เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 27 กรกฎาคม 2025, 10:20:20
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  บันไดกี่ขั้นสู่ความมั่งคั่งทางการเงิน - ขั้นแรก เก็บเงิน10%ทุกเดือน
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน บันไดกี่ขั้นสู่ความมั่งคั่งทางการเงิน - ขั้นแรก เก็บเงิน10%ทุกเดือน  (อ่าน 918 ครั้ง)
Noo++kai
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 112



« เมื่อ: วันที่ 11 กันยายน 2010, 20:31:30 »

เก็บมาฝากจากพันทิป  ผลงานการเขียนของ คุณขอบฟ้าบูรพา ค่ะ

             ตอนแรกตั้งใจว่าเขียนเป็นเรื่องเดียว แต่คิดไปคิดมา ในแต่ละหัวข้อก็มีเรื่องราวให้เขียนเยอะแยะไปหมด แล้วถ้าเขียนๆไปเกิดมีเรื่องอื่นที่น่าสนใจแทรกเข้ามาอีกล่ะ เลยสรุปว่าเป็น “บันไดกี่ขั้น” ก็ไม่รู้ เลยเอาชื่อประหลาดๆมันแบบนี้แหละ อันที่จริงหลักการก็ไม่แตกต่างจากการแนะนำทางการเงินฉบับมาตรฐานเท่าไหร่นัก แต่ผมพยายามที่จะใส่ข้อเท็จจริงที่ที่เกิดขึ้นที่ผมได้พบเจอเข้าไปด้วย และในบางกรณีผมจะใส่ไอเดียของผมเข้าไปว่าในส่วนไหนบ้างที่ผมไม่เห็นด้วยกับคำแนะนำทางการเงินฉบับมาตรฐาน ซึ่งในการอ่านทุกๆเรื่องโปรดพิจารณาว่านี่คือ “ข้อคิดเห็น” ทางการเงินของผมนะครับ

             สำหรับแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมา เพราะเห็นหลายคนรอบตัว หรือในกระทู้ที่เกี่ยวกับการเงินต่างๆมีคนถามกันมากว่า จะเริ่มต้นออมเงินและลงทุนอย่างไรดี ปกติก็ตอบกันตามแต่จะถามมา ผมเลยมาคิดว่า เออถ้าเราเขียนบทความเป็นลำดับๆไปว่าน่าจะทำแบบนั้นแบบนี้ 1-2-3 มันน่าจะง่ายขึ้นสำหรับคนที่ไม่เคยศึกษาด้านนี้มาก่อน ผมเองจะพยายามเขียนให้เข้าใจง่ายที่สุด เพื่อให้คนที่อาจจะกลัวเรื่องการเงิน แต่อย่างน้อยยังมีความพยายามจะได้เข้าใจได้ครับ

              สำหรับบันได้ขั้นแรกนี้ คือ การเก็บเงินให้ได้อย่างน้อยๆ 10%ทุกเดือน นี่คืออย่างน้อยนะครับ ใครที่ทำได้มากกว่านี้ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่สำหรับคนส่วนใหญ่การเก็บเงินเพียงแค่10%ยังเป็นเรื่องที่ยาก หากให้ก่อหนี้เดือนละ10%ของรายได้อันนั้นจะสบายกว่า (ฮา)

       การนำรายได้มาลงทุนทุกเดือนถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นเซียนเหยียบเมฆทางการลงทุนก็สามารถทำให้เรามีเงินล้านได้ครับเพราะว่าหากเราเริ่มต้นลงทุนหลังจากจบการศึกษาเมื่ออายุ 22 ปี แล้วเก็บเงินเดือนละ 1 บาททุกเดือนลงทุนไปเรื่อยๆจนกระทั่งเกษียณตอนอายุ 60 ปี หากเรานำไปลงทุนที่ได้ผลตอบแทนต่อปี 5%ทบต้น เราจะมีเงิน 1,327.52 บาท แต่หากว่าเราลงทุนได้ผลตอบแทนทบต้น 7%ต่อปีเราจะมีเงิน 2,149.25บาท และหากเราลงทุนได้ผลตอบแทนทบต้น 10%ต่อปีเราจะมีเงินทั้งสิ้น 4,605.15บาทตอนเกษียณ นั่นหมายความว่าหากเราเก็บออมเงินเพียงแค่เดือนละ 1,000 บาทตั้งแต่เดือนแรกที่เข้าทำงานเราจะมีเงิน (1,000*4,605.15) = 4,605,150 บาทเลยทีเดียว นี่ขนาดเก็บเงินแบบเท่าๆกันนะครับ ลองคิดดูว่าหากเราเก็บเงินเพิ่มตอนที่มีรายรับเพิ่มขึ้น เราจะมีเงินเท่าไหร่ แหม่คิดแล้วหนาวเลย แล้วถ้าเรามีเงินเดือนเริ่มต้นที่ 15,000บาทแล้วเก็บ10%ของรายได้ เราจะมีเงินในวันทำงานวันสุดท้ายเกือบๆ 7 ล้านบาทแน่ะ!!!

       ก่อนที่จะไปถึงว่าจะเก็บไว้ที่ไหน เรามาเริ่มกันที่ว่าจะเก็บอย่างไรก่อนดีกว่า โดยส่วนตัวแล้วผมแนะนำให้ “หักออก” จากรายได้ที่เข้ามาในทันทีไม่ว่ารายได้นั้นจะมาจากทางไหนก็ตาม เงินเดือน คอมมิชชัน โบนัส ดอกเบี้ย เงินปันผล พอเงินถึงมือหรือเข้าบัญชีปุ๊บ หักออกไปไว้ในที่เฉพาะปั๊บเลย ส่วนใครที่ถ้าหากว่ายังไม่สามารถหักเงินเก็บได้ การจะฝันถึงความมั่งคั่งหรืออิสรภาพทางการเงินก็อาจจะเป็นเรื่องที่ไกลเกินฝันไปสักนิดนึงนะครับ หากว่าไม่ได้ทำธุรกิจหรือลงทุนอยู่แล้ว(แต่ปกติคนที่ทำธุรกิจและลงทุนก็เป็นคนที่เก็บเงินมาก่อนแล้ว) หรือเป็นคนที่ได้รับมรดกตกทอด(อันนี้รู้อยู่แก่ใจกันดีว่ามีหรือไม่มี แต่คนส่วนใหญ่จะไม่มี – ฮา)

       ทีนี้จะมีบางคนบอกว่าทำไม่ได้หรอก เพราะว่าภาระค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนสูงมาก (ทีภาระรายรับละน้อยนิดเดียว - ฮา) ผมจะลองอธิบายปรากฏการณ์ที่ว่าภาระค่าใช้จ่ายสูงนี่มันสูงจริงหรือเปล่า หรือเป็นปรากฏการณ์ “จมไม่ลง” คือคนส่วนใหญ่เท่าที่ผมได้รู้จักหรือได้ยินมักจะมีวิถีการครองชีพที่ผมเองยังสงสัยว่า “ทำไปได้อย่างไร” แล้วเราลองมาดูกันว่านี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เราเก็บเงินไม่ได้หรือเปล่า ในที่นี้ผมขอยกตัวอย่างหากว่าเรามีเงินเดือนเริ่มต้นที่ 15,000บาท ทำไมเราถึงเก็บเงินไม่ได้เลย (คนที่เงินเดือนน้อยกว่านี้ ปกติค่าครองชีพก็จะน้อยกว่าตามไปด้วย ดังนั้นอย่าให้เงินเดือนที่น้อยมาเป็นข้อแก้ต่างเรื่องการเก็บเงินไม่ได้เลยนะครับ)

IP : บันทึกการเข้า
Noo++kai
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 112



« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 11 กันยายน 2010, 20:33:23 »

ลดรายจ่ายวิธีแรก หอพักหรือวิมาน

               หลายคนที่ต้องทำงานต่างจังหวัด คือเข้ามาทำงานในเมืองใหญ่ แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายจำเป็นและมากที่สุดสำหรับหลายๆคน คือ ค่าเช่าหอ โดยปกติแล้วเราควรระมัดระวังไม่ให้ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยมากกว่า 30%ของรายได้รวม(ใครกำหนดวะเนี่ย) สำหรับผมจำนวนนี้มันมากเกินไปด้วยซ้ำ แต่เชื่อไหมครับ ว่าหลายคนพักหอพักที่มีค่าเช่า 4,500-5,500 บาทต่อเดือนโดยไม่รวมค่าน้ำค่าไฟ!!! แม่เจ้านั่นหมายถึง (6,000/15,000)*100= 40%ต่อเดือน หรือหมายความว่าเราจ่ายเฉพาะค่าที่อยู่ 6,000*12=72,000 บาทต่อปี 0_o!!!

