พระอุปคุต อรหันต์ผู้พิชิตพญามาร ตำนานการตักบาตรเที่ยงคืน โดย พนมกร นันติ
ระอุปคุต อรหันต์ผู้พิชิตพญามาร
เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๔๙ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้จัดให้มีพิธีสำคัญทางพระพุทธศาสนา
ที่ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่ง นั่นคือพิธีมหาพุทธาภิเษกพระเจ้าล้านทองเฉลิมพระเกียรติ
ซึ่งในพิธีสำคัญนี้เองที่ผู้เขียนได้เป็นคณะกรรมการดำเนินการ และได้จัดให้มีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องที่สำคัญๆ หลายพิธี
เช่น การขึ้นท้าวทั้งสี่ พิธีอัญเชิญพระอุปคุต พิธีกวนข้าวทิพย์ และพิธีเบิกเนตรเป็นต้น
ซึ่งในพิธีอันเป็นมหามงคลที่มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาเช่นนี้ ตามประเพณีวัฒนธรรม
และคติความเชื่อของชาวล้านนา จะต้องมีการอันเชิญพระอุปคุตมาสถิต ณ มณฑลพิธี
เพื่อช่วยปกป้องคุ้มครองและรักษาพิธีให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
แต่ก่อนที่จะไปถึงพิธีการอันเชิญพระอุปคุตนั้น ผู้เขียนขออธิบายให้เกิดความกระจ่าง
และเพื่อเป็นการทำความเข้าใจร่วมกัน ว่าพระอุปคุตนั้นคืออะไร และมีความสำคัญต่อพระพุทธศาสนามากน้อยเพียงใด
ตามตำนานกล่าวเอาไว้ว่าพระอุปคุตเถระนั้นเป็นชาวเมืองปาตลีบุตร เมื่อบวชแล้วได้บำเพ็ญเพียร
จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ชื่อว่า พระอรหันต์ขีณาสพ เป็นผู้ที่มีอภิญญาภินิหารต่างๆ
จนสามารถแสดงให้เป็นที่ประจักษ์แก่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย และมีเรื่องเล่าขานกันว่า
ประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ ๒ หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ดับขันธ์ปรินิพพาน
ณ นครปาตลีบุตราชธานีแล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชผู้ซึ่งมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง
ได้ทรงสร้างพระวิหารและพระสถูปมากมายทั่วทั้งชมพูทวีป เพื่อใช้เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า
โดยได้สร้างสถูปและเจดีย์ขึ้นถึง ๘๔,๐๐๐ องค์ด้วยกัน เมื่อการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเสร็จเรียบร้อยแล้ว
พระองค์ก็ทรงปรารภที่จะจัดให้มีการฉลองสมโภชพระสถูปเจดีย์ทั้งหมด เป็นการมโหฬารยิ่งใหญ่
