เรื่อง ข้อเสนอเพื่อการอภิวัฒน์การศึกษาไทย
กราบเรียน ฯพณฯ พงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ข้าพเจ้าชื่อ นายxxxxxx xxxxxxx อายุ xx ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ x โรงเรียน xxxxxxx ข้าพเจ้าและเหล่าเพื่อนๆจำนวนไม่น้อย ได้รู้สึกยินดียิ่งที่ท่านได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และปีติเข้าไปอีกในการที่ท่านแสดงจุดยืนโดยวิพากษ์ระบบการศึกษาไทยในปัจจุบัน ซึ่งท่านเห็นว่าสมควรปฏิรูป หรือเปลี่ยนแปลง ข้าพเจ้ารู้สึกเห็นด้วยยิ่ง หากรู้สึกเบื่อคำว่าปฏิรูป(Reform) ซึ่งใช้มาทุกยุคทุกสมัย หากหาได้ก่อเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจังเอาเลย อยากเสนอท่านเป็นประการแรกคือให้ก้าวพ้นจากการปฏิรูป มาสู่การอภิวัฒน์ (Revolution) คือ เปลี่ยนแปลงอย่างถึงรากเพื่อความงอกงามของสังคมไทย โดยวางแผนอย่างรอบคอบและทำอย่างเร่งด่วน หาไม่แล้ว กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ คือเมื่อไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจังมีเพียงแต่วาทะเด็ด ประเทศก็จะถึงแก่ความเสื่อมโทรมทางจิตใจและบกพร่องทางสติปัญญา เพราะเยาวชนเป็นส่วนสำคัญของประเทศชาติ ในที่สุดตำแหน่งรัฐมนตรีฯก็จะไม่มีคุณค่าให้เชื่อถืออีกต่อไป ซึ่งกรณีดังกล่าวก็เคยเกิดเหตุปะทุมาแล้วคือ เยาวชนไทยแฮ็คเว็บกระทรวงศึกษาธิการ นั่นคือเขาแสดงความไม่พอใจมิใช่หรือ? เด็กคนนั้นไม่ใช่คนที่ไม่พอใจคนเดียวแต่เด็กไทยจำนวนไม่น้อยเลยต่างก็เห็นสมควร แม้พฤติกรรมนั้นจะไม่เหมาะสมก็ตาม นั่นแค่กรณีตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น เหตุการณ์รุนแรงขึ้นกระตุกต่อมปานนี้แล้ว จึงสมเหตุสมผลแล้วที่จะทำการอภิวัฒน์การศึกษาไทย อย่างเร่งด่วนแล้วหรือมิใช่
การที่ข้าพเจ้าและเหล่าเพื่อนร่วมกันคิดและเขียนจดหมายถึงท่านนั้น ก็เพื่อต้องการแสดงความเป็นกัลยาณมิตรต่อท่านรัฐมนตรีฯ หากไม่ใช่เท่านั้น แต่เหล่าข้าพเจ้าเป็นนักเรียน ซึ่งกำลังเรียนกำลังศึกษาอยู่ ย่อมเห็นปัญหาของการศึกษาได้ไม่ยาก หรืออย่างน้อยก็มากกว่านักการเมืองอาชีพเป็นไหนๆ ดังนั้นถ้อยความคิดของนักเรียนจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เป็นสิ่งที่ถูกละเลยจากสังคม คนที่มีความคิดดีๆมากมายที่มีความคิดเห็นที่ดีที่วิเศษ ได้เสนอไปก็ไม่ได้รับคำตอบ หรือคำตอบเหล่านั้น ผู้ใหญ่ก็ดูเหมือนไม่ฟังหรือฟังไม่จริงจังและจริงใจ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว เราจะเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาไทย เพื่อความงอกงามของเยาวชนและสังคมไทยได้อย่างไรกัน?
