เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 19 เมษายน 2024, 18:08:08
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ศาสนา กิจกรรมทางวัด (ผู้ดูแล: ap.41, ลุงหนาน)
| | |-+  ลูกเป็นคนยากจน มีเงินน้อย อยากจะได้อานิสงส์มากๆ จะทำบุญอย่างไรดีคะ
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] 2 พิมพ์
ผู้เขียน ลูกเป็นคนยากจน มีเงินน้อย อยากจะได้อานิสงส์มากๆ จะทำบุญอย่างไรดีคะ  (อ่าน 3211 ครั้ง)
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« เมื่อ: วันที่ 03 กันยายน 2012, 13:49:40 »

ผู้ถาม "ลูกเป็นคนยากจน มีเงินน้อย อยากจะได้อานิสงส์มากๆ จะทำบุญอย่างไรดีคะ?"

หลวงพ่อ "คืออานิสงส์จริงๆ ต้องทำบุญให้มากที่สุด เท่าที่จะพึงทำได้ สมมติว่าเรา

มีเงินอยู่ ๑๐ บาท จะไปมาที่นี่ เสียค่ารถ ๖ บาท กินก๋วยเตี๋ยว ได้ครึ่งชามแล้ว หมดไป ๙

บาท เหลือ ๑ บาท เขียนที่หน้าซองเลยว่าเงินนี้ถวายสังฆทาน วิหารทานและธรรมทาน คน

นี้อานิสงส์มากเหลือเกิน จำนวนเงินเขาไม่จำกัด เขาจำกัดกำลังใจ ถ้ากำลังใจมุ่งด้านดีนะ

การทำบุญมากๆ คำว่า "ทำมาก" หมายความว่า ทำบ่อยๆ แต่คำว่า "บ่อย" ไม่ต้องทุกวันก็

ได้นะ คำว่า "มาก" หมายความว่า ทำเต็มกำลังที่พึงทำ ไม่ใช่ขนเงินมามากเวลาทำบุญ

ต้องดูก่อนว่า ค่าใช้จ่าย เรามีความจำเป็นเพียงไร เงินที่มีความจำเป็น อย่านำมาทำบุญ มัน

จะเดือดร้อนภายหลัง และให้เหลือส่วนนั้นไว้บ้าง แล้วแบ่งทำบุญพอสมควรและประการที่

๒ การทำบุญ ถ้าใช้วัตถุมาก แต่กำลังใจน้อย ก็มีอานิสงส์น้อยถ้าหากใช้วัตถุน้อย กำลังใจมี

มาก ก็มีอานิสงส์มาก อย่างถวายสังฆทาน ที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทนำมานี่ ลงทุนไม่

มาก แต่อานิสงส์มหาศาล ความจริง ถ้าจะพูดถึงอานิสงส์กันจริงๆล่ะก็รู้สึกว่าจะมากกว่าจัด

งานที่บ้าน หรือที่วัดตั้ง เยอะแยะทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าถวายสังฆทาน เราทำกันแบบ

เงียบๆ ไม่มีกังวลการบำเพ็ญกุศลแต่ละคราว ถ้ามีกังวลมาก อานิสงส์มันก็น้อย เพราะว่าจิต

ที่เราเข้าสู่กุศลมันห่วงงานอื่นมากกว่าไม่ตั้งจิตโดยเฉพาะ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การถวาย

สังฆทานในหมู่สงฆ์ ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ตามพระวินัย ท่านเรียกกันว่า คณะสงฆ์ ถ้าต่ำกว่า

นั้น เป็น คณะบุคคล ถ้าบุคคลเดียว เป็น ปาฏิปุคคลิกทาน โดยเฉพาะ ทีนี้การถวายสังฆทาน

แก่พระสงฆ์เป็นหมู่นี้มีอานิสงส์มาก เรื่องนี้ก็มีตัวอย่าง คนที่มีทรัพย์น้อย ทรัพย์มาก


* 10.jpg (95.98 KB, 720x484 - ดู 337 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 03 กันยายน 2012, 13:57:09 »

เรื่องนี้ก็มีตัวอย่าง คนที่มีทรัพย์น้อย ทรัพย์มาก อย่างท่านอินทกะเทพบุตรกับ ท่านอังกุระ -
เทพบุตร ไงล่ะ ท่านอังกุระเทพบุตร ทำบุญนอกเขตพระพุทธศาสนา เวลานั้นพระพุทธ

