กาแฟดอยช้างไปได้สวย...ทำรายได้ปีละ 1 หมื่นล้านวันพุธที่ 31 ตุลาคม 2555 เวลา 00:00 น.
นายสุรศักดิ์ พันธ์นพ รองเลขาธิการและรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงสถานการณ์การผลิตกาแฟพันธุ์อราบิกาในภาคเหนือของไทย ซึ่งพบว่า มีแหล่งปลูกที่สำคัญอยู่ที่ดอยช้าง ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย โดยนิยมปลูกในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลที่ 1,300-1,700 เมตร ภูมิอากาศมีลักษณะหนาวเย็นเหมาะกับกาแฟพันธุ์อราบิกา ส่วนสายพันธุ์ที่นิยมปลูก ได้แก่ สายพันธุ์แคทรูรา (Caturra) และทิปิกา (Typica )
สำหรับดอยช้างมีเนื้อที่ปลูกกาแฟประมาณ 30,000 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 70 ของเนื้อที่ปลูกกาแฟทั้งหมดของจังหวัดเชียงราย ซึ่งเกษตรกรจะเก็บเกี่ยวเมล็ดกาแฟสด (ผลเชอร์รี่) ขายให้แก่โรงงานแปรรูปในดอยช้าง ที่ราคากิโลกรัมละ 20-30 บาท โดยโรงงานจะนำผลเชอร์รี่มาสีและหมักระยะหนึ่งจึงได้เป็นเมล็ดกาแฟดิบ หรือที่เรียกว่าสารกาแฟ ซึ่งราคาเมล็ดกาแฟดิบ จะอยู่ที่กิโลกรัมละ 180-200 บาท และจากการสำรวจในปี 2555 ดอยช้างสามารถผลิตกาแฟดิบได้ทั้งหมด 3,500 ตัน ให้ผลผลิตต่อไร่ 350 กิโลกรัม โดยช่วงเก็บเกี่ยวจะอยู่ระหว่างเดือนตุลาคมถึงกุมภาพันธ์ของทุกปี ซึ่งผลผลิตกาแฟในดอยช้างทั้งหมดจะขายให้กับโรงงานแปรรูปในแหล่งผลิต และส่วนใหญ่นำไปแปรรูปเป็นกาแฟคั่วบด
รองเลขาธิการกล่าวต่อไปว่า กาแฟดอยช้าง นับว่าได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยทำชื่อเสียงไปทั่วโลก ทั้งในเรื่องคุณภาพ กลิ่นและรสชาติที่ดีเยี่ยม มีเอกลักษณ์เฉพาะ เป็นที่ต้องการของตลาดมาก อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีประเทศที่นำเข้ากาแฟจากดอยช้าง เช่น แคนาดา สิงคโปร์ ไต้หวัน สหราชอาณาจักร และเกาหลีใต้ ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรและผู้ประกอบการแปรรูปได้ถึงปีละ 2,000-3,000 ล้านบาท ทำให้กาแฟของดอยช้างผลิตได้ไม่เพียงพอกับความต้องการ ส่งผลให้ราคามีแนวโน้มสูงขึ้นมากกว่าแหล่งผลิตอื่น โดยเมล็ดกาแฟคั่วนั้น สามารถขายได้ถึงกิโลกรัมละ 1,600 บาท ทั้งนี้จากความเหมาะสมของสภาพภูมิประเทศ และภูมิอากาศ รวมทั้งการบริหารจัดการที่ดี ทำให้ปัจจุบันทั้งภาครัฐและเอกชนได้มีส่วนร่วมในการเข้าไปส่งเสริมให้เกษตรกรขยายพื้นที่ปลูกกาแฟอราบิกาเพิ่มขึ้น และคาดว่าใน 3-5 ปีข้างหน้า กาแฟจะให้ผลผลิตได้เต็มที่ และสามารถทำรายได้เข้าดอยช้างปีละ 10,000 ล้านบาท.
http://www.dailynews.co.th/agriculture/163786