สบายแมน
ระดับ :ป.โท
ออฟไลน์
กระทู้: 4,485
|
|
« ตอบ #40 เมื่อ: วันที่ 27 พฤษภาคม 2013, 21:50:28 » |
|
วันนี้ขอเสนอแอปเปิ้นเมือง ความจริงแอบเปิ้ลเมือง มีหลายพันธุทั้งพันธุ์สุกแล้วสีปั๋ง สุกยังสีเขียว อันนี้ต้องอาศัยความชำนาญในการแยกแยะซึ่งเซียนแอปเปิ้นเมืองอย่างผมดูออกเพราะตะก่อนบ้านอุ้ยมี แล้วที่เคยเห็นอีกพันธุ์คือพันธุ์ก้นเหลี้ยม คือต้นมันจะคลายกับไม้เลื้อยเป๋นเครือใหญ่ๆ หน่วยมันจะก้นเหลี้ยมๆ หวานฉ่ำมากลำที่สุดเท่าที่เคยกิ๋นมา เสียดายที่เจ้าของบ่าได้อนุรักษ์พันธุ์ บ่าฮู้ว่าจะไปหาตี้ไหนได้แหมไผมีอนุรักษ์ไว้เน้อครับ แอบเปิ้ลเมือง ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ยืนต้นสูง 5-15 เมตร เรือนยอดแผ่กว้าง เปลือกลำต้นเรียบ สีน้ำตาล ใบเดี่ยวเรียงสลับ แผ่นใบรูปไข่แกมขอบขนาน ขนาด 5-7 x 12-15 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลม โคนใบรูปลิ่ม ผิวใบมีขนอ่อนสีน้ำตาลปกคลุม ดอกออกเป็นกระจุกที่ซอกใบ ดอกย่อยสีเขียวแกมเหลือง กลีบดอกและก้านดอกมีขนสีน้ำตาลปกคลุม ผลแบบ berry รูปร่างกลม มียางขาว เมื่อสุกสีม่วงดำ มีกลิ่นหอม เมล็ดสีดำ เป็นมันวาว มี 1-5 เมล็ด สตาร์แอปเปิ้ล เป็นพันธุ์ไม้จากทวีปอเมริกาใต้ ประโยชน์ : ปลูกตามอาคารบ้านเรือนเพื่อเป็นไม้ผล ออกดอกในช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม ผลสุกรับประทานได้
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 27 พฤษภาคม 2013, 21:52:42 โดย สบายแมน »
|
IP :
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
mangwao
ระดับ ป.ตรี
ออฟไลน์
กระทู้: 1,896
|
|
« ตอบ #41 เมื่อ: วันที่ 28 พฤษภาคม 2013, 08:09:27 » |
|
ท่านได มี เก๊าปรู ปรู๋ หรือ บะต๋าปู๋ แบ่งฮื้อผมมาปลูกซักเก๊า สองเก๊า เน้อครับ ชื่อสมุนไพร ปรู๋ ชื่ออื่นๆ ผลู มะเกลือกา ปรู ปลู ปู๋ ปรู่ มะตาปู๋ ชื่อวิทยาศาสตร์ Alangium salviifolium (L.f.) Wangerin. subsp. hexapetalum Wangerin ชื่อพ้อง ชื่อวงศ์ Alangiaceae ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ต้น ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูง 5-15 เมตร เปลือกสีน้ำตาลเทา เรียบหรือแตกเป็นสะเก็ด แก่นสีน้ำตาล กระพี้สีค่อนข้างเหลือง กิ่งอ่อนและใบอ่อนมีขน ใบเดี่ยว เรียงสลับ แผ่นใบรูปไข่กลับรูปขอบขนาน หรือรูปหอกกลับ กว้าง 2.5-7 เซนติเมตร ยาว 5-15 เซนติเมตร ปลายกว้างและเป็นติ่งสั้น โคนสอบเรียว ขอบใบเรียบ มีเส้นแขนงใบ 3-5 เส้นออกจากโคนใบ เห็นชัดมากบริเวณท้องใบ ก้านใบยาว 0.5-1 เซนติเมตร ดอกช่อ สีขาวนวล กลิ่นหอมอ่อนๆ ออกเป็นกระจุกตามกิ่งเหนือรอยแผลใบ กลีบดอกโคนเชื่อมติดกันปลายแยก 5-7 กลีบ กลีบเลี้ยง ส่วนโคนกลีบจะเชื่อมติดกันเป็นท่อรูปกรวย ส่วนปลายกลีบจะแยกออกเป็นแฉก ขนาดยาวประมาณ 0.2-0.5 เซนติเมตร ดอกมีขนขึ้นประปราย ผล รูปกลมรี ออกเป็นกระจุก กว้างประมาณ 1 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร สุกสีดำ ปลายผลมีกลีบเลี้ยง และกลางผลจะมีสันแข็งตลอดความยาวของผล ผลรสหวานอมเปรี้ยว รับประทานได้ แห้งไม่แตก พบขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าดงดิบเขา หรือป่าชายเลน สรรพคุณ แก่น รสจืดเฝื่อน เป็นยาบำรุงกำลัง แก้น้ำเหลือง และแก้ริดสีดวงทวาร เนื้อไม้ รสฝาดเฝื่อน แก้ริดสีดวงลำไส้ และทวารหนัก เปลือกต้น รสฝาด นำมาต้ม เอาน้ำกิน แก้จุกเสียด บำรุงธาตุไฟ แก้ไอ แก้หอบหืด และแก้ท้องร่วง ปิดธาตุ เปลือกราก นำมาตำให้ละเอียด เป็นยาพอก หรือคั้นเอาน้ำล้างแผล แก้โรคผิวหนัง หรือรับประทานเป็นยาแก้พิษ ทำให้เอาเจียน ยาระบาย และเป็นยาช่วยขับพยาธิ บำบัดอาการไข้ และขับเหงื่อ ผล รสร้อนเบื่อ บำรุงธาตุ ขับพยาธิ แก้จุกเสียด
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 28 พฤษภาคม 2013, 17:38:29 โดย mangwao »
|
IP :
บันทึกการเข้า
|
55 หมู่ 4 ต.เจริญราษฎร์ อ.แม่ใจ จ.พะเยา 56130 Tel.081-033-8502 054-886037 a-om-ka@hotmail.com K & A computer
|
|
|
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
ออฟไลน์
กระทู้: 4,485
|
|
« ตอบ #42 เมื่อ: วันที่ 28 พฤษภาคม 2013, 09:41:21 » |
|
โห.... ก้าหาเกยหันนิบ่ะต๋าปู๋ ยินดีที่เอามาฮอมเน้อครับ
ผมฮู้่จักแต่ปลู หรือพลู
พลูเป็นไม้เลื้อย มีข้อ และมีปล้องชัดเจน ใบเดี่ยวติดกับลำต้น แบบสลับคล้ายใบโพธิ์ ปลายแหลม หน้าใบมัน ดอกออกรวมกันเป็นช่อแน่น การปลูก : ใช้ลำดับต้นที่มีข้อ 3-5 ข้อ ปักชำจนรากออกดีแล้ว จึง ย้ายไปปลูกในหลุม ทำค้างให้เถาพลูเลื้อยด้วย คอยดูแลความชุ่มชื้น กำจัดวัชพืชให้ดี ศัตรูพืชก็เช่นเดียวกัน และจำต้องให้ปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอ เช่น 15 วันต่อครั้ง ใบพลูเป็นพืชเศรษฐกิจ ที่สำคัญในการส่งออก ประเทศที่นำเข้าใบพลูจากประเทศไทยส่วนมากเป็นประเทศทางตะวันออกกลางนั่นเอง ปากีสถานและอัฟกานิสถาน และัยังไม่เพียงพอในการจำหน่ายในต่างประเทศด้วย พลูส่วนมากปลูกกันในภาคกลางและภาคอีสาน ส่วนที่ใช้เป็นยา : ใบสด ช่วงเวลาที่เก็บเป็นยา : เก็บในช่วงสมบูรณ์เต็มที่ รสและสรรพคุณยาไทย : รสเผ็ดร้อนเป็นยาฆ่าเชื้อโรค ขับลม ในชนบทใช้ใบพลูตำกับเหล้าทาบริเวณที่เกิดเป็นลมพิษให้หายได้ ใช้รับประทานกับหมากและปูนแดงก็ได้ โดยมากเป็นคนเก่าๆ ที่ชอบรับประทานหมาก ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ : ใบพลูมีน้ำมันหอมระเหย (Essential oil) ประกอบด้วย chavicol, chavibitol, cineol, eugenoi, carvacrol, caryophyllene, B-sitosterol และอื่นๆ สารเหล่านี้มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ โรคได้ ทำให้ปลายประสาทเกิดความชา แก้อาการคันได้ดี เนื่องจากยังไม่มีรายงานการศึกษา ฤทธิ์แก้แพ้ แก้อักเสบ จากสารประกอบ อาจจะ เป็นสารพวก B- sitosterol ที่ช่วยในการลดอาการอักเสบ วิธีใช้ : ใบพลู ใช้เป็นยารักษาอาการแพ้ อักเสบ แมลงสัตว์กัดต่อย ได้ผลดีมาก กับอาการแพ้ในลักษณะลมพิษ โดยการเอาใบพลูมาสัก 1-2 ใบ ล้างให้สะอาด ตำให้ละเอียดผสมกับเหล้าโรง ทาบริเวณที่เกิดลมพิษ แต่ห้ามใช้กับแผลเปิดจะทำให้เกิดอาการแสบมาก... นอกจากนั้น “ใบพลู” สามารถต้านแบคทีเรียก่อโรคกระเพาะอาหาร ทั้งฆ่าเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 28 พฤษภาคม 2013, 09:46:01 โดย สบายแมน »
|
IP :
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
ออฟไลน์
กระทู้: 4,485
|
|
« ตอบ #43 เมื่อ: วันที่ 29 พฤษภาคม 2013, 12:43:41 » |
|
บ่าหลอด มะหลอด บ่ะหลอด
มะหลอด ผลไม้พื้นเมือง อีกชนิด ที่ำกำลังหายไป
จำได้ว่าตอนเป็นเด็ก ในสมัยนั้น มะหลอด หรือบ่าหลอดในภาษาคำเมือง เป็นของกินหน้าร้อน ถ้าเปรี้ยวก็เอามา “โซ๊ะ” ปลาร้า ถ้าหวานก็เอามา “กิ๊ก” (หยิบมาลูกหนึ่งมานวดเบาๆให้นิ่มๆ) จะทำให้ลดความฝาด จากนั้นก็เอามากินได้เลย
มะหลอดเป็นไม้เถาเนื้อแข็ง บางบ้านทำร้านให้มะหลอดเกาะเกี่ยว เหลือพื้นที่ใต้ต้น เป็นที่นั่งเล่นได้ บางบ้านปลูกไว้ประตูบ้าน กลายเป็นซุ้มประตู
(บ่าหลอด เป็นคำเมืองล้านนา เวลาเรียกผลไม้มักขึ้นต้นด้วยคำว่า ”บ่า หรือ บ่ะ” แต่พออ่านเป็นคำไทยกลาง มักใช้คำว่า “มะ” เช่น บ่าหลอด-มะหลอด, บ่าขาม-มะขาม”)
มะหลอดจะมี 3 รส ทุกรสจะมีรสฝาดอยู่ด้วย แต่จะกี่พันธุ์ไม่มั่นใจ 3 รสที่ว่า นั้น คำเมืองอธิบายได้ดังนี้
บ่าหลอดส้ม คือรสเปรี้ยว อาจจะสังเกตยาก แต่ผู้ชำนาญบอกว่า ดูสีผล ถ้าออกสีส้ม ผลใส มักจะเปรี้ยว การกินก็มักจะเอาทำ “โซ๊ะ” คืิอ เอามาปอก ตำหรือยำกับน้ำพริก “โอ้โล้” คือน้ำพริกที่ทำง่ายๆ เร็ว ไม่พิถีพิถัน ใส่เกลือ ปลาร้าเยอะหน่อย หอม กระเทียม น้ำตาล น้ำปลา เอามะหลอดที่ปอกเป็นเส้นยาวๆเอาเมล็ดออก หรือไม่เอาออกก็ได้ เอามายำรวมกัน ต้องให้เนื้อบ่าหลอดนิ่มๆนะคะ เพราะไม่งั้นจะติดรสฝาดเยอะ
