ตานก๋วยสลาก
ประเพณี “ตานก๋วยสลาก” หมายถึง ประเพณีถวายทานสลากภัตร เป็นวิธีการถวายเครื่องไทยทานแก่พระพระสงฆ์วิธีหนึ่งอันเป็นที่นิยมของชาวเหนือ ประเพณีตานก๋วยสลากนี้มีชื่อที่เรียกแตกต่างกันออกไปตามแต่ละท้องถิ่นของชาวภาคเหนือ บ้างเรียกกิ๋นข้าวสลาก บ้างเรียกงานตานก๋วยสลาก บ้างเรียกตานสลาก หรือบางแห่งเรียกงานสลากภัตรเป็นต้น ซึ่งประเพณีนี้โดยทั่วไปแล้วจะเริ่มทำกันในช่วงวันเพ็ญ เดือน ๑๒ เหนือหรือราวเดือนกันยายน ถึงแรม ๑ ค่ำ เดือนเกี๋ยงดับหรือราวเดือนพฤศจิกายนนั่นเอง
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเป็นประเพณีตานก๋วยสลากนี้มีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลว่านานมาแล้วได้มีนางยักษิณีตนหนึ่งมักจะเบียดเบียนผู้คนอยู่เสมอครั้นได้ฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วนางก็บังเกิดความเลื่อมใสศรัทธานิสัยใจคอที่โหดร้ายก็กลับเป็นผู้เอื้ออารีแก่คนทั่วไป ซึ่งนางยักษิณีตนนี้เป็นผู้ที่รู้ฤกษ์ยามเป็นอันดี ปีไหนฝนดีนางก็บอกให้ชาวเมืองทำนาในที่ดอน ปีไหนฝนฟ้าไม่ดีไม่ตกต้องตามฤดูกาลนางก็บอกให้ชาวเมืองทำนาทำไร่ในที่ลุ่ม ชาวเมืองจึงได้อาศัยนางยักษิณีเป็นผู้พยากรณ์ และแนะนำในการทำนาปลูกข้าวและทำมาหากินมาโดยตลอด จนผู้คนต่างพากันซาบซึ้งในน้ำใจและบุญคุณของนางยักษ์ตนนั้น จึงได้พากันนำข้าวของต่างๆ มาแบ่งปันให้นางเป็นจำนวนมากแต่เนื่องจากข้าวของที่ได้รับนั้นมีจำนวนมาก นางยักษิณีจึงนำสิ่งของเหล่านั้นไปถวายแก่พระสงฆ์ โดยการจับสลากด้วยหลักอุปโลกนกรรม คือสิ่งของที่ถวายมีทั้งของมีราคามากและมีราคาน้อยแตกต่างกันไป ดังนั้นพระสงฆ์จะทำการจับสลากเพื่อรับของที่นางยักษ์นำมาถวายตามแต่โชคของผู้ได้รับ การถวายแบบจับสลากของนางยักษิณีจึงนับเป็นครั้งแรกของประเพณีทำบุญสลากภัตในพุทธศาสนาสืบมา และประเพณีตานก๋วยสลากนี้ก็ยังได้รับการรักษาและสืบสานจากคนรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง เป็นมรดกของชาวล้านนาที่ยึดถือปฏิบัติกันมากระทั่งปัจจุบัน
คำว่า “ก๋วย” แปลว่า ภาชนะที่สานด้วยไม้ไผ่ รูปร่างลักษณะเหมือนกับตะกร้าหรือชะลอมใส่ผลไม้ของภาคกลาง การตานก๋วยสลากจึงหมายถึงการถวายทานด้วยวิธีการจับสลากเครื่องไทยทานที่บรรจุมาในก๋วยหรือชะลอม ซึ่งวัตถุประสงค์แห่งการตานก๋วยสลากนี้มีจุอยู่ ๒ ประการด้วยกันกล่าวคือ หนึ่งเพื่อเป็นการอุทิศให้เทพยดาและญาติพี่น้องผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว และอีกอย่างหนึ่งเป็นการอุทิศไว้ให้ตนเองเมื่อล่วงลับไปในภายหน้า