เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 29 เมษายน 2024, 04:28:35
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  การเกษตร,ฟาร์มสัตว์,ปศุสัตว์ (ผู้ดูแล: bm farm)
| | |-+  มาอนุรักษ์พรรณไม้กันเถอะ^^
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 7 8 9 10 11 พิมพ์
ผู้เขียน มาอนุรักษ์พรรณไม้กันเถอะ^^  (อ่าน 17088 ครั้ง)
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #40 เมื่อ: วันที่ 27 พฤษภาคม 2013, 21:50:28 »

วันนี้ขอเสนอแอปเปิ้นเมือง ความจริงแอบเปิ้ลเมือง มีหลายพันธุทั้งพันธุ์สุกแล้วสีปั๋ง สุกยังสีเขียว อันนี้ต้องอาศัยความชำนาญในการแยกแยะซึ่งเซียนแอปเปิ้นเมืองอย่างผมดูออกเพราะตะก่อนบ้านอุ้ยมี แล้วที่เคยเห็นอีกพันธุ์คือพันธุ์ก้นเหลี้ยม คือต้นมันจะคลายกับไม้เลื้อยเป๋นเครือใหญ่ๆ หน่วยมันจะก้นเหลี้ยมๆ หวานฉ่ำมากลำที่สุดเท่าที่เคยกิ๋นมา เสียดายที่เจ้าของบ่าได้อนุรักษ์พันธุ์ บ่าฮู้ว่าจะไปหาตี้ไหนได้แหมไผมีอนุรักษ์ไว้เน้อครับ ยิ้ม

แอบเปิ้ลเมือง  
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ยืนต้นสูง 5-15 เมตร เรือนยอดแผ่กว้าง เปลือกลำต้นเรียบ สีน้ำตาล ใบเดี่ยวเรียงสลับ แผ่นใบรูปไข่แกมขอบขนาน ขนาด 5-7 x 12-15 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลม โคนใบรูปลิ่ม ผิวใบมีขนอ่อนสีน้ำตาลปกคลุม ดอกออกเป็นกระจุกที่ซอกใบ ดอกย่อยสีเขียวแกมเหลือง กลีบดอกและก้านดอกมีขนสีน้ำตาลปกคลุม ผลแบบ berry รูปร่างกลม มียางขาว เมื่อสุกสีม่วงดำ มีกลิ่นหอม เมล็ดสีดำ เป็นมันวาว มี 1-5 เมล็ด สตาร์แอปเปิ้ล เป็นพันธุ์ไม้จากทวีปอเมริกาใต้
ประโยชน์ : ปลูกตามอาคารบ้านเรือนเพื่อเป็นไม้ผล ออกดอกในช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม
ผลสุกรับประทานได้


 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 27 พฤษภาคม 2013, 21:52:42 โดย สบายแมน » IP : บันทึกการเข้า
mangwao
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,896



« ตอบ #41 เมื่อ: วันที่ 28 พฤษภาคม 2013, 08:09:27 »

ท่านได มี เก๊าปรู  ปรู๋ หรือ บะต๋าปู๋ แบ่งฮื้อผมมาปลูกซักเก๊า สองเก๊า เน้อครับ

ชื่อสมุนไพร
ปรู๋
ชื่ออื่นๆ
ผลู มะเกลือกา ปรู ปลู ปู๋ ปรู่ มะตาปู๋
ชื่อวิทยาศาสตร์
Alangium salviifolium (L.f.) Wangerin. subsp. hexapetalum Wangerin
ชื่อพ้อง
ชื่อวงศ์
Alangiaceae
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
    ไม้ต้น ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูง 5-15 เมตร เปลือกสีน้ำตาลเทา เรียบหรือแตกเป็นสะเก็ด แก่นสีน้ำตาล กระพี้สีค่อนข้างเหลือง กิ่งอ่อนและใบอ่อนมีขน ใบเดี่ยว เรียงสลับ แผ่นใบรูปไข่กลับรูปขอบขนาน หรือรูปหอกกลับ กว้าง 2.5-7 เซนติเมตร ยาว 5-15 เซนติเมตร ปลายกว้างและเป็นติ่งสั้น โคนสอบเรียว ขอบใบเรียบ มีเส้นแขนงใบ 3-5 เส้นออกจากโคนใบ เห็นชัดมากบริเวณท้องใบ ก้านใบยาว 0.5-1 เซนติเมตร ดอกช่อ สีขาวนวล กลิ่นหอมอ่อนๆ ออกเป็นกระจุกตามกิ่งเหนือรอยแผลใบ กลีบดอกโคนเชื่อมติดกันปลายแยก 5-7 กลีบ กลีบเลี้ยง ส่วนโคนกลีบจะเชื่อมติดกันเป็นท่อรูปกรวย ส่วนปลายกลีบจะแยกออกเป็นแฉก ขนาดยาวประมาณ 0.2-0.5 เซนติเมตร ดอกมีขนขึ้นประปราย ผล รูปกลมรี ออกเป็นกระจุก กว้างประมาณ 1 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร สุกสีดำ ปลายผลมีกลีบเลี้ยง และกลางผลจะมีสันแข็งตลอดความยาวของผล ผลรสหวานอมเปรี้ยว รับประทานได้ แห้งไม่แตก พบขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าดงดิบเขา หรือป่าชายเลน



สรรพคุณ    
แก่น รสจืดเฝื่อน เป็นยาบำรุงกำลัง แก้น้ำเหลือง และแก้ริดสีดวงทวาร เนื้อไม้ รสฝาดเฝื่อน แก้ริดสีดวงลำไส้ และทวารหนัก เปลือกต้น รสฝาด นำมาต้ม เอาน้ำกิน แก้จุกเสียด บำรุงธาตุไฟ แก้ไอ แก้หอบหืด และแก้ท้องร่วง ปิดธาตุ เปลือกราก นำมาตำให้ละเอียด เป็นยาพอก หรือคั้นเอาน้ำล้างแผล แก้โรคผิวหนัง หรือรับประทานเป็นยาแก้พิษ ทำให้เอาเจียน ยาระบาย และเป็นยาช่วยขับพยาธิ บำบัดอาการไข้ และขับเหงื่อ ผล  รสร้อนเบื่อ บำรุงธาตุ ขับพยาธิ แก้จุกเสียด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 28 พฤษภาคม 2013, 17:38:29 โดย mangwao » IP : บันทึกการเข้า

