คอปเปอร์ไวด์ยึดลำเลทองผงาดขึ้นเบอร์หนึ่ง
หลังจากดำเนินธุรกิจมาเป็นเวลา 10 ปี วันนี้ "คอปเปอร์ไวด์ (Copperwired)" ก้าวขึ้นเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์แอปเปิล ระดับพรีเมียม รีเซลเลอร์ รายใหญ่สุดในไทยอย่างเต็มตัว โดยสามารถขยายสาขายึดพื้นที่ทำเลทองสำคัญได้หมด ทั้งสยามพารากอน , เซ็นทรัล เวิลด์ , สยามดิสคัฟเวอรี่, J-Avenue ทองหล่อ, สีลมคอมเพล็กซ์ เกษร พลาซ่า และล่าสุดสาขาดิจิตอลเกตเวย์ ทำให้ยอดขายเติบโตเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้"ฐานเศรษฐกิจ" ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ นายปรเมศร์ เหรียญเจริญสุข ประธานและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทคอปเปอร์ไวด์ จำกัด ถึงทิศทางและการดำเนินธุรกิจ
ไอโฟนปลุกธุรกิจโตเท่าตัว
โดย "ปรเมศร์ เหรียญเจริญสุข" เล่าว่าปีนี้คาดว่าร้านไอสตูดิโอ บาย คอปเปอร์ไวด์ จะมียอดรายได้เกิน 1,000 ล้านบาท มีการเติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณเท่าตัว และเชื่อว่าวันนี้เราเป็นผู้ขายสินค้าแอปเปิลที่มียอดขายเป็นอันดับหนึ่งในไทย และถึงแม้ว่าในไตรมาส 2 จะเกิดเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงปิดห้างสยามพารากอน และเซ็นทรัลเวิลด์ ก็ตามแต่ธุรกิจยังคงเติบโตได้ดีอยู่
ทั้งนี้เป็นผลมาจากที่ผ่านมามีการขยายสาขารองรับพื้นที่สำคัญไว้ต่อเนื่อง ขณะเดียวกันแอปเปิลยังมีสินค้าใหม่เข้ามาตลอดเวลา โดยเฉพาะตั้งแต่การเปิดตัวไอโฟน 4 ทราฟฟิกคนเข้ามาที่ร้านเพิ่มขึ้น 30-40% โดยสาขาที่สร้างรายได้มากสุด คือ สยามพารากอน ซึ่งเชื่อว่าหลังจากเปิดตัวไอแพ้ด ปริมาณลูกค้าที่เข้ามาในร้านจะเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากไอแพ้ด มีเซ็กเมนต์ตลาดกว้างมาก ครอบคลุมกลุ่มผู้ใช้สมาร์ทโฟน , โน้ตบุ๊ก และเน็ตบุ๊ก รองรับการใช้งานเอนเตอร์เทนเมนต์ ทั้งอีแม็กกาซีน ดูหนัง ใช้อินเตอร์เน็ตที่ไหนก็ได้ผ่านทางเครือข่ายไว-ไฟ และ 3 จี สามารถพกพาไปใช้งานที่ใดก็ได้
"เชื่อว่าของไม่น่าจะพอกับความต้องการของลูกค้า เนื่องจากดีมานด์ความต้องการสูงมาก ลูกค้ามาถามทุกวันตั้งแต่ยังไม่เปิดตัว ส่วนรุ่นที่คาดว่าจะขายดีสุด คือ รุ่นไว-ไฟ ขนาดความจุ 32 กิกะไบต์ และรุ่นไว-ไฟ 3 จี ขนาดความจุ 32 กิกะไบต์ โดยเชื่อว่าหลังจากที่ไอแพ้ดออกสู่ตลาดจะทำให้สัดส่วนการขายของร้านเปลี่ยนแปลงไป โดยเดิมมีสัดส่วนยอดขายไอพ้อดมาเป็นอันดับ 1 ไอโฟนอันดับ 2 และแมคบุ๊ก อันดับ 3 แต่ในปีหน้า ไอแพ้ดจะขึ้นมาเป็นท็อปทรี"
ชี้ไอแพ้ดครองผู้นำแท็บเลต
ส่วนการแข่งขันของตลาดนั้นมองว่าขณะนี้แอปเปิลยังเป็นผู้นำในตลาดแท็บเลต ซึ่งอยู่ในกลุ่มอุปกรณ์ระหว่างสมาร์ทโฟน กับโน้ตบุ๊กอยู่ ซึ่งที่ผ่านมาแอปเปิลก็ไปรีดในตลาดมาตลอด ซึ่งผู้ตามก็คงต้องใช้เวลา แม้ว่าผู้ผลิตสินค้าไอทีและมือถือรายอื่นจะมีผลิตภัณฑ์ออกมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำตลาดจริงจัง ขณะที่ผู้ผลิตอีกหลายค่ายเตรียมนำแท็บเลตเข้ามาทำตลาดปีหน้า แต่ภาพก็ยังไม่ชัดเจน ดังนั้นจึงเชื่อว่าในปีหน้าไอแพ้ดก็ยังคงมีส่วนแบ่งตลาดอุปกรณ์แท็บเลตทั่วโลก 95% ซึ่งภาพในไทยก็ไม่น่าจะแตกต่างจากตลาดโลก
