SIS ................Smile it Ride Superbike Club(กลุ่มรัก บิ๊กไบค์ จังหวัดเชียงราย)

ประวัติ ผมชื่อ Casey Stoner "Goodbye King casey"

.....6 ปีที่แล้วผมดูไฮไลน์การแข่งขันโมโต จีพีทางฟรีทีวีช่องนึงในช่วงดึกของวันอาทิตย์ ผุ้บรรยายที่ใช้เวลาว่างในการซื๊ดท่านนึงพูดถึงหนุ่มน้อยหน้าเปื้อนสิวที่กำลังควบเจ้า HONDA RC211V ฟัดกับนักบิดหัวแถวขณะนั้นอย่าง วาเลนติโน่ รอสซี่, นิกกี้ เฮเด้น, มาโก เมเรนดรี้หรืออีกหลายๆ คนว่า

“ฮอนด้าไปตามนักแข่งคนนี้มาจากห้องเรียนคณิตศาสตร์ในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง”

เฟดเฟ่...ผมพ่นคำอุทานออกมาในสำเนียงโปเตริโก้ มันคงยากที่จะสืบเสาะหาว่าบักหำน้อยคนนี้เดินทางมาจากห้องเรียนคณิตฯ จริงหรือไม่ แต่นับจากคืนวันนั้นที่ผมได้รู้จักเค้า มันทำให้ผมได้อุทานเป็นภาษโปเตริโก้อีกหลายครั้ง จากวันนั้นที่บักหำน้อยสโตนเนอร์ลงแข่งในรุ่นโมโต จีพีจนเป็นที่รู้จักกับแฟนๆ สองล้อทั้งบาง และวันนี้วันที่เค้าเดินทางจากสังเวียนนี้ไป (ไม่รู้ว่าเดินกลับห้องเรียนคณิตฯหรืไม่) 6 ปีที่ผ่านมาจากบักหินหน้าใหม่สองล้อโลกที่กลิ้งเป้ว่าเล่น สโตนเนอร์คว้าแชมป์โลกสองครั้งด้วยรถแข่งที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว จะด้วยพรสวรรค์ ความสามารถ ความพยายามมารวมกัน สุดท้ายแล้วสโตนเนอร์อยู่ห่างจากจุดที่เค้ายืนเมื่อ 6 ปีที่แล้วยิ่งนัก ผมเปลี่ยนคำเรียกชื่อเค้าจากบักหำน้อยเคส์ซี่คนเดิม เป็นถ้อยคำๆ นี้ครับ “คิงส์เคซี่”
.......เมื่อตอนเด็ก เจ้าหนูสโตนเนอร์สวมวิญญาณนักบิดตั้งแต่ยังอายุได้เพียง 3 ขวบ มันเป็นมอเตอร์ไซค์ของเล่นของเด็กๆ และสโตนเนอร์ใช้วิชากำลังภายในแย่งมาจากหนูน้อยเคลลี่(พี่สาวของสโตนเนอร์) จนได้มอเตอร์ไซค์คันนั้นมาครอบครอง และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของตำนานคิงส์เคซี่

สโตนเนอร์พาตัวเองลงสู่สนามแข่งครั้งแรกเมื่อเค้าอายุเพียง 4 ขวบเท่านั้น เจ้าหนูคนนี้ลงในรุ่นอายุไม่เกิน 9 ขวบ ซึ่งถือว่าหมอนี่แบกน้ำหนักมากๆ เลยทีเดียวกับการแข่งมอเตอร์ไซค์ของเด็กๆ ที่จัดขึ้นที่ Gold Coast ซึ่งเป็นรถที่ลุยโคลนกันด้วยรูปแบบของการแข่งขันโมโตครอส ชัยชนะอันหอมหวานครั้งแรกของสโตนเนอร์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงแค่อายุได้เพียง 6 ขวบเท่านั้น

