เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 29 มีนาคม 2024, 18:38:51
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ศาสนา กิจกรรมทางวัด (ผู้ดูแล: ap.41, ลุงหนาน)
| | |-+  พูดคุยแลกเปลี่ยนการปฏิบัติธรรม หรือปรึกษาปัญหาชีวิตได้ฟรีครับ เป็นธรรมทาน
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 [2] พิมพ์
ผู้เขียน พูดคุยแลกเปลี่ยนการปฏิบัติธรรม หรือปรึกษาปัญหาชีวิตได้ฟรีครับ เป็นธรรมทาน  (อ่าน 1582 ครั้ง)
ชันเทน
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 256


« ตอบ #20 เมื่อ: วันที่ 12 กรกฎาคม 2013, 07:47:17 »


     กราบมนัสการค่ะ  หลวงพ่อใบโพธ์  หลวงพ่ออยู่วัดไหน ? ในพะเยาคะ  เผื่อผ่านไปจะได้

ไปกราบมนัสการค่ะ

      ขออนุญาติถามหน่อยนะคะหลวงพ่อ   รู้เพียงเพราะเขาบอก  กับรู้เห็นด้วยตนเองมันต่าง

กันอย่างไร  ? หรือคะ 

      ที่เห็นแสดงความเห็นกันอยู่เป็นส่วนใหญ่ก็เพียงรู้ตามเขาบอก  แล้วใส่ความคิดของตน

ลงไปด้วยกันทั้งนั้น  แล้วก็ยึดติดอยู่ในความคิดนั้นว่าถูก  แล้วก็ถกเถียงว่าอีกฝ่ายผิด  มันไม่มี

ทางจบสิ้นอย่างที่หลวงพ่อว่าเเหละค่ะ

IP : บันทึกการเข้า
ใบโพธิ์
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 19


« ตอบ #21 เมื่อ: วันที่ 12 กรกฎาคม 2013, 13:00:10 »

คุณ hi ครับ ผมไม่ใช่นักบวช ไม่ได้อยู่ในสมณเพศครับ เป็นเพียงผู้ปฏิบัติอีกคนหนึ่งเท่านั้นครับผม
คุณ hi ครับ การรู้เพียงเพราะเขาบอก และ รู้ด้วยตนเอง ต่างกันอย่างไรนั้น ผมยกตัวอย่างดังเช่น ภูตผี เทวดา นรก สวรรค์ เรามักได้ยินได้ฟังหรือศึกษาจากตำรา และคำบอกเล่าของผู้รู้ ซึ่งอาจจะจริงบ้างไม่จริงบ้าง บางครั้งเรื่องเดียวกัน แต่ลักษณะสถานที่หรือบุคคลอาจไม่เหมือนกัน เรื่องพวกนี้เราสามารถศึกษาได้จากแหล่งที่ผมกล่าวมาข้างต้น แต่ผู้ปฏิบัติที่สามารถรู้เห็นเรื่องเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง ย่อมสามารถที่จะอธิบายถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ทั้งเหตุที่เกิด และผลที่จะเป็นไป บุคคลเหล่านี้แม้จะสงสัยก็สามารถหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง ต้องอาศัยฌานสมาธิ และใช้ปัญญาพิจารณาถึงสิ่งเหล่านั้นด้วยครับ  หากจะเทียบเคียงให้กระจ่างแล้ว ต้องยกเอาการปฏิบัติของพวกพราหมณ์ ในสมัยก่อนขึ้นมาที่บางพวกคิดว่าตัวเองนันเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่พระพุทธเจ้าพระองค์ ตรัสรู้ธรรมด้วยพระองค์เอง ย่อมรู้ว่าทางปฏิบัติของพราหมณ์นั้นไม่ใช่ทางแห่งการบรรลุธรรมได้เป็นต้นครับผม หากคุณ hi เป็นผู้ปฏิบัติธรรมหรือสนใจในการปฏิบัติก็สามารถบอกเล่าพูดคุยร่วมกันได้ครับ ไม่ว่าจะสายใหนทางใด  หากการปฏิบัติถูกต้อง ผู้ปฏิบัติย่อมเห็นผลและรู้ได้ด้วยตัวเองครับผม หรืออยากจะสอบถามครูบาอาจารย์ ที่เชียงราย เชียงใหม่ ก็ได้ครับ ยินดีครับ
แจ้งในธรรมและมีความสุขครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 12 กรกฎาคม 2013, 13:04:18 โดย ใบโพธิ์ » IP : บันทึกการเข้า
ชันเทน
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 256