       ส่วนใหญ่จะบอกว่ามันใกล้ที่ทำงานบ้างล่ะ ซื้อความสะดวกสบายบ้างล่ะ คำถามคือ มันเหมาะสมแล้วหรือไม่ หลายคนนอกจากเช่าหอแล้วยังมีเรื่องของค่าเดินทางอีก หอต้องกินอยู่สะดวก ใกล้รถไฟฟ้า(แพงขึ้นไปอีก) เวลาผมเห็นหอพวกเค้าแล้วยังคิดเลยว่านี่เช่าอยู่หรือซื้อขาดเนี่ย อุปกรณ์ในห้องต้องครบชุดเลย ทีวี ตู้เย็น คอมพิวเตอร์ ไม่รู้หมดไปอีกเท่าไหร่

               ถ้าใครจะบอกว่าอ้าวนี่มัน เมืองกรุงเทพ เมืองฟ้าอมรนะ ราคามันก็ประมาณนี้แหละ พี่น้องครับผมทำงานอยู่บนถนนสาธร และผมเองก็เช่าหออยู่ไกลจากที่ทำงานประมาณขี่จักรยาน 10 นาที(รู้หมดเลยว่าผมไปทำงานยังไง) คิดดูว่าหอกลางเมืองแบบนี้ผมมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ 10,000ต่อเดือนรึ 7,000 หรือ 5,000บาท เดือนล่าสุดที่ผมจ่ายค่าหอรวมค่าน้ำค่าไฟคือ 3,425 บาทถ้วนครับ นั่นแหละไม่ผิดหรอกค่าเช่าหอกลางเมืองที่ว่ากันว่าแพงมหาโหดนั่นแหละ จริงๆแล้วที่พักราคาถูกนั้นมีอยู่ทุกที่ครับ แถวลาดพร้าวใกล้ๆรถไฟฟ้าราคา2,000บาทยังมีเลย ทีนี้ต้องมาดูกันแล้วว่า ”เราเช่าหอเพื่ออยู่ หรือเพื่อบอกฐานะ”

               หลายคนต้องอยู่หอที่มีอุปกรณ์ครบ มีเคเบิลทีวี(ทั้งๆที่ไม่ค่อยได้ดูหรอก) มีอินเตอร์เน็ท(เอาไว้โหลดบิท – ฮา) คือยอมจ่ายเงินโดยไม่ยอมคิดว่าจริงๆแล้วมันจำเป็นไหมกับความต้องการของชีวิต และมันเหมาะสมไหมกับรายได้ที่มี หอผมเองมีแค่เตียงนอนกับตู้เสื้อผ้าเท่านั้น เพราะปกติผมใช้ชีวิตกับคอมพิวเตอร์และหนังสือ ดังนั้นสิ่งนอกเหนือจากนี้ที่จะทำให้ผมต้องจ่ายมากขึ้น ผมจะเอามาทำไม

                จำไว้นะครับ ทุกๆ500บาทที่ลดลงได้ในแต่ละเดือน นั่นหมายถึงเงินเก็บที่มากขึ้น6,000บาทในแต่ละปีครับ
IP : บันทึกการเข้า
Noo++kai
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 112



« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 11 กันยายน 2010, 20:35:12 »

ลดรายจ่ายที่สอง น้ำมันขึ้นราคา พาเอาปวดตับ

ผมเองก็ปวดตับครับเวลาที่มีคนมาบ่นเรื่องเงินเดือนไม่พอใช้ แล้วพอซักไปซักมา อ้าวขับรถมาทำงาน “ซะงั้น” จริงๆการขับรถก็ไม่ผิดหรอกครับถ้าเรารู้จักการประเมินและวางแผนอย่างเหมาะสม แต่ว่าการที่มีเงินเดือน 15,000บาทแล้วต้องมาจ่ายค่าน้ำมันเดือนละ 3,000-4,000บาทต่อเดือนนี่ผมว่ามันยังไงๆอยู่นะ เพราะเรากำลังใช้จ่ายเงินไป 36,000-48,000บาทต่อปีเลยทีเดียว ซื้อทองใส่ได้2-3บาทเลยนะนั่น