ครอบครัวสโตนเนอร์ผลักดันอย่างเต็มที่ คุณพ่อโคลิน คุณแม่บราวน์ด และเคลลี่พี่สาว(นี่ก็เอากะเค้าด้วย) ทั้งหมดเหมือนต้องใช้ชีวิตบนรถบ้านเพื่อพาเจ้าหนูสโตนเนอร์ตระเวนแข่งขันไปทั่วประเทศออสเตรเลีย จากสโตนเนอร์ 6 ขวบ จนถึงอายุ 14 ปีเลยทีเดียว ในช่วงเวลานั้นสโตนเนอร์คว้าชัยชนะมากว่า 40 ครั้งจากการแข่งขันมากกว่า 70 สนาม และทั้งหมดเจ้าลูกหินคว้ามันมาได้จากการอัพเกรดตัวเองด้วยการไต่ระดับมาถึง 5 รุ่นการแข่งขันด้วยกัน และมันเหมือนเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ พวกเค้าพากันเก็บข้าวของและเดินทางไกลมาสู่ประเทศอังกฤษ เพื่อเปิดทางให้กับสโตนเนอร์ในการไล่ล่าความฝันของคนทั้งบ้าน(เดอะสตาร์ป่ะเนี่ย...) ในขณะที่เค้าเป็นเด็กชายอายุ 14 ขวบเท่านั้น สาเหตุนึงก็คือที่ออสเตรเลียนักแข่งจะสามารถลงแข่งได้อย่างถูกกฎหมายก็ต่อเมื่อายุ 16 ปีขึ้นไป และเส้นทางของเค้าเริ่มชัดเจนขึ้นกับการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางเรียบ สโตนเนอร์ลงแข่งรายการ English 125cc Aprilia Championship in 2000 เป็นรายการแรก และเพียงแค่ปีแรกเท่านั้นประกายของหินก้อนนี้มันเฉิดฉายเกินกว่าที่จะไม่มีใครมองเห็น อัลเบอร์โต พูอิค ได้ดึงสโตนเนอร์เข้าร่วมทีมดังอีก 1 ทีมของประเทศสเปนอย่าง Telefonica Movistar (ทีมแข่งของอดีตสุดยอดนักแข่งอย่าง ดานี่ เปโดรซ่า – ไดจิโร่ คาโตะ – เซเต้ จิเบอร์นาวด์) โดยจับลงในรุ่น 125 ซีซี ที่เรียกได้ว่าสูสีมาก ด้วยลีลาการขับขี่ที่เกินวัย ในปีแรกกับการแข่งขันเวิลด์ซีรีย์ สโตนเนอร์ได้รับสิทธิ์ในฐานะนักแข่งไวท์คาร์ด ด้วยการลงที่ประเทศอังกฤษและออสเตรเลีย แค่ 2สนามก็สามารถฉายแววสุดยอดนักบิดระดับโลกออกมาได้ บักหินจบการแข่งขันในอันดับที่18 และ 12 จนเตะตาทีมงาน Safilo Oxydo LCR บิ๊กทีมอีกหนึ่งค่ายในการแข่งขันกังปรีด์ขณะนั้น สุดห้ามใจกับความร้อนแรงของไอ้หนูจากดินแดนจิงโจ้ผู้นี้ไหว หิ้วปีกสโตนเนอร์เข้าทีมพร้อมกับยัดลงการแข่งขันเวิลด์กรังปีแบบเต็มฤดูกาล แถมยังเป็นการอัดแคลเซียมด้วยการแข่งขันในรุ่น 250 ซีซีกันไปเลยทีเดียว ดูหินมากๆ กับการแข่งขันชิงแชมป์โลกด้วยรถขนาดนี้กับเด็กที่ยังอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น แต่สโตนเนอร์ก็ยังเป็นเด็กที่สุดยอดเมื่อผลงานในการแข่งขันที่สุดสามารถจบได้ในอันดับท็อปไฟท์เลยทีเดียว
.......มันอาจจะเขี้ยวเกินไปในเวทีนี้ ปี 2003 สโตนเนอร์เชท์เกียร์ลงมาแข่งขันในรุ่น 125 จีพีอีกครั้ง และในปี 2004 สโตนเนอร์ถูกดึงเข้าสู่ทีงาน KTM ในกาลงแข่งขัน 125 ซีซี และเป็นหนึ่งในทีมงานพัฒนารถแข่งคลาสนี้ให้กับ KTM คิดว่าไงหล่ะ กับงานระดับนี้ของเด็กอายุ 18