หากนั่นคืออดีตที่ล่วงเลยมาแล้ว หาใช่ปัจจุบันขณะ อันกาลที่ผ่านมาย่อมมิอาจแก้ไขไปได้อีก แต่ปัจจุบันเราสามารถแก้ไขได้ และคนที่สามารถจะแก้ไขนี้ได้คนที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ ท่านรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ ผู้เป็นความหวังของเยาวชนไทย ไม่อาจจะมีที่พึ่งที่ดีอีกแล้ว นอกจากท่านรัฐมนตรีผู้มาบริหารกระทรวงศึกษาธิการ เหล่าเยาวชนไทยล้วนคาดหวังต่อท่านในการทำให้การศึกษาไทยดีขึ้น
นี้เป็นการรวบรวมความกล้าหาญอันน้อยนิดของข้าพเจ้า และเหล่าเพื่อนอย่างแท้จริงในการเสนอครั้งนี้ ถ้อยคำของพวกเราอาจจะไม่ถูกกาละและเทศะสักเท่าไหร่ ก็ต้องขออภัยท่าน แต่ถ้อยคำสารดังกล่าวก็ด้วยความหวังในการเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาไทย
ข้าพเจ้าจะขอกล่าวถึงข้อเสนอของข้าพเจ้าและเหล่าเพื่อนๆต่อไปนี้
๑. เป็นที่รู้กันดีว่า “เด็กไทยใช้ชั่วโมงเรียนเยอะ แต่ไม่ได้เจริญขึ้นเลย” ในแต่ละวัน นักเรียนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ หรือเกือบทั้งหมด ใช้เวลาในห้องเรียนมากกว่า ๗ ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น ยิ่งสมัยปัจจุบันจะเข้าประชาคมอาเซียน อะไรนั่นก็ยิ่งต้องเรียนกันเพื่อเข้าสู่ตลาดแรงงาน อาจจะสูงถึง ๑๐ ชั่วโมงต่อวันก็ใช่จะไม่มี ซึ่งประเทศเราก็ไม่ใช่จะเจริญขึ้นเลย ผลคะแนนทดสอบต่างๆก็ใช่จะสูงขึ้นเลย แล้วเราก็แก้ปัญหาด้วยการเพิ่มคาบเรียนขึ้นไปอีก อาจกล่าวได้ว่า เรายิ่งทำให้มันรุนแรงเข้าไปอีก ในที่เด็กไทยควรจะมีเวลาเรียนรู้กับธรรมชาติ กับเพื่อนๆ มากกว่าอยู่ในห้องเรียน แต่กลับถูกให้เรียนเร่งแข่งขัน เสพติดการเรียนกวดวิชาเข้าไปด้วย เปรียบประดุจดังเครื่องยนต์กลไกล ที่ปราศจากชีวิต หรือจิตสำนึก แล้วเรายังจะถลำลึกลงไปอีกหรือ ข้าพเจ้าคิดว่า เราควรจะลดความเรียนเสียที ให้มีเวลากับสุนทรียภาพ กับความงาม มิตรภาพ และการเรียนรู้อย่างที่ตนชอบ เราอาจจะเรียกปรัชญาดังกล่าวว่า “สอนให้น้อยลง เรียนรู้ให้มากขึ้น” (Teach less Learn more) หลายๆประเทศก็ใช้ปรัชญานี้สำหรับการศึกษา
๒. ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้เดียวที่กำลังแข่งขันกับเพื่อนๆ เพื่อเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีอยู่ แต่เกือบทั้งประเทศก็เป็น การแข่งขันเรียนให้เก่งที่สุดนี้ จะทำให้เรายกระดับตัวเองขึ้นเหนือกว่าคนอื่น มีรายได้มากกว่าคนอื่น มีความสุขในชีวิตมากกว่าคนอื่น สิ่งนี้ได้ถ่ายทอดสู่นักเรียนเสมอมา มันเป็นความโลภ ความทะเยอทะยานเพื่อตนเอง ถ้าเราไม่แข่งก็ไม่ได้ เราจะไร้ชีวิตที่ดี จะถูกดูถูก เราไม่ใช่คนร่ำรวยที่จะนั่งกินนอนกินได้โดยไม่ได้รับผลกระทบในชีวิต ชีวิตของเราไม่มีเสถียรภาพเอาเลย นี้คือความกลัวที่เรากลัว