเสนอเป็นข่าวใหญ่ และผลพวงของเสียงประท้วงจากนานาชาติ ก็ทำให้คณะกรรมการเอ็กซ์ต้องสลายตัวไปอย่างเงียบๆ ปฏิบัติการลับของอิสราเอลจบลงด้วยความอับอายขายหน้าต่อสาธารณชน แต่มอสสาดยังไม่ลืมเป้าหมายอันดับหนึ่งของพวกเขา
นิวยอร์ก วันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1974 สองปีหลังจากการสังหารหมู่ที่มิวนิก ยัสเซอร์ อาราฟัต ผู้นำปาเลสไตน์และทีมงานของเขาได้รับเชิญไปยังสหประชาชาติ คนที่ยืนอยู่ข้างเขาเปรียบเหมือนคำสบประมาทสำหรับเจ้าหน้าที่มอสสาดที่ดูโทรทัศน์อยู่ ชายคนนั้นคืออาลี ฮัสซัน ซาลาเมห์ มอสสาดออกตามล่าเขาแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เขาเงียบหายไปห้าปี แล้วในเดือนมกราคม ค.ศ. 1979 สายลับก็พบว่าเขาอยู่ในเมืองเบรุต
วันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1979 เกิดระเบิดคาร์บอมบ์ขณะที่รถของซาลาเมห์และองครักษ์ผ่านมา เป้าหมายอันดับหนึ่งของมอสสาดเสียชีวิต และเมื่อสังหารซาลาเมห์ได้แล้ว อิสราเอลก็ปิดตำนานบทที่ว่าด้วยการสังหารหมู่ในกีฬาโอลิมปิก พวกเขาล้างแค้นได้แล้ว