บางคนบอกว่า ทำยังไงได้ก็ที่พักมันไกลจากที่ทำงานนี่นา ขับรถไปทำงานสะดวกกว่าเป็นไหนๆ ผมเองก็งงนะ ตอนบอกว่าแพงมันบอกว่าสะดวกกว่า แต่พอพูดเรื่องรถติดมันดันบ่นขับรถเหนื่อย สรุปว่ามันดีหรือไม่ดีแน่เนี่ย ผมงง บ้างก็ว่าแถวบ้านไม่มีรถประจำทางผ่าน แม่เจ้า นี่ผมอยู่กรุงเทพเมืองฟ้าอมรหรืออยู่หมู่บ้านเล็กๆแถวตะเข็บชายแดนกันเนี่ย มีตรอก ซอก ซอยไหนที่ไม่มีรถไฟฟ้า รถเมล์ สองแถว แมงกะไซผ่านเลยจริงๆหรอ แล้วเพื่อแก้ปัญหานั้น คือการซื้อรถหรือนี่ ทำไมตอนผมอยู่บ้านผมเลือกขี่จักรยานมาขึ้นรถเมล์หว่า

แล้วคนที่ขับรถมาทำงาน เชื่อเถอะว่ามันไม่ได้มีแค่ค่าน้ำมันอย่างเดียวแน่นอน ไหนจะค่าซ่อมบำรุง ค่าประกัน ภาษี บางออฟฟิศมีค่าจอดรถอีกด้วย บางคนจ่ายเองไม่ไหวก็เป็นภาระที่บ้านให้ช่วยด้วยในบางส่วน(ทั้งหมดสำหรับบางคน) อันที่จริงการใช้รถก็เป็นเรื่องที่ถูกที่ควรครับ หากนำมาใช้เพราะเหตุผลที่ถูกที่ควร แต่ที่เห็นใช้กันส่วนใหญ่เพราะเท่ห์ เพราะจะได้ไปเที่ยวต่อได้ เพราะจะได้กลับบ้านดึกได้ เพราะจะเอาไปส่งแฟน แล้วก็มาบ่นว่า ไม่มีเงินเก็บ

เอาละเพิ่งผ่านไปสองหัวข้อเอง ลองเทียบกับตัวเองดูสิครับว่าแค่สองข้อนี้เราใช้เงินไปทั้งหมดเป็นกี่เปอร์เซ็นของรายได้เราแล้ว และเราจะลดลงได้บ้างหรือเปล่า เพราะว่าค่าใช้จ่ายที่ลดลงทุกๆ1บาท ก็คือเงินเก็บที่เพิ่มขึ้น 1 บาทนั่นเอง
IP : บันทึกการเข้า
Noo++kai
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 112



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 11 กันยายน 2010, 20:36:26 »

ลดรายจ่ายวิธีที่สาม จ่ายน้อยจ่ายง่าย

ผมโชคดีที่ได้มีโอกาสจัดอบรมและบรรยายด้านการเงิน ทำให้ผมได้พบกับบุคคลหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาพนักงานออฟฟิศแบบเราๆท่านๆนี่แหละครับ และคำถามส่วนใหญ่ที่ได้รับก็คือ “ไม่ได้ใช้เงินเลย แต่ไม่รู้หายไปไหนหมด ไม่มีเงินเก็บ” อืมเงินมันเป็นสสารแล้วเราก็เคยเรียนมาสมัยเด็กๆว่าสสารไม่มีทางหายไปจากโลก มันทำได้แค่เปลี่ยนสภาพจากสถานะหนึ่งไปสู่อีกสถานะหนึ่งเท่านั้น ”แล้วเงินหายไปไหน”