ตลอด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน และเพื่อให้การฉลองสมโภช เป็นไปด้วยความเรียบร้อยปราศจากอุปสรรค
และการเข้ามารบกวนซึ่งหมู่มารทั้งปวง พระองค์จึงได้อาราธนาพระอรหันต์ขีณาสพผู้ซึ่งทรงอิทธิฤทธิ์
มาเป็นผู้คุ้มครองงาน ให้ปราศจากการรบกวนจากมารร้ายต่างๆ เนื่องจากว่าพระสงฆ์ในนครปาตลีบุตร
ไม่มีรูปใดที่จะสามารถจะเป็นผู้คุ้มครองงานมหกรรมนั้นได้ โดยเฉพาะภัยจากพญาวัสสวดีมาร
ผู้มีฤทธิ์ยิ่งกว่าภูตผีปีศาจทั้งหลาย นอกเสียจากพระอุปคุตเถระผู้เดียวเท่านั้น พระสงฆ์ทั้งปวงจึงตั้งตัวแทน ๒ รูป
ลงไปอาราธนาพระอุปคุตเถระมาช่วยรักษาความปลอดภัย ซึ่งกล่าวกันว่าพระอุปคุตเถระองค์นี้
ปกติแล้วเป็นผู้ที่ชอบสันโดษอยู่องค์เดียว เข้าฌานสมาบัติเสวยวิมุตติสุข ตามตำนานกล่าวว่าท่านเนรมิตเรือนแก้ว(กุฏิแก้ว)
ขึ้นในท้องทะเลหลวงหรือสะดือทะเล ซึ่งภายในปราสาทแก้วได้เนรมิตรัตนะบัลลังก์เป็นที่พำนัก
แล้วก็ลงไปอยู่ประจำที่กุฏิแก้วตลอดเวลา พระอุปคุตเถระจะออกจากสมาบัติเหาะขึ้นมาบิณฑบาตในโลกมนุษย์
เฉพาะในวันพุธเพ็ญกลางเดือนเท่านั้น ซึ่งวันเพ็ญที่ตรงกับวันพุธนี้เอง ชาวล้านนาเรียกกันว่า “เป็งปุ๊ด”
ซึ่งมีประเพณีใส่บาตรพระอุปคุตตอนเที่ยงคืน ซึ่งผู้เขียนจะได้นำมาอธิบายต่อไป
และในครั้งนี้เองที่พระอุปคุตเถระถูกพระภิกษุสองรูป ผู้ได้อภิญญาสมาบัติชำแรกมหาสมุทรลงมาถึงตัวท่าน
แล้วแจ้งต่อท่านว่า ให้ท่านจงเป็นธุระเพื่อคอยปกป้องกันพญาวัสสวดีเทพบุตรมาร อย่าให้รบกวนงานฉลองพระสถูปเจดีย์
ของพระเจ้าอโศกมหาราชที่จัดฉลองสมโภชในครั้งนี้ได้ และเมื่อพระอุปคุตเถระได้รับทราบความดังนั้นแล้ว
ท่านได้รับนิมนต์จากภิกษุทั้ง ๒ และได้เดินทางมานมัสการและรายงานตัวต่อคณะสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น
พระเจ้าอโศกมหาราชจึงได้เสด็จเข้ามานมัสการคณะสงฆ์เพื่อขอทราบเรื่อง ถึงผู้จะที่จะมาทำหน้าที่
รักษาความสงบเรียบร้อยของงานฉลองสมโภชพระสถูปเจดีย์ที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยจัดขึ้น
เมื่อพระองค์ทรงทราบว่าผู้ที่จะมาทำหน้าที่นี้ คือพระอุปคุตเถระก็ทรงนึกแคลงพระทัย
เนื่องจากพระอุปคุตเถระนั้นท่านมีร่างกายผ่ายผอมดูอ่อนแอ พระองค์ก็ทรงไม่แน่ใจและเกรงว่าพระอุปคุตเถระองค์นี้
จะทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์ ครั้นวันรุ่งขึ้นขณะที่พระอุปคุตเถระออกบิณฑบาตนั้น