เพื่อเป็นการสร้างบารมีและกุศลกรรม การถวายก๋วยสลากถือกันว่าจะได้อานิสงส์มาก เพราะเป็นการทำบุญแบบสังฆทานผู้ถวายไม่ได้เจาะจงตัวผู้รับว่าจะเป็นพระภิกษุหรือสามเณรรูปใดรูปหนึ่ง ประเพณีตานก๋วยสลากนั้นมีหลายประเภทด้วยกัน ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีชื่อและความหมายที่แตกต่างกันออกไปซึ่งอาจแบ่งได้เป็น ๓ ประเภทดังนี้
สลากน้อย เป็นการตานก๋วยสลากสลากเฉพาะวัดเท่านั้น ซึ่งเป็นการทำบุญเพื่อถวายทานไปให้กับผู้ที่ล่วงลับ ซึ่งไม่เพียงแต่ญาติพี่น้องเท่านั้น อาจจะเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหาย เจ้ากรรมนายเวร หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงที่เราเคยรักและมีคุณต่อเราเมื่อครั้งยังมีชีวิตเช่นสุนัข ช้าง ม้า วัว ควาย และสัตว์เลี้ยงอื่นๆ เป็นต้น
สลากหลวง เป็นการตานก๋วยสลากที่ค่อนข้างเป็นงานบุญใหญ่ และมักนิมนต์พระสงฆ์จากวัดอื่น ๆ มาร่วมพิธีด้วย ซึ่งพระสงฆ์ที่นิมนต์มานี้มีคำเฉพาะของชาวล้านนาว่า “ตุ๊เจ้าหัววัด” และในสลากหลวงนี้ชาวบ้านนิยมทำก๋วยสลากขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ด้านในจะบรรจุข้าวของถวายเป็นมหากุศลสำหรับคนที่มีกำลังศรัทธา ก๋วยสลากที่จัดทำขึ้นเป็นพิเศษนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “สลากโชค” นั่นเอง
สลากพระอินทร์ เป็นการตานก๋วยสลากที่ทำขึ้นเมื่อฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล เพื่อถวายกุศลแด่พระอินทร์ และเทพยดาต่าง ๆ เพื่อเป็นการขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาลนั่นเอง
ประเพณีตานก๋วยสลากนี้จัดขึ้นทั่วไปในจังหวัดภาคเหนือแทบทุกจังหวัด แต่ละแห่งแต่ละวัดก็จะมีจุดเด่นของพิธีกรรมและรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป โดยทั่วไปจุดเด่นที่สุดของพิธีกรรมนี้จะอยู่ที่คัวตาน ที่จัดเป็นคัวตานกลางถวายแก่วัด ซึ่งอาจมีการจัดขบวนแห่คัวตานให้สวยงามและยิ่งใหญ่ด้วยขบวนฟ้อนรำต่าง ๆ (คัว หมายถึงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ อันจำเป็นแก่พระสงฆ์ ส่วนคำว่า ตาน หมายถึงการนำไปถวายทาน คัวตานในที่นี้จึงหมายถึงการนำเอาข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ไปถวายพระนั่นเอง)