55 หมู่ 4 ต.เจริญราษฎร์ อ.แม่ใจ จ.พะเยา 56130  Tel.081-033-8502  054-886037  a-om-ka@hotmail.com
K & A computer
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #42 เมื่อ: วันที่ 28 พฤษภาคม 2013, 09:41:21 »

โห.... ก้าหาเกยหันนิบ่ะต๋าปู๋ ยินดีที่เอามาฮอมเน้อครับ ยิงฟันยิ้ม

ผมฮู้่จักแต่ปลู  ยิงฟันยิ้ม หรือพลู

พลูเป็นไม้เลื้อย  มีข้อ และมีปล้องชัดเจน ใบเดี่ยวติดกับลำต้น แบบสลับคล้ายใบโพธิ์  ปลายแหลม  หน้าใบมัน  ดอกออกรวมกันเป็นช่อแน่น
การปลูก  : ใช้ลำดับต้นที่มีข้อ 3-5 ข้อ ปักชำจนรากออกดีแล้ว จึง ย้ายไปปลูกในหลุม ทำค้างให้เถาพลูเลื้อยด้วย คอยดูแลความชุ่มชื้น กำจัดวัชพืชให้ดี ศัตรูพืชก็เช่นเดียวกัน และจำต้องให้ปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอ เช่น 15 วันต่อครั้ง
ใบพลูเป็นพืชเศรษฐกิจ ที่สำคัญในการส่งออก ประเทศที่นำเข้าใบพลูจากประเทศไทยส่วนมากเป็นประเทศทางตะวันออกกลางนั่นเอง ปากีสถานและอัฟกานิสถาน และัยังไม่เพียงพอในการจำหน่ายในต่างประเทศด้วย  พลูส่วนมากปลูกกันในภาคกลางและภาคอีสาน
ส่วนที่ใช้เป็นยา  : ใบสด
ช่วงเวลาที่เก็บเป็นยา   : เก็บในช่วงสมบูรณ์เต็มที่
รสและสรรพคุณยาไทย  : รสเผ็ดร้อนเป็นยาฆ่าเชื้อโรค ขับลม ในชนบทใช้ใบพลูตำกับเหล้าทาบริเวณที่เกิดเป็นลมพิษให้หายได้ ใช้รับประทานกับหมากและปูนแดงก็ได้ โดยมากเป็นคนเก่าๆ ที่ชอบรับประทานหมาก
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์  : ใบพลูมีน้ำมันหอมระเหย (Essential oil)  ประกอบด้วย chavicol,  chavibitol,  cineol,  eugenoi,  carvacrol,  caryophyllene,  B-sitosterol  และอื่นๆ สารเหล่านี้มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ โรคได้  ทำให้ปลายประสาทเกิดความชา  แก้อาการคันได้ดี  เนื่องจากยังไม่มีรายงานการศึกษา  ฤทธิ์แก้แพ้  แก้อักเสบ จากสารประกอบ อาจจะ เป็นสารพวก B- sitosterol  ที่ช่วยในการลดอาการอักเสบ
วิธีใช้  : ใบพลู  ใช้เป็นยารักษาอาการแพ้  อักเสบ  แมลงสัตว์กัดต่อย ได้ผลดีมาก  กับอาการแพ้ในลักษณะลมพิษ  โดยการเอาใบพลูมาสัก 1-2 ใบ ล้างให้สะอาด  ตำให้ละเอียดผสมกับเหล้าโรง  ทาบริเวณที่เกิดลมพิษ  แต่ห้ามใช้กับแผลเปิดจะทำให้เกิดอาการแสบมาก...
นอกจากนั้น “ใบพลู” สามารถต้านแบคทีเรียก่อโรคกระเพาะอาหาร ทั้งฆ่าเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 28 พฤษภาคม 2013, 09:46:01 โดย สบายแมน » IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #43 เมื่อ: วันที่ 29 พฤษภาคม 2013, 12:43:41 »

บ่าหลอด มะหลอด บ่ะหลอด ยิงฟันยิ้ม


มะหลอด ผลไม้พื้นเมือง อีกชนิด ที่ำกำลังหายไป

จำได้ว่าตอนเป็นเด็ก ในสมัยนั้น มะหลอด หรือบ่าหลอดในภาษาคำเมือง เป็นของกินหน้าร้อน  ถ้าเปรี้ยวก็เอามา “โซ๊ะ” ปลาร้า ถ้าหวานก็เอามา “กิ๊ก” (หยิบมาลูกหนึ่งมานวดเบาๆให้นิ่มๆ) จะทำให้ลดความฝาด จากนั้นก็เอามากินได้เลย

มะหลอดเป็นไม้เถาเนื้อแข็ง บางบ้านทำร้านให้มะหลอดเกาะเกี่ยว เหลือพื้นที่ใต้ต้น เป็นที่นั่งเล่นได้ บางบ้านปลูกไว้ประตูบ้าน กลายเป็นซุ้มประตู

(บ่าหลอด เป็นคำเมืองล้านนา เวลาเรียกผลไม้มักขึ้นต้นด้วยคำว่า  ”บ่า หรือ บ่ะ” แต่พออ่านเป็นคำไทยกลาง มักใช้คำว่า “มะ” เช่น บ่าหลอด-มะหลอด, บ่าขาม-มะขาม”)

มะหลอดจะมี 3 รส  ทุกรสจะมีรสฝาดอยู่ด้วย แต่จะกี่พันธุ์ไม่มั่นใจ 3 รสที่ว่า นั้น คำเมืองอธิบายได้ดังนี้

บ่าหลอดส้ม คือรสเปรี้ยว อาจจะสังเกตยาก แต่ผู้ชำนาญบอกว่า ดูสีผล ถ้าออกสีส้ม ผลใส มักจะเปรี้ยว การกินก็มักจะเอาทำ “โซ๊ะ” คืิอ เอามาปอก ตำหรือยำกับน้ำพริก “โอ้โล้” คือน้ำพริกที่ทำง่ายๆ เร็ว ไม่พิถีพิถัน ใส่เกลือ ปลาร้าเยอะหน่อย หอม กระเทียม น้ำตาล น้ำปลา เอามะหลอดที่ปอกเป็นเส้นยาวๆเอาเมล็ดออก หรือไม่เอาออกก็ได้ เอามายำรวมกัน ต้องให้เนื้อบ่าหลอดนิ่มๆนะคะ เพราะไม่งั้นจะติดรสฝาดเยอะ