จากการนั่งคุยกันไม่เกิน 10 นาทีโฮล์มก็ไขปริศนาของคดีฆาตกรรม เอ้ยคดีปล้นทรัพย์(จากกระเป๋าเราๆท่านๆ)ได้ทั้งหมด สรุปได้ว่า(ส่วนใหญ่จะเป็นสาวๆ)ชาวออฟฟิศทำเงินหล่นตามรายทางดังนี้ครับ เริ่มด้วยการไปกินข้ามกินน้ำตามปกติ อาจจะบอกค่าขนมนมเนยไปอีกนิดหน่อย อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับเต็นท์ที่ท่านไปอิงอาศัยว่าระดับราคาจะเป็นเท่าไหร่ แต่คดีจะเริ่มจากตรงนี้ครับ ระหว่างทางเดินกลับออฟฟิศ เอเอาผลไม้กลับขึ้นไปกินด้วยดีกว่า ตีว่า 20 เออซื้อขนมไปกินด้วยนะ ตีว่า 20 เดินๆไปอุ้ยต่างหูคู่ละ 20 บาทสามคู่ 50 เพื่อความคุ้มจัดมา3คู่ ถ้าวันไหนมีรองเท้า มีเสื้อ สนนราคา199-299 บาทต่อชิ้น รวมเบ็ดเสร็จสนนราคา 20+20+50=90 บาท เหมารวมๆ 100บาทต่อหนึ่งพักกลางวันไปแล้ว นี่ถ้าวันไหนมีเสื้อหรือรองเท้าติดมือกลับมา วันนั้นจ่ายแบ็งค์ม่วงเหลือแบ็งค์แดง ถ้าเราเอามารวมตีว่าทำงาน 20 วัน 20*100=2,000 บาทต่อเดือนเข้าไปแล้ว และจะมากกว่านี้ถ้ามีเสื้อหรือรองเท้าอย่างที่บอก

ทีนี้ลองคิดดูนะครับว่าเงินเราหล่นไปตามรายทางแบบนี้บ้างหรือเปล่า หลายคนบ่นว่าทำงานเงินเดือนก็ไม่ได้น้อย ค่าใช้จ่ายก็ไม่มี ทำไมไม่มีเงินเก็บก็ไม่รู้ นี่แหละครับเงินมันเสียไปทีละน้อยๆเราไม่ได้คิด แต่พอเอามารวมกันก็เยอะพอดู นี่แหละทำไมถึงแนะนำกันว่าควรจะทำบัญชี เพราะว่าบัญชีจะทำให้เราเห็นค่าใช้จ่ายในเงามืดที่เราเข็มขัดสั้นได้ครับ
IP : บันทึกการเข้า
Noo++kai
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 112



« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 11 กันยายน 2010, 20:37:33 »

ลดรายจ่ายวิธีที่สี่ ไม่สร้างหนี้ไม่มีฐานะ

โดยปกติแล้วผมจะแนะนำให้คนรู้จักทำบัตรเครดิตหนึ่งใบเมื่อสามารถทำได้ เพื่อไว้ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน และเพื่อยืดวันใช้เงิน(สดๆจากกระเป๋าเรา)ออกไป แต่คนทำงานโดยส่วนใหญ่พอมีความสามารถ(ไม่ต้องมีโล่ด้วย-ฮา)ที่จะก่อหนี้ ก็ละเลยวินัยในการบริหารเงินไปทันที ยิ่งคนที่มีรายได้อย่างที่ผมนำมายกตัวอย่างยิ่งใช้เรื่องรายได้น้อย(ตรงไหนเนี่ย ราชการเค้าเริ่มที่7,000บาทยังอยู่กันได้)เป็นข้ออ้างในการก่อนหนี้

โดยปกติชนชั้นแรงงาน(ใช้แรงแลกเงิน)อย่างเราๆท่านๆก็จะมีบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด ซึ่งดอกเบี้ยก็แพงมหาโหดอยู่แล้ว (ตอนฝากได้ร้อยละบาทแต่ตอนใช้บัตรจ่ายร้อยละ20 สาธุ) บางคนยังถอยรถแมงกะไซบ้าง รถยนตร์บ้าง ”ตามศักดิ์ฐานะที่ตัวเองคิดว่าควรจะมี(คิดไปเองทั้งน้าน) บางคนบอกว่าไม่อยากเช่าหอนะ เพราะจ่ายเงินแพงแถมไม่ได้เป็นของเรา ซื้อคอนโดเล็กๆดีกว่า ถ้าเลิกงานก็ปล่อยเช่าได้ด้วย แหมคิดดีอนาคตไกล ทั้งๆที่วางแผนว่าจะทำงานแค่สองปีแต่มีภาระผ่อนคอนโด30ปี ไอ้ครั้นจะปล่อยเช่าก็สภาพห้องไม่ดี(เริ่มทำงานเลยซื้อได้แค่นี้) ปล่อยราคาต่ำผู้เช่าก็ค่อนข้างแย่ ไปๆมาๆแทนที่จะเพิ่มค่าทรัพย์สินมีมูลค่าลดลงซะงั้น