ประเพณีตานก๋วยสลากส่วนใหญ่จะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน มีเพียงรายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้นที่แตกต่างกันออกไปบ้าง การตานก๋วยสลากนิยมจัดช่วงหลังการออกพรรษา ประเพณีตานก๋วยสลากบางหมู่บ้านจะจัดให้มีขึ้นเป็นประเพณีทุกปี บางหมู่บ้านอาจจัดเว้นปี หรือ ๒ ปี ๓ ปีบ้าง ตามแต่ความพร้อมของแต่ละหมู่บ้าน ซึ่งการงานตานก๋วยสลากแต่ละครั้งต้องอาศัยความร่วมมือ ความสามัคคีของคนในชุมชน รวมทั้งปัจจัยต่างๆ เป็นจำนวนมาก การตานก๋วยสลากจึงเป็นสิ่งสะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจของชุมชน และความสามัคคีของชาวบ้านได้เป็นอย่างดีด้วย
ในงานตานก๋วยสลากนั้นก่อนวันงานหนึ่งวันเราเรียกว่าวันดา ซึ่งเป็นวันเตรียมงาน ผู้ชายจะช่วยกันสานก๋วยไว้สำหรับใส่ข้าวของต่างๆ ที่จะนำไปทำบุญ ส่วนฝ่ายหญิงก็จะจัดเตรียมเครื่องไทยทานที่จะบรรจุลงในก๋วยสลาก อาทิ ข้าวสาร พริก หอม กระเทียม เกลือ อาหาร ตลอดจนข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ตามแต่ศรัทธา นอกจากนั้นจะมีการห่อข้าวต้มหรือขนม(ส่วนมากจะเป็นขนมเทียน) เพื่อบรรจุลงในก๋วยสลากส่วนหนึ่ง ไว้เลี้ยงต้อนรับเพื่อนบ้านที่มาร่วมทำบุญด้วยส่วนหนึ่ง ญาติมิตรที่มาร่วมทำบุญนี้อาจจะมาจากต่างหมู่บ้านเรียกว่า “มาฮอมครัว” นอกจานั้นในแต่ละก๋วยจะมียอดซึ่งหมายถึงปัจจัยตามแต่ศรัทธาของแต่ละบ้านปักไว้ด้วย ที่สำคัญก็คือเจ้าของก๋วยจะต้องเขียนชื่อของตนและคำอุทิศไว้ในใบลานหรือกระดาษเล็ก ๆ เรียกว่า “เส้นสลาก” เมื่อได้เวลาชาวบ้านจะนำเส้นสลากนี้ไปรวมกันไว้ที่วัดแล้วแบ่งถวายพระภิกษุสามเณรไปโดยไม่เจาะจง จากนั้นจึงจะมีผู้ขานชื่อในเส้นสลากแต่ละเส้นดัง ๆ เจ้าของก็จะนำเอาก๋วยของตนไปถวายพระภิกษุหรือสามเณรตามสลากนั้น ๆ พระจะอ่านข้อความในเส้นสลาก และกล่าวอนุโมทนาและให้พรต่อไป
หลังจากที่การเตรียมก๋วยสลากหรือที่เรียกว่าการดาสลากพร้อมเสร็จแล้ว เมื่อถึงวันที่กำหนดชาวบ้านเจ้าของกัณฑ์สลาก จะจัดขบวนแห่เครื่องไทยทานเข้าวัดโดยขบวนแห่จะประกอบด้วยต้นสลาก ขบวนรถก๋วยสลาก แต่ละขบวนแห่จะมีการฟ้อนรำของศรัทธาชาวบ้านซึ่งจะมากันเป็นหมู่บ้าน เรียกว่า ศรัทธาของหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านที่จัดประเพณีนี้ขึ้น และศรัทธาหมู่บ้านอื่นที่มาร่วมงาน โดยมีการจับจองสถานที่บริเวณต่างๆ ภายในวัดเป็นที่ตั้งก๋วยสลากของตน ปัจจุบันการแห่สลากไม่ค่อยมีให้เห็นกันแล้ว จะมีก็เฉพาะการแห่คัวตานเท่านั้น ส่วนก๋วยสลากนิยมนำไปตั้งไว้ที่วัดตามที่ได้จับจองกันตั้งแต่ช่วงเช้าแทน จากนั้นแต่ละคนจะทำเส้นสลาก ในสมัยก่อนเส้นสลากทำจากใบตาลหรือใบลาน แล้วเขียนข้อความอุทิศส่วนบุญส่วนกุศไปให้ผู้ที่ล่วงลับและเทวดาทั้งหลายตามความประสงค์ของแต่ละคน และเส้นสลากจะมีการทำเครื่องหมายที่แตกต่างกันออกไป ปัจจุบันเส้นสลากนิยมพิมพ์ด้วยกระดาษกว้างราว ๒ นิ้ว ยาวประมาณ ๑๒ นิ้ว บนเส้นสลากมักนิยมพิมพ์ข้อความว่า