ทำด้วยกันและกินกันหลายๆคน อร่อยไป เปรี้ยวไป เผ็ดไป กลิ่นปลาร้าจัดเต็ม

บ่าหลอดหวาน สีจะค่อนข้างแดงเข้ม หากินยาก  และมักจะถูกหลอกง่ายด้วย “หวาน” อาจมีเปรี้ยวฝาดเยอะ หรือบางทีก็หวานแบบจืดๆ มะหลอดหวานอร่อยจึงหายากนัก

แต่ไม่ว่าอย่างไร เวลากินก็ต้องทำให้นิ่ม  เพราะไม่งั้นจะมีรสฝาดเยอะ อีกอย่างเวลาเรานวดให้นิ่มๆ คลึงให้นิ่มเวลากิน ก็แยกเมล็ดออกจากเนื้อมะหลอดได้ง่ายโดยอัตโนมัติ

บ่าหลอดก๋ำปอ หมายถึง ไม่เปรี้ยวมาก ไม่หวานมาก ซึ่งก็ยากที่จะบอกว่า จะกำหนดรสได้อย่างไร บ้างก็ว่า มันก๋าย(มันกลายพันธุ์)  ชนิดนี้ก็เอามา “โซ๊ะ” อร่อย หรือเพียงเอามาแช่น้ำปลาสักพักก็กินได้แล้ว

ขอบคุณที่มา
   http://www.smileconsumer.com/2012/03/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%AD/



* 323-20050226183616.jpg (61.15 KB, 235x314 - ดู 2828 ครั้ง.)

* 323-20050226191958.jpg (97.41 KB, 692x485 - ดู 3596 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 29 พฤษภาคม 2013, 12:45:46 โดย สบายแมน » IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #44 เมื่อ: วันที่ 29 พฤษภาคม 2013, 12:55:36 »

อันนี้คือหน่วยหยั๋งเอ๊าะ
กติกาเหมือนเดิม ตอบเป๋นกำเมือง
รอบนี้ของรางวัลเป๋นไม้แกะสลัก (เดี๋ยวจะถ่ายรุปมาลงให้)
รอบนี้ขอค่าจัดส่งของรางวัล 30 บาท เน้อ ยิงฟันยิ้ม




* -vklldo.JPG (15.9 KB, 424x287 - ดู 1127 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
THANAPUT
เชียงรายบ๊อช คาร์ เซอร์วิส
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,450



« ตอบ #45 เมื่อ: วันที่ 29 พฤษภาคม 2013, 19:55:48 »

http://www.chiangraifocus.com/webboard/view.php?Qid=13917&cat=9
ลิงค์เก่า เชียงรายโฟกัส  ผลไม้พื้นเมือง ลองเข้าไปอ่านดูนะครับ  ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

บริการ  ติดตั้งแก๊สรถยนต์ ระบบหัวฉีด รับประกัน 5 ปีเต็ม  จำหน่าย สินค้า  BOSCH  ทั้งปลีกและราคาขายส่ง
http://www.chiangraiboschcarservice.com
่่jjj5248
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 317


« ตอบ #46 เมื่อ: วันที่ 29 พฤษภาคม 2013, 20:14:32 »

อันนี้คือหน่วยหยั๋งเอ๊าะ
กติกาเหมือนเดิม ตอบเป๋นกำเมือง
รอบนี้ของรางวัลเป๋นไม้แกะสลัก (เดี๋ยวจะถ่ายรุปมาลงให้)
รอบนี้ขอค่าจัดส่งของรางวัล 30 บาท เน้อ ยิงฟันยิ้ม




หน่วยข่่่อยแม๋นก่
IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #47 เมื่อ: วันที่ 30 พฤษภาคม 2013, 11:22:30 »

http://www.chiangraifocus.com/webboard/view.php?Qid=13917&cat=9
ลิงค์เก่า เชียงรายโฟกัส  ผลไม้พื้นเมือง ลองเข้าไปอ่านดูนะครับ  ยิงฟันยิ้ม
ขอบคุณครับหาดูยากทั้งนั้นเลยเน๊าะครับ ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #48 เมื่อ: วันที่ 30 พฤษภาคม 2013, 11:25:02 »

อันนี้คือหน่วยหยั๋งเอ๊าะ
กติกาเหมือนเดิม ตอบเป๋นกำเมือง
รอบนี้ของรางวัลเป๋นไม้แกะสลัก (เดี๋ยวจะถ่ายรุปมาลงให้)
รอบนี้ขอค่าจัดส่งของรางวัล 30 บาท เน้อ ยิงฟันยิ้ม




