เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 25 กรกฎาคม 2025, 06:39:50
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ตลาดกลางซื้อขายสินค้าออนไลน์
| |-+  ยา เครื่องสำอางค์ ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม
| | |-+  สุดยอดนวัตกรรมที่รวมทุกอย่างไว้ที่เดียว ลดความอ้วน ผิวขาวใส บำรุงสมอง สุขภาพแข็งแรง ฯลฯ อ
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน สุดยอดนวัตกรรมที่รวมทุกอย่างไว้ที่เดียว ลดความอ้วน ผิวขาวใส บำรุงสมอง สุขภาพแข็งแรง ฯลฯ อ  (อ่าน 625 ครั้ง)
num919za
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9


« เมื่อ: วันที่ 21 ธันวาคม 2012, 19:55:48 »

คุณประโยชน์ของส่วนผสมที่สำคัญ

ครีมเทียมจากถั่วเหลือง(Non Dairy Creamer) เป็นครีมที่มีคุณภาพดีและมีคุณค่าทางโปรตีนสูง


กาแฟสำเร็จรูป(Instant Coffee) กาแฟเมล็ดพันธ์ดี กลิ่นหอม พร้อมด้วยคุณประโยชน์ เมื่อดื่มหลังอาหาจะมีส่วนทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารและตับอ่อนเพิ่มขึ้น


ไซเลีี่ยมฮัคส์(Psyllium Husks) เป็นเส้นใยอาหารชนิดละลายน้ำ ไม่ก่อให้เกิดพลังงานใดๆ แต่มีประโยชน์โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก สามารถพองตัวที่ในกระเพาะอาหาร ทำให้อิ่มเร็วขึ้น รับประทานอาหารได้น้อยลง และช่วยระบบในการย่อยภายในลำไส้ได้ดีขึ้น ลดอาการท้องผูก ช่วยลอดอาการดูดซึมของไขมัน


ผงใบมะรุม(Moringa Powder) ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน ใช้ควบคุมภาวะความดันโลหิตสูง ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ช่วยลดโกอาสการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ มีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ


คอลลาเจน(Callagen) เป็นสารสกัดจากปลาทะเลน้ำลึก ช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอีลาสตินให้กับชั้นผิวได้โดยตรงอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพช่วยผิวพรรณให้ขาวใส กล้ามเนื้อกระชับ เรียบเนียนเป็นธรรมชาติ ไม่แห้งกร้าน และไม่เกิดริ้วรอยได้ง่าย


สารสกัดจากถั่วขาว(White KidneynBeen Extract) ทำหน้าที่ช่วยบล็อกแป้งและน้ำตาลไม่ให้ดูดซึมสู่ร่างกาย ส่งผลให้การสะสมของไขมันในร่างกายลดลง ทำให้ไขมันเก่าถูกเผาผลาญ ช่วยให้น้ำหนักลดลงโดยไม่ต้องอดอาหาร


แอล-คาร์นิทีน (L-Carnitine) เป็นกรดอะมิโน มีหน้าที่เข้าไปเผาผลาญไขมันเล็กๆ ภายในเซลล์ โดยทำให้ไขมันเปลี่ยนเป็นพลังงาน เสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อ ทำให้รูปร่างกระชับได้สัดส่วน


สารสกัดจากกระบองเพชร(Cactus Extract) ทำหน้าที่เป็นตัวดักจับไขมันจากอาหารไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกาย


แอล-กลูต้าไธโอธ(L-Glutathaione) มีหน้าที่สำคัญ เช่น สังเคราะห์โปรตีน ช่วยให้เม็ดเลือดแดงมีความแข็งแรง ช่วยเร่งการดูดซึมสารอาหารเข้าสู่เซลล์ ช่วยปกป้องดีเอ็นเอของเซลล์ไม่ให้ถูกทำลาย เป็นการป้องกันการเกิดมะเร็ง มหัศจรรย์! สารอาหารเพื่อผิวขาวเจิดจรัส เป็นสารอาหารต้านอนุมูลอิสระ กำจัดสารพิษออกจากตับ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และทำให้ผิวขาวอย่างเป็นธรรมชาติ จนใครๆ ต้องแปลกใจ


โสมสกัด(Ginseng) เป็นราชาแห่งสมุนไพรที่รู้จักกันมานาน ช่วยให้ร่างกายมีความสดชื่น เสริมสร้างสมรรถภาพทางร่างกาย ลดความเครียด ป้องกันภาวะของเบาหวาน โดยเสริมฤทธิ์ฮอร์โมนอินซูลินในการกำจัดน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย และยังช่วยให้ระบบย่อยทำงานได้ดีขึ้น ช่วยชลอความแก่ ฟื้นฟูสมมรรถภาพร่างกายในระยะพักฟื้นของผู้ป่วย


สารสกัดจากเมล็ดองุ่น(Grape Seed Extract) มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความผิดปกติของหลอดเลือดและเส้นเลือดฝอย เส้นเลือดขอด และช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงเนื่อเยื่อ เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวเป็นอย่างดี