« ตอบ #22 เมื่อ: วันที่ 13 กรกฎาคม 2013, 07:15:34 »


      ถ้ารู้เห็นภูตผี เทวดา นรก สวรรค์ ด้วยตนเอง  แล้วมันจะทำให้ปัญหาในชีวิตมันลดลงได้

ยังไงหรือจ๊ะ ?  พี่ใบโพธิ์  อยากรู้ว่าพี่ทำอย่างไร ? ปัญหาในชีวิตมันจึงจะลดลงมากกว่าค่ะ
IP : บันทึกการเข้า
ใบโพธิ์
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 19


« ตอบ #23 เมื่อ: วันที่ 13 กรกฎาคม 2013, 09:23:41 »

คุณ hi ครับ คุณถามความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ ได้ยินได้ฟังต่อๆกันมา และที่รู้เห็นได้ตัวเองต่างกันอย่างไร
ผมก็ยกตัวอย่าง ถึงเรื่อง นรก สวรรค์ เทวดา พรหม ให้ฟังครับ เป็นเพียงตัวอย่าง อย่างหนึ่งครับ เพราะมีคนถามไว้ก่อนหน้าคุณเห็นไหมครับ และผมก็อธิบายให้ฟังแล้วไงครับว่า  ในเรื่องนี้มันต่างกันอย่างไร

รวมทั้งได้ยกเอาการปฏิบัติของพวกพราหมณ์ในสมัยก่อนที่อาศัยการศึกษา และได้ยินได้ฟังมา ปฏิบัติไปแล้ว ไม่สามารถไปถึงมรรคถึงผลได้ จนพระพุทธองค์ทรงนำธรรมที่พระองค์ตรัสรู้เอง นำมาสอนให้มีผู้รู้ตาม การปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกันครับ เมื่อปฏิบัติแล้วผลย่อมเกิดขึ้นกับเรา เป็นลำดับเป็นขั้นไป ความสุขที่เกิดขึ้น ปัญญาที่พัฒนาขึ้นย่อมทำให้ผู้ปฏิบัติ รู้สึกได้ เพราะแต่ละคนย่อมมีสภาวธรรมที่แตกต่างกันครับ แต่หากอาศัยการได้ยินได้ฟังมา แม้เราเองสามารถอธิบายถึงสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้ แต่เราไม่สามารถเห็นได้ และพบได้ด้วยตัวเอง ยกตัวอย่างเพียงอธิบายว่า ปีติอันเกิดจากความสงบแห่งสมาธิเป็นอย่างไร เขาก็อาจอธิบายได้ แต่เขาย่อมไม่รู้ถึงความปีตินั้นจริง ดังมีคนบอกว่า ผลไม่ชนิดหนึ่งมีผลหวาน เราก็บอกต่อๆกันมาว่ามันหวาน แต่เราไม่ได้ชิม แต่ผู้ที่ได้ชิมแล้วย่อมรู้ได้ว่า หวานที่ว่านั้นเป็นเช่นไร นอกจากหวานแล้วมีรสอื่นๆอีกไหม  เป็นอย่างนี้ครับ

เป็นความเห็นส่วนตัวครับผม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 13 กรกฎาคม 2013, 10:53:26 โดย ใบโพธิ์ » IP : บันทึกการเข้า
ใบโพธิ์
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 19


« ตอบ #24 เมื่อ: วันที่ 13 กรกฎาคม 2013, 10:56:04 »

