เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 27 เมษายน 2024, 20:41:47
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  การเกษตร,ฟาร์มสัตว์,ปศุสัตว์ (ผู้ดูแล: bm farm)
| | |-+  บทความ"ความเหมือนที่แตกต่าง ระหว่างเดนมาร์ก-ไทย"
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน บทความ"ความเหมือนที่แตกต่าง ระหว่างเดนมาร์ก-ไทย"  (อ่าน 420 ครั้ง)
sabaidree
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 565


« เมื่อ: วันที่ 04 พฤษภาคม 2013, 08:53:13 »

ต้นกย. ๒๕๕๒ ผมเพิ่งกลับจากการเยือนเดนมาร์กเพื่อร่วมมือทำงานวิจัยด้านกังหันลมกับนักวิชาการเดนมาร์ก (ซึ่งเป็นแดนกังหันลมตัวจริง ไม่ใช่เนเธอร์แลนด์ซึ่งมีกังหันลมน้อยมาก) ก็เลยถือโอกาสเข้าไปเยี่ยมสวีเดนซึ่งมีพรมแดนติดกัน เป็นสองประเทศเล็กๆในแถบแสกนดิเนเวีย ซึ่งถือว่าเป็นประเทศได้พัฒนามานานแล้ว มีระบบรัฐสวัสดิการที่ดีที่สุดในโลกเลื่องชื่อมานาน

สวีเดนนั้นมีประชากรเพียงแค่ 9 ล้านคนเท่านั้นแต่รัฐในอดีตได้กำหยดนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง จนมีอุตสาหกรรมหนักมากมายหลายอย่างเช่น เครื่องบิน รถยนต์ เรือเดินสมุทร รายได้ส่วนใหญ่ของประเทศจึงมาจากอุตสาหกรรม มีพื้นที่เกษตรกรรมเพียงประมาณ 5% เท่านั้น

ส่วนเดนมาร์กประเทศติดกัน มีประชากร 5 ล้านคน เชื้อสายไวกิ้งเหมือนสวีเดน กลับมีนโยบายในการพัฒนาประเทศแบบตรงข้ามกับสวีเดน คือกำหนดให้เป็นประเทศเกษตรกรรม รายได้ประชาชาติมาจากเกษตรกรรมถึง 30% ที่เหลืออีก 70% มาจากภาคบริการ เพราะเดนมาร์กแทบไม่มีอุตสาหกรรมอะไรเลย นอกจากอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรนั่นเอง อุตสาหกรรมใหม่ที่เคยทำรายได้ให้ดีพอควรคือกังหันลม แต่บัดนี้แทบไม่ได้ทำรายได้เพราะรัฐบาลชุดที่ผ่านมาซึ่งครองอำนาจมานาน ไม่สนใจกังหันลมเท่าที่ควร ปล่อยให้อุตสาหกรรมกังหันลมเอกชนเจ๊งกันระเนระนาด

ที่น่าสนใจคือประเทศหนึ่งเน้นหนักอุตสาหกรรม ส่วนอีกประเทศหนึ่งเน้นหนักเกษตรกรรม แต่สองประเทศนี้กลับร่ำรวยพอฟัดพอเหวี่ยงกันมาโดยตลอด โดยมีรายได้ประชาชาติต่อหัว (per capita income) อยู่ในระดับสูงสุดในโลกมาโดยตลอด

แต่ที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นคือ ช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมานี้เศรษฐกิจเดนมาร์กแซงหน้าสวีเดนไปแล้ว ทำให้เงินโครนของเดนมาร์กแข็งกว่าเงินโครนสวีเดนตั้งเกือบ 20% และเดนมาร์กก็ได้รับการโหวตจากนักข่าวทั่วโลกให้เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลกอีกด้วย (ทั้งที่ค่าครองชีพติดอันดับแพงที่สุดในโลก ส่วนสหรัฐฯติดอันดับประมาณ 35 และอังกฤษติดประมาณ 40)

ผมวิเคราะห์ว่าที่เดนมาร์กแซงสวีเดนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้เป็นเพราะเศรษฐกิจโลกตกต่ำทำให้ชะลอการซื้อสินค้าอุตสาหกรรม แต่ตกต่ำอย่างไรคนก็ยังต้องกิน ดังนั้นสินค้าเกษตรของเดนมาร์กจึงยังขายได้ดีกว่าสินค้าอุตสาหกรรมของสวีเดน

เดนมารก์เป็นประเทศเดียวในสหภาพยุโรปที่มีรายได้จากการส่งอาหารออกสุทธิ (ส่งออกมากกว่าซื้อเข้า) เดนมารก์นี้จึงถือได้ว่าเป็นครัว (เล็กๆ) ของยุโรปทีเดียว