“สลากข้าวซองนี้ หมายมีผู้ข้า นาย.....นางสาว..... ขอทานไว้กับตนตัวภายหน้า” อันหมายถึง ขอทำบุญไว้กับตนเอง และอีกข้อความคือ “ผู้ข้า..........ขอทานไว้แก่ นาง..... ขอหื้อเป็นสุขเป็นสุขเถิด”
อันหมายถึงมอบการบุญนี้เป็นอานิสงส์แด่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ตามที่มีนามปรากฏบนเส้นสลากเป็นต้น พร้อมกับจะระบุตำแหน่งที่ตนนั่งหรือจับจองไว้ว่าอยู่บริเวณใดของวัด เพื่อ ให้พระสงฆ์ที่ได้รับสลากนั้นไปหาได้ง่ายขึ้นและนำเส้นสลากไปกองรวมกันยังที่กำหนดไว้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวิหารหน้าพระประธาน กรรมการจะจัดแบ่งสลากออกเป็นกอง ๆ ตามจำนวนที่ พระภิกษุ สามเณร ที่นิมนต์มาร่วมพิธีและจัดแบ่งให้พระประธานด้วย ถือว่าเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า ถ้ามีสลากจำนวนมากพระภิกษุจะได้รับ ๑๕-๒๐ เส้น สามเณรได้ ๑๐-๑๕เส้น บ้าง แต่บางแห่งอาจจะลดหลั่นกันไปตามจำนวน เส้นที่เหลือสมทบถวายพระประธานหรือที่เรียกว่าสลากเข้าวัดนั่นเอง เมื่อเสร็จจากการแบ่งเส้นสลากแล้วคณะกรรมการจะนำเส้นสลากที่แบ่งแล้วจำนวน ๑ มัด ไปประเคนพระผู้อาวุโส ซึ่งเป็นประธานในพิธี ต่อจากนั้นกรรมการจึงนำเส้นสลากไปถวายพระเณรตามลำดับ เมื่อพระสงฆ์อนุโมทนาจบแล้ว ชาวบ้านต่างแยกย้ายกันไปนั่ง ณ ที่จัดไว้ให้ชาวบ้านเจ้าของกัณฑ์สลากต่างพากันตามหาเส้นสลากของตนที่อยู่ในมือของพระภิกษุสามเณร เมื่อพบแล้วพระภิกษุสามเณรอ่านเส้นสลากแล้วจึงถวายของ เมื่อรับพรเสร็จรับเส้นสลากของตนไปเผา แล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปหาผู้ที่ตายเป็นเสร็จพิธี
ประเพณีตานก๋วยสลากได้ปรับเปลี่ยนไปจากเดิมพอสมควร เนื่องจากสภาพสังคม เศรษฐกิจ บางบ้านที่ไม่มีเวลามานั่งเฝ้าก๋วยสลากของตน ก็จำนำเอาก๋วยสลากนั้นมายกถวายวัดในช่วงเช้าแทน โดยที่ไม่ต้องเขียนเส้นสลากของตาเองไปรวมกับคนอื่น บางครอบครัวที่มีฐานะดีและต้องการทำสลากโชค ก็จัดแต่งก๋วยสลากของตนให้มีขนาดใหญ่รวมทั้งปัจจัยที่ถวายพระด้วย แต่ก็ไม่ได้เขียนเส้นสลากไปรวมกับส่วนกลางเหมือนกัน แต่จะนิมนพระหรือสามเณรที่มาจากวัดอื่นๆ ที่อยู่ห่างไกลและไม่ค่อยมีคนไปทำบุญมาเป็นผู้รับสลากนั้นแทน ซึ่งถือว่าเป็นโชคของพระสงฆ์หรือสามเณรรูปนั้นนั่นเอง