ช่วงนี้ผมว่าง ได้วางภาระลงช่วงหนึ่ง และด้วยสุขภาพไม่อำนวย จึงมีโอกาสได้เขามาสนทนาในกระทู้บ่อยๆ แต่เมื่อถึงเวลาคงต้องกลับไปทำภาระต่อ ซึ่งเป็นหน้าที่ของแต่ละคนนะครับ  ขอฝากบทความนี้ไว้ให้อ่านครับ เป็นทัศนคติของผม ผมพิจารณาดูแล้วว่าไม่ได้แย้งกับของใคร จึงนำมาลงครับ ฝากไว้เผื่อวันข้างหน้าอาจเป็นอีกทางหนึ่งที่จะทำให้สบายใจ จากทุกข์และปัญหาที่เกิดขึ้นได้


แด่ คุณ ผู้ทนทุกข์

          ทุกข์ คำนี้เชื่อว่าทุกๆคนที่ได้เกิดมา ย่อมต้องพบต้องเจอ เพราะไม่ว่าจะรวย จะจน จะเพศใด วัยใด ย่อมต้องพบเจอ จะต่างกันก็เพียงรูปแบบเท่านั้น สัตว์อื่นเองตัวมันก็มีทุกข์ แต่มันไม่มีปัญญาพอที่จะเห็นได้  ไม่รู้วิถีทางของทางออกได้ ปัญหาที่นำความทุกข์มาให้ ก็มีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น หน้าที่การงาน ทรัพย์สินเงินทอง ครอบครัวคนรัก หรืออีกหลายอย่าง ดังเช่นทุกข์ในอริยสัจที่แบ่งไว้ครอบคลุมหมด ทั้ง 11 อย่าง แบ่งออกเป็นสองพวกใหญ่ๆ คือ ทุกข์กาย และทุกข์ใจ อันเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ ผมขอยกตัวอย่างหนึ่ง มีกัลยาณมิตรของผมคนหนึ่ง เสียใจกับคนรักที่จากเธอไป ร้องให้ ระบายให้ผมฟัง ผมบอกเธอว่าอาจช่วยได้ แต่ขอให้ทำอะไรให้ผมหนึ่งอย่างก่อน ให้เธอหาหนังสือเล่มที่คิดว่าใหญ่และหนักที่สุด กำหนังสือนั้นไว้ แล้วยื่นออกไปจนสุด อยู่ในท่านี้หนึ่งชั่วโมงจะได้ไหม เธอเงียบไปพักหนึ่ง เหมือนกำลังจะคิด แล้วบอกด้วยเสียงเบาๆว่าเธอเข้าใจ คุณคิดว่าเธอเข้าใจอะไรครับ  เธอเองเป็นผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมอยู่บ้าง เพียงบอกออกไปแค่นี้เธอก็พอรู้ว่า เพียงหนังสือที่อยู่ในมือเธอแล้วยื่นออกไปนั้น ร่างกายของเธอเองยังไม่สามารถที่จะทน ให้เป็นอย่างนั้นตลอดไปได้ จากที่ว่าไม่หนักเท่าไหร่ เวลาผ่านไป ยิ่งนานก็ยิ่งหนัก ร่างกายทรมานกับสิ่งที่ถือเอาไว้
จำต้องปล่อยไป เธอจะเห็นว่าร่างกายของเธอเอง จิตใจของตัวเอง เธอยังไม่สามารถที่จะบังคับได้ แล้วเธอจะบังคับสิ่งที่อยู่ภายนอกได้อย่างไร จะบังคับให้เขาซึ่งหมดรักเธอแล้ว หมดกรรมต่อกันแล้ว จะให้กลับมานั้นมันเกินวิสัย ในเมื่อทำเท่าที่จะทำได้ไปหมดแล้ว เห็นไหมครับว่าไม่ว่าจะเป็นคนที่เรารัก ทรัพย์สิน การงาน ครอบครัว หากเรายึดเอาไว้เมื่อไหร่ ก็ทุกข์เมื่อนั้นละครับ หรือแม้กระทั้งตัวเราเอง เรายังไม่สามารถที่จะบังคับบัญชามันได้โดยแท้จริง มันจะหิว จะขับ จะถ่ายตอนไหน ก็เป็นของมันเอง  จริงๆแล้วตอนที่เราทุกข์ ถามว่าความสุขมันหายไปไหน ก็ไม่ได้หายไปไหนหรอกครับ ก็ยังอยู่แต่เมื่อใดก็ตามที่เราให้ความสำคัญ หรือเพ่งไปยังสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จิตของเราย่อมยึดถือสิ่งเหล่านั้น จริงๆแล้วนั่งร้องให้นานๆอาการปวดขาก็เกิด ขยับหน่อยก็หายแล้วนี่ก็มีความสุขแล้วครับ แต่เราไม่เห็น ตอนที่เป็นหนี้เป็นสิน ถูกเขาตามตัว เครียด ถึงแม้จะกินอาหารทีอร่อยชอบใจ แต่ก็ไม่อร่อย ซึ่งมันไม่ได้อยู่ที่อาหาร อยู่ที่ความยึดความกังวลถึงเรื่องหนี้อยู่ต่างหาก อีกทั้งความสุขก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรนำมาพิจารณา เพราะในทางพุทธศาสนาแล้ว ถือว่าความสุขนั้นไม่มี เป็นแต่เพียงความทุกข์ที่ลดน้อยลงเท่านั้น ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่และทุกข์เท่านั้นที่ดับไป ที่เป็นเช่นนี้เพราะ ความสุขที่เกิดขึ้นนั้นเพียงชั่วคราว อย่างเช่นเราปวดเมื่อย เราเปลี่ยนอริยบทอื่น ความปวดก็หาย แต่สักพักในท่าใหม่นี้ก็จะเกิดความปวดขึ้นอีก
คือจากความทุกข์หนึ่ง ไปยังทุกข์หนึ่งนั้นเอง หากคุณลองพิจารณาความสุขด้านอื่นๆก็เช่นกัน จะลงเอยด้วยทุกข์ทั้งนั้น(หากยังมีอุปทานความยึดมั่นอยู่)
         จึงกล่าวได้ว่า จิตที่ส่งออกไปยึดไปถือสิ่งต่างๆ ภายนอกหรือแม้กระทั้งตัวตนว่าควรจะเป็นอย่างนั้น ไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น อยากได้อย่างนั้น ไม่อยากได้อย่างนี้ นั้นละครับ เป็นเหตุของทุกข์ ผลก็จะบังเกิดทันที่ นั้นคือ ทุกข์ เมื่อคุณพิจารณาดังนี้เนื่องๆแล้ว คุณย่อมอยากจะออกจากกองทุกข์นี้ หากคุณมีปัญญาเพียงพอที่จะพิจารณาว่า เมื่ออยากมีชีวิตอยู่คุณก็จะต้องมีทุกข์ แต่จะทำอย่างไรละครับ เราถึงสามารถละตัวตัณหาอุปาทานนี้ได้........
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 13 กรกฎาคม 2013, 11:01:37 โดย ใบโพธิ์ » IP : บันทึกการเข้า
JAMESCOM1
ทักทายผมได้นะครับ Line: JAMESCOM007
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,160