และสองปีต่อมา ในปี 2006 สโตนเนอร์ดวงพุ่งอย่างสุดขีด บักหินประชันหน้าตัวเองในสนามแข่งรุ่นที่ได้ขึ้นชื่อว่าที่สุดในโลกของ 2 ล้อ MotoGP นั้นเองในวัย 20 ปีพอดิบพอดี สโตนเนอร์สร้างแรงสั่นสะเทือนระดับ 9.9 ริกเตอร์ด้วยการเข้าอันดับ 2 ในการลงแข่งขันที่การ์ตา หรือการเชือดเมรัลดรีคว้าชัยอย่างเลือดเย็นในโค้งสุดท้ายที่ตุรกี และจบอันดับที่ 8 ใน MotoGP ในปีแรก ในช่วงที่การแข่งขันสุดสูสีแบบนั้น ในฐานะเจ้าเด็กหน้าอ่อนสโตนเนอร์เป็นที่รู้จัก และสร้างภาพติดตาให้กับคู่แข่งไม่ว่าจะถูกชุดแข่งและหมวกกันน็อคปิดบังความร้อนแรงเอาไว้ก็ตาม

ปี 2007 เรียกได้ว่าเป็นปีทองของสโตนเนอร์อย่างแท้จริง ด้วยการเดินทางเข้าสู่ทีม Ducati Marboro Team โดยมี ลิลิส คาปิรอสซี่งเป็นทีมเมทและเป็นเหมือนอาจารย์แนะแนวให้กับบักหินไปในตัว สโตนเนอร์แสดงให้เห็นถึง “คลาส” ของนักบิดระดับจักรวาลด้วยการปรับตัวอย่างรวดเร็วกับ Desmosedici GP7 และ ยาง Bridgestone ที่เป็นปัญหากับนักบิดหลายๆ คนที่ขี่รถคันนี้ วันที่ 10 มีนาคม ปี 2007 ที่ International Circuit ในกาตาร์ สโตเนอร์เจิมตำแหน่งแชมป์ในการแข่งขันโมโต จีพีเป็นครั้งแรก (ขณะนั้นเป็นการแข่งขันกันในพิกัด 800 ซีซี) สโตนเนอร์ประสบความสำเร็จถึง 9 ครั้งด้วยกันก่อนที่จะ ฟันธงกับตำแหน่งแชมป์โลกด้วยแต้มขาดลอยที่ญี่ปุ่นในวันที่ 23 กันยายน กลายเป็นนักบิดคนแรกในรอบ 30 ปีเลยทีเดียวที่สามารถเอาชนะในโมโต จีพีได้ด้วยรถที่ทำในยุโรป(ไม่ได้ชนะด้วยรถญี่ปุ่นอย่างฮอนด้า ซูซูกิ ยามาฮ่าห หรือคาวาซากิ) ซึ่งคนล่าสุดก็คือเฟรดดี้ สเปนเซอร์นั่นเอง จบด้วยการเป็นแชมป์ MotoGP ด้วยสังกัดทีม Ducati ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นรถที่หินสุดๆทั้งนการชี่และการปรับตัว