แต่ที่น่าเศร้าที่สุดคือ ประเทศไทยเรา กำลังวางนโยบายตามอย่างสวีเดน (เมกาฯ ญี่ปุ่น และ อื่นๆ) เพื่อให้เรากลายเป็นประเทศอุตสาหกรรม แทนที่จะตามอย่างเดนมาร์ก โดยนักการเมือง และนักวิชาการที่ปรึกษา ต่างพากันคิดแบบทึ่มๆมานานนมแล้วว่าสินค้าเกษตรมันราคาถูกกว่าสินค้าอุตสาหกรรมมากนัก ดังนั้นถ้าอยากรวยก็ต้องทำอุตสาหกรรมสิ (ซึ่งผมได้เขียนบทความแสดงการคำนวณให้เห็นมาแล้วว่า เป็นการคิดที่ผิดมหันต์ เพราะราคาอาหารนั้นสูงกว่าคอมพิวเตอร์นับ100เท่า...เมื่อเทียบส่วนการบริโภคต่อหน่วยเวลาบริโภคเข้าไปแล้ว

ไทยเรานั้นมีภูมิอากาศเหมาะกว่าเดนมาร์กในทำเกษตรมากนัก เพราะของเขาเมืองหนาว ทำเกษตรได้ปีละ 6 เดือน แถมฝนตกปีละเพียงประมาณ 600 มิล ของเราเฉลี่ย 1200มิล ทำเกษตรได้ทั้งปี อีสานของเราที่สส.อ้างว่าแล้งหนักหนา (เลยต้องของบพัฒนาพิเศษ) ฝนตกปีละ 900 มิล เข้าไปแล้ว ความหนาแน่นประชากรเดนมาร์กก็ตกเข้าไป 250 คน ต่อ ตร.กม. มากกว่าเราตั้งสองเท่า คือเรามีพื้นที่ทำเกษตรมากกว่าเขาสองเท่านั่นเอง

ดังนั้นถ้าเราส่งเสริมการเกษตรของเราให้ดี มีการสร้างอุตสาหกรรมเกษตร มีการวิจัยจากมหาลัยรองรับเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ดี (แทนการส่งออกแบบดิบๆ เช่นปัจจุบัน) รับรองได้ว่าเราเป็นมหาเศรษฐีโลกแน่ๆ เมื่อคิดเทียบอัตราส่วนบัญญัติไตรยางศ์ของฝนตก และพื้นที่การทำเกษตรของเราที่มากกว่าสองเท่า เราน่าจะทำรายได้ต่อหัวประชากรได้มากกว่าเดนมาร์ก 4 เท่า ซึ่งจะทำให้ไทยเป็นประเทศรวยที่สุดในโลกอย่างที่ทิ้งที่สองมองไม่เห็นฝุ่นทีเดียว

ผมเขียนมาหลายครั้งแล้วในประเด็นนี้ ก่อนแต่จะไปเห็นเดนมาร์ก จนความหวังผมริบหรี่ลงไปทุกวันทุกครั้งที่มองเห็นทุ่งนาท้องไร่ไทยที่เคยงดงามชะอุ่มถูกปล่อยรกร้าง หญ้าคลุมทั้งประเทศ (โดยเฉพาะอีสาน) เพราะเกษตรกรทิ้งนาเข้ามาทำงานเป็นขี้ข้านายทุนต่างชาติตามนิคมอุตสาหกรรมริมทะเลเสียหมด ตามนโยบายสร้างชาติ (แบบทึ่มๆ) ของรัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมา

เฮ้อ..ผมสังเกตว่าผู้ที่ทำร้ายสังคมไทยมากที่สุด ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือรัฐบาลไทยเรานี่แหละ ถ้ารธน. กำหนดว่าห้ามมีรัฐบาลบริหารประเทศไปเสียเลย ป่านนี้ผมว่าประเทศเราเจริญกว่านี้มากหลายขุมไปแล้ว

หมดที่พึ่งจริงๆ คงต้องฝากความหวังไว้กับการเมืองใหม่ (และเกษตรใหม่ มหาวิทยาลัยใหม่ด้วย)

อย่าลืมด้วยว่ายามโลกล่มสลาย (ซึ่งมันจะล่มแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว ถ้าแนวทางทุนนิยมผสมปชต.ยังดำเนินไปในรูปแบบเดิมๆ) เรากินมือถือ โทรทัศน์ รถยนต์ ไม่ได้ แต่เรากินการเกษตรได้ ก็ยังพอประทังชีวิต พอได้มีเวลาคิดหาหนทางเอาชีวิตรอดกันต่อไป



...ทวิช จิตรสมบูรณ์ ๒ ตค. ๕๒
IP : บันทึกการเข้า
Markja
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 459



« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 22 พฤษภาคม 2013, 15:47:16 »

ต้นกย. ๒๕๕๒ ผมเพิ่งกลับจากการเยือนเดนมาร์กเพื่อร่วมมือทำงานวิจัยด้านกังหันลมกับนักวิชาการเดนมาร์ก (ซึ่งเป็นแดนกังหันลมตัวจริง ไม่ใช่เนเธอร์แลนด์ซึ่งมีกังหันลมน้อยมาก) ก็เลยถือโอกาสเข้าไปเยี่ยมสวีเดนซึ่งมีพรมแดนติดกัน เป็นสองประเทศเล็กๆในแถบแสกนดิเนเวีย ซึ่งถือว่าเป็นประเทศได้พัฒนามานานแล้ว มีระบบรัฐสวัสดิการที่ดีที่สุดในโลกเลื่องชื่อมานาน