พระเจ้าอโศกมหาราชต้องการทดสอบฤทธิ์เดชพระเถระรูปนี้จึงทรงปล่อยช้างตกมันให้เข้าทำร้าย
พระมหาอุปคุตเถระเห็นดังนั้นจึงได้สะกดช้างที่กำลังวิ่งเข้ามาหาให้หยุดอยู่กับที่ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
ประดุจช้างที่สลักด้วยก้อนหิน เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชเห็นดังนั้นก็ทรงเลื่อมใสศรัทธาพระอุปคุต
จึงเสด็จไปขอขมาพระมหาอุปคุตเถระ และท่านก็ให้อภัยทั้งแก่พระเจ้าอโศกมหาราช และพญาคชสารนั้น
พระเจ้าอโศกมหาราชเมื่อเห็นว่าพระอุปคุตเถระ เป็นผู้มีฤทธิ์เดชเพียงนั้นพระองค์ก็ทรงวางพระทัย
และสั่งให้จัดเตรียมฉลองสมโภชพระสถูปเจดีย์ทั้งหมดด้วยการปลูกสร้างโรงพิธี ประดับประดา
ให้มีความวิจิตรสวยงามด้วยธงทิวและประทีปโคมไฟตลอดระยะทางกึ่งโยชน์ ทำให้ตามแนวฝั่งแม่น้ำคงคา
สว่างไสวไปทั่วทั้งบริเวณ เมื่อถึงฤกษ์งามยามดีตามที่กำหนดไว้พระอรหันต์ขีณาสพพร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด
ตลอดจนพุทธศาสนิกชนที่หลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ ก็เริ่มหลั่งไหลเข้าสู่บริเวณงานพร้อมเครื่องสักการบูชา
เพื่อร่วมพิธีฉลองสมโภช พระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุอยู่ในมหาเจดีย์และเจดีย์ทั้งแปดหมื่นสี่พันองค์ ด้วยความเลื่อมใสศรัทธา
ในขณะเดียวกันที่มีการฉลองสมโภชอยู่นั้นพญาวัสสวดีเทพบุตรมาร ก็มุ่งหน้าเข้ามาในงาน
เพื่อหวังที่จะก่อความวุ่นวาย ต่างๆ นานา ทั้งบันดาลให้เกิดลมพายุ ทั้งแปลงร่างเป็นสัตว์ป่าและสัตว์ที่ดุร้ายต่างๆนาๆ
แต่ทุกครั้งก็ถูกพระอุปคุตเถระกำราบได้ทุกครั้งไป สุดท้ายเพื่อให้พญาวัสสวดีเทพบุตรมารออกไปจากบริเวณพิธี
พระอุปคุตเถระจึงเนรมิตร่างหมาเน่าขึ้นมาตัวหนึ่ง แล้วดึงเอาประคตจากเอวของท่านออกมาผูกร่างหมาเน่านั้น
คล้องคอพญาวัสสวดีเทพบุตรมารไว้ แล้วสำทับว่าไม่ว่าใครก็ตามนอกจากท่านเอง แล้วเอาหมาเน่านี้
ออกจากคอพญาวัสสวดีเทพบุตรมารไม่ได้ แล้วขับพญาวัสสวดีเทพบุตรมารออกไปจากบริเวณงานทันที
ด้วยความอับอายพญาวัสสวดีเทพบุตรมารก็ออกมาจากบริเวณงาน และพยายามแกะเอาซากหมาเน่าออก
ด้วยฤทธานุภาพทั้งหมดที่ตนมีอยู่ แต่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถแก้ได้เพราะเมื่อเอามือทั้งสองต้องสายประคตที่คล้องคอเมื่อได
ต้องมีเหตุให้ไฟลุกขึ้นไหม้คอและมือทันทีทุกครั้ง สุดที่พญาวัสสวดีเทพบุตรมารจะแก้ไขด้วยตนเอง