สอนคอม & ซ่อม เชียงราย


« ตอบ #25 เมื่อ: วันที่ 13 กรกฎาคม 2013, 13:28:21 »


      ถ้ารู้เห็นภูตผี เทวดา นรก สวรรค์ ด้วยตนเอง  แล้วมันจะทำให้ปัญหาในชีวิตมันลดลงได้

ยังไงหรือจ๊ะ ?  พี่ใบโพธิ์  อยากรู้ว่าพี่ทำอย่างไร ? ปัญหาในชีวิตมันจึงจะลดลงมากกว่าค่ะ

เรื่องแบบนี้ต้องถามหนานธง จะได้ความยาวมาก งงเล็กน้อยก็มี แต่มัน

ส่วนตัวขอบอกสั้นๆว่า ปัญหาในชีวิตมันไม่เกี่ยวกับ ผี เทวดา รวย หรือ จนเลย แท้แล้วคือ เหตแห่งทุกมากกว่า มีไฟ จะมีควัน ที่มีไฟได้นั้นเพราะมีเชื้อนั้นเอง ถ้าเชื้อน้อยลง ทุกก็น้อยตาม บ่อยครั้งทุกเท่าเดิมนะ แต่เรารับสภาพมันได้เสียแล้ว เพราะเข้าใจในธรรม ปลงบ้าง วางได้บ้าง รับมือเก่งขึ้นบ้าง ทั้งหมดเกิดจากการฝึก และศึกษาธรรมให้มากขึ้น
IP : บันทึกการเข้า


