credit :
http://www.2poto.com/cfwebboard/01667.htmlลิขสิทธิ์ฟอนต์ไทย เรื่องร้ายกลับดี
จากเหตุการณ์การบุกเข้าตรวจค้น และจับกุมการละเมิดลิขสิทธิ์แบบอักษรภาษาไทย (Thai Font) ตามสถานประกอบการโรงพิมพ์ทั่วประเทศ โดยคำอ้างเรื่องลิขสิทธิ์ฟอนต์ไทยของ บริษัทผู้พัฒนาฟอนต์ ตระกูล พีเอสแอล (PLS Smart Letter) เมื่อช่วงเดือน มิถุนายน 2545 ที่ผ่านมา สร้างความสับสนขึ้น ในกลุ่มผู้ประกอบการโรงพิมพ์ และบรรดาผู้ใช้ฟอนต์ภาษาไทยเป็นจำนวนมาก ถึงความชัดเจนเรื่องลิขสิทธิ์ฟอนต์
เมื่อเร็วๆ นี้ 4 สมาคมยักษ์ใหญ่ที่เกี่ยวข้องต้องออกมาจัดเสวนาเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง และหาทางออกของ ปัญหานี้ร่วมกัน ประกอบด้วย กลุ่มอุตสาหกรรมการพิมพ์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมการพิมพ์ไทย สมาคมผู้จัดพิมพ์ และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย และชมรมการจัดพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ไทย
โดยการเสวนาในครั้งนี้ได้มีตัวแทนจากภาครัฐเข้ามายืนยันถึงแนวทาง และการแก้ไขปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ได้แก่ นายเนวิน ชิดชอบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ สำนักลิขสิทธิ์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา ตัวแทนจากสภาทนายความ รวมทั้งกลุ่มผู้ประกอบการสิ่งพิมพ์จำนวนมาก ตลอดจนตัวแทนจากฝั่งผู้สร้างสรรแบบอักษรภาษาไทย
นายเนวิน ชิดชอบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง พาณิชย์ กล่าวยืนยันว่า ทางกระทรวงได้หารือ กรม-ทรัพย์สินทางปัญญา ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนแล้วว่า ผู้ออกแบบฟอนต์ภาษาไทยไทย ไม่สามารถจัดเก็บค่าลิข-สิทธิ์จากผู้ใช้ได้ เนื่องจากพิจารณาตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ ปี 2537 พบว่า การออกแบบฟอนต์ไทย นั้นไม่อยู่ในเกณฑ์คุ้มครอง เนื่องจากไม่มีการ สร้างสรรค์พอที่จะจัดว่า เป็นงานลิขสิทธิ์ ทั้งนี้ จากการตีความของ สำนักลิขสิทธิ์ ได้ระบุแล้วว่า แบบอักษรภาษาไทย เป็นเพียงข้อมูลดิจิตอล ไม่ใช่ซอฟต์แวร์
"การอ้างสิทธิ์เหนือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ออกแบบฟอนต์ หรือจัดเรียงข้อมูลฟอนต์นั้น ก็ไม่สามารถทำได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากโปรแกรมดังกล่าวได้มีผู้พัฒนาไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นจึงไม่จัดอยู่ในขั้นเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ได้รับลิขสิทธิ์ของบริษัทใด ซึ่งหากผู้ออกแบบฟอนต์ไทย คิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญา หรือคณะอนุญาโตตุลาการเพื่อหาข้อยุติในเรื่องนี้ได้ แต่ไม่ควรอ้างสิทธิ์ที่ไม่ได้เป็นของตนเอง อย่างที่ได้ดำเนินการไปแล้ว เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งผู้เสียหายจากกรณีนี้ สามารถยื่นฟ้องกลับได้เช่นกัน " นายเนวินกล่าวสรุป