เบต้ากลูแคน (Beta Glucan) ทำลายและตรวจจับสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย สร้างการเจริญเติบโตของเม็ดเลือดขาว ช่วยในการรักษาโรคมะเร็งได้


ซูคราโรส(Sucalose) เป็นสารใช้เป็นความหวานแทนน้ำตาล หวานอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ขมติดลิ้น ไม่ทำให้ฟันผุ ไม่เป็นสารก่อมะเร็ง


โครเมี่ยม พิโคลิเนท(Chromium Picolinate) เป็นสารอาหารที่ช่วยในการเผาผลาญกลูโคส ช่วยให้ลดความอยากอาหาร เร่งอัตราการเผาผลาญไขมัน รักษาสมดุลของน้ำตาลในกระแสเลือด ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมัน โดยทำงานร่วมกับฮอร์โมนอินซูลิน ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน โดยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอินซูลินให้ดีขึ้น


ติดต่อสอบถามได้โดยตรงหรือสนใจเป็นตัวแทนจำหน่าย 087-0615040   https://www.facebook.com/Sabiengtip
จำหน่ายปลีก-ส่ง สั่งซื้อได้ที่ Facebook   https://www.facebook.com/Sabiengtip
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 22 ธันวาคม 2012, 01:11:45 โดย num919za » IP : บันทึกการเข้า
num919za
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9


« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 11 มกราคม 2013, 11:40:35 »

“มหัศจรรย์สมุนไพรไทย ต้านโรคคนเมืองอยู่หมัด”