ทำด้วยกันและกินกันหลายๆคน อร่อยไป เปรี้ยวไป เผ็ดไป กลิ่นปลาร้าจัดเต็ม
บ่าหลอดหวาน สีจะค่อนข้างแดงเข้ม หากินยาก และมักจะถูกหลอกง่ายด้วย “หวาน” อาจมีเปรี้ยวฝาดเยอะ หรือบางทีก็หวานแบบจืดๆ มะหลอดหวานอร่อยจึงหายากนัก
แต่ไม่ว่าอย่างไร เวลากินก็ต้องทำให้นิ่ม เพราะไม่งั้นจะมีรสฝาดเยอะ อีกอย่างเวลาเรานวดให้นิ่มๆ คลึงให้นิ่มเวลากิน ก็แยกเมล็ดออกจากเนื้อมะหลอดได้ง่ายโดยอัตโนมัติ
บ่าหลอดก๋ำปอ หมายถึง ไม่เปรี้ยวมาก ไม่หวานมาก ซึ่งก็ยากที่จะบอกว่า จะกำหนดรสได้อย่างไร บ้างก็ว่า มันก๋าย(มันกลายพันธุ์) ชนิดนี้ก็เอามา “โซ๊ะ” อร่อย หรือเพียงเอามาแช่น้ำปลาสักพักก็กินได้แล้ว
ขอบคุณที่มา http://www.smileconsumer.com/2012/03/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%AD/
|
|
|
|
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
ออฟไลน์
กระทู้: 4,485
|
|
« ตอบ #44 เมื่อ: วันที่ 29 พฤษภาคม 2013, 12:55:36 » |
|
อันนี้คือหน่วยหยั๋งเอ๊าะ กติกาเหมือนเดิม ตอบเป๋นกำเมือง รอบนี้ของรางวัลเป๋นไม้แกะสลัก (เดี๋ยวจะถ่ายรุปมาลงให้) รอบนี้ขอค่าจัดส่งของรางวัล 30 บาท เน้อ
|
-vklldo.JPG (15.9 KB, 424x287 - ดู 1127 ครั้ง.)
|
|
IP :
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
THANAPUT
เชียงรายบ๊อช คาร์ เซอร์วิส
ระดับ :ป.โท
ออฟไลน์
กระทู้: 4,450
|
|
« ตอบ #45 เมื่อ: วันที่ 29 พฤษภาคม 2013, 19:55:48 » |
|
|
|
|
|
|
|
|
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
ออฟไลน์
กระทู้: 4,485
|
|
« ตอบ #49 เมื่อ: วันที่ 31 พฤษภาคม 2013, 12:36:39 » |
|
ผู้ที่ได้รับของรางวัลติดต่อรับของรางวัลก่อนวันอาทิตย์นี้นะครับ หมดเขตถือว่าสละสิทธิ์ ตอนนี้ส่งช้างไปให้คุณผักบุ้งไฟแดงแล้วหนึ่งเชือก รอรับของได้เลยครับ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 31 พฤษภาคม 2013, 12:43:13 โดย สบายแมน »
|
IP :
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
ออฟไลน์
กระทู้: 4,485
|
|
« ตอบ #50 เมื่อ: วันที่ 31 พฤษภาคม 2013, 12:40:18 » |
|
วันนี้ขอเสนอดอกแกครับ ดอกแกที่ว่านี้บ่าใช่ดอกแค่่ที่เอามาแกงส้มนะครับ แต่เป๋นดอกแกแน ที่เอามายำ(คั่ว)กับผักบุ้งนาครับ ต้นดอกแคแน ดอกแคนา
ชื่อพื้นเมือง: แค่เก็ต แคขาว แคทราย แคแน แคป่า แคฝ่อย แคพูฮ่อ แคยอกดำ แคยาย แคอาว