สวีเดนนั้นมีประชากรเพียงแค่ 9 ล้านคนเท่านั้นแต่รัฐในอดีตได้กำหยดนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง จนมีอุตสาหกรรมหนักมากมายหลายอย่างเช่น เครื่องบิน รถยนต์ เรือเดินสมุทร รายได้ส่วนใหญ่ของประเทศจึงมาจากอุตสาหกรรม มีพื้นที่เกษตรกรรมเพียงประมาณ 5% เท่านั้น

ส่วนเดนมาร์กประเทศติดกัน มีประชากร 5 ล้านคน เชื้อสายไวกิ้งเหมือนสวีเดน กลับมีนโยบายในการพัฒนาประเทศแบบตรงข้ามกับสวีเดน คือกำหนดให้เป็นประเทศเกษตรกรรม รายได้ประชาชาติมาจากเกษตรกรรมถึง 30% ที่เหลืออีก 70% มาจากภาคบริการ เพราะเดนมาร์กแทบไม่มีอุตสาหกรรมอะไรเลย นอกจากอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรนั่นเอง อุตสาหกรรมใหม่ที่เคยทำรายได้ให้ดีพอควรคือกังหันลม แต่บัดนี้แทบไม่ได้ทำรายได้เพราะรัฐบาลชุดที่ผ่านมาซึ่งครองอำนาจมานาน ไม่สนใจกังหันลมเท่าที่ควร ปล่อยให้อุตสาหกรรมกังหันลมเอกชนเจ๊งกันระเนระนาด

ที่น่าสนใจคือประเทศหนึ่งเน้นหนักอุตสาหกรรม ส่วนอีกประเทศหนึ่งเน้นหนักเกษตรกรรม แต่สองประเทศนี้กลับร่ำรวยพอฟัดพอเหวี่ยงกันมาโดยตลอด โดยมีรายได้ประชาชาติต่อหัว (per capita income) อยู่ในระดับสูงสุดในโลกมาโดยตลอด

แต่ที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นคือ ช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมานี้เศรษฐกิจเดนมาร์กแซงหน้าสวีเดนไปแล้ว ทำให้เงินโครนของเดนมาร์กแข็งกว่าเงินโครนสวีเดนตั้งเกือบ 20% และเดนมาร์กก็ได้รับการโหวตจากนักข่าวทั่วโลกให้เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลกอีกด้วย (ทั้งที่ค่าครองชีพติดอันดับแพงที่สุดในโลก ส่วนสหรัฐฯติดอันดับประมาณ 35 และอังกฤษติดประมาณ 40)

ผมวิเคราะห์ว่าที่เดนมาร์กแซงสวีเดนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้เป็นเพราะเศรษฐกิจโลกตกต่ำทำให้ชะลอการซื้อสินค้าอุตสาหกรรม แต่ตกต่ำอย่างไรคนก็ยังต้องกิน ดังนั้นสินค้าเกษตรของเดนมาร์กจึงยังขายได้ดีกว่าสินค้าอุตสาหกรรมของสวีเดน

เดนมารก์เป็นประเทศเดียวในสหภาพยุโรปที่มีรายได้จากการส่งอาหารออกสุทธิ (ส่งออกมากกว่าซื้อเข้า) เดนมารก์นี้จึงถือได้ว่าเป็นครัว (เล็กๆ) ของยุโรปทีเดียว

แต่ที่น่าเศร้าที่สุดคือ ประเทศไทยเรา กำลังวางนโยบายตามอย่างสวีเดน (เมกาฯ ญี่ปุ่น และ อื่นๆ) เพื่อให้เรากลายเป็นประเทศอุตสาหกรรม แทนที่จะตามอย่างเดนมาร์ก โดยนักการเมือง และนักวิชาการที่ปรึกษา ต่างพากันคิดแบบทึ่มๆมานานนมแล้วว่าสินค้าเกษตรมันราคาถูกกว่าสินค้าอุตสาหกรรมมากนัก ดังนั้นถ้าอยากรวยก็ต้องทำอุตสาหกรรมสิ (ซึ่งผมได้เขียนบทความแสดงการคำนวณให้เห็นมาแล้วว่า เป็นการคิดที่ผิดมหันต์ เพราะราคาอาหารนั้นสูงกว่าคอมพิวเตอร์นับ100เท่า...เมื่อเทียบส่วนการบริโภคต่อหน่วยเวลาบริโภคเข้าไปแล้ว

ไทยเรานั้นมีภูมิอากาศเหมาะกว่าเดนมาร์กในทำเกษตรมากนัก เพราะของเขาเมืองหนาว ทำเกษตรได้ปีละ 6 เดือน แถมฝนตกปีละเพียงประมาณ 600 มิล ของเราเฉลี่ย 1200มิล ทำเกษตรได้ทั้งปี อีสานของเราที่สส.อ้างว่าแล้งหนักหนา (เลยต้องของบพัฒนาพิเศษ) ฝนตกปีละ 900 มิล เข้าไปแล้ว ความหนาแน่นประชากรเดนมาร์กก็ตกเข้าไป 250 คน ต่อ ตร.กม. มากกว่าเราตั้งสองเท่า คือเรามีพื้นที่ทำเกษตรมากกว่าเขาสองเท่านั่นเอง