คนสมัยนี้เป็นอะไรนิดหน่อยก็ชอบกินยา แถมยังเชื่อผิดๆว่า อยากมีสุขภาพดีชีวิตยืนยาว ต้องโด๊ปอาหารเสริม และวิตามินเยอะๆ เจ้าแม่วงการอาหารเมืองไทย “คุณหรีด-รพีพรรณ เหลืองอร่ามรัตน์” ยืนยันจากประสบการณ์ทั้งชีวิตว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรจะมหัศจรรย์เท่ากับสมุนไพรไทย…เชื่อคุณหรีด!! ทั้งราคาถูก ปลูก เองก็ง่าย และเป็นยาสามัญประจำบ้าน ที่ต้านโรคภัยได้สารพัดนึก
โรคมะเร็ง
ถือเป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยสูงเป็นอันดับสาม รองจากโรคหัวใจ และอุบัติเหตุ เกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นกรรมพันธุ์, ความบกพร่องทางพันธุกรรม, สิ่งแวดล้อม, อาหาร รวมถึงความเครียด และการใช้ ชีวิตเร่งรีบของคนเมือง “มะเร็ง” กลัวสมุนไพรไทย อยู่หลายตัวค่ะ เพราะมีสารอาหารต้านโรคร้ายได้น่าทึ่ง ใครอยากห่างไกลมะเร็ง แนะนำให้ทาน กระเทียม และผักจำพวกหอม ซึ่งอุดมด้วยซัลเฟอร์ ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันต้านทานมะเร็งโดยธรรมชาติ ขณะที่ ผักจำพวกกะหล่ำปลี มีสารต้านทานมะเร็งในลำไส้ และช่วยต้านมะเร็งต่อมลูกหมาก ส่วน ขมิ้นขาวและขมิ้นชัน นอกจากจะมีสรรพคุณขับลมในลำไส้แล้ว ยังมีสารช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ด้วย สำหรับสาวๆควรทาน ผลไม้จำพวกส้ม เป็นประจำ เพราะช่วยล้างสารก่อมะเร็ง และยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านม
แพทย์ทางเลือกยังได้ค้นพบความมหัศจรรย์ของ มะรุม สมุนไพรไทยแท้ๆ ว่ากันว่า หากทานอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง โดยคนเฒ่าคนแก่นิยมกินมะรุมช่วงต้นฤดูหนาว เพราะเป็นช่วงที่ฝักมะรุมหาได้ง่าย วิธีทานมีทั้งการนำช่อดอกมะรุมไปดองเก็บไว้กินกับน้ำพริก หรือนำยอดมะรุม, ใบอ่อน, ช่อดอก และฝักอ่อนมาลวก หรือต้มให้สุก จิ้มทานกับน้ำพริก หรือจะใช้ยอดอ่อนและช่อดอกทำแกงส้ม ก็อร่อยดี มีประโยชน์ ยังมีการวิจัยด้วยว่า คนที่ทำคีโมรักษามะเร็งควรดื่มน้ำมะรุม ช่วยลดอาการแพ้รังสีได้ดี
โรคเบาหวาน
คนอ้วน คือกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน อาการบ่งชี้ ได้แก่ มีปริมาณกลูโคสในเลือดสูง เนื่องจากความผิดปกติในการทำงานของอินซูลิน, ปัสสาวะบ่อย, กระหายน้ำรุนแรง, น้ำหนักลด, อ่อนเพลีย, อยากอาหารมากกว่าปกติ, ติดเชื้อง่าย, มีอาการแทรกซ้อนจากโรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคไต และมีปัญหาทางสายตา การรักษาโรคเบาหวานอย่างได้ผล ต้องทำควบคู่กับการวางแผนทางโภชนาการค่ะ โดยสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์ต้านเบาหวาน มีอาทิ มะแว้งเครือ และมะแว้งต้น ช่วยรักษาโรคเบาหวาน, บำรุงเลือด และขับปัสสาวะ รวมทั้งรักษาโรคไต ฟักทอง ช่วยป้องกันมะเร็งในปอด, ป้องกันเบาหวาน และคุมน้ำตาลในเลือด ตำลึง มีสรรพคุณเป็นยาดับพิษภายในร่างกาย, ลดอาการไข้ และเป็นยาระบายอ่อนๆ ผลดิบของตำลึงนำมาปรุงเป็นอาหารช่วยรักษาเบาหวานได้ ผักบุ้ง ไม่ได้ทำให้ตาหวานอย่างเดียว แต่ยังบำรุงกระดูก, ลดไข้และแก้เบาหวาน ส่วน มะระขี้นก เชื่อว่าช่วยบำรุงน้ำดี, แก้โรคตับอักเสบ และป้องกันโรคเบาหวาน แม้แต่ มะรุม ก็มีสรรพคุณในการรักษาโรคเบาหวานด้วยเช่นกัน
โรคอ้วน
คนอ้วนมีความเสี่ยงเป็นโรคสารพัด ทั้งเบา-หวาน, มะเร็ง, ความดันโลหิตสูง, หัวใจ และโรคข้ออักเสบ การลดน้ำหนักที่ได้ผลที่สุดสำหรับคนอ้วน คือ ต้องทำค่อยเป็นค่อยไป นอกจากจะจำกัดปริมาณอาหาร, หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และออกกำลังกายสม่ำเสมอแล้ว การเลือกทานสมุน ไพรเพื่อกระตุ้นระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์พิชิตโรคอ้วน ควรทาน แมงลัก เพื่อช่วยดูดซึมน้ำตาลในเส้นเลือด ทำให้ขับถ่ายสะดวก และลดน้ำหนักได้หลายกิโล ส่วน กระเจี๊ยบมอญ ลดความดันโลหิต, รักษาโรคกระเพาะ และเป็นยาระบายชั้นดี แตงโม เป็นยาระบายอ่อนๆ น้ำแตงโมปั่นยังช่วยล้างลำไส้และกระเพาะอาหาร มะละกอ ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ เป็นยาระบาย และ มะม่วงสุก ระบายของเสียภายในได้ดี ช่วยแก้อ่อนเพลีย
โรคเครียด
ความเครียดถือเป็นตัวการให้เกิดโรคร้ายนับไม่ถ้วน ยิ่งภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ บอกได้คำเดียวว่า ใครไม่เครียดก็บ้าแล้ว!! สมุนไพรไทยที่ช่วยลดความเครียดและทำให้ นอนหลับสบาย คือ สายบัว ช่วยลดอาการเกร็งของลำไส้ และกระเพาะลดความ เครียดทางสมอง กะหล่ำปลี ช่วยลดความเครียด มีสารต้านทานมะเร็งในลำไส้ ขี้เหล็ก แก้นิ่วในไต ทำลายเชื้อมะเร็ง เป็นยานอนหลับชั้นดี ใบบัวบก แก้ร้อนใน ทำให้ความจำดี ช่วยลดความเครียด ฟ้าทะลายโจร แก้อาการปวดหัวแบบไม่มีสาเหตุ มะนาวมะกรูด ช่วยให้ นอนหลับ บรรเทาอาการอาหารไม่ ย่อย และ พริกไทย ทำให้สมองปลอดโปร่ง ช่วยลดเครียดได้ผลดี
โรคภูมิแพ้
เป็นโรคที่เกิดจากปฏิกิริยาภูมิไวเกินไปต่อสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งคนปกติอาจไม่มีปฏิกิริยานี้เกิดขึ้น คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ มีทั้งแพ้ฝุ่น, ตัวไรฝุ่น, เชื้อราในอากาศ, อาหาร, ขนสัตว์, เกสรดอกไม้ อาการมีได้หลายแบบ ตั้งแต่น้ำมูกไหล, จาม, โพรงจมูกอักเสบ, เยื่อบุตาอักเสบ, หลอดลมอักเสบ, หอบหืด และเกิดผื่นคันที่ผิวหนัง การต่อสู้กับโรคภูมิแพ้ จะต้องเพิ่มภูมิคุ้นกันให้ร่างกาย โดยสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณด้านนี้ ต้องยกให้ กะหล่ำดอก บำรุงภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และป้องกันโรคมะเร็งเต้านม ขณะที่ ขึ้นฉ่าย มีสรรพคุณช่วยให้เจริญอาหาร, เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย, บำรุงไตให้แข็งแรง ถ้านำมาปั่นกับแครอท ผสมน้ำส้มดื่มทุกเช้า จะช่วยให้สุขภาพดีเหลือเชื่อ
IP : บันทึกการเข้า
num919za
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9


« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 13 มกราคม 2013, 15:43:38 »

อาหารทำร้ายดวงตา



เกร็ดความรู้
คู่ สุขภาพ วันนี้มีเรื่องดีๆ มาฝาก... เพื่อนๆ รู้ไหมคะว่า อาหารจานโปรด
ที่รับประทานกันอยู่ทุกวัน บางครั้งอาจจะเป็นอันตรายต่อ ดวงตา และ สายตา
ก็ได้ ว่าแล้วเราไปอ่าน เกร็ดความรู้ คู่ สุขภาพ นี้พร้อมๆ กันดีกว่าค่ะ


อาหารที่รับประทานกันอยู่ทุกวัน บางครั้งอาจจะเป็นอันตรายต่อดวงตาก็ได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...

นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยฮิโรซากิ ประเทศญี่ปุ่น
ได้ทำการทดลองกับหนูพบว่า
หนูที่กินอาหารที่มีปริมาณสารโซเดียมกลูตาเมทซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับผงชูรส
มีความสามารถในการมองเห็นลดลงเนื่องจากชั้นเรตินาในดวงตาถูกทำลาย
และกิจกรรมการส่งสัญญาณคลื่นไฟฟ้าในเซลล์ประสาทตาลดลง
ซึ่งอาจส่งผลเช่นเดียวกันนี้กับมนุษย์

นอกจากนี้ฮิโรชิ โฮกุโร หัวหน้าคณะวิจัยสังเกตว่า
สาเหตุที่จำนวนผู้ป่วยโรคต้อหินในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
อาจมาจากการนิยมรับประทานอาหารที่ปรุงรสด้วยสารโมโนโซเดียมกลูตาเมท


รู้อย่างนี้แล้วก็อย่ารับประทานผงชูรสมากจนเกินไป จะได้ไม่เสียสุขภาพ
IP : บันทึกการเข้า
num919za
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9


« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 14 มกราคม 2013, 12:17:02 »

ปราชญ์จีน กล่าวไว้ว่า
"หนทางสู่ความสบายนั้นแสนลำบาก
หนทางสู่ความลำบากนั้นแสนสบาย"

แล้ววันนี้คุณกำลังลำบากหรือสบายอยู่ล่ะครับ?อนาคตคุณจะเป็นตรงกันข้ามครับ
IP : บันทึกการเข้า
num919za
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9


« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 15 มกราคม 2013, 15:58:45 »

เครื่องสำอางยี่ห้อ “3 ทรีเดย์ ไบรเทน แอนด์ รีไวเทน โลชั่นป้องกันแสงแดด” ซึ่งมีส่วนผสมของสารห้ามใช้ในเครื่องสำอาง ได้แก่ สารไฮโดรควิโนน ซึ่งก่อให้เกิดการแพ้ ระคายเคือง เกิดจุดด่างขาวที่หน้า ทำให้ผิวหน้าดำเป็นฝ้าถาวรรักษาไม่หาย

ทั้งนี้ เครื่องสำอางดังกล่าวเป็น 1 ในเครื่องสำอาง 34 รายการที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ประกาศเป็นเครื่องสำอางที่ห้ามผลิต นำเข้าหรือขาย ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดชื่อเครื่องสำอางที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือขาย ได้แก่

(1) BEANNE บีแอน ครีมไข่มุกตราแตร      (2) แอนตี้-ฟาร์ ครีม

(3) แอนตี้-ฟาร์ โลชั่นกันฝ้า ปรับผิว      (4) ROSE ครีมขจัดฝ้า

(5) FAR-ACT ครีมรักษาฝ้า       (6) CN คลินิก 99

(7) ครีมฝ้าเมลาแคร์      (เจ๋ง โลชั่นกันแดด กันฝ้า เมลาแคร์

(9) ครีมวินเซิร์ฟ       (10) โลชั่นวินเซิร์ฟ ลดฝ้ากันแดด

(11) MUI LEE HIANG PEARL CREAM     (12) เอสจี โลชั่นปรับสภาพผิว

(13) เลนาว ครีมบำรุง ผิวหน้ากลางคืน        (14) NEW CARE นิวแคร์ ครีมประทินผิว

(15) NEW CARE นิวแคร์ โลชั่นปรับสภาพผิว         (16) 3 ทรีเดย์ ไบรเทน แอนด์ รีไวเทน ครีมลดริ้วรอยหมองคล้ำ

(17) 3 ทรีเดย์ ไบรเทน แอนด์ รีไวเทน โลชั่น ป้องกันแสงแดด (18) 3 ทรีเดย์ เนเชอรัล ครีมทาสิว

(19) 3 ทรีเดย์ เนเชอรัล โลชั่นป้องกันแสงแดด       (20) พรีม ไบรเทน แอนด์ รีไวเทน ครีมลดริ้วรอย

