เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 29 มีนาคม 2024, 11:41:05
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ศาสนา กิจกรรมทางวัด (ผู้ดูแล: ap.41, ลุงหนาน)
| | |-+  ชอบจัง เรื่องนี้
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน ชอบจัง เรื่องนี้  (อ่าน 903 ครั้ง)
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« เมื่อ: วันที่ 23 กันยายน 2010, 12:01:27 »

ครั้งหนึ่งลีโอ ตอลสตอย เคยเขียนปริศนาธรรมไว้ว่า

"ใคร คือ คนสำคัญที่สุด
งานใด คือ งานที่สำคัญที่สุด
เวลาใด คือ เวลาที่ดีที่สุด"

ตอลสตอยตั้งคำถามนี้ผ่านเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง และในที่สุดก็เฉลยว่า

"คนสำคัญที่สุด ก็คือ คนที่อยู่เบื้องหน้าเรา
งานสำคัญที่สุด ก็คือ งานที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนี้
เวลาที่ดีที่สุด ก็คือ เวลาปัจจุบันขณะ"

ทำไม คนที่อยู่เบื้องหน้าเราจึงสำคัญที่สุด คำตอบก็คือ อาจเป็นไปได้ว่า ในชั่วชีวิตอันแสนสั้นนี้ เรากับเขาอาจมีโอกาสพบกันได้เพียงครั้งเดียว ดังนั้น เราจึงควรทำให้การพบกันทุกครั้ง เป็นเหมือนการเฉลิมฉลองอันแสนวิเศษที่ต่างฝ่ายต่างควรสร้างความทรงจำแสนงามไว้ให้แก่กันและกันตลอดไป

เราต้องไม่ลืมว่า มนุษย์นั้น รู้เกลียดยาวนานกว่ารู้รัก
หาก การพบกันครั้งแรกนำมาซึ่งความรัก และหากเป็นการพบกันเพียงครั้งเดียวของชีวิตในอนันตจักรวาล นั่นก็นับว่า เป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดแล้วสำหรับการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน

ทำไม งานที่เรากำลังทำอยู่ขณะนี้ จึงเป็นงานสำคัญที่สุด คำตอบก็คือ เพราะทันทีที่คุณปล่อยให้งานหลุดจากมือคุณไป งานก็จะกลายเป็นของสาธารณ์ หากคุณทำงานดี มันก็คือ อนุสาวรีย์แห่งชีวิต และหากคุณทำงานไม่ดี มันก็คือ ความอัปรีย์แห่งชีวิต

ตอนแรกคุณเป็นผู้สร้างงาน แต่เมื่อปล่อยงานหลุดจากมือไปแล้ว งานมันจะเป็นผู้ย้อนกลับมาสร้างคุณ

ทำไมเวลาที่ดีที่สุด จึงควรเป็นปัจจุบันขณะ คำตอบก็คือ

เพราะเวลาทุกวินาทีจะไหลผ่านชีวิตเราเพียงครั้งเดียว

ไม่ว่าคุณจะหวงแหนเวลาขนาดไหน มีเงินมากเพียงไร


ก็ไม่มีใครสามารถรื้อฟื้นเวลาที่ล่วงไปแล้วให้คืนกลับมาได้

ทุกครั้งที่เวลาไหลผ่านเราไป หากเราไม่ใช้เวลาให้เกิด

ประโยชน์สูงสุด ชีวิตของคุณก็พร่องไปแล้วจากปวง

ประโยชน์มากมายที่คุณควรได้จากห้วงเวลา

เวลาไม่มีตัวตน แต่หากเรามีปัญญา ก็สามารถสร้างคุณค่า

ที่เป็นรูปธรรมจากเวลาได้อเนกอนันต์


คน - - แม้มีตัวตนเห็นกันอยู่ชัดๆ แต่หากปฏิบัติไม่

ถูกต่อเวลา ถึงมีตัวตนเป็นคนอยู่แท้ๆ แต่ชีวิตก็อาจ

ว่างเปล่ายิ่งกว่าเวลา

ทุกวันนี้ เราทุกคนกำลังสาวด้ายแห่งเวลาในชีวิตออกมา

ใช้กันอยู่ทุกขณะจิต เคยคิดกันบ้างหรือไม่ว่า
เส้นดาย

แห่งเวลาในชีวิตของเราเหลือกันอยู่สักกี่มากน้อย เราถนัด

แต่สาวด้ายออกมาใช้ หรือว่าเราใช้เส้นดายแห่งเวลา

อย่างมีคุณค่าที่สุดแล้ว?