จึงได้ไปขอความช่วยเหลือจากผู้ทรงฤทธิ์ตามที่ต่างๆ แต่ก็ไม่มีใครที่จะสารมารถช่วยเหลือได้
ถึงแม้พญาวัสสวดีเทพบุตรมาร จะไปขอให้พระอินทร์ ท้าวยามา ท้าวสันดุสิต ท้าวนิมิตเทวราช
ตลอดจนท้าวสหัสบดีพรม ก็ไม่มีใครสามารถช่วยได้ ต่างได้แต่แนะนำให้พญาวัสสวดีเทพบุตรมาร
ไปขอขมาพระอุปคุตเถระเสีย พญาวัสสวดีเทพบุตรมารเห็นดังนั้นจึงจำใจต้องกลับไปหาพระอุปคุตเถระ
เพื่อขอขมาและขอให้ท่านช่วยเอาซากหมาเน่าออกจากคอให้แล้วจะไม่มารบกวนการจัดงานอีก
พระอุปคุตเถระก็ให้ความเมตตาผ่อนปรนให้ แต่ท่านยัง
ไม่ไว้ใจพญาวัสสวดีเทพบุตรมาร เกรงว่าพญาวัสสวดีเทพบุตรมารจะกลับมาทำลายพิธีในภายหลัง
จึงเดินนำพญาวัสสวดีเทพบุตรมารไปยังเขาใหญ่ลูกหนึ่ง แล้วเอาซากหมาเน่าทิ้งลงเหวพร้อมทั้งเนรมิต
ให้สายประคตยาวขึ้น แล้วพันคอพญาวัสสวดีเทพบุตรมารไว้กับเขาลูกนั้น พร้อมทั้งแจ้งให้พญาวัสสวดีเทพบุตรมาร
ทราบว่าเมื่อเสร็จพิธีฉลองสมโภชพระมหาเจดีย์สิ้นสุดลงแล้วจึงจะมาแก้สายประคตออกให้
และปล่อยให้พญาวัสสวดีเทพบุตรมารเป็นอิสระต่อไป
เมื่อเวลาการจัดงานสมโภชน์ผ่านไปตามที่ตกลงกันไว้และสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี พระอุปคุตเถระ
จึงกลับมาหาพญาวัสสวดีเทพบุตรมารโดยแอบอยู่ห่างๆ เพื่อฟังเสียงพญาวัสสวดีเทพบุตรมารว่าละพยศร้ายหรือยัง
พญาวัสสวดีเทพบุตรมารเองเมื่อจากทิพยวิมานอันบรมสุขมารับทุกขเวทนาเช่นนี้เป็นเวลานานแล้ว
ก็ละพยศร้ายในสันดานหวนนึกถึงพระพุทธโคดม จึงกล่าวสดุดีในความเมตตากรุณาของพระพุทธเจ้า
ในเรื่องที่ทรงมีมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ว่า “ทรงบำเพ็ญสิ่งอันเป็นที่สุดหามิได้เป็นที่พึ่งพำนัก
แก่สัตว์โลกทั้งมวลในกาลทุกเมื่อ พระองค์นั้น เป็นผู้ประเสริฐหาผู้เสมอเหมือนมิได้ อนึ่ง
ในกาลก่อนข้าพเจ้าได้ทำร้ายพระองค์โดยประการต่างๆ แต่พระองค์ก็ยังทรงมหากรุณาธิคุณ
มิได้กระทำการโต้ตอบแก่ข้าพเจ้าเลย มาบัดนี้สาวกของพระองค์นามว่าอุปคุตไม่มีเมตตาแก่ข้าพเจ้าเลย
กระทำกับข้าพเจ้าให้ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส และได้รับความอับอายเป็นอย่างยิ่ง
ถ้าหากว่าข้ายังมีบุญกุศลที่ได้สั่งสมไว้แต่กาลก่อน ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐานปรารถนาเป็นพระสัพพัญญูในอนาคต
ดังเช่นพระองค์ต่อไป”
กล่าวได้ว่าการตกระกำลำบากในครั้งนี้ทำให้พญาวัสสวดีเทพบุตรมาร ซึ่งความจริงแล้วในอดีตชาติ
