มีเรื่องเล่าเหมือนกันกับ รพ.นี้ คือลูกชายมีอาการชักเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้วค่ะ หมอจึงทำการเอกซเรย์สมองแล้วแจ้งว่าน้องมีไข่พยาธิที่สมอง ก็ได้ให้ยาฆ่าไข่พยาธิ โดยที่ไม่ได้ให้ดูฟิล์มแต่อย่างใด ซึ่งก่อนหน้าที่น้องจะชัก ขอเล่าย้อน ( ได้พาน้องไปถอนฟันที่อนามัยแห่งหนึ่งค่ะ โดยตอนถอนได้เข้าไปนั่งกับน้องเห็นหมอฉีดยาชาแล้วถอนเลย ไม่รอให้ยาออกฤทธิ์ ไม่แน่ใจว่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้น้องกลับมาบ้านแล้วมีอาการชักหรือเปล่า เพราะตอนที่น้องชักได้พาน้องไปที่อนามัยแห่งนี้เพื่อให้ออกซิเจนและรอรถพยาบาลมารับ ได้ยิน จนท.ที่อนามัยโทรคุยกับทางโรงพยาบาลจนวุ่นวายเลยว่าเป็นเพราะน้องถอนฟันหรือเปล่า ตอนนั้นน้องอายุประมาณ 7 ขวบค่ะ แอบข้องใจนิดๆว่าเขาจะช่วยกันเพื่อปกปิดความผิดหรือเปล่า ) กลับมาถึง รพ. หมอได้ให้ยาฆ่าพยาธิ แต่ยังไม่ได้ให้ทานยากันชัก พอกลับมาถึง บ้านได้ 1 วันน้องก็ชักอีก จึงได้นำส่ง รพ.อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้หมอก็ได้ให้น้องทานยาตลอด 2 ปีจนกว่าจะดีขึ้น พอครบกำหนด 2 ปี หมอเริ่มลดยาลง ทุกครั้งที่ลดยาลง ( 3 ครั้ง ) น้องก็ชักทุกที เปลี่ยนยาบ่อยจนสงสารลูก ตอนนี้น้องทานยามา 3 ปีกว่าแล้ว ยาตัวนี้จะส่งผลต่อ ตับ ไต ของเด็ก(เนื่องจากทานยาเป็นเวลานาน ) ปัญหาที่ยังคาใจคือ น้องชักเพราะไข่พยาธิในสมองจริงหรือเปล่า เพราะมันเกิดขึ้นหลังจากที่น้องถอนฟันแค่ไม่กี่ชั่วโมง เรื่องนี้ได้สอบถามทาง รพ. แต่เขาก็ยืนยันว่าไม่ใช่ แต่ก็ไม่เอาฟิล์มเอกซเรย์มาให้ดูเลย ว่าในสมองน้องมีไข่พยาธิตรงไหน ตอนนี้หมอพูดไรมาก็ต้องเชื่อ ให้ทานยาอะไรก็ต้องทาน เหมือนรอดูว่าลูกจะได้โรคอะไรเพิ่มมาอีกหรือไม่ในอนาคต ไม่มีวิธีไหนเลยที่จะช่วยเขาได้ หัวอกคนเป็นแม่จะทุกข์ใจมากแค่ไหนที่ไม่สามารถหาวิธีช่วยลูกได้ดีกว่านี้แล้ว ที่นำเรื่องนี้มาแชร์ไม่ได้จะโทษว่าเป็นความผิดอะไรของใครนะคะ แค่อยากมีพื้นที่ระบาย ตอนนี้เป็นเวลา 3 ปีกว่าแล้วที่ในใจยังไม่หายสงสัยเรื่องนี้ หรือคงต้องเป็นอย่างนี้ต่อไป ก็เรามันคนจนนี่คะ ไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรได้มากกว่านี้ ต้องทนใช้สิทธิบัตรทองไป ) แต่ถ้าใครมีวิธีแนะนำที่ดีว่านี้ จะกราบขอบพระคุณอย่างสูงเลยค่ะ ถือว่าช่วยเด็กคนหนึ่งนะคะ
ขอแนะนำนะครับถ้ามีเวลา+เงิน แนะนำให้ไปหาหมอที่โรงพยาบาลเด็กที่กรุงเทพฯ (สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี)
เป็นโรงพยาบาลรักษาเด็กอย่างเดียวและเป็นโรงพยาบาลสอนนักศึกษาแพทย์ของมหิดลด้วย (เหมือนศิริราช,รามาธิบดี)
ค่าใช้จ่ายไม่แพง เหมือนโรงพยาบาลรัฐทั่วไป แต่ถ้าเราอยากได้ห้องพิเศษต้องจ่ายเพิ่มค่าห้องเอง