* 6215.jpg (182.37 KB, 948x714 - ดู 127 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 23 กันยายน 2010, 12:06:43 »

กรรมลิขิต

สิ่งที่สามารถอธิบายเรื่องชีวิตของคนเราและตอบคำถามชีวิต
ทุกๆ คนได้อย่างสมเหตุสมผลที่สุดก็คือสิ่งที่เรียกว่า “กฎแห่งกรรม”


พุทธศาสนาอธิบายเรื่องชีวิตเราทุกคนว่า “สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็น
ของตนเอง มีตนเป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรม
เป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมยิ่มจำแนกสัตว์ให้เลวหรือ
ประณีตได้

กฎแห่งกรรมอธิบายว่า สิ่งที่เราเป็น สิ่งที่เราได้รับในวันนี้ไม่ว่าจะดี
หรือร้าย เกิดจากการกระทำ (กรรม) ที่เราเคยได้ทำในอดีตทั้งชาตินี้
และชาติก่อนหน้านี้ เมื่อเราทำกรรมที่เป็นบุญ (เช่นบุญกิริยา)
บุญนั้นจะถูกบันทึกลงในวิญญาณ (จิต) เช่นเดียวกับเวลาที่เราทำกรรม
ที่เป็นบาป (อกุศลกรรม) บาปนั้นจะถูกบันทึกลงในวิญญาณ(จิต)
ของเรา เวลาที่บาปนั้นแสดงผลออกมาเราก็จะได้รับสิ่งแย่ๆ ในชีวิต

จากหนังสือ “ถ้ารู้ ..(กู)..ทำไปนานแล้ว”
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 23 กันยายน 2010, 12:09:58 »

คำโบราณท่านว่าไว้เป็นภาษาเหนือ

สิบ ปี อาบน้ำบ่ฮู้หนาว
ซาว ปี แอ่วสาวบ่ก้าย
สามสิบ ปี บ่หน่ายสังขาร
สี่สิบ ปี ยะก๋านเหมือนฟ้าผ่า
ห้าสิบ ปี สาวน้อยด่าบ่เจ็บใจ๋
หกสิบ ปี ไอเหมือนฟานโขก
เจ็ดสิบ ปี บ่าโหกเต๋มตั๋ว
แปดสิบ ปี ไขหัวเหมือนไห้
เก้าสิบ ปี พ่องไขอยู่พ่องไขต๋าย

*-*

คำโบราณได้ขานกล่าวเล่าชีวิต
อย่าผูกติดชิดเชื้อเนื้อสังขาร
เหมือนสามวัยในชีวิตที่ผันผ่าน
เป็นตำนานเล่าขานอันเป็นจริง

*-*

วันนี้วันพระ
แต่งกลอนแนวธรรมะมาฝาก

IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 23 กันยายน 2010, 12:29:19 »

มีเพื่อนใจดีส่งมาให้อ่านอีกทีนึ่งจ้า..

ทัศนคติบอด
ชนะโทรไปบริษัทนี้ เป็นหนที่สองในรอบสัปดาห์นี้
บริษัทนี้เป็นลูกค้ารายใหม่ที่เขากำลังติดตามเรื่องอยู่
เสียงของโอเปอร์เรเตอร์ซึ่งรับสายด้วยเสียงที่เป็นมิตร
และอ่อนโยนกล่าวว่า
' สวัสดีคะบริษัทเอบีซีอิงค์ ยินดีต้อนรับคะ '
คุณชนะกล่าวว่า ' ผมขอเรียนสายกับคุณสมจิต
ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์หน่อยครับ '
โอเปอร์เรเตอร์กล่าวทักขึ้นมาว่า ' นั่นคุณชนะใช่ไหมคะ '
ชนะรู้สึกแปลกใจความสามารถในการจดจำเสียงของพนักงานคนนี้ได้
เขากล่าวตอบด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความประทับใจ
' ใช่แล้วครับ ขอบคุณที่จำได้ครับ ' เธอกล่าวว่า
' ยินดีคะ ดิฉันจะโอนสายให้นะคะ '
หลังจากที่ชนะสนทนาเรื่องงานกับสมจิตจบ
ชนะจึงถามสมจิตขึ้นมาว่า ' คุณสมจิต ผมขอชม
พนักงานรับโทรศัพท์ของคุณหน่อยครับ
เธอเก่งจริงๆเลยที่จำเสียงผมได้

เป็นการให้บริการ ที่เกินความคาดหวังของผมจริงๆเลยครับ
ผมเองไม่ได้เป็นลูกค้าประจำ และก็ไม่ได้โทรมาบ่อยๆ
ขนาดที่เธอจะจำเสียงผมได้ด้วย เธอมีเคล็ดลับอะไรครับ '

สมจิตพูดว่า ' เธอชื่อเรณูคะ เธอได้รับคำชมอย่างนี้บ่อยๆ
หากคุณฟังเรื่องของเธอมากขึ้นกว่านี้คุณจะยิ่งประทับใจ
สนใจฟังไหมละคะ '

ชนะรีบกล่าวตอบด้วยความกระตือรือร้นว่า
' สนใจสิครับ ช่วยกรุณาเล่าให้ฟังหน่อยครับ '