ลักษณะทั่วไป: ไม้ต้นขนาดเล็ก ถ้ง ขนาดกลาง สูง 10-20เมตร ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มทึบรุปไข่ ลำต้นเปลาตรงมักแตกกิ่งตำ เปลือกสีนำตาลอมเทาเรียบ
ดอก: สีขาว ออกเป็นช่อแบบกะจะสั้นตามปลายกิ่งช่อยาว 2-3 ฃม. มี3-7 ดอก กลีบเลี้ยงโคนเชื่อมติดกันและปลายแยกออกเป็นรุปกาบรองดอก กลีบดอกโคนเชื่อมติดกันเป็นรุปแจกันสูง ดกบานกลางคืน ดอกออก ก.พ - มิ.ย
ผล: เป็นฝักแห้งแตกแบย ทรงขอบขนาน ยาว ผิวเรียบและแข็ง ฝักบิดไปมา ผลออก มิ.ย - ส.ค
ด้านภูมิทัศน์: ทรงพุ่มใบและฝักสวย ปลูกให้ร่มเงาและเป็นจุดเด่นให้สวนได้
ประโยชน์: ดอกและยอดอ่อนรับประทานได้
“ดอกแคนา” ซึ่งเชื่อกันว่ากินแก้ไข้หัวลม ไข้หัวลมนี่เป็นกัน เมื่ออากาศเปลี่ยน ร่างกายคนปรับตัวไม่ได้เลยครั่นเนื้อครั่นตัวจับไข้กันง่าย กินแกงส้มดอกแครสเปรี้ยวแกมเผ็ดจะหายได้ไม่ต้องกินยา คนโบราณเชื่อว่าอาหารรสเปรี้ยวหรือขมจะทำให้ไม่เป็นไข้
สรรพคุณทางยาของแคคือช่วยแก้ไข้ ลดไข้ นอกจากนี้ยังอุดมด้วยสารอาหารต่างๆ โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีนที่ร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ แค จึงช่วยบำรุงสายตาและต้านมะเร็ง อีกทั้งช่วยเสริมสร้างกระดูก เพราะมีแคลเซียมฟอสฟอรัสสูง เปลือกนำมาต้ม คั้นน้ำแก้ท้องร่วง แก้บิด แก้มูกเลือด คุมธาตุ
ดอกแคปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงาน 33 แคลอรี แคลเซียม 2 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 57 มิลลิกรัม เหล็ก 1.2 มิลลิกรัม เบต้าแคโรทีน 0.51 ไมโครกรัม วิตามินบี1 0.09 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.19 มิลลิกรัม ไนอาซีน 0.5 มิลลิกรัม วิตามินซี 35 มิลลิกรัม
นอกจากนี้ในยอดแคปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงาน 87 แคลอรี มีเส้นใย 7.8 กรัม แคลเซียม 395 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 40 มิลลิกรัม เหล็ก 4.1 มิลลิกรัม เบต้าแคโรทีน 8,654 ไมโครกรัม วิตามินเอ 1,442 ไมโครกรัม วิตามินบี1 0.28 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.33 มิลลิกรัม ไนอาซีน 2.0 มิลลิกรัม วิตามิซี 19 มิลลิกรัม
ข้อ แนะนำ ดอกแคนาจะมีรสขมเฝื่อน กินสดๆไม่ได้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ต้องนำไปลวกโดยใช้เวลาสั้นที่สุด และก่อนนำไปทำอาหารต้องดึงเอาเกสรออกก่อน เพราะจะทำให้มีรสขมน้อยลง http://www.oknation.net/blog/fools/2011/03/05/entry-1
|
img4766jv.jpg (84.14 KB, 640x480 - ดู 2572 ครั้ง.)