หน่วยข่่่อยแม๋นก่

ถูกต้องแล้วครับ เก่งๆ  ยิงฟันยิ้ม

ไม้ข่อยเป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดกลาง สูงถึง 5-10 เมตร เปลือกสีเทาอมเขียว เปลือกในสีขาวหนา ผิวเรียบบาง มักมีขนอยู่โดยทั่วไป มียางขาวข้น แตกกิ่งก้านหนาแน่น ใบเดี่ยว เรียงสลับ แผ่นใบรูปรีหรือรูปไข่กลับ กว้าง 2-4 เซนติเมตร ยาว 4-8 เซนติเมตร ปลายแหลมและมีติ่งแหลมสั้น โคนสอบแคบ ผิวใบทั้งด้านบนและด้านล่างหนามากและสากคายเหมือนกระดาษทราย ขอบใบหยักฟันเลื่อย ก้านใบสั้นมาก ยาว 1-3 มิลลิเมตร หูใบรูปหอก ยาว 2-5 มิลลิเมตร มีขนราบ หลุดร่วงง่าย เส้นใบที่โคนมี 1 คู่ สั้น ไม่มีต่อม ดอก สีเขียวอ่อน มีกลิ่นหอม ออกเป็นช่อตามซอกใบ ดอกย่อยมีขนาดเล็กมาก ดอกแยกเพศ ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน ช่อดอกเพศผู้เป็นกระจุกกลม มี 5-15 ดอก เส้นผ่าศูนย์กลางยาว 6-10 มิลลิเมตร ก้านช่อดอกยาว 3-15 มิลลิเมตร มีขนเล็กน้อย หรือเกลี้ยง มีใบประดับเล็กๆ 1-2 ใบ ที่โคนก้านใบ บางครั้งพบมีอีก 1 ใบ บนก้าน และมีใบประดับเล็กๆ อีก 2-3 ใบ ที่ปลายก้าน ดอกเพศผู้มีก้านสั้น กลิ่นหอม มีส่วนต่างๆจำนวน 4 วงกลีบรวม ยาว 1 มิลลิเมตร มีขนเล็กน้อย เกสรเพศผู้สีขาว ดอกเพศเมียออกเดี่ยว มีก้านยาว กลีบดอกสีเขียวปนเหลือง  มีก้านดอกเล็ก ยาว 1-4 มิลลิเมตร มีขนเล็กน้อย ใบประดับมี 2 ใบ รูปไข่ ปลายแหลม ยาว 1-2 มิลลิเมตร แนบไปกับวงกลีบรวม วงกลีบรวมยาว 2 มิลลิเมตร รูปไข่แหลม มีขนเล็กน้อย ก้านเกสรเพศเมียยาว 1 มิลลิเมตร และยาวขึ้นถึง 6-12 มิลลิเมตร เกลี้ยง ผล สด รูปกลม หรือรูปไข่  ขนาดประมาณ 0.8 เซนติเมตร มีเมล็ดเดียว ผลแก่สีเหลืองหรือส้ม ฉ่ำน้ำ เมื่อแรกรวมอยู่กับวงกลีบรวมที่ใหญ่ขึ้น ยาว 5-8 มิลลิเมตร ต่อไปเมื่อแก่จะโผล่จากวงกลีบรวม และวงกลีบรวมจะงอพับ มีกลีบเลี้ยงสีเขียวหุ้ม ปลายผลมีก้านเกสรตัวเมียคล้ายเส้นด้ายติดอยู่ ก้านผลยาว 7-27 มิลลิเมตร เมล็ดกลม กว้าง 4-5 มิลลิเมตร สีขาวแกมเทา พบตามที่ลุ่ม ป่าเบญจพรรณทั่วไป และป่าละเมาะ ออกดอกช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม เส้นใยใช้ทำกระดาษข่อย

สรรพคุณ   
ตำรายาไทย  ใช้   กิ่งสด ขนาดเล็กนำมาทุบใช้สีฟัน ทำให้เหงือกและฟันทน เปลือกต้น รสเมาฝาดขม นำมาต้มใส่เกลือให้เค็มใช้รักษาโรครำมะนาด แก้โรคฟัน รักษาฟันให้แข็งแรง แก้ปวดฟัน ดับพิษในกระดูกในเส้น แก้พยาธิผิวหนัง เรื้อน มะเร็ง ดับพิษทั้งปวง หุงเป็นน้ำมันทาหัวริดสีดวง ปรุงเป็นยาแก้ท้องร่วง เปลือกใช้มวนสูบรักษาริดสีดวงจมูก เปลือกต้นต้มกับน้ำใช้ชะล้างบาดแผล และโรคผิวหนัง ราก รสเมาฝาดขม ปรุงเป็นยารักษาแผลเรื้อรัง แก้โรคคอตีบ เป็นส่วนผสมในยารักษากระดูก ปวดเส้นประสาทและปวดเอว ฆ่าพยาธิ เปลือกราก  รสเมาขมบำรุงหัวใจ พบมีสารบำรุงหัวใจ ใบ รสเมาเฝื่อน น้ำต้มแก้โรคบิด ใบข่อยคั่วชงน้ำดื่มก่อนมีประจำเดือน สำหรับสตรีที่มักมีอาการปวดท้องขณะมีประจำเดือน จะบรรเทาอาการปวดประจำเดือน ใบคั่วกินแก้โรคไต ขับน้ำนม แก้บิด ใช้ภายนอกแก้โรคริดสีดวงทวาร ตำผสมข้าวสารคั้นเอาน้ำดื่มครึ่งถ้วยชา ทำให้อาเจียนถอนพิษยาเบื่อยาเมา หรืออาหารแสลง ชงกับน้ำร้อนดื่มระบายท้อง แก้ปวดท้องขณะมีประจำเดือน แก้ปวดเมื่อย บำรุงธาตุ ยาระบายอ่อนๆ ขับผายลม แก้ท้องอืดเฟ้อ  ทั้งต้น ต้มใส่เกลือ แก้ฟันผุ กระพี้ รสเมาฝาดขม แก้พยาธิ แก้มะเร็ง ฝนกับน้ำปูนใสทาแก้ผื่นคน เยื่อหุ้มกระพี้ รสเมาฝาดเย็น ขูดเอามาใช้ทำยาสูบแก้ริดสีดวงจมูก ผล รสเมาหวานร้อน บำรุงธาตุ แก้ลม แก้กระษัย ขับลมจุกเสียด เป็นยาอายุวัฒนะ เมล็ด รสเมามันร้อน เป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงธาตุเจริญอาหาร ขับผายลม แก้ท้องอืดเฟ้อ แก้โลหิตและลม ขับลมในลำไส้
ตำรายานครราชสีมา  ใช้  ใบ แก้ท้องเสียโดยนำใบ 1 กำมือ ตำให้แหลกผสมกับน้ำประมาณครึ่งแก้วดื่ม เปลือกต้น แก้รำมะนาด โดยนำเปลือกผสมกับเกลือทะเลอย่างละเท่าๆกัน ต้มให้เกลือละลาย อมเช้า-เย็น หลังอาหารและก่อนนอน
ตำราเภสัชกรรมล้านนา  ใช้  ใบ เปลือก ราก และเมล็ด รักษาอาการไอ ขับเสมหะ แก้เจ็บคอ รักษาเหงือก แก้ปวดฟัน
ในพม่า  ใช้  เปลือกต้นแก้ท้องร่วง แก้ปวดฟัน ช่วยให้ฟันแข็งแรง ต้มน้ำกินแก้ไข้ แก้บิด แก้ท้องเสีย และแก้มะเร็ง เป็นยาอายุวัฒนะ

องค์ประกอบทางเคมี
ในรากพบสารที่มีฤทธิ์ต่อหัวใจ Cardiac glycoside มากกว่า 30ชนิด เช่น asperoside, strebloside, glucostreblolide




* ph014_1.JPG (140.67 KB, 600x750 - ดู 1342 ครั้ง.)