เคยมีจิตตั้งมั่นที่จะบำเพ็ญเพียรให้ได้เป็นพระพุทธเจ้าเช่นกัน แต่ที่ได้กระทำการขัดขวางพุทธศาสดา
ของพระพุทธโคดมก็ด้วยความริษยาพระพุทธโคดม เนื่องด้วยพระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก่อนตน
ทั้งๆที่ตนบำเพ็ญบารมีมามากพอสมควรเหมือนกัน แต่การกระทำในแต่ละครั้งก็มิได้ล่วงเกินทำบาปหนักแต่ประการใด
เมื่อพระอุปคุตเถระได้ยินคำปรารภดังนั้น ก็เห็นว่าพญาวัสสวดีเทพบุตรมารสิ้นพยศแล้วจึงแก้สายรัดประคตออกให้
และปล่อยให้พญาวัสสวดีเทพบุตรมารเป็นอิสระ พร้อมทั้งขอขมาพญาวัสสวดีเทพบุตรมารและบอกว่า
การกระทำครั้งนี้ก็เพื่อให้พญาวัสสวดีเทพบุตรมารระลึกได้ถึงพุทธภูมิที่ท่านเคยปรารถนาไว้เท่านั้นเอง
มิได้มีเจตนาที่จะล่วงเกินประการใด ซึ่งพญาวัสสวดีเทพบุตรมารก็เข้าใจด้วยดี
ต่อจากนั้นพระอุปคุตเถระก็ได้ขอให้พญาวัสสวดีเทพบุตรมารเนรมิตกายเป็นพระพุทธองค์
เพื่อจะได้เห็นเป็นพุทธานุสติบ้าง ซึ่งพญาวัสสวดีเทพบุตรมารก็รับคำแต่ขอร้องว่า
เมื่อเห็นเขาเนรมิตกายเป็นพระพุทธองค์แล้ว อย่าหลงกราบไหว้เป็นอันขาดเพราะจะให้เขาบาปหนัก
ครั้นเมื่อพญาวัสสวดีเทพบุตรมารเนรมิตกายเป็นพระพุทธเจ้า ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ
และฉัพพรรณรังสีอันวิจิตร มีพระอัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวา แวดล้อมด้วยมหาสาวกทั้งหลายเป็นบริวาร
เสด็จเยื้องย่างด้วยพุทธลีลาอันงดงามยิ่ง พระเถระและบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย เห็นเช่นนั้น
ก็ลืมตัวพากันถวายนมัสการทำเอาพญาวัสสวดีเทพบุตรมารตกใจ รีบคืนร่างเดิมและท้วงติงว่าทำให้ตนมีบาปหนัก
แต่พระอุปคุตเถระก็กล่าวให้พญาวัสสวดีเทพบุตรมารสบายใจว่า ทุกคนกราบไหว้พระพุทธเจ้า
และพญาวัสสวดีเทพบุตรมารก็ไม่บาปหรอก แต่หากจะได้กุศลมากกว่า
ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นเป็นตำนานที่กล่าวถึงอภิญญาภินิหารของพระอุปคุตเถระ
ที่มีการเล่าขานสืบต่อกันมากระทั่งปัจจุบัน และในตำนานหรือในพระไตรปฎก
ไม่ได้กล่าวถึงการละสังขารเข้าสู่นิพพานของพระอุปคุตเถระ หรือพระอรหันต์ขีณาสพรูปนี้เลย
จึงมรความเชื่อกันอยู่จนกระทั่งปัจจุบันนี้ว่าพระอุปคุตเถระ
ท่านยังคงเข้าฌานสมาบัติเสวยวิมุตติสุขอยู่ในเรือนแก้ว หรือกุฏิแก้ว
ในท้องทะเลหลวงหรือสะดือทะเล เพื่อคอยช่วยเหลือโลกมนุษย์อยู่นั่นเองในคติ