|
|
IP :
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
ออฟไลน์
กระทู้: 4,485
|
|
« ตอบ #51 เมื่อ: วันที่ 01 มิถุนายน 2013, 10:23:34 » |
|
ยังจำกันได้หรือเปล่า ผักพื้นบ้าน
ผักเสี้ยน หรือผักเสี้ยนดอกขาว คือผักพื้นบ้านพื้นเมืองของเรา เด็ก ๆ ยุคใหม่ อาจไม่รู้จักผักเสี้ยนพื้นบ้านแบบนี้ แต่อาจจะรู้จักแต่ " ดอกเสี้ยน" สีม่วง สีชมพูที่ปลูกเป็นไม้ประดับสวย ๆ
ผักเสี้ยนดอกขาว เป็นผักพื้นบ้านที่ขึ้นอยู่ตามสวนตามไร่ ก่อน ๆ ไม่ต้องปลูก ขึ้นและงอกงามได้ทั่วไป โดยเฉพาะตามคอกวัว คอกควาย ที่มีปุ๋ยตามธรรมชาติ ผักเสี้ยนจะขึ้นได้งอกงาม ต้นโต ชาวบ้านนิยมเก็บยอดผักเสี้ยนเอามาทำเป็นผักดองจิ้มน้ำพริกกะปิ http://www.gotoknow.org/posts/444038
ภาพผักเสี้ยนผีกินได้ ผักเสี้ยนดอง ผักเสี้ยนพันธุ์ดอก ตามลำดับ
|
|
|
|
ผักบุ้งไฟแดง
ชั้นประถม
ออฟไลน์
กระทู้: 255
|
|
« ตอบ #52 เมื่อ: วันที่ 01 มิถุนายน 2013, 15:04:37 » |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
ออฟไลน์
กระทู้: 4,485
|
|
« ตอบ #57 เมื่อ: วันที่ 10 มิถุนายน 2013, 18:43:36 » |
|
|
|
|
|
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
ออฟไลน์
กระทู้: 4,485
|
|
« ตอบ #58 เมื่อ: วันที่ 12 มิถุนายน 2013, 18:32:31 » |
|
เอ่อจะเอาเกมมาทายเล่นก่อกลั๋วบ่ามีเวลาเอาของรางวัลไปส่งฮื้อ ช่วงนี้งานนักคงต้องรอไปถึงปลายเดือนนู๊นงานจึงจะเบาบางลง วันเสาร์อาทิตย์ไปรษณีก่อบ่ารับส่งของ เอาหยั่งไดดี
|
|
|
|
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
ออฟไลน์
กระทู้: 4,485
|
|
« ตอบ #59 เมื่อ: วันที่ 14 มิถุนายน 2013, 19:26:36 » |
|
บ่ะลิดไม้ หรือ ลิ้นฟ้า
เป็นพืชที่ขึ้นเองตามธรรมชาติได้ง่าย เมื่อเมล็ดแก่แผ่นเบาบางปลิวตามแรงลมร่วงหล่นตามพื้นดิน ได้น้ำจากสายฝนชุ่มฉ่ำ เจริญเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่อยู่ตามเชิง หุบเขา ริมห้วย ริมลำธาร ตามท้องทุ่งริมทาง ตามป่าละเมาะใกล้หมู่บ้าน ออกดอกออกฝัก ดังนั้นชาวบ้านจึงเก็บมากินโดยไม่ต้องซื้อหาแต่อย่างใด