คนที่เรียนไม่เก่งตามระบบบอกก็กลายเป็นคนที่ด้อยคุณค่าไปทันที ปรัชญาการศึกษาโดยเนื้อแท้แล้วสอนให้คนเป็นคนดี มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจไมตรี ไม่เห็นแก่ตัว สิ่งที่เรากำลังทำกันอยู่นี้ การแข่งขันกันอย่างที่เป็นถือว่าขัดกับหลักปรัชญาการศึกษาที่สารัตถะหรือไม่ การศึกษาที่แท้สอนให้มนุษย์แต่ละคนเห็นคุณค่าของตน เป็นไปเพื่อความเป็นมนุษย์ แต่การที่เราแข่งขันกัน ประเมินชี้วัดกันที่เกรดเฉลี่ย ที่ข้อสอบ แล้วใครแพ้คัดออกแบบที่เป็นอยู่นี้ จะเป็นแนวทางแห่งมนุษย์พึงกระทำต่อมนุษย์ด้วยกันละหรือ ข้าพเจ้าปรารถนาให้คิดทบทวนถึงกระบวนทัศน์ “การแข่งขัน” ซึ่งดำเนินอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งผู้ชนะมีจำนวนน้อย ผู้แพ้มีจำนวนมาก ถ้าหากเป็นแบบนี้ต่อไป สังคมไทย ประโยชน์ย่อมตกอยู่กับคนกลุ่มน้อยมากกว่าคนจำนวนมาก ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเองจะเพิ่มมากขึ้นกว่าเก่า ความขัดแย้งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นจะรุนแรงมาก เราสมควรเปลี่ยนกระบวนทัศน์มาเป็นการร่วมมือกัน(cooperation)หรือไม่ ข้าพเจ้าอยากให้ความเป็นธรรมกับเด็กสายศิลป์ด้วย ในสังคมไทยมีหลายคนหลายสถาบันเลยทีเดียวที่มองว่า พวกเขาด้อยไปกว่าสายวิทย์ ข้าพเจ้าต้องการเรียกร้องความเสมอภาคของเด็กทุกสายวิชา รวมถึงเด็กอาชีวะศึกษา ที่จะได้รับการปฏิบัติ การเคารพนับถือ และได้รับการประเมินค่าที่ไม่ด้อยไปกว่ากัน
๓. การศึกษาไทย เรามีการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์กันมาก แต่ระบบวิธีคิดของเรา หาได้เป็นวิทยาศาสตร์ไปด้วยเลย เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วที่ทำให้ปวดหัวคือ เด็กไทยมักจะไม่กล้าถาม กล้าเถียง และเชื่อฟังอย่างเดียว นั่นเพราะอะไรหรือ เราพยายามสื่อสารด้านเดียวกันมาตลอดมิใช่หรือ อำนาจนิยมที่ผ่านสถาบันการศึกษาทำให้ความเท่าเทียมกันหายไปหรือเปล่า กฎระเบียบเช่นทรงผม เราสามารถตั้งคำถามต่อมันได้ไหม ถ้าเราไม่ไว้ทรงผมแบบนี้แล้วจะฉลาดขึ้นหรือ หลายท่านอาจจะแย้งว่า แม้ไม่ไว้ก็ใช่จะฉลาดขึ้น ก็ไม่ใช่ประเด็นเลย ประเด็นคือมันเป็นสิทธิส่วนบุคคลอยู่แล้วไม่ใช่หรือ หลักการวิทยาศาสตร์พื้นฐานคือการตั้งคำถาม การวิพากษ์ ไม่ใช่การสงบปากสงบคำ แต่สิ่งนี้ทำให้เราไม่อาจมีวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์ได้เลย ไม่รวมถึงกฎหลายประการที่ควรแก้ไขหรือเลิกไป ชุดนักเรียนก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ควรพิจารณา การใส่ชุดนักเรียนเป็น “ร่างกายใต้บงการ” หรือไม่ ข้าพเจ้าอยากให้ท่านพิจารณา ของเก่าที่ล้ายุคไปแล้วและไม่มีคุณค่าทางจิตใจ ที่ไม่ตรงบริบทกับสังคมสมัยใหม่และจิตใจแบบวิทยาศาสตร์ สมควรถูกยกเลิกไปหรือไม่