ศาสนาไม่มี ตั้งโรงทาน ๘๐ โรง ให้ทานถึง ๒ หมื่นปี เลี้ยงคนกำพร้า คนตกยาก คนเดิน

ทาง พอตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเทวดาที่มีบุญ

น้อยที่สุดเพราะเขตของบุญเล็กไป คนไร้ศีลไร้ธรรม ใช่ไหม ตรงกันข้ามท่านอินทกะ

เทพบุตร เกิดเป็นคนจน พ่อตาย ตัดฟืนเลี้ยงแม่ ก็ไม่ได้ตัดขายมากมาย เอาแค่วันๆ พอกิน

พอใช้ไปวันๆวันหนึ่ง พระสงฆ์เดินผ่านไปที่นั้น ท่านมีโอกาสได้ถวายทาน ในฐานะที่ไม่ได้

เตรียมตัวไว้ก่อนคนจนจะมีอะไรมากนักใช่ไหมล่ะ เพียงแค่ครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้นอาศัย

คุณ คือความกตัญญูรู้คุณอย่างหนึ่งแล้ว ก็ถวายสังฆทานหนึ่ง สองอย่างด้วยกัน ตายแล้ว

ไปเป็นเทวดาที่มีบุญมากที่สุดในดาวดึงส์ นอกจากพระอินทร์แล้ว ไม่มีใครโตกว่า"


**ที่ว่านอกศาสนานั้นน่าจะหมายถึง เป็นช่วงที่ไม่มีศาสนาพุทธ คนไม่มีศีลไม่มีธรรม ดังนั้น

ทรัพย์ที่ได้มาก็คงได้มาในทางที่ไม่จริต และผู้รับก็เป็นคนที่ไม่มีศีลไม่มีธรรม  ถึงแม้จะทำ

มากก็ได้อานิสงฆ์น้อย


* 42.jpg (118.04 KB, 720x486 - ดู 319 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 03 กันยายน 2012, 14:22:23 »

การทำทานนี้ จะได้อานิสงฆ์มากองค์ประกอบต้องบริสุทธิ์ทั้งองค์สาม คือ

1.วัตถุทานต้องบริสุทธิ์

2.เจตนาสร้างทานต้องบริสุทธิ์

3.เนื้อนาบุญต้องบริสุทธิ์

วัตถุทานบริสุทธิ์ หมายถึง

วัตถุทานที่ให้ ได้แก่สิ่งของทรัพย์สมบัติที่ตนได้สละให้เป็นทานนั้นเอง จะต้องเป็นของที่

บริสุทธิ์ ที่จะเป็นของบริสุทธิ์ได้จะต้องเป็นสิ่งของที่ตนเองได้แสวงหา ได้มาด้วยความ

บริสุทธิ์ในการประกอบอาชีพ ไม่ใช่ของที่ได้มาเพราะการเบียดเบียนผู้อื่น เช่น ได้มาโดย

ยักยอก ทุจริต ลักทรัพย์ ฉ้อโกง ปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์ ฯลฯ
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 03 กันยายน 2012, 14:23:57 »

ตัวอย่าง  ลักทรัพย์ ยักยอก ฉ้อโกง ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ รวมตลอดถึงการทุจริตฉ้อ

ราษฎร์บังหลวง อันเป็นการได้ทรัพย์มาในลักษณะที่ไม่ชอบธรรม หรือโดยเจ้าของเดิมไม่

เต็มใจให้ทรัพย์นั้น ย่อมเป็นของที่ไม่บริสุทธิ์ เป็นของร้อน แม้จะผลิดอกออกผลมาเพิ่ม

เติม ดอกผลนั้นก็ย่อมเป็นของไม่บริสุทธิ์ ด้วยนำเอาไปกินไปใช้ย่อมเกิดโทษ เรียก

ว่า "บริโภคโดยความเป็นหนี้" แม้จะนำเอาไปทำบุญ ให้ทาน สร้างโบสถ์วิหารก็ตาม ก็ไม่ทำ

ให้ได้บุญแต่อย่างไร สมัยหนึ่งในรัชการที่ ๕ มีหัวหน้าสำนักนางโลมชื่อ "ยายแฟง" ได้เรียก

เก็บเงินจากหญิงโสเภณีในสำนักของตนจากอัตราที่ได้มาครั้งหนึ่ง ๒๕ สตางค์ แกจะชัก

เอาไว้ ๕ สตางค์ สะสมเอาไว้เช่นนี้จนได้ประมาณ ๒,๐๐๐ บาท แล้วจึงจัดสร้างวัดขึ้นวัด

หนึ่งด้วยเงินนั้นทั้งหมด เมื่อสร้างเสร็จแล้วแกก็ปลื้มปีติ นำไปนมัสการถามหลวงพ่อโตวัด