บ่ะลิ้ดไม้ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Oroxylum indicum (Linn.) Vent. เป็นไม้ยืนต้นสูงชะลูดขนาดกลาง แตกกิ่งก้านบนยอดสูง ใบออกเป็นช่อใหญ่อยู่ที่ปลายกิ่ง มีลักษณะเป็นรูปไข่ ปลายใบแหลม ดอกออกเป็นช่อใหญ่ตรงยอด มีสีม่วงอมแดง บางทีก็สีน้ำตาลคล้ำ ผลออกเป็นฝักแบนยาวคล้ายดาบ กว้างประมาณ 2.4-9 ซม. ยาว 60-120 ซม. ปลายฝักแหลม ตรงกลางขอบมีรอยโป่งเล็กน้อย เมื่อฝักแก่ รอบข้างของฝักจะปริแตก ข้างในมีเมล็ดมากมาย เมล็ดมีลักษณะแบน มีเยื่อบางใสหุ้มอยู่โดยรอบเมล็ด ลิ้นฟ้า คนจีนเรียกว่า "โซยเตียจั้ว" ใช้เป็นส่วนผสมตัวหนึ่งของน้ำจับเลี้ยง ดื่มแก้กระหายคลายร้อน ดับร้อนในได้เป็นอย่างดี ส่วนเปลือกของต้นลิ้นฟ้า ผู้เฒ่าผู้แก่จะเอามาต้มน้ำให้แม่ลูกอ่อนดื่ม ช่วยขับน้ำคาวปลา ให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น ดับพิษโลหิต และบำรุงเลือด นอกจากนี้ชาวบ้านยังเอาเปลือกบ่ะลิ้ดไม้ไปเผาไฟ จากนั้นก็นำมาแช่น้ำเย็น เอาน้ำนั่นแหละดื่มแก้ร้อนในได้ชะงัดนัก
บ่ะลิ้ดไม้กินเป็นผักได้แซบ ขมอำรำ ตั้งแต่ยอดอ่อน ดอกอ่อน และฝักอ่อน โดยจะมีให้เก็บกินกันตลอดปี จะมีมากในช่วงปลายฝนต้นหนาว วิธีการเก็บฝักบ่ะลิ้ดไม้ต้องใช้ไม้สอยเอา เพราะฝักอยู่ยอดต้น เลือกที่มีเปลือกสีเขียว ฝักไม่ใหญ่มาก เมื่อสอยลงมาใช้เล็บจิกได้ แสดงว่าฝักอ่อนกำลังกิน
ยอดกับดอก เวลาจะกินก็เพียงนำไปต้ม หรือลวกเสียก่อน กินเป็นผักจิ้มน้ำพริก ส่วนฝักอ่อนนั้นคนทางเหนือจะเอาไปเผาไฟ ใช้ไฟแรงสักหน่อยจนเปลือกพองไหม้ทั่ว และฝักบ่ะลิ้ดไม้อ่อนตัว แล้วแช่น้ำลอกเอาเปลือกที่ไหม้ออก จึงนำไปต้มจนสุกนุ่มอีกครั้ง รสขมในฝักบักลิ้นฟ้าจะอ่อนลง แต่ทางภาคอีสานนิยมเผาแล้วแช่น้ำลอกเอาเปลือกที่ไหม้ออกเท่านั้น จากนั้นหั่นเป็นชิ้นตามขวาง หนาพอประมาณ นิยมกินเป็นผักจิ้มน้ำพริก และกินแกล้มกับลาบอย่างยิ่ง เพราะมีรสขมนิดๆ อมรสหวาน หน่อยๆ เนื้อนุ่มไปกันได้ดีกับอาหารรสจัด
นอกจากจะเผาต้มจิ้มน้ำพริกแล้ว อาจเคี่ยวหัวกะทิมาราด หรือต้มลงในกะทิจนเข้าเนื้อฝักบ่ะลิ้ดไม้ เนื้อจะนุ่มมันแซบ ขมอำรำ ฝักบ่ะลิ้ดไม้ยังใช้เป็นผักใส่ในแกง คั่ว ยำ ผัด หรือทำแกงอ่อมปลาดุกใส่ฝักบ่ะลิ้ดไม้แทนใบยอก็แซบ ขมอำรำ จะออกรสขมอ่อนๆ เหมือนใบยอนั่นแหละ ฝักบ่ะลิ้ดไม้มีสรรพคุณช่วยขับลม ขับเสมหะ ถ้ากินบ่อยนักก็ไม่ดี จะทำให้เป็นต้อเนื้อที่ตาได้ http://www.isan.clubs.chula.ac.th/para_norkhai/?transaction=post_view.php&cat_main=1&id_main=75&star=0 [color]
|
|
|
|