ความเชื่อของชาวล้านนา เมื่อมีการฉลองสมโภช หรืองานทำบุญที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา
อาทิงานฉลองกุฏิ ศาลา วิหาร งานพุทธาภิเษก ปอยหลวง
ชาวล้านนาจะมีพิธีอันเชิญพระอุปคุตเถระเพื่อมาสถิต ณ
มณฑลพิธีที่จัดขึ้น เพื่อให้พระอุปคุตช่วยปกป้องคุ้มครอง
และรักษาความสงบเรียบร้อยของงานให้เกิดความราบรื่น
โดยตลอด พิธีอันเชิญพระอุปคุตของชาวลานน้ามีพิธีที่
น่าสนใจดังนี้ การจัดงานฉลองสมโภชต่างๆที่ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างข้างต้น
ส่วนใหญ่แล้วชาวล้านนาจะกำหนดระยะเวลาของการจัดงานราว ๓-๔ วัน
วันแรกเรียกว่าตานตุง วันถัดมาเป็นวันดา วันที่ ๓ เป็นวันที่หัววัดต่างๆ มาร่วมทำบุญ
และวันสุดท้ายเป็นวันถวายทาน ซึ่งก่อนวันที่จะมีการตานตุงนั้น ชาวล้านนาจะมีพิธีขึ้นท้าวทั้งสี่
หรือต๊าวตังสี่เพื่อบอกกล่าวเทวาอารักษ์และพระแม่ธรณีให้รับรู้รับทราบถึงงานบุญดังกล่าว
หลังจากนั้นจะมีพิธีอันเชิญพระอุปคุตเพื่อมาสถิตยังมณฑลพิธี ซึ่งชาวล้านนาจะสร้างหอพระอุปคุตขึ้น
ทำด้วยโครงไม้ไผ่สูงพอประมาณ หุ้มด้วยจีวรพระลักษณะเป็นซุ้มเล็กๆ พอที่จะวางเครื่องนอนและอัฐบริขารได้
หลังจากนั้นจะจัดเตรียมบุษบกและประดับประดาบุษบกให้มีความสวยงาม ซึ่งในสมัยก่อน
จะใช้คนหามหรือใช้เกวียนลาก แต่ปัจจุบันจะใช้รถยนต์แทนเนื่องจากมีความสะดวกมากกว่าตามยุคสมัย
ภายในบุษบกจะมีพานสำหรับอัญเชิญพระอุปคุตหนึ่งใบ มีผ้าขาวหรือผ้าทองรองรับและประดับประดาให้สวยงาม
บนรถบุษบกมีโต๊ะหมู่บูชาจำนวน ๑ ชุด พร้อมทั้งเครื่องสักการะต่างๆ อันประกอบไปด้วยแจกันดอกไม้
กระถางธูป-เชิงเทียน และที่ขาดไม่ได้คือเครื่องอัฐบริขารซึ่งมีบาตร ผ้าไตร ๑ ชุด ตาลปัตร ขันข้าวตอก- ดอกไม้
เพื่ออันเชิญพระอุปคุต น้ำขมิ้นส้มป่อยและน้ำอบน้ำหอม
เมื่อทุกอย่างได้จัดเตรียมพร้อมแล้ว ก็เคลื่อนขบวนทั้งหมดซึ่งมีฆ้องกลองหรือมโหรีที่แต่ละหมู่บ้าน
แต่ละชุมชนพอจัดเตรียมให้ เพื่อเดินทางไปอันเชิญพระอุปคุตยังสถานที่ๆ กำหนดไว้
ที่น่าสนใจเกี่ยวกับสถานที่ในการไปอันเชิญพระอุปคุตนั้น ชาวล้านนาจะไปอันเชิญพระอุปคุต
ที่แม่น้ำหรือลำห้วยที่มีน้ำไหลผ่านอยู่ตลอดเวลา และเป็นแม่น้ำที่สะอาดบริสุทธิ์
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบริเวณต้นน้ำเช่นอุทยาน น้ำตก เพราะเป็นแหล่ง กำเนิดของสายน้ำ