ดังนั้นถ้าเราส่งเสริมการเกษตรของเราให้ดี มีการสร้างอุตสาหกรรมเกษตร มีการวิจัยจากมหาลัยรองรับเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ดี (แทนการส่งออกแบบดิบๆ เช่นปัจจุบัน) รับรองได้ว่าเราเป็นมหาเศรษฐีโลกแน่ๆ เมื่อคิดเทียบอัตราส่วนบัญญัติไตรยางศ์ของฝนตก และพื้นที่การทำเกษตรของเราที่มากกว่าสองเท่า เราน่าจะทำรายได้ต่อหัวประชากรได้มากกว่าเดนมาร์ก 4 เท่า ซึ่งจะทำให้ไทยเป็นประเทศรวยที่สุดในโลกอย่างที่ทิ้งที่สองมองไม่เห็นฝุ่นทีเดียว

ผมเขียนมาหลายครั้งแล้วในประเด็นนี้ ก่อนแต่จะไปเห็นเดนมาร์ก จนความหวังผมริบหรี่ลงไปทุกวันทุกครั้งที่มองเห็นทุ่งนาท้องไร่ไทยที่เคยงดงามชะอุ่มถูกปล่อยรกร้าง หญ้าคลุมทั้งประเทศ (โดยเฉพาะอีสาน) เพราะเกษตรกรทิ้งนาเข้ามาทำงานเป็นขี้ข้านายทุนต่างชาติตามนิคมอุตสาหกรรมริมทะเลเสียหมด ตามนโยบายสร้างชาติ (แบบทึ่มๆ) ของรัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมา

เฮ้อ..ผมสังเกตว่าผู้ที่ทำร้ายสังคมไทยมากที่สุด ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือรัฐบาลไทยเรานี่แหละ ถ้ารธน. กำหนดว่าห้ามมีรัฐบาลบริหารประเทศไปเสียเลย ป่านนี้ผมว่าประเทศเราเจริญกว่านี้มากหลายขุมไปแล้ว

หมดที่พึ่งจริงๆ คงต้องฝากความหวังไว้กับการเมืองใหม่ (และเกษตรใหม่ มหาวิทยาลัยใหม่ด้วย)

อย่าลืมด้วยว่ายามโลกล่มสลาย (ซึ่งมันจะล่มแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว ถ้าแนวทางทุนนิยมผสมปชต.ยังดำเนินไปในรูปแบบเดิมๆ) เรากินมือถือ โทรทัศน์ รถยนต์ ไม่ได้ แต่เรากินการเกษตรได้ ก็ยังพอประทังชีวิต พอได้มีเวลาคิดหาหนทางเอาชีวิตรอดกันต่อไป



...ทวิช จิตรสมบูรณ์ ๒ ตค. ๕๒


ขอบคุณสำหรับบทความและข้อคิดดี ๆ และขอเป็นอีก 1 เสียงในการสนับสนุนครับ
ตามท่านด้วยคนครับ.. ยิ้ม ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
kn007
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 670



« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 22 พฤษภาคม 2013, 16:30:22 »

ต้นกย. ๒๕๕๒ ผมเพิ่งกลับจากการเยือนเดนมาร์กเพื่อร่วมมือทำงานวิจัยด้านกังหันลมกับนักวิชาการเดนมาร์ก (ซึ่งเป็นแดนกังหันลมตัวจริง ไม่ใช่เนเธอร์แลนด์ซึ่งมีกังหันลมน้อยมาก) ก็เลยถือโอกาสเข้าไปเยี่ยมสวีเดนซึ่งมีพรมแดนติดกัน เป็นสองประเทศเล็กๆในแถบแสกนดิเนเวีย ซึ่งถือว่าเป็นประเทศได้พัฒนามานานแล้ว มีระบบรัฐสวัสดิการที่ดีที่สุดในโลกเลื่องชื่อมานาน

สวีเดนนั้นมีประชากรเพียงแค่ 9 ล้านคนเท่านั้นแต่รัฐในอดีตได้กำหยดนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง จนมีอุตสาหกรรมหนักมากมายหลายอย่างเช่น เครื่องบิน รถยนต์ เรือเดินสมุทร รายได้ส่วนใหญ่ของประเทศจึงมาจากอุตสาหกรรม มีพื้นที่เกษตรกรรมเพียงประมาณ 5% เท่านั้น