มาทาง Big-C ถ.ศรีทรายมูล สันสลีซอย1
ใบโพธิ์
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 19


« ตอบ #26 เมื่อ: วันที่ 13 กรกฎาคม 2013, 16:02:20 »

แด่ คุณ ผู้ทนทุกข์ 2

         ความยึดมั่นถือมั่นเหล่านี้ ติดตามเรามาไม่รู้กี่ภพ กี่ชาติ การเกี่ยวเนื่องถึงว่า ทำไมเราจึงยึดมั่นถือมั่น ต่อตัวเอง ต่อคนอื่น ต่อสิ่งเหล่านั้น อะไรละเป็นเหตุ มันมีที่มาและที่ไปครับ เกิดจากความไม่รู้นั้นเอง คุณต้องศึกษาปฏิจจสมุปบาท อันเป็นธรรมที่ อาศัยสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกัน เป็นทอดๆลำดับๆไป เพียงคุณคิดที่จะออกจากความไม่รู้นี้  แสดงว่าคุณเห็นความทุกข์แล้ว และกำลังหาทางออกแห่งทุกข์อยู่ ทางออกแห่งทุกข์นี้มีอยู่ทางเดียวครับ เดินทางตามมรรคมีองค์ 8เท่านั้น ต้องเจริญสติสติปัฏฐาน ๔  การเจริญสติเป็นทางเอก  แต่ถามว่าทำไมครูบาอาจารย์ถึงสอนต่างกันละ บางก็ให้ดูลมหายใจ บางก็ดูการขยับมือ บ้างก็ให้ดูท้องพองยุบ บางก็ให้กำหนดนั้น กำหนดนี้ จริตคนไม่เหมือนกันครับ คนมีปัญญาย่อมทราบว่า สิ่งเหล่านี้เป็นแต่เพียงรูปแบบเท่านั้น ครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติอย่างใดแล้วได้ผลท่านก็นำมาสอนลูกศิษย์ท่าน แต่ก็ไม่ได้หนีไปจาก สติปัฏฐาน ๔ อันมีกาย เวทนา จิต และธรรม นี้เลย แต่บางท่านที่ศึกษามาไม่แจ้งก็นำมาบิดเบือน ให้เปลี่ยนไปจากที่ท่านเหล่านั้นสอน ดังนั้นอย่างแรกเลยที่จะทำคือ การเจริญสติสัมปชัญญะที่ต้องทำให้มาก หากเรามีสติสัมปชัญญะทั่วพร้อมแล้ว เราจะรักษาศีลอยู่เป็นปกติ
เพราะเราจะมีความรู้สึกตัวอยู่ตลอด แม้ความคิดในทางอกุศลหรือมิจฉาทิฏฐิที่เกิดขึ้นมา  เราก็จะละอายที่จะพูดที่จะแสดงออก แม้สิ่งเหล่านั้นจะเป็นเพียงความคิดเห็นต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เราสามารถที่จะแสดงความคิดได้ แต่เราจะพิจารณาได้เองว่า มันไม่เกิดประโยชน์อะไรกับใคร นอกจากสนองความรู้สึกของตัวเราเอง และความสะใจเท่านั้น  แน่นอนครับเมื่อเรามีความละอายตั้งแต่ระดับความคิดอย่างนี้อยู่เป็นประจำ คำพูดและการกระทำที่จะทำให้ศีลนั้น ด่างลง หรือขาดลงเป็นไปได้ยาก แล้วทำอย่างไรละครับ สติจึงจะมีกำลังขนาดนั้น ก็ต้องอาศัยการฝึกครับ ฝึกบ่อยๆ ซ้ำๆ มีวิริยะ ความเพียรอยู่ ผลย่อมเกิด ตามดูเพียงสองอย่างเท่านั้นครับ คือ กาย กับ ใจ เพราะความทุกข์ นั้น เกิดมาจากสองตัวนี้ ปัจจัยภายนอก เป็นแต่การปรุ่งแต่งเพิ่มเติมเท่านั้นครับ ตามดูถึงอริยบทต่างๆ การยืน การเดิน การนั่งการนอน มือจะขยับก็มีสติรู้อยู่ ขา นิ้ว ทุกส่วนของร่างกาย ให้มีสติสัมปชัญญะในการรู้อยู่ ความคิดต่างๆที่เกิดขึ้น การเจ็บทรมานต่างๆของร่างกาย ให้มีสติรู้เท่าทันอยู่ เป็นเนื่องๆ แต่ไม่ต้องเข้าไปควบคุมหรือปรุ่งแต่งต่อนะครับ วางซึ่งอุเบกขา ดูว่าเกิดขึ้นอย่างไร และดับลงอย่างไร ฝึกไปเรื่อยๆครับ สติจะมีกำลังขึ้น ต่อไปเขาจะรู้ของเขาเอง ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ เพียงแค่ความคิดจรมา จิตก็จะไม่คิดต่อ หยุดไปเอง จะเห็นร่างกายเคลื่อนไหวอยู่โดยตัวของมันเอง จะเจ็บที่แขนก็เป็นที่แขน ไม่ใช่ที่เราดังเมื่อก่อน  เมื่อใดก็ตามที่มีความทุกข์ ทุกข์ยังอยู่ แต่ตัวเราเองก็ไม่ได้ทุกข์ตามไปด้วย ทุกข์จะอยู่ในฐานะของผู้ถูกรู้อยู่อย่างนั้น สามารถพิจารณาได้ถึงแม้กระทั้งตอนเคี้ยวอาหารที่อร่อย สติจะทำให้เราพิจารณาว่าขณะนี้อาหารที่เคี่ยวอยู่เป็นไปในลักษณะใด เมื่อกลืนลงไปแล้ว ถึงกระเพราะแล้วเอาออกมามันยังหน้ากินเหมือนเดิมไหม ก็ใช้ปัญญาพิจารณาไปแล้วแต่บุคคล นี่เป็นกำลังของสติที่เกิดขึ้นเอง ไม่ใช่เกิดจากการคิดเอา  โดยมีสติสัปชัญญะรู้อยู่ทั่วพร้อม สติอย่างนี้เหมาะแก่การงาน แก่การพิจารณาแก้ไขปัญหาต่างๆไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตาม ลองดูสิครับ เพียงแค่การเจริญสตินี้หากคุณมีความเพียร จะเป็นเหมือนที่ผมบอกไหม ได้ถึงตอนนี้แล้วเราค่อยเดินต่อไปตามทางแห่งการปฏิบัติครับ จะก้าวหน้าได้ แต่หากทำเล่นๆ ไม่เอาจริงเอาจัง ผลก็ย่อมไม่เกิด จะรู้ได้ก็เพียงศึกษาจากตำรา ได้ยินได้ฟังมา เป็นดังนั้นละครับ นี่ละครับ เป็นการเริ่มต้นของการออกจากทุกข์  แต่ทางนั้นยังอีกไกล เพราะการปฏิบัติต่อจากนี้ก็ต้องอาศัยปัญญาแล้วครับ ไม่งั้นก็จะอยู่ตรงที่ รู้อยู่เฉยๆนี่อีกละครับ........
ผมไม่ได้ใช้ศัพท์ หรือภาษาบาลีที่ทำให้ยากต่อการอ่าน และคิดตาม สิ่งเหล่านี้ผมก็ปฏิบัติจากคำสอนของครูบาอาจารย์ การปฏิบัติธรรมนั้น ไม่ได้เกี่ยวว่าจะเป็นชาวนายากจน เป็นพระสงฆ์นักบวช หรือผู้ปกครองประเทศ แต่อยู่ที่การปฏิบัติตามทางมรรคมีองค์8 ดังที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้เท่านั้น จะรูปแบบใด อย่างใดก็ถูกทั้งนั้นละครับ  