(21) พรีม ไบรเทน แอนด์ รีไวเทน โลชั่นป้องกันแสงแดด       (22) มิสเดย์ ครีมแก้สิว

(23) มิสเดย์ ครีมแก้ฝ้า      (24) พอลล่า ครีมทาสิว      (25) พอลล่า ครีมทาฝ้า    (26) พอลล่า โลชั่นกันแดดรักษาฝ้า

(27) ครีมชาเขียว DR. JAPAN     (28) ครีมชาเขียว MISS JAPAN   (29) ชิชาเดะ ครีมหน้าขาว โสมผสมไข่มุกญี่ปุ่น

(30) ครีมบัวหิมะ หลิง หลิง   (31)ครีม QIAN MEI   (32) ครีม QIAN LI   (33) ครีม CAI NI YA   (34) ครีม JIAO LING

หากผู้ใดฝ่าฝืนผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ ทั้งนี้ ผู้บริโภคสามารถสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องสำ อางที่มีสารห้ามใช้ได้ทางwww.fda.moph.go.th เลือกเกี่ยวกับเรา เลือกหน่วยงานภายใน เลือกกลุ่มควบคุมเครื่องสำอาง แล้วพิมพ์ชื่อเครื่องสำอางที่สงสัยในช่องที่ระบุว่าค้นหา ซึ่งหากเป็นเครื่องสำอางที่เคยประกาศผลวิเคราะห์ว่าพบสารห้ามใช้จะปรากฏรายละเอียดให้เห็น

รองเลขาธิการฯ อย. กล่าวใว่า ขอให้ผู้บริโภคเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากสถานที่ จำหน่ายที่มีหลักแหล่งน่าเชื่อถือ และก่อนตัดสินใจซื้อควรสังเกตฉลากผลิตภัณฑ์ โดยฉลากต้องมีข้อความภาษาไทย ระบุข้อความอันจำเป็นครบถ้วน ได้แก่ ชื่อและชนิดของเครื่องสำอาง เลขที่ใบรับแจ้ง(เป็นเลข 10 หลัก) สารที่ใช้เป็นส่วนผสม วิธีการใช้ ชื่อที่ตั้งผู้ผลิต/ผู้นำเข้า ปริมาณสุทธิ เลขที่แสดงครั้งที่ผลิต เดือนปีที่ผลิต และคำเตือน(ถ้ามี)
IP : บันทึกการเข้า
num919za
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9


« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 16 มกราคม 2013, 19:30:00 »

นร่างกายของคนเรามีโปรตีนอยู่มากมาย ซึ่งประมาณ 30-40% จะเป็นคอลลาเจน ระดับของปริมาณคอลลาเจนในร่างกายจะลดลงเมื่ออายุเพิ่มขึ้น โดยพบว่าคนที่มีอายุ 25 ขึ้นไป จะมีปริมาณ คอลลาเจน ลดลงทุกปี ปีละ 1.5% ซึ่งมักจะเกิดกับผู้หญิงมากกกว่าผู้ชาย
  การลดลงของคอลลาเจนจะทำให้
   ความยืดหยุ่นและสภาพความแข็งแรงของโครงสร้างอวัยวะต่างๆของ
ร่างกายลดลง
ทำให้ชั้นผิวหนังยุบตัวลงอันเป็นสาเหตุของความเหี่ยวย่นและริ้วรอย
คอลลาเจนยังเป็นส่วนประกอบถึง 90% ของเนื้อกระดูก โดยมีแคลเซียมสะสมอยู่ในช่องว่างระหว่างคอลลาเจน การขาดคอลลาเจน จะทำให้แคลเซียมไม่สามารถสะสมในกระดูกได้ ทำให้เกิดภาวะกระดูกเสื่อม และเปราะหักง่ายทั่วร่างกาย การเกิดปัญหาข้อเสื่อม กระดูกเสื่อม อันเนื่องมาจาก คอลลาเจน ใน กระดูก ลดลง ทำให้ กระดูก ไม่สามารถรับน้ำหนักได้ ขาดความยืดหยุ่น เปราะหักง่าย
  การเสริมสร้างคอลลาเจน
   อย่างไรก็ตาม เราสามารถเสริมสร้าง คอลลาเจน ให้ร่างกายได้ ด้วยการฉีด คอลลาเจน เข้าใต้ชั้นผิวหนังแท้ และอีกวิธีที่ง่ายและสะดวกคือ การรับประทาน คอลลาเจน เพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของชั้นผิวหนังและเพื่อเสริมให้กระดูกแข็ง แรง ควรรับประทาน คลอลาเจน และ แคลเซียม เสริมจะช่วยป้องกัน ภาวะกระดูกพรุนได้
IP : บันทึกการเข้า
num919za
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9


« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 17 มกราคม 2013, 23:54:10 »