หมอที่รักษาจะเป็นหมอเฉพาะทางสำหรับเด็กโดยเฉพาะ มีอาจารย์หมอคอยดูแลแต่ละเคสด้วย
กรณีของ จขกท ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทาง/ค่ากิน/ค่าที่พัก พอสมควร
http://www.childrenhospital.go.thลูกชายผม (อายุ 7 เดือน) ติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด นอนโรงพยาบาล 14 คืน (ฉีดยาฆ่าเชื้อวันละเข็ม ทั้งหมด 14 เข็ม )
หมดค่ารักษาไปเกือบ 30000 บาท แต่เป็นค่านอนห้องพิเศษ 18200 บาท(คืนละ 1300บาท)
ค่ายา+ค่าหมอ+ค่าแล็ปวิเคราะห์ ประมาณ หมื่นนิด ๆ แต่ผมสามารถเบิกบริษัทได้ทั้งหมด
( ข้าราชการ/บัตรประกันสังคม/บัตรทอง สามารถใช้สิทธิได้หมดนะครับ)
กรณีตัวอย่างลูกชายผมไปหาหมอที่คลีนิคเด็กแห่งหนึ่ง (เป็นหมอเด็กประจำโรงพยาบาลจังหวัดใกล้ ๆ กทม)
ก่อนไปหาหมอ มีอาการท้องเสียมา 3 วัน หมอตรวจเสร็จบอกเด็กท้องเสีย มีไข้เล็กน้อย ก็ให้ยาแก้ไข+ยาปรับลำไส้+เกลือแร่ (คุยกับผมไม่ถึง 2 นาที)
ทานยาอยู่ 3 วัน ยังอาการท้องเสียยังมีอยู่ อาการไข้เป็นๆ หาย ๆ กินยาลดไข้ ไข้ก็ลด พอยาหมดฤทธิ์ไข้ก็ขึ้นสูงอีก
ผมตัดสินใจพาลูกเข้ากทม. ไปโรงพยาบาลเด็ก คุณหมอสอบถามอาการอย่างละเอียด (หมอจบมาใหม่ประมาณ 2-3 ปี)
ถามเราว่า ลูกเริ่มท้องเสียเมื่อไหร่/กินข้าว กินอะไรบ้าง ไข่,หมู,ผัก/กินนมแม่หรือนมกระป๋อง/ลูกนอนกี่โมง/หัวเราะอารมณ์ดีมั้ย
/ข้างบ้านมีโรงงานอะไรบ้าง/ข้างบ้านเลี้ยงสัตว์อะไรมั้ย ฯลฯ (ถูกสัมภาษณ์ประมาณเกือบ 20 นาที )
พร้อมกับขอเจาะเลือดลูกผมไปตรวจ -->รอผลเลือดประมาณ 30 นาที ได้ผลเลือดแล้วหมอบอกเม็ดเลือดขาวสูงผิดปกติ
ขอให้นอนดูอาการที่โรงพยาบาล พร้อมเอกซเรย์ลูกผม-->ผลปกติ ให้น้ำเกลือและเก็บตัวอย่างอุจาระกับเลือดไปเพาะเชื้อหาสาเหตุ
เพาะเชื้ออยู่ 4 วัน ผลออกมาเป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีอยู่ในสัตว์ปีก พบทั้งในอุจจาระกับในเลือดด้วย
โดยปกติเชื้อแบคทีเรียตัวนี้มีอยู่ในอุจจาระอย่างเดียว(กรณีที่ท้องเสีย) แต่ที่มันเข้ากระแสเลือดในเคสของลูกผมนี้
เนื่องจากก่อนหน้าที่ลูกผมจะท้องเสีย ตัวเค้าถ่ายเป็นก้อนแข็ง ถ่ายออกมายาก ทำให้รอบรูทวารมีแผลถลอกเล็กน้อย
พอถ่ายท้องเสีย ทำให้เชื้อแบคทีเรียตัวนี้เข้ากระแสเลือดทางรูทวาร
พอพบเชื้อนี้ในกระแสเลือด หมอบอกต้องเจาะไขสันหลังเพื่อดูว่าเชื้อแบคทีเรียอยุ่ในน้ำไขสันหลังหรือไม่
(ถ้าพบในไขสันหลัง แปลว่าเชื้อเข้าสู่สมอง เป็นเรื่องใหญ) แต่ก่อนหน้านั้นหมอได้ฉีดยาฆ่าเชื้อมาแล้วตั้งแต่วันที่สองที่มานอนโรงพยาบาล
เพาะเชื้ออยู่ 2 วัน ผลเพาะเชื้อในน้ำไขสันหลังปรากฏว่าไม่มี ( โล่งใจ ) แต่ต้องฉีดยาฆ่าเชื้อต่ออีกให้ครบ 14 เข็ม
ตอนนี้ปลอดภัยแล้วครับ แต่คุณหมอนัดดูอาการเดือนละครั้ง (กลัวผลข้างเคียงจากยาฆ่าเชื้อ)