.......การคว้าแชมป์ว่ายากแต่การป้องกันแชมป์กลับยากเสียยิ่งกว่า 2008 สโตนเนอร์พบกับปีที่ยากลำบากด้วยคู่แข่งที่หินและเรียกฟอร์มตัวเองกลับมา ไม่ว่าจะเป็น “เดอะด็อกเตอร์” วาเลนติโน่ รอสซี่ที่มีคู่หูที่แข็งแกร่งอย่าง “เจ้าอมยิ้ม” ฆอเก้ โรเลนโซ่ จากยามาฮ่าทีม หรือก้างชิ้นโตอย่าง ดานี่ เปโดรซ่า แท็กทีมมากับนิกกี้ เฮเด้นจากเรปโซล ฮอนด้า หรือว่าจะเป็นซูซูกิที่พร้อมเสียบอยู่เสมอ แต่อย่างไรก็ตามสโตนเนอร์ยังเป็นกำลังหลักในการพาทีมพัฒนารถแข่งของดูคาติก้าวเดินอย่างต่อเนื่อง ในปี 2009 สโตนเนอร์จบอันดับบนโพเดียมในปีนี้ครั้งแรกได้ที่เจเรซประเทศสเปน แล้วพาดูคาติคว้าชัยที่มูเกลโล่ได้ ซึ่งขณะนั้นดูเหมือนว่าจะมีเพียงสี่คนเท่านั้นในการลุ้นแชมป์ประจำปีก็คือตัวเค้า – รอสซี่ – โรเลนโซ่ และเปโดรซ่า อันดับสูงสุดบนโพเดียมถูกเชยชมไม่ซ้ำหน้า สโตนเนอร์นัดพบตัวเองบนนั้นได้อีกครั้งที่โปรตุเกส นอกจากแข่งขันแล้วปีนี้สโตนเนอร์เหมือนต้องขี่รถสองคันสองฟิลลิ่งในปีเดียวกันเลย เพราะเค้าต้องรับหน้าที่ทดสอบและพัฒนาตัวแข่ง Desmosedici GP10 และสโตนเนอร์ก็โชคร้ายเมื่อถูกอาการบาดเจ็บลักพาตัวไปจากการแข่งขัน ถึง 3 สนามด้วยกัน (ที่เบอร์โน่ อินดินาโปลิส และมิสซาโน่) จึงเหมือนการต่อแต้มให้กับคู่แข่ง อย่างไรก็ตามสโตนเนอร์กลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับความแข็งแกร่งของเจ้า Desmosedici GP9 คว้าโพเดียมได้ที่เอสโตรินและคว้าชัยในบ้านที่ออสเตรเลียกับชัยชนะที่มาเลเซียอีกหนึ่งสนาม

2010 ซีรี่ย์สุดท้ายในสีเสื้อดูคาติ สโตนเนอร์ต้องเจอบดทดสอบสำคัญในก้าวย่างของดูคาติ เมื่อต้องเค้นประสิทธิภาพของตัวแข่ง จีพี 10 ออกมาให้เต็มที่ที่สุด และเหมือนว่าตอนนั้นดูคาติมองไปข้างหน้ากับนักแข่งสายเลือดตัวเองคนใหม่อย่าง "วาเลนติโน่ รอสซี่" มากกว่า "สโตนเนอร์" ตอบรับข้อเสนอของเรปโซล ฮอนด้า โดนแพลนร่วมหอลงโรงกันในปี 2011 และนั้นก็เป็นเหมือนการเปิดฉากชีวิตฉากใหม่อันแสนยิ่งใหญ่ของบักหินอีกครั้ง

สโตนเนอร์ที่มีทีมเมทอย่าง ดานี่ เปโดรซ่า และ อังเดร โดวิซิโอโซ่ ร้อนแรงอย่างสุดขีดสวนทางกับคู่แข่งโดยตรงอย่างยามาฮ่า ที่เสียนักบิดแกนหลักอย่างรอสซี่ไป และโรเลนโซ่ ที่มีดีกรีแชมป์โลกชาวสเปน ก็ดูเหมือนว่า การต่อสู้เพียงลำพังจะหนักหนาเกินไปสำหรับเค้าและเจ้า YAMAH M1

การเริ่มต้นปีนี้ของสโตนเนอร์ทำได้ไม่ดีนัก เมื่อเปิดหัวเจ้าตัวไปแปะกับรถต้องห้ามที่ขับขี่โดยวาเลนติโน่ รอสซี่ และดูเหมือนวินาทีทองเจ้าหน้าที่สนามยังไปช่วยยกรถรอสซี่คนเดียวเสียอีก จบการแข่งขันรอสซี่ลงทุนเดินเข้าไปขอโทษขอโพยถึงในพิทเลยทีเดียว(แต่ก็ไม่ลืมใส่หมวกกันน็อคไว้เพื่อความปลอดภัย...แฮ่) ภาพติดตาแฟนๆ สองล้อเห็นถึงความกระหายและทุ่มเทของสโตนเนอร์อย่างเห้นได้ชัด อะไรที่ขวางหน้าความร้อนแรงของนักบิดชาวออสเตรเลียผู้นี้ดูเหมือนจะถูกแผดเผาไปเป็นจุล(รวมถึงเดอพูนิเอย์ที่โดนฮุกขวาลูกนั้น)