* ph014_2.JPG (140.43 KB, 600x800 - ดู 1231 ครั้ง.)

* ph014_3.jpg (98.14 KB, 600x450 - ดู 1078 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #49 เมื่อ: วันที่ 31 พฤษภาคม 2013, 12:36:39 »

ผู้ที่ได้รับของรางวัลติดต่อรับของรางวัลก่อนวันอาทิตย์นี้นะครับ หมดเขตถือว่าสละสิทธิ์ ตอนนี้ส่งช้างไปให้คุณผักบุ้งไฟแดงแล้วหนึ่งเชือก รอรับของได้เลยครับ ยิ้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 31 พฤษภาคม 2013, 12:43:13 โดย สบายแมน » IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #50 เมื่อ: วันที่ 31 พฤษภาคม 2013, 12:40:18 »

วันนี้ขอเสนอดอกแกครับ ดอกแกที่ว่านี้บ่าใช่ดอกแค่่ที่เอามาแกงส้มนะครับ แต่เป๋นดอกแกแน ที่เอามายำ(คั่ว)กับผักบุ้งนาครับ ยิงฟันยิ้ม


ต้นดอกแคแน ดอกแคนา

ชื่อพื้นเมือง: แค่เก็ต แคขาว แคทราย แคแน แคป่า แคฝ่อย แคพูฮ่อ แคยอกดำ แคยาย แคอาว

ลักษณะทั่วไป: ไม้ต้นขนาดเล็ก ถ้ง ขนาดกลาง สูง 10-20เมตร ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มทึบรุปไข่ ลำต้นเปลาตรงมักแตกกิ่งตำ เปลือกสีนำตาลอมเทาเรียบ

ดอก: สีขาว ออกเป็นช่อแบบกะจะสั้นตามปลายกิ่งช่อยาว 2-3 ฃม. มี3-7 ดอก กลีบเลี้ยงโคนเชื่อมติดกันและปลายแยกออกเป็นรุปกาบรองดอก กลีบดอกโคนเชื่อมติดกันเป็นรุปแจกันสูง ดกบานกลางคืน ดอกออก ก.พ - มิ.ย

ผล: เป็นฝักแห้งแตกแบย ทรงขอบขนาน ยาว ผิวเรียบและแข็ง ฝักบิดไปมา ผลออก มิ.ย - ส.ค

ด้านภูมิทัศน์: ทรงพุ่มใบและฝักสวย ปลูกให้ร่มเงาและเป็นจุดเด่นให้สวนได้

ประโยชน์: ดอกและยอดอ่อนรับประทานได้


“ดอกแคนา” ซึ่งเชื่อกันว่ากินแก้ไข้หัวลม ไข้หัวลมนี่เป็นกัน เมื่ออากาศเปลี่ยน ร่างกายคนปรับตัวไม่ได้เลยครั่นเนื้อครั่นตัวจับไข้กันง่าย กินแกงส้มดอกแครสเปรี้ยวแกมเผ็ดจะหายได้ไม่ต้องกินยา คนโบราณเชื่อว่าอาหารรสเปรี้ยวหรือขมจะทำให้ไม่เป็นไข้



สรรพคุณทางยาของแคคือช่วยแก้ไข้ ลดไข้ นอกจากนี้ยังอุดมด้วยสารอาหารต่างๆ โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีนที่ร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ แค จึงช่วยบำรุงสายตาและต้านมะเร็ง อีกทั้งช่วยเสริมสร้างกระดูก เพราะมีแคลเซียมฟอสฟอรัสสูง เปลือกนำมาต้ม คั้นน้ำแก้ท้องร่วง แก้บิด แก้มูกเลือด คุมธาตุ


ดอกแคปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงาน 33 แคลอรี แคลเซียม 2 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 57 มิลลิกรัม เหล็ก 1.2 มิลลิกรัม เบต้าแคโรทีน 0.51 ไมโครกรัม วิตามินบี1 0.09 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.19 มิลลิกรัม ไนอาซีน 0.5 มิลลิกรัม วิตามินซี 35 มิลลิกรัม


นอกจากนี้ในยอดแคปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงาน 87 แคลอรี มีเส้นใย 7.8 กรัม แคลเซียม 395 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 40 มิลลิกรัม เหล็ก 4.1 มิลลิกรัม เบต้าแคโรทีน 8,654 ไมโครกรัม วิตามินเอ 1,442 ไมโครกรัม วิตามินบี1 0.28 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.33 มิลลิกรัม ไนอาซีน 2.0 มิลลิกรัม วิตามิซี 19 มิลลิกรัม



ข้อ แนะนำ ดอกแคนาจะมีรสขมเฝื่อน กินสดๆไม่ได้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ต้องนำไปลวกโดยใช้เวลาสั้นที่สุด และก่อนนำไปทำอาหารต้องดึงเอาเกสรออกก่อน เพราะจะทำให้มีรสขมน้อยลง  http://www.oknation.net/blog/fools/2011/03/05/entry-1



* img4766jv.jpg (84.14 KB, 640x480 - ดู 2572 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #51 เมื่อ: วันที่ 01 มิถุนายน 2013, 10:23:34 »

ยังจำกันได้หรือเปล่า ผักพื้นบ้าน ยิงฟันยิ้ม

ผักเสี้ยน  หรือผักเสี้ยนดอกขาว คือผักพื้นบ้านพื้นเมืองของเรา  เด็ก ๆ ยุคใหม่ อาจไม่รู้จักผักเสี้ยนพื้นบ้านแบบนี้ แต่อาจจะรู้จักแต่ " ดอกเสี้ยน" สีม่วง สีชมพูที่ปลูกเป็นไม้ประดับสวย ๆ

ผักเสี้ยนดอกขาว  เป็นผักพื้นบ้านที่ขึ้นอยู่ตามสวนตามไร่ ก่อน ๆ ไม่ต้องปลูก ขึ้นและงอกงามได้ทั่วไป โดยเฉพาะตามคอกวัว คอกควาย ที่มีปุ๋ยตามธรรมชาติ ผักเสี้ยนจะขึ้นได้งอกงาม ต้นโต  ชาวบ้านนิยมเก็บยอดผักเสี้ยนเอามาทำเป็นผักดองจิ้มน้ำพริกกะปิ
http://www.gotoknow.org/posts/444038