ส่วนเดนมาร์กประเทศติดกัน มีประชากร 5 ล้านคน เชื้อสายไวกิ้งเหมือนสวีเดน กลับมีนโยบายในการพัฒนาประเทศแบบตรงข้ามกับสวีเดน คือกำหนดให้เป็นประเทศเกษตรกรรม รายได้ประชาชาติมาจากเกษตรกรรมถึง 30% ที่เหลืออีก 70% มาจากภาคบริการ เพราะเดนมาร์กแทบไม่มีอุตสาหกรรมอะไรเลย นอกจากอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรนั่นเอง อุตสาหกรรมใหม่ที่เคยทำรายได้ให้ดีพอควรคือกังหันลม แต่บัดนี้แทบไม่ได้ทำรายได้เพราะรัฐบาลชุดที่ผ่านมาซึ่งครองอำนาจมานาน ไม่สนใจกังหันลมเท่าที่ควร ปล่อยให้อุตสาหกรรมกังหันลมเอกชนเจ๊งกันระเนระนาด

ที่น่าสนใจคือประเทศหนึ่งเน้นหนักอุตสาหกรรม ส่วนอีกประเทศหนึ่งเน้นหนักเกษตรกรรม แต่สองประเทศนี้กลับร่ำรวยพอฟัดพอเหวี่ยงกันมาโดยตลอด โดยมีรายได้ประชาชาติต่อหัว (per capita income) อยู่ในระดับสูงสุดในโลกมาโดยตลอด

แต่ที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นคือ ช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมานี้เศรษฐกิจเดนมาร์กแซงหน้าสวีเดนไปแล้ว ทำให้เงินโครนของเดนมาร์กแข็งกว่าเงินโครนสวีเดนตั้งเกือบ 20% และเดนมาร์กก็ได้รับการโหวตจากนักข่าวทั่วโลกให้เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลกอีกด้วย (ทั้งที่ค่าครองชีพติดอันดับแพงที่สุดในโลก ส่วนสหรัฐฯติดอันดับประมาณ 35 และอังกฤษติดประมาณ 40)

ผมวิเคราะห์ว่าที่เดนมาร์กแซงสวีเดนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้เป็นเพราะเศรษฐกิจโลกตกต่ำทำให้ชะลอการซื้อสินค้าอุตสาหกรรม แต่ตกต่ำอย่างไรคนก็ยังต้องกิน ดังนั้นสินค้าเกษตรของเดนมาร์กจึงยังขายได้ดีกว่าสินค้าอุตสาหกรรมของสวีเดน

เดนมารก์เป็นประเทศเดียวในสหภาพยุโรปที่มีรายได้จากการส่งอาหารออกสุทธิ (ส่งออกมากกว่าซื้อเข้า) เดนมารก์นี้จึงถือได้ว่าเป็นครัว (เล็กๆ) ของยุโรปทีเดียว

แต่ที่น่าเศร้าที่สุดคือ ประเทศไทยเรา กำลังวางนโยบายตามอย่างสวีเดน (เมกาฯ ญี่ปุ่น และ อื่นๆ) เพื่อให้เรากลายเป็นประเทศอุตสาหกรรม แทนที่จะตามอย่างเดนมาร์ก โดยนักการเมือง และนักวิชาการที่ปรึกษา ต่างพากันคิดแบบทึ่มๆมานานนมแล้วว่าสินค้าเกษตรมันราคาถูกกว่าสินค้าอุตสาหกรรมมากนัก ดังนั้นถ้าอยากรวยก็ต้องทำอุตสาหกรรมสิ (ซึ่งผมได้เขียนบทความแสดงการคำนวณให้เห็นมาแล้วว่า เป็นการคิดที่ผิดมหันต์ เพราะราคาอาหารนั้นสูงกว่าคอมพิวเตอร์นับ100เท่า...เมื่อเทียบส่วนการบริโภคต่อหน่วยเวลาบริโภคเข้าไปแล้ว

ไทยเรานั้นมีภูมิอากาศเหมาะกว่าเดนมาร์กในทำเกษตรมากนัก เพราะของเขาเมืองหนาว ทำเกษตรได้ปีละ 6 เดือน แถมฝนตกปีละเพียงประมาณ 600 มิล ของเราเฉลี่ย 1200มิล ทำเกษตรได้ทั้งปี อีสานของเราที่สส.อ้างว่าแล้งหนักหนา (เลยต้องของบพัฒนาพิเศษ) ฝนตกปีละ 900 มิล เข้าไปแล้ว ความหนาแน่นประชากรเดนมาร์กก็ตกเข้าไป 250 คน ต่อ ตร.กม. มากกว่าเราตั้งสองเท่า คือเรามีพื้นที่ทำเกษตรมากกว่าเขาสองเท่านั่นเอง

ดังนั้นถ้าเราส่งเสริมการเกษตรของเราให้ดี มีการสร้างอุตสาหกรรมเกษตร มีการวิจัยจากมหาลัยรองรับเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ดี (แทนการส่งออกแบบดิบๆ เช่นปัจจุบัน) รับรองได้ว่าเราเป็นมหาเศรษฐีโลกแน่ๆ เมื่อคิดเทียบอัตราส่วนบัญญัติไตรยางศ์ของฝนตก และพื้นที่การทำเกษตรของเราที่มากกว่าสองเท่า เราน่าจะทำรายได้ต่อหัวประชากรได้มากกว่าเดนมาร์ก 4 เท่า ซึ่งจะทำให้ไทยเป็นประเทศรวยที่สุดในโลกอย่างที่ทิ้งที่สองมองไม่เห็นฝุ่นทีเดียว