7 ขั้นตอนเพื่อลดไขมันส่วนเกิน
          1. จดบันทึกอาหารที่รับประทาน และเครื่องดื่มต่างๆ อย่างน้อย 3 วัน นอกจากนี้ควรบันทึกว่าทำไมถึงรับประทาน อาจจะไม่ใช่เพราะความหิว แต่เป็นเพราะ อยาก เบื่อ เหงา เศร้า หรือหงุดหงิด งานวิจัยพบว่าผู้ที่จดบันทึกอาหารสามารถลดน้ำหนักได้ผลดีกว่าผู้ที่ไม่บันทึก การจดบันทึกนี้จะทำให้เห็นแบบอย่างลักษณะการบริโภคที่นำไปสู่ความอ้วนได้ เช่น ใช้ขนมเป็นตัวปลอบใจขณะที่รู้สึกเศร้า หรือรับประทานอาหารในช่วงวันน้อยมาก จึงทำให้หิวมากในช่วงเย็น เป็นต้น เมื่อทราบเช่นนี้จะช่วยให้มีกลยุทธ์ในการแก้ไขพฤติกรรมอย่างถูกต้อง อาจเป็นการหาวิธีอื่นที่ไม่ใช้อาหารเป็นการปลอบใจหรือเป็นรางวัล เช่น การคุยกับเพื่อน ออกไปเดินเล่น ทำสวน ทำเล็บ อาบน้ำสัตว์เลี้ยง เป็นต้น นอกจากนี้ควรบันทึกเวลาที่ออกกำลังกายด้วย เพื่อดูนิสัยการออกกำลังกาย

          2. เน้นมื้อเช้าและมื้อเที่ยง เพราะจะทำให้มีแรงทำงาน และออกกำลังกายในช่วงเย็น ถ้าต้องการพลังงานวันละ 1300 แคลอรี่ ให้แบ่งแคลอรี่แต่ละมื้อเป็น 500-500-300 (เช้า-กลางวัน-เย็น)

          3. รับประทานอาหารช้าๆ งานวิจัยพบว่าผู้ที่มีน้ำหนักเกินมักมีพฤติกรรมรับประทานอาหารเร็วกว่าสมองจะใช้เวลารับรู้ว่าท้องอิ่มประมาณ 20 นาที ดังนั้นการกินอาหารช้าๆ จะทำให้ได้รับรู้รสชาติของอาหารมากขึ้น ทำให้เกิดความพึงพอใจ เพลิดเพลินกับการรับประทาน ถ้าใครรู้ว่าตัวเองมีนิสัยการกินอาหารเร็วควรฝึกตนเองให้กินช้าลง โดยวางช้อนส้อมระหว่างคำ เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ใช้เวลาพูดคุยกับครอบครัวหรือเพื่อนที่รับประทานด้วย

          4. เลือกรับประทานที่ชอบ การปฏิเสธอาหารที่ชอบจะทำให้มีความอยากมากขึ้น จนทนไม่ไหว ควบคุมตนเองไม่ได้ และทำให้กินอาหารมากเกินควรภายหลัง แต่ถ้าอนุญาตตนเองให้กินอาหารที่ชอบที่อยากกินในปริมาณที่พอเหมาะจะทำให้ความอยากอาหารลดน้อยลงและสามารถควบคุมตนเองได้ อาจใช้วิธีแลกเปลี่ยนอาหาร เช่น ถ้าอยากรับประทานโดนัท 1 ชิ้น 200 แคลอรี่ ให้ลดปริมาณข้าวลง 2 ทัพพี และเลือกอาหารไขมันต่ำในมื้อถัดไป การวางแผนล่วงหน้าจะป้องกันการรับประทานอาหารมากเกินควร

          5. หลีกเลี่ยงการมีขนมไว้ยั่วยวนใจ โดยการไม่ซื้อมาเก็บไว้ที่บ้าน หรือถ้าซื้อมาให้คนอื่นในครอบครัวให้เก็บไว้ในตู้ เพราะถ้าไม่เห็นก็จะไม่นึกถึง และไม่เอาเข้าปาก ถ้าคุณเป็นคนที่ใช้เวลาส่วนมากอยู่ในครัว อาจพิจารณาย้ายไปห้องนั่งเล่นเพื่อทำกิจกรรมอื่นหรือเพื่อผ่อนคลาย ถ้าไปเดินเล่นห้างสรรพสินค้าพยายามหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีอาหารขายเยอะๆ เวลากลับมาบ้านแทนที่จะเดินเข้าห้องครัวทันทีเพื่อหาอะไรรับประทาน ให้เปลี่ยนเส้นทางเป็นเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และพักผ่อนก่อนที่จะเข้าห้องครัว

          6. มีแบบแผนการรับประทานที่มีความเป็นไปได้ นั่นคือมีความยืดหยุ่นกับตนเองบ้าง ชีวิตเราในแต่ละวันมีความแตกต่างกันออกไป บางวันเครียด บางวันสบาย บางวันมีงานเลี้ยง ถ้าเผลอรับประทานเยอะหน่อยที่งานเลี้ยงก็ไม่ต้องลงโทษตัวเองจะทำให้ชีวิตไม่มีความสุข ให้เลือกอาหารที่ “เบาๆ” ในวันถัดมา จะไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม

          7. จัดตารางเวลาให้กับการออกกำลังกายและจดลงในสมุดนัด โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ออกกำลังกายเป็นประจำและมีงานยุ่ง ประโยชน์ของการออกกำลังกายนั้นมีมากมาย นอกจากจะเป็นวิธีเผาผลาญพลังงานแล้วยังช่วยคลายเครียด กระชับกล้ามเนื้อและทำให้มีสุขภาพดี แต่ข้อสำคัญคือ ควรเพลิดเพลินสนุกไปกับการออกกำลังกายด้วย เพราะถ้าใช้การออกกำลังกายเป็นบทลงโทษตนเอง หรือเพื่อเพียงเผาผลาญพลังงานแล้วจะทำให้รู้สึกเบื่อและเลิกไปในที่สุด ควรเลือกกิจกรรมที่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นว่ายน้ำ เดิน วิ่ง โยคะ หรือเต้นลาตินก็ตาม แนะนำให้ออกกำลังกาย 30-60 นาที 4-7 วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง และป้องกันการเพิ่มน้ำหนัก
IP : บันทึกการเข้า
num919za
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9


« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 18 มกราคม 2013, 18:40:36 »

ประโยชน์ของการเคี้ยวอาหารนานๆ
ผลที่ได้จากการเคี้ยวอาหาร

การเคี้ยวอาหาร 30 ที

ผลที่ได้จากการกินอาหารแต่ละคำ ควรเคี้ยวอย่างน้อยที่สุด 30 ที
จะช่วยให้เหงือกแข็งแรง และช่วยรักษาอาการขี้หงุดหงิดจิตใจไม่สงบ

การเคี้ยวอาหาร 50 ที

จะช่วยลดการกลัดกลุ้มเจ้าอารมณ์ อย่างน้อยที่สุดช่วยให้ลืมเรื่องไม่น่าอภิรมย์ได้
ในเวลากินอาหาร นอกจากนี้ ยังลดความอ้วนได้ เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำที่เกิน
จำเป็นถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย

การเคี้ยวอาหาร 60 ที

เหมาะสำหรับอาหารที่มีใยหรือกากมากหรือย่อยสลายลำบาก ช่วยลดอาการท้องผูก
กระตุ้นสมรรถนะของสมองใหญ่ ช่วยให้สมองแล่นมากขึ้น

การเคี้ยวอาหาร 80 ที

ช่วยให้ประสาทสัมผัสไวขึ้น สามารถจำแนกรสธรรมชาติและสารปรุงอาหารที่มีพิษ
ในอาหารได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังช่วยให้เลียนแบบสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น


การเคี้ยวอาหาร 100 ที

ช่วยให้หนักแน่นมากขึ้น สามารถวินิจฉัยและจัดการปัญหาต่าง ๆ อย่างสงบเยือกเย็น
กินน้อยแต่ร่างการดูดซึมสารอาหารได้มาก นอกจากนี้ยังช่วยลดการอยากอาหาร
ประเภทเนื้อหรือระคายต่อร่างกายได้ด้วย

การเคี้ยวอาหาร 150 ที

ถ้ายืนหยัดเคี้ยว 150 ที ต่ออาหารหนึ่งคำ กระเพาะอาหารและลำไส้จะมีสมรรถนะสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยให้หายจากโรคเรื้อรังบางอย่างโดยไม่ต้องรักษา ขณะเดียวกันก็ช่วยให้สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดังใจ

การเคี้ยวอาหาร 200 ที

ถ้ายืนหยัดเคี้ยว 200 ที ต่ออาหาร 1 คำได้ทุกมื้อแล้ว จะหายจากโรคกระเพาะเรื้อรัง
และโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ช่วยให้คาดการณ์และวินิจฉัยปัญหาต่าง ๆ ได้แม่นยำมากขึ้น
IP : บันทึกการเข้า
num919za
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9


« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 19 มกราคม 2013, 11:23:20 »

ไขมันทรานส์ ที่สุดของไขมันอันตราย

ไขมันทรานส์ เป็นกรดไขมันที่เกิดจากกระบวนการแปรรูปกรดไขมันไม่อิ่มตัวให้กลายเป็นกรดไขมันอิ่มตัวสูง ตัวอย่างเช่นการทำน้ำมันพืช จะมีการเติมไฮโดรเจนลงไปในน้ำมันพืช เรียกว่า กระบวนการไฮโดรจีเนชั่น (Hydrogenation) เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันถั่วเหลือง หรือแม้กระทั่งการแปรรูปให้มีลักษณะเป็นกึ่งของแข็ง เช่น มาร์การีนหรือเนยเทียม เนยขาว ครีมเทียม เป็นต้น โดยวัตถุดิบเหล่านี้จะมีชื่อบนฉลากอาหาร คือ กรดไขมันชนิดทรานส์ หรือ Hydrogenated Oil หรือ Partially Hydrogenated Oil