ภาพผักเสี้ยนผีกินได้ ผักเสี้ยนดอง ผักเสี้ยนพันธุ์ดอก ตามลำดับ ยิ้ม ยิ้ม







IP : บันทึกการเข้า
ผักบุ้งไฟแดง
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 255



« ตอบ #52 เมื่อ: วันที่ 01 มิถุนายน 2013, 15:04:37 »

ผู้ที่ได้รับของรางวัลติดต่อรับของรางวัลก่อนวันอาทิตย์นี้นะครับ หมดเขตถือว่าสละสิทธิ์ ตอนนี้ส่งช้างไปให้คุณผักบุ้งไฟแดงแล้วหนึ่งเชือก รอรับของได้เลยครับ ยิ้ม

ผักบุ้งได้รับช้างน้อยแล้วค่ะ น่ารักมาก   ขอขอบคุณค่ะ ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #53 เมื่อ: วันที่ 02 มิถุนายน 2013, 21:02:24 »

สงสัยอีกสองท่านท่าจะสละสิทธิ์ล่ะ เอาเก็บไว้เล่นใหม่เน๊าะครับ ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #54 เมื่อ: วันที่ 06 มิถุนายน 2013, 16:49:55 »

 "กล้วยนาก"  นิยมรับประทานเป็นผลสุก ใบนำมาประกอบเครื่องบูชาเทวดาในงานมงคลต่างๆได้

          เป็นพืชลุ้มลุก ในตระกูล Musa สูง 3-4 เมตร กาบด้านนอกมีสีเขียวปนแดง ด้านในสีชมพู มีปื้นแดงเป็นแถบ


          ใบ ออกเป็นใบเดี่ยว ก้านใบมีสีชมพูปนแดง ร่องใบเปิดค่อนข้างกว้าง พื้นมีสีเขียวเข้ม ขณะที่ท้องใบจะมีสีชมพู


          ดอก เป็นลักษณะปลีรูปไข่ ปลายแหลม มีสีแดงอมม่วง กาบปลีเปิดม้วนงอขึ้น


          ผล ออกเป็นเครือ เครือหนึ่งมี 5-7 หวี แต่ละหวีมี 14-18 ผล ผลกลมคล้ายกล้วยไข่ เมื่อดิบจะมีสีแดงสดใส เมื่อแก่จัดสีเขียวอมแดง เมื่อสุกสีแดงอมเหลือง เนื้อผลสีเหลืองส้ม รสหวาน กลิ่นหอมเย็น 


          ขยายพันธุ์ แยกหน่อปลูก เติบโตเร็วในทุกสภาพพื้นดิน ที่ระบายน้ำได้ดี มีแสงแดดส่องตลอดวัน


* 189328774_46f2766bbb.jpg (55.92 KB, 400x300 - ดู 984 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
Jan1771
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 129


« ตอบ #55 เมื่อ: วันที่ 06 มิถุนายน 2013, 21:06:12 »

โห..เสียดายแต๊ ๆ เพิ่งเข้ามาอ่านของเปิ้นน่ะ ขะเจ้าหันฮูปต๋อนแรกก็ตายถูกเลยว่าเป็นบ่าขูน บ้านขะเจ้าสมัยละอ่อนบ่ามีหยังกิ๋น เก็บหน่วยบ่าขูนกิ๋นเป็นดีลำขนาด ตางบ้านฮ้องบ่าขูน สะกดสระอู หนา บ่าไจ้บ่าขุน สระอุ๊ ลากเสียงยาวน้อยเน้อ หันปุ๊บก็ตายถูกแต่เสียดายกำลังเข้ามาอ่านผ่อ วันหน้ามีหยังมาตายแหมจะตอบเน้อเจ้า กระทู้นี้เข้าท่าขนาด ไผมีกล้าบ่าเกว๋นขอโตยเน้อเจ้า ยิ้มเท่ห์
IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #56 เมื่อ: วันที่ 06 มิถุนายน 2013, 21:08:47 »

โห..เสียดายแต๊ ๆ เพิ่งเข้ามาอ่านของเปิ้นน่ะ ขะเจ้าหันฮูปต๋อนแรกก็ตายถูกเลยว่าเป็นบ่าขูน บ้านขะเจ้าสมัยละอ่อนบ่ามีหยังกิ๋น เก็บหน่วยบ่าขูนกิ๋นเป็นดีลำขนาด ตางบ้านฮ้องบ่าขูน สะกดสระอู หนา บ่าไจ้บ่าขุน สระอุ๊ ลากเสียงยาวน้อยเน้อ หันปุ๊บก็ตายถูกแต่เสียดายกำลังเข้ามาอ่านผ่อ วันหน้ามีหยังมาตายแหมจะตอบเน้อเจ้า กระทู้นี้เข้าท่าขนาด ไผมีกล้าบ่าเกว๋นขอโตยเน้อเจ้า ยิ้มเท่ห์

ยินดีจ๊าดนักครับ เจอกับเกมส์ใหม่เร็วๆนี้ครับ คอยติดตามนะครับ ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #57 เมื่อ: วันที่ 10 มิถุนายน 2013, 18:43:36 »

มะขามเทศ เรียกกันโดยทั่วไป แพร่เรียก มะขาม

ลักษณะของพืช

เป็นต้นไม้ขนาดกลางหรือขนาดใหญ่ นับว่าเป็นไม้ยืนต้น
ชนิดหนึ่ง ใบสีเขียวใบไม้สดใส ลักษณะใบเล็กๆ กลมๆ ขนาดใหญ่ กว่าใบมะขาม ดอกมีสีขาว เขียว เป็นฝอยๆ ฝักออกมาเป็นลักษณะ บิดงอ มีเปลือกหุ้มเนื้อสีขาวๆ เมล็ดของมะขามเทศอยู่ข้างใน ฝักอ่อน
จะเป็นสีเขียวใบไม้ แก่แล้วจะเป็นสีแดงปนอยู่หรือสีแดงจัด ฝักจะ แตกอ้าออกมองเห็นเนื้อข้างในทีเดียวเมล็ดจะเปลี่ยนเป็นสีดำ รับประทานได้ รสหวานมัน อาจจะมีรสฝาดรวมอยู่เล็กน้อย