ผมเขียนมาหลายครั้งแล้วในประเด็นนี้ ก่อนแต่จะไปเห็นเดนมาร์ก จนความหวังผมริบหรี่ลงไปทุกวันทุกครั้งที่มองเห็นทุ่งนาท้องไร่ไทยที่เคยงดงามชะอุ่มถูกปล่อยรกร้าง หญ้าคลุมทั้งประเทศ (โดยเฉพาะอีสาน) เพราะเกษตรกรทิ้งนาเข้ามาทำงานเป็นขี้ข้านายทุนต่างชาติตามนิคมอุตสาหกรรมริมทะเลเสียหมด ตามนโยบายสร้างชาติ (แบบทึ่มๆ) ของรัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมา

เฮ้อ..ผมสังเกตว่าผู้ที่ทำร้ายสังคมไทยมากที่สุด ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือรัฐบาลไทยเรานี่แหละ ถ้ารธน. กำหนดว่าห้ามมีรัฐบาลบริหารประเทศไปเสียเลย ป่านนี้ผมว่าประเทศเราเจริญกว่านี้มากหลายขุมไปแล้ว

หมดที่พึ่งจริงๆ คงต้องฝากความหวังไว้กับการเมืองใหม่ (และเกษตรใหม่ มหาวิทยาลัยใหม่ด้วย)

อย่าลืมด้วยว่ายามโลกล่มสลาย (ซึ่งมันจะล่มแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว ถ้าแนวทางทุนนิยมผสมปชต.ยังดำเนินไปในรูปแบบเดิมๆ) เรากินมือถือ โทรทัศน์ รถยนต์ ไม่ได้ แต่เรากินการเกษตรได้ ก็ยังพอประทังชีวิต พอได้มีเวลาคิดหาหนทางเอาชีวิตรอดกันต่อไป



...ทวิช จิตรสมบูรณ์ ๒ ตค. ๕๒


ขอบคุณสำหรับบทความและข้อคิดดี ๆ และขอเป็นอีก 1 เสียงในการสนับสนุนครับ
ตามท่านด้วยคนครับ.. ยิ้ม ยิ้ม
ต้นกย. ๒๕๕๒ ผมเพิ่งกลับจากการเยือนเดนมาร์กเพื่อร่วมมือทำงานวิจัยด้านกังหันลมกับนักวิชาการเดนมาร์ก (ซึ่งเป็นแดนกังหันลมตัวจริง ไม่ใช่เนเธอร์แลนด์ซึ่งมีกังหันลมน้อยมาก) ก็เลยถือโอกาสเข้าไปเยี่ยมสวีเดนซึ่งมีพรมแดนติดกัน เป็นสองประเทศเล็กๆในแถบแสกนดิเนเวีย ซึ่งถือว่าเป็นประเทศได้พัฒนามานานแล้ว มีระบบรัฐสวัสดิการที่ดีที่สุดในโลกเลื่องชื่อมานาน

สวีเดนนั้นมีประชากรเพียงแค่ 9 ล้านคนเท่านั้นแต่รัฐในอดีตได้กำหยดนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง จนมีอุตสาหกรรมหนักมากมายหลายอย่างเช่น เครื่องบิน รถยนต์ เรือเดินสมุทร รายได้ส่วนใหญ่ของประเทศจึงมาจากอุตสาหกรรม มีพื้นที่เกษตรกรรมเพียงประมาณ 5% เท่านั้น

ส่วนเดนมาร์กประเทศติดกัน มีประชากร 5 ล้านคน เชื้อสายไวกิ้งเหมือนสวีเดน กลับมีนโยบายในการพัฒนาประเทศแบบตรงข้ามกับสวีเดน คือกำหนดให้เป็นประเทศเกษตรกรรม รายได้ประชาชาติมาจากเกษตรกรรมถึง 30% ที่เหลืออีก 70% มาจากภาคบริการ เพราะเดนมาร์กแทบไม่มีอุตสาหกรรมอะไรเลย นอกจากอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรนั่นเอง อุตสาหกรรมใหม่ที่เคยทำรายได้ให้ดีพอควรคือกังหันลม แต่บัดนี้แทบไม่ได้ทำรายได้เพราะรัฐบาลชุดที่ผ่านมาซึ่งครองอำนาจมานาน ไม่สนใจกังหันลมเท่าที่ควร ปล่อยให้อุตสาหกรรมกังหันลมเอกชนเจ๊งกันระเนระนาด

ที่น่าสนใจคือประเทศหนึ่งเน้นหนักอุตสาหกรรม ส่วนอีกประเทศหนึ่งเน้นหนักเกษตรกรรม แต่สองประเทศนี้กลับร่ำรวยพอฟัดพอเหวี่ยงกันมาโดยตลอด โดยมีรายได้ประชาชาติต่อหัว (per capita income) อยู่ในระดับสูงสุดในโลกมาโดยตลอด