ระฆังว่าการที่แกสร้างวัดทั้งวัดด้วยเงินของแกทั้งหมดจะได้บุญบารมีอย่างไร หลวงพ่อโต

ตอบว่า ได้แค่ ๑ สลึง แกก็เสียใจ เหตุที่ได้บุญน้อยก็เพราะทรัพย์อันเป็นวัตถุทานที่ตนนำ

มาสร้างวัดอันเป็นวิหารทานนั้น เป็นของที่แสวงหาได้มาโดยไม่บริสุทธิ์ เพราะว่าเบียดเบียน

มาจากเจ้าของที่ไม่เต็มใจจะให้
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 03 กันยายน 2012, 14:24:37 »

วัตถุทานที่บริสุทธิ์เพราะการแสวงหาได้มาโดยชอบธรรมดังกล่าว ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็น

ของดีหรือเลว ไม่จำกัดว่าเป็นของมากหรือน้อย น้อยค่าหรือมีค่ามาก จะเป็นของดี เลว

ประณีต มากหรือน้อยไม่สำคัญ ความสำคัญขึ้นอยู่กับเจตนาในการให้ทานนั้น ตามกำลัง

ทรัพย์และกำลังศรัทธาที่ตนมีอยู่
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 03 กันยายน 2012, 14:26:24 »

องค์ประกอบข้อที่ ๒. "เจตนาในการสร้างทานต้องบริสุทธิ์"

การให้ทานนั้น โดยจุดมุ่งหมายที่แท้จริงก็เพื่อเป็นการขจัดความโลภ ความตระหนี่เหนียว

แน่นความหวงแหนหลงใหลในทรัพย์สมบัติของตน อันเป็นกิเลสหยาบ คือ "โลภกิเลส"

และเพื่อเป็นการสงเคราะห์ผู้อื่นให้ได้รับความสุขด้วย เมตตาธรรมของตน อันเป็นบันไดก้าว

แรกในการเจริญเมตตา พรหมวิหารธรรมในพรหมวิหาร ๔ ให้เกิดขึ้น ถ้าได้ให้ทานด้วย

เจตนาดังกล่าวแล้ว เรียกว่าเจตนาในการทำทานบริสุทธิ์ แต่เจตนาที่ว่าบริสุทธิ์นั้น

ถ้าจะบริสุทธิ์จริงจะต้องสมบูรณ์พร้อมกัน ๓ ระยะ คือ

(๑) ระยะก่อนที่จะให้ทาน ก่อนที่จะทานก็จะมีจิตที่โสมนัสร่าเริงเบิกบานยินดีที่จะให้ทาน

เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นให้ได้รับความสุขเพราะทรัพย์สิ่งของของตน

(๒) ระยะที่กำลังลงมือให้ทาน ระยะที่กำลังมือให้ทานอยู่นั้นเอง ก็ทำด้วยจิตใจโสมนัสร่าเริง

ยินดีและเบิกบานในทานที่ตนกำลังให้ผู้อื่น

(๓) ระยะหลังจากที่ได้ให้ทานไปแล้ว ครั้นเมื่อได้ให้ทานไปแล้วเสร็จ หลังจากนั้นก็ดี นาน

มาก็ดี เมื่อหวนคิดถึงทานที่ตนได้กระทำไปแล้วครั้งใด ก็มีจิตใจโสมนัสร่าเริงเบิกบาน ยินดี

ในทานนั้น ๆ
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 03 กันยายน 2012, 14:30:33 »

องค์ประกอบข้อที่ ๓. "เนื้อนาบุญต้องบริสุทธิ์"

คำว่า "เนื้อนาบุญ" ในที่นี่ได้แก่บุคคลผู้รับการทำทานของผู้ทำทานนั้นเอง นับว่าเป็นองค์

ประกอบข้อที่สำคัญที่สุด แม้ว่าองค์ประกอบในการทำทานข้อที่ ๑ และข้อที่ ๒ จะงาม

บริสุทธิ์ครบถ้วนดีแล้ว กล่าวคือวัตถุที่ทำทานนั้นเป็นของที่แสวงหาได้มาด้วยความบริสุทธิ์

เจตนาในการทำทานก็งามบริสุทธิ์พร้อมทั้งสามระยะ แต่ตัวผู้ที่ได้รับการทำทานเป็นคนที่ไม่