การปลูก

มะขามเทศปลูกง่ายมาก สามารถขึ้นได้ทั่วประเทศในที่ดินทั่วไป
จะเห็นว่ามีขึ้นอยู่ตามป่าดง ริมทาง ที่โล่งว่างเปล่าทั่วไป ขยายพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ดหรือตอนกิ่งก็ได้

ส่วนที่ใช้เป็นยา

เอาเปลือกมาใช้ได้ดี


รสและสรรพคุณยาไทย

เอาเปลือกต้นมะขามเทศมาต้ม เอาน้ำมาใช้ล้างบาดแผลสดได้ดีมาก เพราะ
สามารถสมานแผล ห้ามเลือดได้ หรือจะเอาเปลือกต้นมะขามเทศมาต้ม เอาน้ำดื่มแก้อาการท้องร่วงท้องเสียก็
ได้ดีเช่นเดียวกัน เนื้อมะขามเทศรับประทานได้อร่อย เป็นผลไม้ที่ดีอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะเปลือกต้มเอาน้ำฝาดมาย้อม แห วนก็ได้อีก นอกจากเป็นยาแล้วยังใช้ประโยชน์ได้อีกในเรื่องนี้
 http://thailand-an-field.blogspot.com/2009/12/blog-post_5521.html





ประโยชน์ของมะขามเทศ

มะขามเทศ มีวิตามินเอ ซึ่งมีส่วนช่วยในเรื่องการมองเห็น
มะขามเทศมีวิตามินซีสูง ซึ่งมีส่วนช่วยในเรื่องการบำรุงผิว และเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ
มะขามเทศมีวิตามินอีสูง ซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอวัย
มะขามเทศมีวิตามินบี1 ซึ่งช่วยในการบำรุงประสาทและสมอง
มะขามเทศมีวิตามินบี2 ซึ่งมีส่วนช่วยในการบำรุงผิวพรรณ เล็บ และเส้นผม
มะขามเทศมีวิตามินบี 3 (ไนอะซิน) ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอล
มะขามเทศเป็นผลไม้ที่มีแคลเซียมสูง ซึ่งมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างกระดูกและฟัน
มะขามเทศมีฟอสฟอรัส ซึ่งมีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกาย
มะขามเทศมีธาตุเหล็ก ซึ่งมีส่วนช่วยในการป้องกันอาการอ่อนเพลียของร่างกาย
สามารถนำมาทำเป็นสมุนไพรพอกหน้าได้อีกด้วย ด้วยการนำใช้ฝักมะขามเทศที่แก่จัดแล้ว นำมาโขลกเอาแต่น้ำมะขามเทศแล้วนำมาผสมกับน้ำมะขาวและไข่ขาว คนให้เข้ากันจนเป็นครีมเหนียวได้ที่ แล้วนำมา พอกหน้า
มะขามเทศสามารถนำมาประกอบเป็นอาหารได้ เช่น แกงส้ม เป็นต้น
ดอกและใบอ่อนของมะขามเทศ สามารถนำมารับประทานเป็นอาหารได้
มะขามเทศสามารถนำมาใช้ทำยาย้อมผม หรือยาสระผมได้
ใช้นำมาทำเป็นยาย้อมผ้า แห อวน จากน้ำฝากสีดำของมะขามเทศ
เนื้อไม้ของต้นมะขามเทศ สามารถนำมาใช้ทำเป็นเขียงที่มีคุณภาพสูงได้ เพราะเนื้อไม้จะค่อนข้างเหนียวทนทาน
เนื้อไม้ที่นำมาต้มกับน้ำนำมาใช้กับสตรีหลังคลอด
น้ำที่ต้มแล้วนำมาใช้อาบหรืออบไอน้ำได้
ในประเทศอินเดียนิยมนำมาเล็ดมาป่นให้ละเอียดแล้วต้มกับผ้าจะทำให้ผ้าแข็ง เหมือนกับการลงแป้ง
สรรพคุณมะขามเทศในการเป็นยาสมุนไพร ก็คือมีส่วนช่วยในการรักษาโรคโลหิตจาง
ใช้นำมาปรุงเป็นยาแก้ไอได้
เนื้อไม้เมื่อนำมาต้มผสมกับหัวหอมใช้โกรกศีรษะเด็กในยามเช้ามืด จะช่วยแก้หวัดจมูกได้
ช่วยในการขับเสมหะในลำไส้
ช่วยในการสมานแผลห้ามเลือก ด้วยการนำเปลือกมาต้มกับน้ำเอาน้ำฝาดมาใช้กับบาดแผล
ช่วยรักษาโรคปากเปื่อยหรือโรคปากนกกระจอกเทศ ด้วยการนำเปลือกต้นมะขามเทศ โดยเอาเปลือกชั้นนอกออกเหลือแต่เปลือกชั้นในประมาณ 15 กรัม เกลือป่นอีก 1 ช้อนชา แล้วนำมาต้มกับน้ำกะปริมาณพอท่วมยาเล็กน้อยจนน้ำเดือด รอจนน้ำอุ่นแล้วนำมาอมหลังจากแปรงฟันทุกครั้งจะทำให้แผลในปากค่อยๆบรรเทาทุเลาลงได้
ช่วยบรรเทาอาการปวดฟัน ด้วยการนำเปลือกมาต้มกับน้ำรวมกับเปลือกข่อยและเกลือแกง แล้วนำมาอมแก้ปวดฟัน
เปลือกต้นมะขามเทศ ก็ช่วยป้องกันโรคฟันผุได้
มะขามเทศช่วยในการขับถ่าย และช่วยลดปัญหาของอาการท้องผูกอีกด้วย เพราะมีเส้นใยในปริมาณมาก
เมล็ดแก่ของมะขามเทศ เมื่อนำมาคั่วแล้วกะเทาะเปลือก (ประมาณ 30 เม็ด) แล้วนำไปแช่น้ำเกลืออ่อน แล้วนำมารับประทานเป็นยาถ่ายพยาธิไส้เดือนในท้องเด็กได้ด้วย ส่วนเปลือกนอกนั้นก็นำมากินแก้ท้องร่วง และแก้อาเจียนได้อีกเช่นกัน
ช่วยรักษาโรคบิด
ประโยชน์มะขามเทศข้อสุดท้ายก็คือการเปลือกของต้นที่นำมาต้มกับน้ำ สามารถนำมาปรุงเป็นยาแก้ท้องร่วงได้  ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม  [color]

http://www.greenerald.com/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8


IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #58 เมื่อ: วันที่ 12 มิถุนายน 2013, 18:32:31 »