แต่ที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นคือ ช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมานี้เศรษฐกิจเดนมาร์กแซงหน้าสวีเดนไปแล้ว ทำให้เงินโครนของเดนมาร์กแข็งกว่าเงินโครนสวีเดนตั้งเกือบ 20% และเดนมาร์กก็ได้รับการโหวตจากนักข่าวทั่วโลกให้เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลกอีกด้วย (ทั้งที่ค่าครองชีพติดอันดับแพงที่สุดในโลก ส่วนสหรัฐฯติดอันดับประมาณ 35 และอังกฤษติดประมาณ 40)

ผมวิเคราะห์ว่าที่เดนมาร์กแซงสวีเดนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้เป็นเพราะเศรษฐกิจโลกตกต่ำทำให้ชะลอการซื้อสินค้าอุตสาหกรรม แต่ตกต่ำอย่างไรคนก็ยังต้องกิน ดังนั้นสินค้าเกษตรของเดนมาร์กจึงยังขายได้ดีกว่าสินค้าอุตสาหกรรมของสวีเดน

เดนมารก์เป็นประเทศเดียวในสหภาพยุโรปที่มีรายได้จากการส่งอาหารออกสุทธิ (ส่งออกมากกว่าซื้อเข้า) เดนมารก์นี้จึงถือได้ว่าเป็นครัว (เล็กๆ) ของยุโรปทีเดียว

แต่ที่น่าเศร้าที่สุดคือ ประเทศไทยเรา กำลังวางนโยบายตามอย่างสวีเดน (เมกาฯ ญี่ปุ่น และ อื่นๆ) เพื่อให้เรากลายเป็นประเทศอุตสาหกรรม แทนที่จะตามอย่างเดนมาร์ก โดยนักการเมือง และนักวิชาการที่ปรึกษา ต่างพากันคิดแบบทึ่มๆมานานนมแล้วว่าสินค้าเกษตรมันราคาถูกกว่าสินค้าอุตสาหกรรมมากนัก ดังนั้นถ้าอยากรวยก็ต้องทำอุตสาหกรรมสิ (ซึ่งผมได้เขียนบทความแสดงการคำนวณให้เห็นมาแล้วว่า เป็นการคิดที่ผิดมหันต์ เพราะราคาอาหารนั้นสูงกว่าคอมพิวเตอร์นับ100เท่า...เมื่อเทียบส่วนการบริโภคต่อหน่วยเวลาบริโภคเข้าไปแล้ว

ไทยเรานั้นมีภูมิอากาศเหมาะกว่าเดนมาร์กในทำเกษตรมากนัก เพราะของเขาเมืองหนาว ทำเกษตรได้ปีละ 6 เดือน แถมฝนตกปีละเพียงประมาณ 600 มิล ของเราเฉลี่ย 1200มิล ทำเกษตรได้ทั้งปี อีสานของเราที่สส.อ้างว่าแล้งหนักหนา (เลยต้องของบพัฒนาพิเศษ) ฝนตกปีละ 900 มิล เข้าไปแล้ว ความหนาแน่นประชากรเดนมาร์กก็ตกเข้าไป 250 คน ต่อ ตร.กม. มากกว่าเราตั้งสองเท่า คือเรามีพื้นที่ทำเกษตรมากกว่าเขาสองเท่านั่นเอง

ดังนั้นถ้าเราส่งเสริมการเกษตรของเราให้ดี มีการสร้างอุตสาหกรรมเกษตร มีการวิจัยจากมหาลัยรองรับเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ดี (แทนการส่งออกแบบดิบๆ เช่นปัจจุบัน) รับรองได้ว่าเราเป็นมหาเศรษฐีโลกแน่ๆ เมื่อคิดเทียบอัตราส่วนบัญญัติไตรยางศ์ของฝนตก และพื้นที่การทำเกษตรของเราที่มากกว่าสองเท่า เราน่าจะทำรายได้ต่อหัวประชากรได้มากกว่าเดนมาร์ก 4 เท่า ซึ่งจะทำให้ไทยเป็นประเทศรวยที่สุดในโลกอย่างที่ทิ้งที่สองมองไม่เห็นฝุ่นทีเดียว

ผมเขียนมาหลายครั้งแล้วในประเด็นนี้ ก่อนแต่จะไปเห็นเดนมาร์ก จนความหวังผมริบหรี่ลงไปทุกวันทุกครั้งที่มองเห็นทุ่งนาท้องไร่ไทยที่เคยงดงามชะอุ่มถูกปล่อยรกร้าง หญ้าคลุมทั้งประเทศ (โดยเฉพาะอีสาน) เพราะเกษตรกรทิ้งนาเข้ามาทำงานเป็นขี้ข้านายทุนต่างชาติตามนิคมอุตสาหกรรมริมทะเลเสียหมด ตามนโยบายสร้างชาติ (แบบทึ่มๆ) ของรัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมา

เฮ้อ..ผมสังเกตว่าผู้ที่ทำร้ายสังคมไทยมากที่สุด ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือรัฐบาลไทยเรานี่แหละ ถ้ารธน. กำหนดว่าห้ามมีรัฐบาลบริหารประเทศไปเสียเลย ป่านนี้ผมว่าประเทศเราเจริญกว่านี้มากหลายขุมไปแล้ว