สำหรับหรับก๋วยสลากที่เหลือทั้งหมดที่ไม่มีพระสงฆ์ไปรับ หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่าก๋วยที่ไม่ออกสลาก ซึ่งก็เป็นก๋วยสลากที่ถวายแก่พระพุทธหรือก๋วยสลากที่เข้าวัด ชาวบ้านจะนำขึ้นไปรวมกันไว้บนวิหารหน้าพระประธาน และนิมนต์พระสงฆ์ผู้เป็นเจ้าอาวาสมาเป็นผู้รับถวายทานและให้พรรวมกันทั้งหมด ซึ่งปัจจัยที่ได้จากสลากนี้คณะกรรมการจะนำเข้าไปสมทบกองทุนของวัดเพื่อไว้ใช้ในการทำนุบำรุงเสนาสนะและเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ของวัด ส่วนไทยทานและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ทางวัดจะนำมาจัดสรรให้พระลูกวัดตามจำนวนต่อไป
ปัจจุบันชาวล้านนายังคงมีการสืบสานวัฒนธรรมและประเพณีกิ๋นข้าวสลาก หรืองานตานก๋วยสลากนี้อยู่ แต่รูปแบบของก๋วยสลากและข้าวของเครื่องใช้ไทยทานต่างๆ นั้น มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและยุคสมัย ซึ่งจะนำเอาข้าวของที่จำเป็นที่เท่านั้นที่นำมาถวายพระ ส่วนหมากเมี่ยงและบุหรี่ตามประเพณีล้านนานั้นจะลดน้อยลงไปมากเกือบจะไม่มีให้เห็นแล้ว ส่วนภาชนะที่เห็นสานด้วยไม้ไผ่ก็เปลี่ยนเป็นถังน้ำพลาสติกบ้าง กระติกน้ำบ้างซึ่งนำมาใช้ประโยชน์และหาซื้อได้ง่ายกว่าในปัจจุบัน
ก๋วยสลากของแท้และดั้งเดิมของชาวล้านนานั้น มีความพิเศษกว่าที่เห็นกันในปัจจุบัน โดยชาวบ้านนั้นจะเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนแรกกล่าวคือ นำไม้ไผ่สูงตามต้องการทำเป็นเสาสลากของต้นกัลปพฤกษ์ จากนั้นนำไม้ไผ่เหลาเป็นวงกลมทำเป็นชั้น ๆ อาจเป็น ๓ ชั้น , ๕ ชั้น , ๗ ชั้น หรือ ๙ ชั้นก็ได้ตามความต้องการ แต่ส่วนมากนิยมทำเป็น ๙ ชั้น เนื่องจากเชื่อกันว่าจะมี
ความเจริญก้าวหน้าและเป็นมงคล และนำกระดาษว่าวสีต่าง ๆ มาตัดและพันรอบเสาและชั้นของต้นกัลปพฤกษ์ให้เกิดความสวยงามยิ่งขึ้น บางแห่งกัณฑ์สลากทำเป็นหุ่นรูปสัตว์ต่าง ๆ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย ขนาดใกล้เคียงของจริงทำด้วยหุ่นโครงไม้ไผ่หุ้มด้วยผ้า ทาสีสันให้เหมือนสัตว์จริงก็มี ในแต่ละชั้นก็นำเครื่องไทยทานมาผูกติดให้ ในปัจจุบันจะนิยมใส่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป วุ้นเส้น ปลากระป๋อง ถ้วย จาน ชาม ขันน้ำ ขนม แปรงฟัน ยาสีฟัน กระดาษชำระ ผงซักฟอก สบู่ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าขนหนูและเครื่องใช้อื่นๆ มากมาย มาผูกติดขึ้นไปจากชั้นแรกจนถึงชั้นที่ ๘ ส่วนชั้นที่ ๙ จะนำผ้าสบงมาผูกไว้
ที่พิเศษไปกว่านั้น ในชั้นแรกสุดจะนำเอาเหรียญมาห่อด้วยกระดาษเงินกระดาษทอง ผูกติดไว้ลักษณะคล้ายเฟื่องหรือตุ้งติ้ง ส่วนชั้นบนสุดหรือส่วนยอดนั้นจะนำเอาธนบัตรชนิดต่างๆ ซึ่งเป็นปัจจัยมาปักไว้