คนส่วนใหญ่คิด(เองเออเองทั้งนั้น – ฮา) ว่าเมื่อรายได้เพิ่มขึ้นคงจะปลดภาระตรงนี้ไปได้ แต่พอมีรายได้เพิ่มเหตุผมเดิมๆก็จะตามมาคือ “มีภาระเพิ่มขึ้น”(ยังกะกฏตายตัว) แล้วไม่เชื่อก็ต้องเชื่อหลายคนตกกับดักหนี้สินก็อีตอนนี้แหละ มีบัตรเครดิตเยอะๆ บัตรกดเงินสดเยอะๆ พอบัตรนี้เต็มก็ไปกดบัตรนั้น บัตรนั้นเต็มก็ไปสมัครเพิ่ม ถ้าหาเงินมาจ่ายขั้นต่ำไม่ทันก็ไปกดจากบัตรกดเงินสดมาสิ แหมหมุนเงินยิ่งกว่าผู้บริหาร แล้วพอวันนึงเมื่อวงเงินเต็มทุกบัตร หรือว่าโดนให้ออก(อย่าคิดนะว่าไม่มีโอกาส ลองนึกย้อนไปสิว่าที่บริษัทเคยให้คนออกไหม แล้วคิดหรอว่าเราจะไม่มีโอกาสโดน) วันนั้นก็จะบูมมมม!!! กลายเป็นโกโกครันช์

สำหรับค่าใช้จ่ายตรงนี้มันขึ้นอยู่กับแต่ละคนจริงๆ ผมไม่สามารถประเมินได้ แต่มันก็เป็นอีกตัวที่จะฉุดรั้งการออมของเราให้เป็นไปได้ยาก  ดังนั้นถ้าจะมีบัตรดูให้แน่ใจว่า
1. บัตรนั้นไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปีให้เป็นภาระ บางบัตรจะยกเว้นค่าธรรมเนียมถ้าใช้จ่ายถึงระดับที่กำหนด
2. หากใช้บัตร ให้กันเงินส่วนที่จะต้องชำระค่าใช้จ่ายนี้ทันที อย่าไปหวังเงินเดือนหน้า ย้ำกันไว้ทันที!!!
3. จ่ายเต็ม การชำระขั้นต่ำก็เหมือนปล่อยน้ำในอ่างให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สักวันมันจะมิดจมูกเรา
IP : บันทึกการเข้า
Noo++kai
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 112



« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 11 กันยายน 2010, 20:38:27 »

ลดรายจ่ายวิธีที่ห้า กินอาหารหรือซื้อบรรยากาศ

อันนี้เป็นกันได้ทุกคน เพราะเดี๋ยวนี้ร้านอาหารน่าทานเยอะแยะ ร้านสะดวกซื้อ(แต่ไม่ค่อยจะสะดวกเวลาจ่าย)ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด และการพักผ่อนที่ดีอีกวิธีนึงก็คือการไปหย่อนใจตามร้านอาหาร  ร้านไหนใครว่าอร่อยก็ขอตามไปลองว่ามันเด็ดมันดีสมกับที่มันดังหรือเปล่า แล้วร้านอาหารเดี๋ยวนี้ราคาก็ไม่แพงเท่าไหร่ 200-300บาทก็ถือว่าไม่แพงเกินไป

หา!!! เอาจริงสิ ไม่แพงจริงๆหรอ อันที่จริงผมก็เข้านะร้านพวกนี้ หรือจะแพงกว่านี้ก็บ่ยั่นถ้ามันเด็ดดวงจริงๆ แต่การจะเข้าเราต้องดูสภาพ(ทางการเงิน) ของเราด้วยว่าเดือนนี้เราสามารถ(สามารถอีกละ)จ่ายได้ไหม เพราะอะไร หากเราไปหย่อนใจแค่อาทิตย์ละครั้งก็ปาเข้าไปเป็นพันแล้วนะครับ แล้วถ้าใครมีแฟนนี่ต่ำๆก็อาจจะเจอ2,000บาทต่อเดือนเข้าให้ ผมไม่ได้บอกให้ทำตัวอดๆอยากๆนะครับ แต่พยายามทำความเข้าใจว่าจะทำอะไรให้มันพอเหมาะพอควร ทำงานได้เงินวันละ500บาท แล้วก็เอามาลงกับอาหารมื้อเดียวนี่ ทำได้ครับ แต่อย่าบ่อยจะเป็นดี