หมดที่พึ่งจริงๆ คงต้องฝากความหวังไว้กับการเมืองใหม่ (และเกษตรใหม่ มหาวิทยาลัยใหม่ด้วย)

อย่าลืมด้วยว่ายามโลกล่มสลาย (ซึ่งมันจะล่มแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว ถ้าแนวทางทุนนิยมผสมปชต.ยังดำเนินไปในรูปแบบเดิมๆ) เรากินมือถือ โทรทัศน์ รถยนต์ ไม่ได้ แต่เรากินการเกษตรได้ ก็ยังพอประทังชีวิต พอได้มีเวลาคิดหาหนทางเอาชีวิตรอดกันต่อไป



...ทวิช จิตรสมบูรณ์ ๒ ตค. ๕๒


ขอบคุณสำหรับบทความและข้อคิดดี ๆ และขอเป็นอีก 1 เสียงในการสนับสนุนครับ
ตามท่านด้วยคนครับ.. ยิ้ม ยิ้ม
ยกนิ้วให้
IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 22 พฤษภาคม 2013, 16:38:50 »

ใช่เลยครับ ซื้ออาหารต้องกินทุกวัน ซื้อรถขับไปสิบปียังไม่ต้องซื้อใหม่ถ้าดูแลดี  ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
batistula
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 37


« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 28 พฤษภาคม 2013, 17:25:48 »

อ่านบทความอาจารย์แล้วคิดถึงสมัยเรียนเครื่องกล ตอนนั้นไม่รู้คิดแต่จบมาได้ทำงานโรงงานเงินเดือนดีๆ ตอนนี้ทำงานมาสิบกว่าปี ความคิดกลับกัน รอวันกลับบ้านครับ ไปเป็นคนเกษตรรุ่นใหม่ คงได้มีส่วนช่วยพี่น้องเกษตรกรบ้างไม่มากก็น้อย โกรธ
ME4SUT
IP : บันทึกการเข้า
Ck 401
"....เมื่อเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา ก็ไม่มีอะไรมาทำให้ทุกข์ได้อีก...."
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,267


...งานหนักไม่เคยฆ่าคน...


« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 28 พฤษภาคม 2013, 19:54:16 »

ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับเดี๋ยวผมจะปักหมุดให้
ถ้ามีบทความดีๆที่ให้แนวคิดที่ดีก็มาลงเรื่อยๆนะครับ
ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

"....คณะเรา ไม่ยอมให้ด้อยถอยลง ต่ำเราต้องค้ำชูให้สูงจรุงศรี....."
....เมื่อเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา  ก็ไม่มีอะไรมาทำให้ทุกข์ได้อีก...."
เมือง_ คนเจียงฮาย
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 158



« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 29 พฤษภาคม 2013, 14:29:55 »

ขอบคุณครับ กับบทความดีๆ โลกมันเดินไปไกลครับ เราต้องมองเห็นเค้าเห็นเรา เพื่อเราจะได้พัฒนาตัวเองถูก ทุกวันผมทำงานรัฐวิสาหกิจไม่เดือดร้อนมากนัก ต้องออกท้องที่ไกลๆแทบทุกวัันเห็นการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ในจังหวัดเชียงรายตลอดเวลา อยากเห็นคือเกษตรกรบ้านเรามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพราะพวกเราเป็นเกษตรกรมานานมากเท่าที่จำความได้ทีเดียว เราเห็นเกษตรกร บ้านเค้ามีคุณภาพชีวิตที่ดีมาก เทียบกับบ้านเรายังไกล เลยคิดว่าระบบบริหารประเทศของเรามีปัญหาด้านนโยบาย มาตลอดมุ่งเน้นหาเสียง ไม่จริงใจสักรายเดียว ไม่ได้เข้ามาช่วยเกษตรกรจริงจัง เหมือนหลอกเป็นครั้งๆ ไม่รู้ทำไงเลยไปซื็อที่ไว้ทีๆหนึ่งทุกวันหยุดก็ออกไปทำ ไปดูแล หาความรู้ด้านเกษตร อย่างน้อยหวังว่าวันนึงจะได้เป็นเกษตรกรเต็มตัวกับเขาบ้าง ได้ช่วยเหลือเกษตรกรเราๆท่านๆ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมครับ อ้อ ขอบคุณเชียงรายโฟกัสที่ทำให้พวกเราชาวเกษตร ได้พบได้แลกเปลี่ยน ความรู้ สิ่งต่างๆมากมาย ขอบคุณครับ
IP : บันทึกการเข้า

จงฝืนกระแสแห่งใจที่ไหลลงต่ำในทุกเวลาเถิด ฮักห้วยน้ำฮาก
pradi
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 148


« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 29 พฤษภาคม 2013, 23:06:15 »

บทความดีมากครับ ปักหมุดไว้ก็ดีมาก พยายามทำตามฝันอยู่นะ ยิ้มเท่ห์
IP : บันทึกการเข้า
sabaidree
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 565


« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 24 มิถุนายน 2013, 07:50:38 »


ขอบคุณทุกท่านมากครับ

 ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
 
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!