และมีความสะอาดมากที่สุด มูลเหตุที่ต้องไปอันเชิญพระอุปคุตที่แม่น้ำนั้นก็เนื่องด้วยตามตำนาน
พระอุปคุตเถระท่านเนรมิตเรือนแก้วหรือกุฏิแก้ว ขึ้นในท้องทะเลหลวงหรือสะดือทะเล
แต่เนื่องจากบริเวณอาณาจักรล้านนานั้นไม่มีแผ่นดินที่ติดกับทะเลเลย
ดังนั้นชาวล้านนาจึงได้สมมติให้แม่น้ำสายใดสายหนึ่งเป็นสะดือทะเลแทน
ในพิธีพุทธาภิเษกพระเจ้าล้านทองเฉลิมพระเกียรติฯ ผู้เขียนซึ่งเป็นคณะกรรมการดำเนินการจัดงาน
และเป็นผู้ที่มีหน้าที่ในการจัดพิธีอันเชิญพระอุปคุต ได้เลือกเอาสถานที่สวนรุกขชาติน้ำตกโป่งพระบาท
เป็นสถานที่ในการไปอันเชิญพระอุปคุต เนื่องจากเป็นแหล่งต้นน้ำและมีความเป็นธรรมชาติมากที่สุดนั่นเอง
การเลือกเอาสถานที่ใดสานที่หนึ่งเป็นสถานที่ๆ จะประกอบพิธีอันเชิญพระอุปคุตนั้น
เจ้าของงานหรือผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องต้องออกไปสำรวจเพื่อเตรียมความเรียบร้อยก่อน
ซึ่งดูว่าสถานที่นั้นสะดวกและมีพื้นที่พอที่จะรองรับผู้คนได้หรือไม่
และสะดวกที่จะลงไปอันเชิญพระอุปคุตกลางแม่น้ำนั้นหรือไม่
เพื่อไม่ให้เกิดอุปสรรคระหว่างการอันเชิญพระอุปคุต ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เกิดการติดขัดและการจัดงานจะไม่ราบรื่น
เมื่อได้เวลาอันสมควรและทุกอย่างพร้อมแล้ว พิธีอันเชิญพระอุปคุตก็จะเริ่มต้นจากปู่อาจารย์
หรือพ่อหนานของชาวล้านนา จะทำหน้าที่กล่าวโองการอัญเชิญพระอุปคุต ณ บริเวณริมฝั่งแม่น้ำ
โดยในคำกล่าวอัญเชิญจะบอกด้วยว่าผู้เป็นประธานในการจัดงานหรือผู้ที่เป็นประธานมาอันเชิญนั้นเป็นใคร
และอัญเชิญไปในงานอะไรเป็นต้น ขณะเดียวกันในแม่น้ำก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยอยู่แล้ว
เพื่อเตรียมอันเชิญพระอุปคุตขึ้นมา โดยในน้ำนั้นจะเลือกเอาที่ไม่ลึกและพอที่ให้เจ้าหน้าที่ลงไปยืนได้
เมื่อพ่อหนานอ่านโองการจบก็จะบอกให้เจ้าหน้าที่ที่ลงไปคอยอยู่นั้นงมเอาก้อนกินขึ้นมาก้อนหนึ่ง
ซึ่งเคล็ดในการงมเอาก้อนหินซึ่งสมมติแทนองค์พระอุปคุตนี้ จะงมเอาก้อนหินขึ้นมา ๓ ครั้งด้วยกัน
ครั้งแรกและครั้งที่ ๒ ผู้ที่งมก้อนหินขึ้นมาจะชูก้อนหินที่งมได้ขึ้นเพื่อให้พ่อหนานดูว่าใช่หรือไม่
ซึ่ง ๒ ครั้งแรกที่นำขึ้นมานั้นถือว่ายังถือว่าไม่ใช่ จนกระทั่งครั้งที่ ๓ ซึ่งผู้ที่ทำหน้าที่งมเอาก้อนหินขึ้นมา
ต้องรู้จักเลือกเอาก้อนที่มีลักษณะกลมสวยงาม ไม่มีรอยร้าว ไม่แตกบิ่นหรือมีรอยตำหนิ ล้างให้สะอาด