เป็นความคิดส่วนตัวนะครับ ผิดถูกประการใดก็อภัยในความไม่รู้ของผม
แต่ผมขอเว้นไว้ซึ่งการถกเถียงกันถึงรูปแบบการปฏิบัติครับ เพราะดังที่ผมบอก
หากเป็นไปตามทางมรรคมีองค์แปดแล้ว ก็ย่อมจะถูกทั้งนั้นละครับ การเดินทางมีหลาย
รูปแบบ ตามแต่จริตของคนครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 13 กรกฎาคม 2013, 16:09:58 โดย ใบโพธิ์ » IP : บันทึกการเข้า
ชันเทน
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 256


« ตอบ #27 เมื่อ: วันที่ 14 กรกฎาคม 2013, 06:08:45 »

     
      อนุโมทนา สาธุค่ะ  พี่ใบโพธ์

      ตอนแรกคิดว่าคำถามไม่ตรงคำตอบ  ขอบคุณที่มาเปลี่ยนคำตอบให้ตรงคำถาม  สมชื่อ

ใบโพธิ์ จริง ๆ  นะคะ  รบกวนคำถามเดียวค่ะ  ไว้มีอะไรสงสัย  จะมาถามใหม่ค่ะ 

      ขอธรรมะคุ้มครองให้สุขภาพหายดีในเร็ววันนะจ๊ะ
IP : บันทึกการเข้า
ใบโพธิ์
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 19


« ตอบ #28 เมื่อ: วันที่ 14 กรกฎาคม 2013, 14:36:32 »