สโตนเนอร์เด็ดขาดกับการคว้าชัยชนะสนามแล้วสนามเล่า เหมือนแทร็คของการแข่งขันนั้นโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ และชีวิตนอกสนามแข่งของเจ้าตัวก็มีแฟนสาวแสนสวยคอยให้กำลังใจ พร้อมทั้งให้กำเนิดลุกสาวแสนน่ารักให้กับสโตนเนอร์ ปี 2011 สโตนเนอร์คว้าชัยอย่างเด็กขาดในบ้านเกิดที่ฟิลิป ไอแลนด์จากการพลาดท่าจนสูญเสียชิ้นส่วนของนิ้วไปสำหรับ ฆอเก้ รเลนโซ่ ทิ้งโอกาสในการป้องกันแชมป์ และบักหินก็พาฮอนด้าเถลิงแชมป์โมโตจีพีในปี 2011 นี้ หลังจากที่คนสุดท้ายที่เคยทำได้ก็คือ นิกกี้ เฮเด้นนั่นเอง

2012 สโตนเนอร์ลงสู่สังเวียนพร้อมกับตัวแข่งพระตราหมายเลข 1 กับตำแหน่งแชมป์โลกบนรถแข่งของเรปโซล ฮอนด้า โดนมี “หนูเปร” ดานี่ เปโดรซ่าเป็นทีมเมทหลังจากที่สูญเสียโดวิซิโอโซ่ให้กับยามาฮ่า ช่วงต้นของการแข่งขันสโตนเนอร์สร้างความตกตะลึงให้กับวงการด้วยการประกาศว่า “ผมเป็นเกย์” เอ๊ย ประกาศว่า ตนจะรีไทน์ตัวเองหลังจากการแข่งขันปีนี้จบลง เรียกได้ว่า ช็อกกันทั้งบางเลยทีเดียว สโตนเนอร์ จูงมือตัวเองมาบนจุดสูงสุดของชีวิตด้วยการคว้าแชมป์โลก มีครอบครัวที่อบอุ่น และสิ่งที่เกิดขึ้นกับมาโก ซิมอลเคลี่เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา น่าจะเตือนใจว่าเค้าจะไม่แลกทุกสิ่งที่มีค่าในชีวิตด้วยอะไรทั้งนั้น ............credit TRC

หน้าหลักเว็บไซต์	ท่องเที่ยว ที่พัก ที่กิน	ข่าวสาร กิจกรรม	ตำแหน่งงานว่าง
ตลาดซื้อขาย	โปรโมชั่น ส่วนลดสินค้า	ติดต่อโฆษณา

คนเชียงราย สังคมเชียงราย	ห้องนั่งเล่น	การเกษตร ในเชียงราย	คุยเรื่องไอที - เทคโนโลยี
นักลงทุน การเงิน การธนาคาร	ศาสนา กิจกรรมทางวัด	เรื่องล้านนา ภาษากำเมือง	คนหางาน-งานหาคน
งานบ้านงานครัว คลีนิค สุขภาพ ฯลฯ	กีฬา	การศึกษา

แจกของฟรี	ซื้อขายสินค้าจิปาถะ-ทั่วไป	เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ สินค้าแฟชั่น	เครื่องสำอางค์ ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม
สัตว์เลี้ยง	คอมพิวเตอร์-สินค้าไอที	กล้องถ่ายรูป - อุปกรณ์ถ่ายภาพ	โทรศัพท์มือถือ เครื่องมือสื่อสาร
ซื้อขาย-เช่า-เซ้ง บ้าน ที่ดิน อาคารพาณิชย์	พระเครื่อง-วัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง	ศูนย์กลาง-ซื้อขายรถยนต์	อะไหล่รถยนต์,อุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์
ซื้อขาย-รถมอเตอร์ไซด์	อะไหล่ ของแต่ง มอเตอร์ไซด์	ศูนย์กลางซื้อขาย-จักรยาน	จานดาวเทียม-กล้องวงจรปิด-เคเบิ้ลทีวี

ชมรมนักตกปลาเชียงราย	CHIANGRAI 4 LOW	ชมรมคนรักรถ	ชมรมดนตรี
ชมรมนักกลอน