๔. ตำราเรียนไทยเอง สมควรถูกวิพากษ์ ตั้งคำถามอย่างจริงจังไหม การสอนให้เชื่อโดยไม่มีจิตใจแบบวิทยาศาสตร์นั้นน่ากลัวยิ่ง ข้าพเจ้าไม่ได้เสนอให้เราจำเป็นต้องคลั่งวิทยาศาสตร์ (Scientism) แต่ให้มีท่าทีแบบมองอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่มองเพียงแคบๆ และปิดกั้นทัศนะของตนโดยไม่รับฟังทัศนะอื่นใดเลย ถ้ากล่าวแบบพุทธก็คือเราจำต้องถือหลัก “กาลามสูตร”ไว้ในใจ พิจารณาอย่างแยบคาย ประวัติศาสตร์ไทยกระแสหลักนั้น เราเคยตรวจสอบว่าเป็นวิทยาศาสตร์และเป็นประชาธิปไตยไหม เหตุการณ์อย่าง ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ – คณะราษฎร เหตุการณ์ ๑๔ ตุลา พ.ศ.๒๕๑๖ เหตุการณ์ ๖ ตุลา พ.ศ.๒๕๑๙ เป็นต้น จะมีสักกี่คนที่จำได้ มีนักปราชญ์ท่านเคยกล่าวว่า มีประวัติศาสตร์ที่สอนสองแบบคือ ๑)สอนให้จำ และ๒)สอนให้ลืม ทั้งที่เหตุการณ์ที่กล่าวมาแล้วนี้ ต่างเป็นประวัติศาสตร์วิถีสามัญชนที่ต้องการนำสังคมไทยไปสู่ความเจริญงอกงาม บางท่านต้องสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิต ก็มีการเอ่ยถึงไม่กี่หน้า หรือให้ถูกคือไม่กี่ย่อหน้า เท่านั้นเอง เราสมควรวิพากษ์มันไหม ถ้าหากเราเห็นว่าสิ่งดังกล่าวศักดิ์สิทธิ์ แตะต้องไม่ได้ แล้วอนาคตของชาติอยู่ที่ไหน ขอให้ดูนานาอารยประเทศ จะในทางบุรพทิศ หรือปัจฉิมทิศ ที่เราชื่นชนและชอบเปรียบเทียบ ประเทศเหล่านี้ก็สอนให้ตั้งคำถาม มีท่าทีวิพากษ์วิจารณ์ และเรียนรู้อดีตอย่างรอบด้าน เพื่อปัจจุบันและอนาคตที่ดีกว่า หรือมิใช่ ข้าพเจ้าหวังว่า จะมีการทบทวน แก้ไข ใช้วิธีการสอนเพื่อจิตใจที่เป็นวิทยาศาสตร์ของเยาวชน มีความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่จำเป็นต้องตามกรอบก็อยู่ได้ อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี ในบ้านเมืองเรา คนที่ความคิดเห็นต่างมักจะถูกโจมตี ถูกประณาม ถูกให้ร้าย แล้วแบบนี้สังคมไทยเราจะอยู่แบบนี้ตลอดไปอย่างโดดเดี่ยวหรือ จะไม่อยู่ร่วมกับประชาคมโลกหรืออย่างไร ถ้าเรายังไม่ยอมรับความเห็นต่าง รับฟังกันอย่างจริงจัง ถกเถียงกันเพื่อสิ่งที่ดีกว่า เราจะมีหน้าตาในสังคมโลกได้อย่างไร อย่าลืมว่าเราต่างก็เป็นพลเมืองโลกด้วยกันทั้งนั้น
๕. ข้อเสนอสุดท้ายของข้าพเจ้านั้นคือ ครูไทย ควรมีเงินเดือนที่สูงมากกว่านี้ ผู้เป็นครู ไม่เห็นเงินสำคัญ แต่เห็นศิษย์สำคัญ หากครูอยู่ด้วยเงินที่น้อยนิด อาชีพนี้กลายเป็นเรือจ้างไป เราควรส่งเสริมอาชีพนี้ ให้เกียรติไม่เพียงพอ แต่เงินเดือนก็ต้องดีไปด้วย หากนั่นไม่ใช่หลักประกันที่จริงแท้และรอบด้าน การมี “รัฐสวัสดิการ” ที่ให้หลักประกันคุณภาพชีวิตแก่ราษฎรทุกคนตะหากเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด การเรียนรู้ไม่เพียงในห้องเรียน หรือนอกห้องเรียนเพียงครั้งคราว แต่หมายถึงตลอดชีวิต ราษฎรควรมีความเสมอภาคกันที่จะเข้าถึงการศึกษา และแม้ไม่สามารถมากมายนักแต่ก็มีชีวิตอย่างมีคุณภาพและความสุขได้ รัฐสวัสดิการคือคำตอบ ที่ข้าพเจ้าปรารถนาให้รัฐมนตรีและรัฐบาลพิจารณาอย่างจริงจัง