จากนั้นชูให้พ่อหนานดูเมื่อพ่อหนานหรือผู้ประกอบพิธีบอกว่าใช่ ขณะนี้วงดนตรี
ฆ้อง-กลองที่เตรียมไปจะเริ่มบรรเลง ผู้คนจะโห่ร้องไชโยเพื่อแสดงความชื่นชมยินดีและเสมือนหนึ่งเป็น
การถวายการต้อนรับพระอุปคุตด้วย เมื่อได้ก้อนหินสมมติองค์พระอุปคุตแล้วก็เชิญใส่พานที่เตรียมไว้
มอบให้ผู้เป็นประธานซึ่งอาจเป็นพระสงฆ์หรือคฤหัสถ์ก็ได้ ประพรมด้วยน้ำขมิ้นส้มป่อย น้ำอบน้ำหอมต่างๆ
และเชิญขึ้นบุษบก เพื่อเคลื่อนขบวนแห่มายังมณฑลพิธีอันเป็นในการประกอบการฉลองสมโภชนั้นๆ ต่อไป
ขณะที่เคลื่อนขบวนมานั้นวงมโหรีหรือวงดนตรีจะประโคมนำหน้ารถบุษบกมาโดยตลอด
เมื่อมาถึงยังสถานที่ประกอบพิธีแล้ว ผู้เป็นประธานจะอันเชิญพระอุปคุตขึ้นประดิษฐานบนซุ้มที่จัดเตรียมไว้
หลังจากนั้นจะมีการจุดธูป-เทียน เพื่อบูชาพระรัตนตรัย และถวายเครื่องอัฐบริขารต่างๆ
ถือว่าเสร็จสิ้นพิธีการอันเชิญพระอุปคุต บางแห่งเมื่อขบวนอันเชิญพระอุปคุตมาถึงสถานที่หรือมณฑลพิธี
จะมีชาวล้านหรือผู้เฒ่าผู้แก่ ออกมาฟ้อนรำเพื่อเป็นการสักการบูชาด้วย
เมื่อเสร็จสิ้นการฉลองสมโภชแล้ว วันสุดท้ายของงานพ่อหนานผู้ประกอบพิธีคนเดิม
จะนำชาวบ้านมาอันเชิญพระอุปคุต เริ่มจากการสวดมนต์ไหว้พระ และอัญเชิญพระอุปคุตขึ้นบุษบก
พร้อมอัฐบริขารต่างๆ และมีวงดนตรีหรือวงมโหรีเหมือนเช่นเคยที่ไปอันเชิญมา
เพื่อส่งพระอุปคุตกลับยังสถานที่เดิมที่เชิญมานั้น จึงถือว่าเป็นการเสร็จสิ้นพิธีการทั้งหมด
มีประเด็นที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับการตักบาตรพระอุปคุต ตามที่ผู้เขียนได้กล่าวมาก่อนหน้านี้แล้วว่า
พระอุปคุตเถระจะออกจากสมาบัติเหาะขึ้นมาบิณฑบาตในโลกมนุษย์ เฉพาะในวันพุธเพ็ญกลางเดือนเท่านั้น
ซึ่งวันเพ็ญที่ตรงกับวันพุธนี้เองที่ชาว
ล้านนาเรียกกันว่า “เป็งปุ๊ด” ซึ่งมีประเพณีใส่บาตรพระอุปคุตตอนเที่ยงคืน
ซึ่งยังมีปรากฏให้เห็นอยู่ในหลายจังหวัดในเขตภาคเหนือตอนบน
การได้ตักบาตรเที่ยงคืนหรือตักบาตรเป็งปุ๊ดนี้ชาวล้านนาถือว่าได้อานิสงสูงมาก
และประเพณีนี้ยังคงได้รับการสืบถอดมาถึงปัจจุบัน ผู้เขียนได้มีโอกาสไปใส่บาตรเที่ยงคืนเป็นประจำ
ซึ่งในปีหนึ่งๆ จะมีเหตุการณ์เป็งปุ๊ด หรือเพ็ญที่ตรงกับคืนวันพุธเพียง ๒ ครั้งเท่านั้น
ในจังหวัดเชียงรายพระสงฆ์ในเขตตัวเมืองจะออกมารับบาตรในคืนวันขึ้น ๑๔ ค่ำ
ช่วงเวลาประมาณ ๔-๕ ทุ่มเรื่อยไป จนกระทั่งเลยเข้าสู่วันใหม่ที่เป็นวันพุธ หรือวันเป็งปุ๊ดนั่นเอง