เหตุที่มีการนำไขมันไปเปลี่ยนเป็นไขมันทรานส์ ก็เนื่องจากไขมันทรานส์สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานโดยไม่เหม็นหืน ไม่เป็นไข ทนความร้อนได้สูง และมีรสชาติใกล้เคียงกับไขมันจากสัตว์ แต่จะมีราคาที่ถูกกว่า บรรดาผู้ประกอบกิจการอาหารต่าง ๆ มักนิยมนำไขมันทรานส์มาใช้ประกอบอาหารมากมาย เพื่อประโยชน์ในการลดต้นทุนการผลิตลง เช่น กลุ่มอาหารฟาสต์ฟูดซึ่งใช้เป็นน้ำมันสำหรับทอดไก่ มันฝรั่ง โดนัท หรือการนำมาใช้ในการประกอบกิจการเบเกอรี่ ขนมขบเคี้ยว ครีมเทียม และวิปปิ้งครีม เป็นต้น

มาดูกันต่อคะว่า การทานอาหารที่มีไขมันทรานส์มากๆ จะส่งผลอย่างไรต่อร่างกายบ้าง

การที่เราทานอาหารที่มีกรดไขมันทรานส์มากๆ จะมีผลต่อการทำงานของเอนไซม์ Cholesterol Acyltranferase ซึ่งเป็นเอนไซม์สำคัญในการเมตาบอลิซึมของคอเลสเตอรอล ทำให้ระดับ LDL ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดเลวในเลือดเพิ่มขึ้น และลดระดับ HDL ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดดีในเลือด

และเนื่องจากไขมันทรานส์เป็นไขมันที่เกิดจากการแปรรูป จึงย่อยสลายได้ยากกว่าไขมันชนิดอื่น ทำให้ตับต้องสลายไขมันทรานส์ด้วยวิธีการที่แตกต่างไปจากการย่อยสลายไขมันตัวอื่น จึงอาจก่อให้เกิดสภาวะที่ผิดปกติกับร่างกาย คือ จะทำให้ร่างกายมีน้ำหนักและไขมันส่วนเกินเพิ่มมากขึ้น มีภาวะการทำงานของตับที่ผิดปกติ มีความเสี่ยงสูงที่จะป่วยเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด โดยความเสี่ยงที่กล่าวมานี้ ล้วนเป็นผลจากงานวิจัยหลายชิ้นที่ศึกษาถึงเรื่องไขมันทรานส์

อ่านมาถึงตอนนี้แล้ว จะพูดว่าไขมันทรานส์ ได้กลายเป็นศัตรูตัวร้ายอันดับต้นๆ ของคนรักสุขภาพทั่วโลกก็ว่าได้นะคะ อย่างในหลายๆ ประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา แคนาดา สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ มีการออกข้อบังคับเกี่ยวกับการระบุปริมาณไขมันทรานส์บนฉลากโภชนาการ และให้คำแนะนำแก่ประชาชนในการจำกัดการบริโภคอาหารที่มีไขมันทรานส์

นอกจากนี้ บางรัฐในสหรัฐอเมริกา เช่น นิวยอร์กได้ออกมาประกาศว่าจะเป็นรัฐแรกในสหรัฐอเมริกาที่ปลอดไขมันทรานส์ โดยออกมาตรการให้บรรดาร้านอาหาร ภัตตาคาร และผู้ประกอบการด้านอาหารทั้งหลาย ค่อยๆ ลดการใช้ไขมันชนิดนี้ในการปรุงอาหาร และหยุดใช้โดยเด็ดขาดทั่วทั้งนิวยอร์กภายในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2551 เป็นต้นมา แต่น่าเสียใจสำหรับคนไทย เพราะบ้านเรายังไม่มีมาตรการทางกฎหมาย มาควบคุมการใช้หรือบังคับให้ระบุปริมาณไขมันทรานส์บนฉลากโภชนาการ

ผู้บริโภคที่ใส่ใจและรักสุขภาพ จึงควรดูแลตนเอง โดยระมัดระวังเรื่องทานอาหาร หลีกเลี่ยงที่มีปริมาณไขมันทรานส์เยอะ เช่น อาหารประเภทของทอด (ไก่ทอด, เฟรนซ์ฟรายส์, นักเก็ต) ซึ่งมักใช้น้ำมันทอดซ้ำๆ จนหนืด รวมทั้งแฮมเบอเกอร์ หรือขนมขบเคี้ยวที่เก็บไว้นานๆ แต่ก็ยังกรุบกรอบ นอกจากนี้ยังรวมถึงอาหารที่มีส่วนประกอบของเนยขาวและมาร์การีน อาทิ คุ้กกี้ พาย พัฟ หรือขนมขบเคี้ยวชนิดแท่งด้วย

ทราบอย่างนี้แล้วก็ ปรับรูปแบบการทานกันใหม่นะคะ ใครที่ชอบทานกลุ่มอาหารดังที่ได้กล่าวมา ก็ควรจะค่อยๆ ปรับและลดปริมาณลง ใส่ใจกับการเลือกรับประทานกันดีกว่า  เพื่อสุขภาพของเราเอง และคนที่เรารัก อย่าลืมประโยคสำคัญที่ว่า You are what you eat กันล่ะ.
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!