ข้อนี้ไม่เห็นด้วย เพราะแค่ครู คส3 สอนประถม กินเงินเดือนไปวันๆ สอนมั่วๆ ยังเกือบสามหมื่นเลย
ที่ข้าพเจ้าและเหล่าเพื่อนเสนอมานั้น อาจจะแข็งกร้าวไปดังที่กล่าวมาแล้วนี้ แต่ก็ด้วยความเชื่อใจต่อท่านรัฐมนตรี และก็ขอกล่าวอีกนิดว่า ข้าพเจ้าเองเป็นเพียงนักเรียนคนหนึ่ง ประสบการรับรู้อาจต่างจากคนอื่นไปอีก อยากให้ท่านรัฐมนตรีไปสัมผัสกับเหล่านักเรียนให้มาก ไปเรียนรู้และรับฟังพวกเขาอย่างจริงจัง จุดเปลี่ยนจึงจะเกิดขึ้นในทางอภิวัฒน์ ที่กล่าวมานี้นั้นแม้ข้าพเจ้าอาจจะถูกโจมตีว่าทำอะไรที่ไม่เข้าท่าจากหลายๆคน หรือเป็นพวกไม่รู้ที่ต่ำที่สูงก็ตาม แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าเชื่อคือ โลกจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ถ้ามีคนกล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ(และตอนนี้ก็มากขึ้นเรื่อยๆแล้วในสังคมไทย) เพื่อปลดแอกจากพันธนาการที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง เช่นเดียวกับที่ มากาเร็ด มีด (Margaret Mead) นักมานุษยวิทยาที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของโลก กล่าวไว้ never doubt that a small group of thoughtful, committed citizens can change the world. Indeed, it is the only thing that ever has. - “ไม่สงสัยเลย ที่กลุ่มคนเล็กๆที่มีความมุ่งมั่นร่วมกันได้เปลี่ยนแปลงโลกได้ มันเป็นอย่างนี้มาเสมอ”
ด้วยความเคารพและเชื่อมั่นอย่างสูง
(นายxxxxxxxxx xxxxxxxx)
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔
โรงเรียน xxxxxxxxxxxxxxxxxxxx
ต่อยอดนิดนึง เด็กคนนี้พูดตรงประเด็นมาก
การศึกษาไทย กำลังห่วยลงทุกวันๆ เด็กเรียนหนัก แต่ไม่ได้เรื่อง รู้เรื่องน้อยลงทุกวันๆ
ลักษณะหลักสูตร ยากขึ้นทุกปี หาอะไรไม่รู้ มาใส่หัวเด็ก พอเด็กเรียนไม่ทัน ก็เพิ่มชั่วโมง ให้ทัน
ไม่มีใครโทษหลักสูตรเลย
พอหลักสูตรเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ก็ตามนั้น ไม่ได้ปรับให้รองรับกิจกรรมที่โค-ตะระ จะเยอะระเบิดระเบ้อเลย
ช่วงกีฬาสี ก็ต้องลดชั่วโมง เพื่อเพิ่มชั่วโมงซ้อมกีฬา
แขกบ้านแขกเมืองมา ก็ตัดชั่วโมงเรียนไปเตรียมการ XXX อะไรไม่รู้
ครูติดอบรม ครูไม่ว่างสอน มัวทำอาจารย์ 3 ฯลฯ
แค่นี้เด็กก็ไม่มีเวลาจะเรียนกันละ ยังทำหลักสูตรยากขึ้นๆ ตลอด
ประเด็นคือ ... ฉลาดไป แล้วได้อะไร ถ้าได้แค่หนังสือ ไม่ได้เทคนิดการใช้ชีวิต
IQ นำ EQ ลดลงทุกปี .... สังคมมีแต่อัจฉริยะ กับคนโง่ .... แต่ไร้ซึ่งคนดี