ทั้งนี้มองว่าการเปิดตัวไอแพ้ด จะส่งผลกระทบต่อตลาดโน้ตบุ๊ก และเน็ตบุ๊กแน่นอน โดยเฉพาะเน็ตบุ๊ก เนื่องจากเท่าที่ดูกระแสการตอบรับจากผู้บริโภคค่อนข้างดี อีกทั้งแอปเปิลยังได้วางราคาจำหน่ายไอแพ้ด เพื่อให้ผู้บริโภคเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์แอปเปิลได้ง่ายขึ้น และราคาที่วางจำหน่ายในไทยค่อนข้างดี โดยมีราคาเริ่มต้นสำหรับรุ่นไว-ไฟ ขนาดความจุ 16 กิกะไบต์ที่ 15,900 บาท ซึ่งเทียบกับมาเลเซียแล้วเราราคาถูกกว่ามาเลเซีย และเป็นราคาที่ต่ำกว่าเครื่องหิ้วประมาณ 4,000 บาท ซึ่งโดยปกติเวลามีการหิ้วสินค้าเข้ามาขายนั้นผู้ค้าจะมีการบวกราคาเพิ่มเข้าไปจากราคาที่ขายในเมืองนอก 4,000 บาท โดยเชื่อว่าภายหลังการเปิดจำหน่ายอย่างเป็นทางการจะทำให้เครื่องหิ้วปรับราคาลดลงมา
"เชื่อว่ากระแสความนิยมไอแพ้ดจะไม่เหมือนกับเน็ตบุ๊ก ที่เข้ามาแล้วสร้างความฮือฮาให้กับตลาดไอทีในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากเน็ตบุ๊กโพสิชันตัวเองเป็นคอมพิวเตอร์ราคาถูก แต่สำหรับไอแพ้ด เป็นแท็บเลต ซึ่งเป็นอุปกรณ์ระหว่างสมาร์ทโฟนกับโน้ตบุ๊ก"
เชื่อเปลี่ยนอุตฯคอนเทนต์
นายปรเมศร์ กล่าวเพิ่มเติมว่าไอแพ้ด ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมดิจิตอลคอนเทนต์ในบ้านเรา โดยไอแพ้ดอุปกรณ์สำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมการผลิตเนื้อหา หรือ คอนเทนต์ในบ้านเรา อย่างแม็กกาซีน หรือหนังสือพิมพ์ ให้เป็นดิจิตอลทั้งหมด เนื่องจากกระดาษมีราคาแพง อีกทั้งการโฆษณาบนคอนเทนต์ที่เป็นดิจิตอลยังไดนามิก อาทิ โฆษณารถยนต์ ที่สามารถทำให้รถยนต์สามารถวิ่งได้ ต่างจากโฆษณาบนสื่อดั้งเดิม ที่เป็น Static ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
แตกธุรกิจขายอุปกรณ์เสริม
นายปรเมศร์ กล่าวต่ออีกว่า ปีหน้าจะชะลอการขยายสาขาไอสตูดิโอ บาย คอปเปอร์ไวด์ เนื่องจากที่ผ่านมาได้ดำเนินการขยายตลาดต่อเนื่องทุกปี ซึ่งเชื่อว่าน่าจะครอบคลุมความต้องการของกลุ่มเป้าหมายทางการตลาด อย่างไรก็ตามปีหน้าจะมุ่งให้ความสำคัญกับสาขาที่มีอยู่ ซึ่งหลักๆ ในปีหน้าการขยายสาขาจะมุ่งเน้นการเปิดสาขาในต่างจังหวัดเป็นหลัก โดยขณะนี้กำลังพิจารณาการขยายสาขาในต่างจังหวัดอยู่ 3 แห่ง ในจังหวัดที่เป็นหัวเมืองหลัก ซึ่งไม่นับรวมสาขาต่างจังหวัดแห่งแรกที่เตรียมเปิดที่เชียงราย โดยในการขยายสาขาแต่ละแห่งใช้งบประมาณราว 10 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนลงทุน 100 ล้านบาท เปิดหน้าร้านขายอุปกรณ์เสริม หรือ แอ็กเซสซอรี อุปกรณ์แกดเจต (Gadget) สำหรับคอมพิวเตอร์ทั่วไป และผลิตภัณฑ์แอปเปิล ภายใต้ชื่อ ดอตไลฟ์ (.Life) โดยมองว่าอุปกรณ์เสริมเหล่านี้มีแนวโน้มการเติบโตสูง มีอุปกรณ์ที่เป็นของเล่นใหม่ออกมาสู่ตลาดต่อเนื่อง แต่ยังไม่มีร้านค้า หรือผู้ค้ารายใดสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครบถ้วน โดยเบื้องต้นคาดว่า ดอตไลฟ์ จะมีสาขาทั้งหมด 7 สาขา
อย่างไรก็ตามรายได้หลักของบริษัทยังมาจากผลิตภัณฑ์แอปเปิล โดยคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ในสัดส่วน 80% ของรายได้รวม ส่วนที่เหลืออีก 20% มาจากธุรกิจจำหน่ายแอ็กเซสซอรีผ่านร้าน"ดอตไลฟ์"
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,590 9-11 ธันวาคม พ.ศ. 2553
http://www.thannews.th.com/index.php...-33&Itemid=491