
...จงดับจิต แต่ชีวิตอย่าดับ..
...จิตยึดมั่นถือมั่น พิษสงมันร้ายกาจ...
...ถ้าดับจิตโดยสิ้นเชิง เรียกว่า ถึงนิพพาน.
...จิตยึดมั่นถือมั่น เหมือนเอาแหวนเพชรวงหนึ่งใส่ไว้ในกระเป๋า ใจเราจะไปอยู่ในกระเป๋าใบนั้น ตาคอยชำเลืองดูกระเป๋า แม้ว่าจะพูดจะคุยกับใครๆ แต่ว่าใจนั้นไปถึงประเป๋านั้นตลอดเวลา จะไปยืนตรงไหน ตาก็คอยชำเลืองดูกระเป๋าใบนั้น ตาเราไม่ไปไหนหรอก จะจ้องดูอยู่ที่กระเป๋าใบนั้นตลอดเวลา อันนี้แหละคือภาพแห่งความยึดถือ..
...ขณะนี้ใจท่านไม่สงบ วุ่นวาย ทำให้ท่านร้อน ทำให้ทุกข์ นอนไม่ค่อยจะหลับ กินไม่ค่อยจะได้ อันนี้แหละคือความยึดถือ ที่เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ความเดือนร้อนในจิตใจ
...ความทุกข์เหมือนกับทะเลที่มีคลื่นจัด มีปลาร้ายมีลมใต้ฝุ่น ถ้าหากเราข้ามฝั่งไม่ได้เราก็จะจมอยู่ในกองทุกข์เรื่อยไป
...คนเรามีชีวิตอยู่ในโลกไม่ใช่เพียงแต่มีอาหารการกิน มีเสื้อผ้านุ่งห่มทำงานทำการไปตามหน้าที่เท่านั้นเป็นพอ แต่เราต้องมีหน้าที่รักษาจิตใจของเราให้สะอาด สงบ สว่างด้วยปัญญา อันนี้เป็นหน้าที่สำคัญอันหนึ่งในชีวิตประจำวัน
...ถ้านำปัญหาส่วนตัว ปัญหาครอบครัว ปัญหาลูกน้อยลูกหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางความวุ่นวายในโลก ไหลไปตามอำนาจกิเลส เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์เดือดร้อน เหมือนกับเข้าไปอยู่ในกองไฟ
....การเข้าอยู่ในกองไฟนั้นจะน่าอยู่ที่ตรงไหน บอกได้ว่าไม่น่าอยู่ เราควรจะวิ่งออกจากกองไฟนั้น ไปหาน้ำเย็นๆ มาอาบกายให้หายร้อน แล้วอยู่ในที่นั้นๆ ต่อๆ ไป
...ถอนตัว ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องวิตกในเรื่องนั้นมากเกินไป เวลานั้นแหละใจสบาย
.........................น้อมนำโอวาทของสมณะเจ้า ปัญญานันทะภิฃุ....