น่าจะเป็นแผลเป็นที่เรียกว่า คีลอยด์ นะครับลองอ่านที่ผมคัดลอกมานะครับ หลายๆ คนคงรู้จักนะครับกับแผลเป็นที่มีชื่อว่า คีลอยด์ (KELOID) แต่ถ้ายังไม่คุ้นเคยเพราะไม่เคยมีแผลหรือไม่เป็นคีลอยด์มาก่อน ผมก็จะถือโอกาสอธิบายให้ฟังนะครับว่า คีลอยด์ นั้นคืออะไร
คีลอยด์ คือแผลเป็นมีลักษณะนูนแข็งสีออก ไปทางน้ำตาล บ้างก็มีขนาดเล็ก บ้างมีขนาดใหญ่ดูแล้วน่าเกลียด มักจะไม่เจ็บปวดแต่บางครั้งอาจจะคันบ้าง
เพื่อนผมคนหนึ่งในสมัยหนุ่มๆ มักจะเป็นสิวเรียกว่าสิวหนุ่มอะไรทำนองนั้นสิวที่ว่านอกจากจะขึ้นตามใบหน้า ของเพื่อนแล้ว มันยังมาขึ้นตามหน้าอกของเพื่อนด้วย เพื่อนผมทำการรักษาสิวด้วยตนเอง อ้อเขาไม่ได้เป็นหมอหรอกนะ เขาใช้นิ้วมือของเขาเอง บีบขยี้เม็ดสิวให้มันแฟบไปคามือ ทั้งที่ใบหน้าและตรงบริเวณหน้าอกหลังจากเม็ดสิวถูกบีบจนไส้ในทะลักออกมาจน หมด แผลเป็นของรอยสิวจึงเกิดขึ้นตามมา
ใบหน้าของเพื่อนมีรอยของสิวหลงเหลืออยู่แต่ดูไม่น่าเกลียด เท่าใดนัก ไม่เหมือนรอยแผลตรงบริเวณหน้าอก แต่หลังจากนั้นมันมีคีลอยด์เกิดขึ้นตามมา เม็ดสิวหลายๆ เม็ด แผลคีลอยด์หลายๆ แผล ที่นับวันมันโตขึ้นเรื่อยๆ
หลายๆ แผลของคีลอยด์มันต่างก็ขยายกว้างออกแล้วมาเชื่อมกันเป็นแผ่นเดียวขนาดใหญ่ เมื่อเพื่อนถอดเสื้อให้เห็นแผ่นอกทีไรคิดว่าเป็นหน้าอกของคิงคองทุกที
คีลอยด์จะเกิดมากเกิดน้อยขึ้นกับหลายปัจจัยด้วยกัน
ปัจจัยแรก ก็คือ ความแตกต่างของผิวหนังในแต่ละคน ดังนั้นใครจะเป็นมากใครจะเป็นน้อยจะเอาอย่างกันไม่ได้ ของใครของมันว่างั้นเถอะ
ปัจจัยที่สอง ก็คือ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของแผลบางตำแหน่งนั้น โอกาสจะเกิดคีลอยด์น้อยมาก เช่นตำแหน่งบนใบหน้า เป็นต้น
หากใบหน้าเกิดเป็นคีลอยด์ได้ง่ายคงจะเป็นมนุษย์ต่างดาวเกิดขึ้นจำนวนไม่น้อย ทีเดียว ขณะในอีกหลายตำแหน่งบนร่างกายจะเกิดเป็นแผลคีลอยด์ได้ง่ายกว่าเยอะ เช่น ตำแหน่งบนลำตัว นับตั้งแต่หน้าอกไปจนกระทั่งถึงหน้าท้องน้อย
ปัจจัยที่สาม คือสภาพของแผล แผลที่เกิดขึ้นแล้วสามารถนำกลับเข้าที่เดิมอย่างดีที่สุดโอกาสจะเกิดเป็นแผล เป็นก็จะน้อยที่สุดแต่ก็อย่างว่าแหละครับการสมานของแผลจะให้มันเข้าที่เดิม อย่างเจ๋งๆ นั้น คงจะทำได้ยากมาก เพราะไม่สามารถกำหนดได้ด้วยตาเปล่า
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า แม้คุณหมอจะพยายามเย็บแผลให้สวยงามแค่ไหน บางครั้งบางคราวเมื่อแผลหายก็ไม่วายที่จะเกิดเป็นคีลอยด์อันเบ้อเริ่มตามมา
ทั้งนี้ก็เพราะว่าการเกิดขึ้นของคีลอยด์นั้น มันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่างดังที่กล่าวมาแล้ว
ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ขนาดของคีลอยด์แต่อยู่ที่ว่าทำอย่างไร ถึงจะไม่ให้มันเกิดขึ้นมา และอยู่ที่ว่าเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วจะทำให้มันยุบหายไปได้มั้ย
เอาปัญหาแรกก่อน คือทำอย่างไรมิให้เกิดเป็นคีลอยด์ขึ้น นั่นก็คือการป้องกันนั่นเอง ซึ่งก็พอจะทำได้ด้วยการฉายแสงจะเรียกว่าเป็นการป้องกันด้วยการฉายรังสีก็ได้ ซึ่งแพทย์จะทำการฉายรังสีลงบนแผลที่สมานกันดีแล้วหลังจากผ่าตัด ซึ่งอาจจะใช้เวลา 3-4 วันหลังผ่าตัด จากนั้นก็สามารถฉายแสงลงบนแผลเพื่อป้องกันการ เกิดคีลอยด์
จากประสบการณ์ของผมเอง อ้อ! ด้วยการสังเกตนะครับ เพราะผมมิได้เป็นแพทย์ผู้ให้รังสีรักษา แต่เป็นแพทย์ผู้ทำให้เกิดแผลเสียมากกว่า การฉายแสงป้องกันคีลอยด์ผมคิดว่าน่าจะได้ผลดีที่สุดนะครับ อีกวิธีหนึ่งคือ การปิดทับแผลด้วยวัสดุซิลิโคนซึ่งเจ้าของผลิตภัณฑ์บอกว่าได้ผลดีมากดีพอๆ กับการฉายแสง
ผมเองมีประสบการณ์ในผลิตภัณฑ์ตัวนี้ค่อนข้างน้อย จึงไม่สามารถออกความคิดเห็นเป็นการส่วนตัวได้ เอาเป็นว่าคุณๆ ผู้ใดอยากจะทดลองก็น่าจะทำได้เพราะมันคงไม่ทำให้เจ็บหรือปวด หรือทำให้เกิดอันตราย หรือมีผลข้างเคียงอื่นใด นอกจากราคาของมันค่อนข้างจะแพงไปหน่อยเท่านั้นแหละ
อีกวิธีหนึ่งพอจะทำได้ คือการฉีดสเตอร์รอยด์เข้าไปในบริเวณแผลที่ทำผ่าตัด คือฉีดกันตั้งแต่ แผลยังสดๆ กันเลยทีเดียว วิธีนี้ได้ผลดีบ้างก็ไม่ค่อยจะเป็นที่พอใจนัก
แต่ข้อดีขอการใช้วิธีนี้ก็คือ ไม่มีอะไรยุ่งยากและไม่เสียเวลา เพราะทุกอย่างเสร็จสิ้นกัน ตั้งแต่อยู่ในห้องผ่าตัดเลยทีเดียว
ทีนี้มาดูกันถึงในกรณีที่ว่าเกิดเป็นคีลอยด์ขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไร ดี ดังที่กล่าวมาแล้วว่าขนาด ของคีลอยด์นั้น จะไม่เหมือนกับใครในแต่ละคน บ้างก็เป็นมากจนน่าเกลียด บ้างก็เป็นแค่หร็อมแหร็ม พอให้รำคาญใจ
หากจะรักษากันให้หายขาดก็คือ ต้องใช้วิธีการผ่าตัดเอามันออก แล้วหามาตรการป้องกัน มิให้มันกลับมาเกิดอีก จะด้วยวิธีฉายแสงหรือปิดทับด้วยแผ่นซิลิโคนหรือด้วยการฉีดสเตอร์รอยด์ ก็แล้วแต่จะเลือกใช้
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่รู้จักมันคุ้นกับคีลอยด์ดี เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของผิวหนังของคุณ และมันทำให้คุณไม่สบายใจไม่สบายตามาตลอด ก็ลองปรึกษากับคุณหมอของคุณดูซิครับ ว่าจะเอายังไงกันดีกัคีลอยด์
(update 28 กุมภาพันธ์ 2002)
[ ที่มา... นิตยสารแม่และเด็ก ปีที่ 24 ฉบับที่ 347 มกราคม 2544 ]