ยิ่งบางคนชอบมากกก กับการดื่มด่ำบรรยากาศบามค่ำคืนกับน้ำสีอำพัน อันนี้นี่ก็เรื่องใหญ่ครับ โอเคว่าคนเรามันต้องเข้าสังคม แต่บางทีมันก็เกินไป เพื่อนผมมีรายได้รวมต่อเดือนนี่ 50,000-70,000 บาทแต่ แต่ แต่ อกอีแป้นจะแตก ไม่มีเงินเก็บเลยสักบาท เพราะว่าเอาไปแปรสภาพเป็นน้ำสีอำพันซะหมด นี่ถ้าซื้อเปล้าแล้วได้ไมค์สะสมคงบินกันได้รอบโลก
IP : บันทึกการเข้า
Noo++kai
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 112



« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 11 กันยายน 2010, 20:39:00 »

สรุปนะครับ อันดับแรกของการสร้างความมั่งคั่งนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเรามีรายได้เท่าไหร่ แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราเก็บออมเพื่อให้มันงอกเงยได้มากเท่าไหร่ ดังนั้นอย่าน้อยอกน้อยใจหากว่าเงยหน้าขึ้นมาแล้วพบว่าหลายคนมีรายได้มากกว่าเรา แต่จงดีใจหหากว่าเราสามารถเก็บออมเงินได้มากกว่าคนเหล่านั้นครับ

อย่างน้อยๆควรจะเก็บให้ได้ 10% ของรายได้หรือถ้าใครเก็บได้มากกว่านั้นก็เลิศเลย ส่วนถ้าใครที่ยังทำไม่ได้ด้วยว่าติดนู่นติดนี่(หนี้) อันนี้ก็บอกได้เลยว่าอย่าเพิ่งคิดอะไรไปไกล เพราะในเมื่อเราไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตเลย เราทำแต่สิ่งเดิมๆแล้วเราจะไปคาดหวังสิ่งใหม่ๆในชีวิตได้ยังไงครับ อันนั้นมันฝันเฟื่อง

เล่ามาซะนานคืออยากจะให้พยายามเก็บเงินกันให้ได้ก่อน แล้วถ้ามีโอกาสเราค่อยมาตอกันว่า จะเก็บที่ไหนดี และจะแบ่งสัดส่วนอะไรยังไง ค่อยๆเป็นค่อยๆไปครับ ว่าไปแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะกว่าผมจะเขียนตอนต่อไปได้ ถึงเวลานั้นก็หวังว่าคนอ่านก็คงจะเริ่มเก็บ10%ของรายได้กันแล้วนะครับ อิอิ
IP : บันทึกการเข้า
Noo++kai
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 112



« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 11 กันยายน 2010, 20:40:13 »

ยาวมาก ๆ ไม่รู้ว่าจะมีคนอ่านจนจบบ้างไม๊เนี่ย ฮืม
IP : บันทึกการเข้า
คนไกลบ้านเกิด
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,874



« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 11 กันยายน 2010, 20:59:16 »

แค่อ่านคร่าวๆก็ได้ความคิดแล้วเจ้าขอคุณสำหรับข้อคิดทีดีๆเจ้า ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
ALON
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 177


ร้านครูไทย ไอที


« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 11 กันยายน 2010, 21:08:59 »

ผมจะทำให้ได้คับ เก็บเงิน 10% ของรายได้ สู้ๆ ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

นายฉัตรชัย ประกิระนะ ครูไทยไอที  246 ม.10 ต.ยางสีสุราช อ.ยางสีสุราช จ.มหาสารคาม 44210
<< Tel 1-2 call 083-3447384 True  082-0440765>>      เมล์ chatchai.pr@hotmail.com
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!