เอ่อจะเอาเกมมาทายเล่นก่อกลั๋วบ่ามีเวลาเอาของรางวัลไปส่งฮื้อ ช่วงนี้งานนักคงต้องรอไปถึงปลายเดือนนู๊นงานจึงจะเบาบางลง วันเสาร์อาทิตย์ไปรษณีก่อบ่ารับส่งของ เอาหยั่งไดดี ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #59 เมื่อ: วันที่ 14 มิถุนายน 2013, 19:26:36 »

บ่ะลิดไม้ หรือ ลิ้นฟ้า ยิงฟันยิ้ม

เป็นพืชที่ขึ้นเองตามธรรมชาติได้ง่าย เมื่อเมล็ดแก่แผ่นเบาบางปลิวตามแรงลมร่วงหล่นตามพื้นดิน ได้น้ำจากสายฝนชุ่มฉ่ำ เจริญเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่อยู่ตามเชิง หุบเขา ริมห้วย ริมลำธาร ตามท้องทุ่งริมทาง ตามป่าละเมาะใกล้หมู่บ้าน ออกดอกออกฝัก ดังนั้นชาวบ้านจึงเก็บมากินโดยไม่ต้องซื้อหาแต่อย่างใด

บ่ะลิ้ดไม้ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Oroxylum indicum (Linn.) Vent. เป็นไม้ยืนต้นสูงชะลูดขนาดกลาง แตกกิ่งก้านบนยอดสูง ใบออกเป็นช่อใหญ่อยู่ที่ปลายกิ่ง มีลักษณะเป็นรูปไข่ ปลายใบแหลม ดอกออกเป็นช่อใหญ่ตรงยอด มีสีม่วงอมแดง บางทีก็สีน้ำตาลคล้ำ ผลออกเป็นฝักแบนยาวคล้ายดาบ กว้างประมาณ 2.4-9 ซม. ยาว 60-120 ซม. ปลายฝักแหลม ตรงกลางขอบมีรอยโป่งเล็กน้อย เมื่อฝักแก่ รอบข้างของฝักจะปริแตก ข้างในมีเมล็ดมากมาย  เมล็ดมีลักษณะแบน มีเยื่อบางใสหุ้มอยู่โดยรอบเมล็ด  ลิ้นฟ้า  คนจีนเรียกว่า "โซยเตียจั้ว" ใช้เป็นส่วนผสมตัวหนึ่งของน้ำจับเลี้ยง ดื่มแก้กระหายคลายร้อน ดับร้อนในได้เป็นอย่างดี ส่วนเปลือกของต้นลิ้นฟ้า ผู้เฒ่าผู้แก่จะเอามาต้มน้ำให้แม่ลูกอ่อนดื่ม ช่วยขับน้ำคาวปลา ให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น ดับพิษโลหิต และบำรุงเลือด  นอกจากนี้ชาวบ้านยังเอาเปลือกบ่ะลิ้ดไม้ไปเผาไฟ จากนั้นก็นำมาแช่น้ำเย็น เอาน้ำนั่นแหละดื่มแก้ร้อนในได้ชะงัดนัก

บ่ะลิ้ดไม้กินเป็นผักได้แซบ ขมอำรำ ตั้งแต่ยอดอ่อน ดอกอ่อน และฝักอ่อน โดยจะมีให้เก็บกินกันตลอดปี จะมีมากในช่วงปลายฝนต้นหนาว  วิธีการเก็บฝักบ่ะลิ้ดไม้ต้องใช้ไม้สอยเอา เพราะฝักอยู่ยอดต้น เลือกที่มีเปลือกสีเขียว ฝักไม่ใหญ่มาก เมื่อสอยลงมาใช้เล็บจิกได้ แสดงว่าฝักอ่อนกำลังกิน

ยอดกับดอก เวลาจะกินก็เพียงนำไปต้ม หรือลวกเสียก่อน กินเป็นผักจิ้มน้ำพริก  ส่วนฝักอ่อนนั้นคนทางเหนือจะเอาไปเผาไฟ ใช้ไฟแรงสักหน่อยจนเปลือกพองไหม้ทั่ว และฝักบ่ะลิ้ดไม้อ่อนตัว แล้วแช่น้ำลอกเอาเปลือกที่ไหม้ออก จึงนำไปต้มจนสุกนุ่มอีกครั้ง รสขมในฝักบักลิ้นฟ้าจะอ่อนลง แต่ทางภาคอีสานนิยมเผาแล้วแช่น้ำลอกเอาเปลือกที่ไหม้ออกเท่านั้น จากนั้นหั่นเป็นชิ้นตามขวาง หนาพอประมาณ นิยมกินเป็นผักจิ้มน้ำพริก และกินแกล้มกับลาบอย่างยิ่ง เพราะมีรสขมนิดๆ อมรสหวาน หน่อยๆ เนื้อนุ่มไปกันได้ดีกับอาหารรสจัด

นอกจากจะเผาต้มจิ้มน้ำพริกแล้ว อาจเคี่ยวหัวกะทิมาราด หรือต้มลงในกะทิจนเข้าเนื้อฝักบ่ะลิ้ดไม้ เนื้อจะนุ่มมันแซบ ขมอำรำ  ฝักบ่ะลิ้ดไม้ยังใช้เป็นผักใส่ในแกง คั่ว ยำ ผัด  หรือทำแกงอ่อมปลาดุกใส่ฝักบ่ะลิ้ดไม้แทนใบยอก็แซบ ขมอำรำ จะออกรสขมอ่อนๆ เหมือนใบยอนั่นแหละ    ฝักบ่ะลิ้ดไม้มีสรรพคุณช่วยขับลม ขับเสมหะ ถ้ากินบ่อยนักก็ไม่ดี จะทำให้เป็นต้อเนื้อที่ตาได้ http://www.isan.clubs.chula.ac.th/para_norkhai/?transaction=post_view.php&cat_main=1&id_main=75&star=0   [color]






IP : บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 7 8 9 10 11 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!