ยินดีครับกัลยาณมิตรที่ได้เข้ามาพูดคุยกัน  ทั้งนี้อีกไม่กี่วันผมคงเดินทางกลับ และคงไม่ได้แวะเวียนเข้ามาในบอร์ดแห่งนี้บ่อยๆอีก สถานที่อันเป็นที่พักไม่มีไฟฟ้าครับ
          ผมอยากฝากท่านผู้เป็นนักปฏิบัติที่เริ่มต้นทั้งหลาย ว่าการเริ่มต้นจะปฏิบัติธรรมนั้น จำเป็นต้องมีความตั้งใจจริง ศึกษาและปฏิบัติต่อเนื่องจริงๆ ร่วมทั้งรักษาศีลให้มั่นคง มีพรหมวิหาร 4  อันนี้สำคัญนะครับ เราจะได้มีความเมตตา กรุณา ยินดีกับผู้อื่น และปล่อยวางในสิ่งที่เกินวิสัยที่เราจะทำได้ หรือได้พยายามเต็มที่แล้ว  การถือดีถือตัวว่าเป็นผู้มีความรู้ยิ่ง และมองว่าผู้อื่นผิดอยู่นั้น แทบจะไม่มีเลย จะไม่เถียงใครหรอกครับ  คุณจะมองทุกสิ่งทุกอย่างย้อนเข้ามาที่ตัวคุณเองเพื่อพิจารณา จะเป็นการเริ่มต้น ที่คุณจะละทิฐิ และยึดมั่นในตัวตนอย่างที่เป็นมา หากเราสามารถทำได้เพียงแค่นี้ คุณก็จะมีความสุขกว่าแต่ก่อนมากครับ เพราะสติที่ฝึกฝนมาดีแล้ว ย่อมยังปัญญาให้เกิดขึ้นได้ จากอาศัยการพิจารณาถึงสิ่งนั้นๆ อย่างแยบคาย ถึงตอนนี้สติที่มีกำลัง ย่อมจะเห็นร่างกายนี้ ไม่ใช่ของที่จะไปยึดมั่นถือมั่นได้ เพราะมันไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนโดยที่เราบังคับไม่ได้ ให้พิจารณาอย่างนี้ไปเนื่องๆ คุณจะพบว่า คุณจะเห็นร่างกายนี้ทำอะไรต่างๆของมันเองเป็นเหมือนอีกคนหนึ่ง และมีอีกคนที่เฝ้าดู  แต่ก่อนทำไม่คุณไม่รู้สึกเลยว่าภายในหนังหุ้มอยู่นี้มีแต่ของสกปรกทั้งนั้น หรือแม้จะรู้ก็เพียงแค่ได้เห็นและศึกษามาเท่านั้น แต่ไม่สามารถที่จะปรงใจเชื่อได้ว่าร่างกายนี้มันสกปรกโสโครกจริงๆ การฝึกพิจารณาอย่างนี้ เป็นการเริ่มต้นแล้วครับกับธรรมของพระพุทธองค์ว่า อย่าไปยึดมั่นว่าตัวเรา ของเรา มันเป็นอย่างไร ถึงตอนนั้นคุณจะรู้ได้และยิ้มให้กับความรู้นี้ ดังเช่นที่ผมและผู้ปฏิบัติอีกมากมายได้ทราบ
ทำไมผมถึงให้ความสำคัญกับสติ เพราะไม่ว่าอะไรจะมากระทบเรา ไม่ว่ารูป รส กลิ่น เสียง หรือการสัมผัสต่างๆทั้งภายในและภายนอก เราจะรู้ได้เหมือนปกติแต่ไม่ปรุ่งแต่งต่อ เป็นแต่เพียง รู้ เท่านั้น และก็ดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น และดับลงอย่างไรเท่านั้น
 ปัญญาที่เกิดจากการฝึกสตินี้เอง จะทำให้คุณรู้ได้ว่าเรื่องไหนที่เป็นประโยชน์ที่จะคิด จะทำต่อ หรือเป็นสิ่งที่ไม่เป็นสาระให้นำมาเป็นปัญหา ไม่ใช่ด้วยการคิดเอาที่เกิดจากความจำที่เราได้ศึกษากันมา  คุณต้องหาครูบาอาจารย์ที่แนะนำปฏิบัติเบื้องต้นให้ได้ก่อน  แนะนำสำหรับที่เชียงราย  วัดถ่ำผาจม หล่วงพ่อวิชัย /  วัดถ่ำผาแลหลวงปู่ศรีทัศน์ / วัดป่าวังศิลา พระอาจารย์สมชาติ /วัดอรัญญาวิเวก หลวงพ่อทวี เมื่อไปแล้วอาจไม่ถูกจริตก็เปลี่ยนที่อื่นดู ไม่ต้องตำหนิติเตียน ว่าตรงนี้ดี ตรงนี้ไม่ดี
          
      จริงๆผมตั้งใจที่จะเขียนบทความเรื่อง แด่ คุณ ผู้ทนทุกข์ ต่อเนื่องทั้งด้าน สมถะ-วิปัสสนา สมาธิ   ปัญญาที่เกิดขึ้น รวมถึงวิธีการปฏิบัติต่างๆ และอานาปานสติที่ผู้ปฏิบัติต้องฝึกระหว่างการเจริญสติที่กล่าวมาข้างต้นด้วย
แต่ด้วยเพราะมีปัญหาด้านสายตาและสุขภาพของผมเอง การลงบทความนี้ต้องอาศัยระยะเวลาที่มากเพราะมีรายละเอียดหากไม่ลงทั้งหมดจะทำให้ผู้อ่านสับสน ผมจึงขอยุติ การลงบทความในกระทู้ไว้แค่นี้ แต่ตั้งใจจะเขียนต่อไปให้จบ เพื่อเป็นอีกหนึ่งหนทางสำหรับผู้สนใจในวันข้างหน้า
         ขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาในกระทู้ของผม ผิดถูกประการใด ขอให้อภัยในความไม่รู้ของผมด้วย ผมเพียงมีเจตนาให้ท่านได้พบกับความสุขและแนวทางปฏิบัติ ของนักปฏิบัติที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร ขออโหสิกรรมหากคำพูดของผมทำให้ขุ่นข้องหมองใจ ผมไม่มีเจตนาเลยครับ ขอมีความสุข แจ้งในธรรม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 14 กรกฎาคม 2013, 16:19:26 โดย ใบโพธิ์ » IP : บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!