สมจิตเริ่มต้นเล่าอย่างอารมณ์ดี ' คุณเรณู เธอตาบอดคะ

เธอจึงต้องอาศัยการฟังเพียงอย่างเดียว
ทำให้! เธอสามารถจดจำชื่อคนได้ดี
เธออาศัยอยู่ที่สมุทรปราการและมาทำงานที่ออฟฟิศนี่
ซึ่งอยู่แถวดอนเมือง ซึ่งถือว่าไกลมากโดยเฉพาะสำหรับเธอ
ซึ่งต้องเดินทางโดยรถเมล์เหมือนคนปกติ
ส่วนใหญ่ก็จะมีคนตาดีอย่างพวกเรา ที่คอยช่วยดูสายรถเมล์
และส่งเธอขึ้นรถ เธอไม่เคยมาสายเลย
และก็ไม่เคยเรียกร้องขอ รถรับส่งแต่อย่างใด
ไม่เหมือนพนักงานปกติของพวกเราหลายคน
ตอนที่เราย้ายสำนักงานจากในเมือง ต้องขอรถรับส่งให้ด้วย

แถมหลายๆคนที่มีรถส่วนตัว ก็ยังมาทำงานสาย
พร้อมกับเหตุผลสารพัด คิดแล้วอายแทนคนตาดีเลยคะ '
เธอหยุดเว้นจังหวะสักครู่ ก่อนจะเล่าต่อว่า
' คุณเรณูมีทัศนคติที่ดีมากๆกับงานของเธอ
เธอเคยเล่าให้ดิฉันฟังว่า สำหรับเธอแล้ว
การรับโทรศัพท์ไม่ใช่งาน แต่มันคือชีวิต
เงินเดือนที่บริษัทให้กับเธอ

ทำให้เธอสามารถเลี้ยงตัวเอง และครอบครัวได้อย่างดี
นอกจากนี้ เธอยังมีเงินเหลือกว่าครึ่งสะสมไว้อีก
ที่จริงแล้วเพื่อนคนตาดีหลายคนเคยหยิบยืมจากเธอในยามฉุกเฉิน
คุณเรณูกล่าวว่า บริษัทเรา เพื่อนร่วมงาน ลูกค้า
และสังคมมอบโอกาสให้เธอได้พิสูจน์ว่าเธอมีคุณค่า
และสามารถมีส่วนร่วมสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับสังคมได้ เธอบอกว่า เธอพยายามทำงานของเธออย่างสุดความสามารถ ซึ่งรวมทั้งพยายามจำชื่อของผู้ที่โทรเข้ามาด้วย เธอบอกว่า ทุกคืนก่อนเข้านอน เธออยากรีบนอนไวๆ เพื่อจะได้รีบตื่นขึ้นมาทำงาน เธออดใจรอจะมาทำงานไม่ไหว
แหมอย่าหาว่าดิฉันบ่นเลยคะ แต่พวกตาดีๆอย่างพวกเรากลับภาวนา ให้ถึงวันหยุดเร็วๆเสียนี่กระไร '

สมจิตจบเรื่องด้วยเสียงหัวเราะเบาๆอย่างคนอารมณ์ดี

เมื่อชนะมาเล่าเรื่องนี้ให้กับผมฟังในรถ
ระหว่างที่เราเดินทางไปพบลูกค้าที่นวนคร
ผมจึงเสริมความเห็นของผมไปว่า

' เราน่าจะเล่าเรื่องนี้ให้คนที่มาเข้าอบรม กับเราฟังบ้างนะ
บ่อยครั้งเรามักจะได้ยินคนบ่น ว่างานหนัก
หรือไม่ก็ปัญหาเรื่องงานมีมาก
สิ่งที่คุณเรณูมีแตกต่างกับเรา ไม่ใช่ว่าเธอตาบอดหรอกครับ

ความจริงพวกเราต่างหากที่บอด เราทัศนคติบอดไงละ
เราได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆมากมาย จากนายจ้างจนเคยชิน
กระทั่งมองไม่เห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านั้น
ยิ่งนานวัน เรายิ่งเรียกร้องมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงปลายปีแบบนี้
ในขณะที่คุณเรณูกลับมองแตกต่างกับเราอย่างสิ้นเชิง
บางคนเบื่องานจนอยากลาออกไปอยู่กับบ้านเฉยๆ
มัน ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของ Dr. Denis Waitley
ผู้แต่งหนังสือขายดีชื่อ 'The psychology of winning'
เขายก รายงานวิจัยในอเมริกาที่บอกว่า
ผู้เกษียณอายุออกจากงานไป โดยไม่มีภาระกิจอะไรทำ
มีอายุเฉลี่ยเพียงแค่เจ็ดปีเท่านั้น พวกเขาตายเพราะความรู้สึก
ด้อยคุณค่า หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า เฉาตายนั่นเองครับ

เราบางคนมีโอกาสได้ทำงานในสิ่งที่ตนเองรัก
ในขณะที่คนจำนวนมาก
ไม่มีโอกาสอย่างนั้น

อย่างไรก็ตามเรามีสิทธิที่จะเปลี่ยนมุมมอง
โดยหันมารักและหลงไหลในสิ่งที่เราทำได้
โดยไม่ต้องรอให้ตาบอดแบบคุณเรณูก็ได้ '
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!