ด้านนายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่า การออกแบบฟอนต์ไทยนั้น ถือเป็นงานออกแบบชนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะถือว่าเป็นงานสร้างสรรค์ จึงไม่ถือเป็นงานลิขสิทธิ์ อย่างไรก็ตามหากผู้ออกแบบต้องการเรียกเก็บค่าผลงาน ควรเก็บในรูปแบบของค่าบริการ ค่าส่งสินค้า ค่าจ้าง หรือ จดทะเบียนในลักษณะเครื่องหมายการค้า แต่ไม่ใช่การเรียกร้องค่าลิขสิทธิ์ เพราะค่าลิขสิทธิ์ถือเป็นรายได้ตลอดชีวิต ตกทอดไปถึงรุ่นลูก ซึ่งจะให้การคุ้มครองสำหรับผู้สร้างสรรค์งานที่แท้จริงเท่านั้น ขณะที่งานออกแบบฟอนต์ ถือเป็นการออกแบบเพิ่มเติมจากลักษณะตัวอักษรซึ่งมีอยู่แล้ว ไม่ใช่ลิขสิทธิ์ของใคร และเงื่อนไขดังกล่าวถือเป็นสากลของทุกประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกาก็ไม่มีลิขสิทธิ์ในแบบอักษร ทั้งยังทำเพื่อแจกจ่ายเป็นจำนวนมากด้วย นายพรศักดิ์ โกศลชื่นวิจิตร รองประธานชมรมการจัดพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ไทย กล่าวว่า แนวทางของชมรมฯ คือเน้นสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างทุกฝ่าย ทั้งด้านผู้ประกอบการโรงพิมพ์ หรือประชาชนทั่วไป ด้านผู้สร้างสรรแบบอักษรภาษาไทย และภาครัฐผู้ดูแลกฎหมายและนโยบายลิขสิทธิ์ โดยไม่เป็นการซ้ำเติมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก
" แม้ว่าแบบอักษรไทยจะไม่มีลิขสิทธิ์ แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ หากคำว่าไม่มีลิขสิทธิ์หมายถึง ทำเพื่อแจกฟรีแล้ว วงการพิมพ์คงไม่มีการพัฒนาแน่นอน เพราะขาดฟอนต์ไทยที่สวยงาม และแปลกใหม่ให้ใช้ เพราะคงไม่มีผู้สร้างสรรฟอนต์รายใดยอมพัฒนาโดยไม่มีค่าตอบแทนการลงทุน" นายพรศักดิ์กล่าว
ดังนั้นหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจึงต้องให้การส่งเสริมการสร้างสรรฟอนต์ไทย โดยเป็นการประสานประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายสร้างสรรมีกำลังใจพัฒนา และฝ่ายผู้ใช้มีแบบอักษรใหม่ๆ ตอบสนองการใช้งานที่หลากหลาย ทั้งนี้ชมรมมีแผนที่จะกระตุ้นให้ผู้ประกอบการ และผู้ใช้ทั่วไปให้ตระหนักถึงความสำคัญของ การสร้างสรรฟอนต์ และสร้างชุมชนนักพัฒนาฟอนต์ไทยขึ้นเอง นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้ผู้สร้างสรรมีรายได้จากการขายฟอนต์ โดยรวบรวมผู้ประกอบการโรงพิมพ์ที่สนใจสร้างยอดขายรวม (High Volume) ให้กับผู้สร้างสรรด้วยความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย
ด้านตัวแทนผู้ใช้ ที่ได้รับ ความ เดือดร้อน นายอภินันท์ ศิริโยธิ-พันธ์ รองประธาน ชมรมผู้ประ-กอบการสิ่งพิมพ์ภาคเหนือ กล่าว ว่า จากการพูดคุยกันระหว่างผู้ ประกอบการ ส่วนใหญ่พบว่า หากได้รับการติดต่อ หรือชี้-แจงจากบริษัท ผู้สร้างสรรใน เรื่องค่าตอบแทน การพัฒนาก็ ยินดีที่จะจ่ายให้ ในราคาที่ สมควร เนื่องจากเข้าใจว่า การพัฒนาฟอนต์ ต้องมีการลงทุน ทั้งเงินตรา และสมอง แต่จากกรณีดังกล่าวถือว่าเป็นการกระทำที่รุนแรง และไม่มีคุณธรรมในการดำเนินธุรกิจอย่างมาก
"จึงอยากเรียกร้องให้ฝ่ายที่พัฒนาฟอนต์มีคุณธรรมในการทำธุรกิจ เพราะฟอนต์กับธุรกิจงานพิมพ์ เป็นสิ่งที่คู่กัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถประนีประนอมกันได้ เพียงแค่ออกมาแสดงความชัดเจนเท่านั้น ทุกฝ่ายยินดีจะสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพราะต่างก็สร้างประโยชน์ซึ่งกันและกันอยู่แล้ว นอกจากนี้ชมรมหรือสมาคมด้านการพิมพ์ต่างๆ ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาโปรแกรมเมอร์ และนักพัฒนาด้าน กราฟิก ดีไซน์ ทั้งซอฟต์แวร์ และแบบอักษรต่างๆ เพื่อลดการนำเข้าจากต่างประเทศ อันจะทำให้วงการพิมพ์เมืองไทยพัฒนามากยิ่งขึ้น"
นายปราสาท วีรกุล ตัวแทนจากผู้สร้างสรรแบบอักษรภาษาไทย ตระกูล ดีบี (DB) กล่าวว่า น่าเห็นใจผู้สร้างสรรฟอนต์ไทยอยู่เหมือนกัน เนื่องจากพัฒนาออกมาแล้วไม่ได้รับค่าตอบแทน ทั้งที่มีการลงทุนลงแรงเป็นจำนวนมาก ทำให้ปัจจุบันวงการฟอนต์ไทยหยุดการพัฒนาเพื่อ เผยแพร่ไปหมดแล้ว เนื่องจากไม่เกิดธุรกิจต่อเนื่อง เพราะผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่ยอมเสียเงินกับค่าฟอนต์ ล่าสุดฟอนต์ดีบีที่เผยแพร่มีอยู่ 21 แบบ โดยไม่ได้คิดค่าใช้จ่าย แต่บริษัทหยุดพัฒนาไปแล้ว โดยขณะนี้บริษัทพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ภายในบริษัท สำหรับออกแบบงานให้ลูกค้าของบริษัทเท่านั้น
"แนวการสร้างธุรกิจฟอนต์ในไทยควรให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน คือ ผู้ใช้ให้ความสำคัญกับฟอนต์โดยยอมจ่ายบ้างเพื่อตอบแทนกับการสร้างสรร ขณะเดียวกันต้องมีการรวมกลุ่มในหมู่ผู้ออกแบบสร้างสรรเพื่อหาทางทำตลาดฟอนต์ ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องมีเรื่องของกฎหมายหรือลิขสิทธิ์เข้ามาให้ยุ่งยากแต่อย่างใด" นายปราสาทกล่าวทิ้งท้าย
ปัญหาลิขสิทธิ์ฟอนต์ไทยที่เกิดขึ้นครั้งนี้สามารถสร้างแนวทางที่ชัดเจน และสามารถกำหนดทิศทางของวงการฟอนต์ และวงการพิมพ์ไทยได้เป็นอย่างดี เนื่องมาจากการหันหน้าเข้าหากันอย่างจริงใจของทุกฝ่ายก็ทำให้เรื่องร้ายๆ กลับกลายเป็นเรื่องดีได้
หวังแต่เพียงว่า การรวมตัวลักษณะเช่นนี้เพื่อแก้ไขปัญหาอื่นๆ ของประเทศคงจะเกิดขึ้นอีก และเป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม และประเทศชาติด้วย หาใช่มุ่งรักษาประโยชน์ของตนแต่เพียงอย่างเดียว
หน้าหลักเว็บไซต์
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."
ผู้เขียน