ดี ไม่ใช่ผู้ที่เป็นเนื้อนาบุญที่บริสุทธิ์ เป็นเนื้อนาบุญที่เลว ทานที่ทำไปนั้นก็ไม่ผลิดอกออกผล

เปรียบเหมือนกับการหว่านเมล็ดข้าวเปลือกลงในพื้นนา ๑ กำมือ

แม้เมล็ดข้าวนั้นจะเป็นพันธุ์ดีที่พร้อมจะงอกงาม (วัตถุทานบริสุทธิ์)

และผู้หว่านคือกสิกรก็มีเจตนาจะหว่านเพื่อทำนาให้เกิดผลิตผลเป็นอาชีพ (เจตนาบริสุทธิ์)

แต่หากที่นานั้นเป็นที่ที่ไม่สม่ำเสมอกัน เมล็ดข้าวที่หว่านลงไปก็งอกเงยไม่เสมอกัน โดย

เมล็ดที่ไปตกในที่เป็นดินดี ปุ๋ยดี มีน้ำอุดมสมบูรณ์ดี ก็จะงอกเงยมีผลิตผลที่สมบูรณ์ ส่วน

เมล็ดที่ไปตกบนพื้นนาที่แห้งแล้ง มีแต่กรวดกับทรายและขาดน้ำก็จะแห้งเหี่ยวหรือเฉาตาย

ไป หรือไม่งอกเงยเสียเลย การทำทานนั้น ผลิตผลที่ผู้ทำทานจะได้รับก็คือ "บุญ" หากผู้ที่

รับการให้ทานไม่เป็นเนื้อนาที่ดีสำหรับการทำบุญแล้ว ผลของทานคือบุญก็จะได้เกิดขึ้น แม้

จะเกิดก็ไม่สมบูรณ์ เพราะแกร็นหรือแห้งเหี่ยวเฉาไปด้วยประการต่าง ๆ

ฉะนั้นในการทำทาน ตัวบุคคลผู้รับของที่เราให้ทานจึงเป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่สุด เราผู้ทำ

ทานจะได้บุญมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับคนพวกนี้ คนที่รับการให้ทานนั้นหากเป็นผู้ที่มี

ศีลธรรมสูง ก็ย่อมเป็นเนื้อนาบุญที่ดี ทานที่เราได้ทำไปแล้วก็เกิดผลบุญมาก หากผู้รับการ

ให้ทานเป็นผู้ที่ไม่มีศีลไม่มีธรรม ผลของทานก็ไม่เกิดขึ้น คือได้บุญน้อย


* 17.jpg (64.19 KB, 640x433 - ดู 302 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 03 กันยายน 2012, 14:34:06 »

ทำอย่างไรจึงจะได้พบกับท่านที่เป็นเนื้อนาบุญที่ประเสริฐ ข้อนี้ก็ย่อมขึ้นอยู่กับวาสนาของ

เราผู้ทำทานเป็นสำคัญ หากเราได้เคยสร้างสมอบรมสร้างบารมีมาด้วยดีในอดีตชาติเป็นอัน

มากแล้ว บารมีนั้นก็จะเป็นพลังวาสนาน้อมนำให้ได้พบกับท่านที่เป็นเนื้อนาบุญที่ประเสริฐ

ทำทานครั้งใดก็มักโชคดี ได้พบกับท่านที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไปเสียทุกครั้ง หากบุญวาสนา

ของเราน้อยและไม่มั่นคง ก็จะได้พบกับท่านที่เป็นเนื้อนาบุญบ้าง ได้พบกับอลัชชีบ้าง คือดี

และชั่วคละกันไป
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 03 กันยายน 2012, 14:35:38 »

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า

แม้วัตถุทานจะบริสุทธิ์ดี เจตนาในการทำทาน

จะบริสุทธิ์ดี จะทำให้ทานนั้นมีผลมากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับเนื้อนาบุญเป็นลำดับต่อไปนี้

คือ

๑. ทำทานแก่สัตว์เดรัจฉานแม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่มนุษย์ แม้จะเป็นมนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมเลยก็ตาม ทั้งนี้เพราะสัตว์ย่อมมีวาสนาบารมีน้อยกว่ามนุษย์และสัตว์ไม่ใช่เนื้อนาบุญที่ดี

๒. ให้ทานแก่มนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมวินัยแม้จะให้มากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้ที่มีศีล ๕ แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

๓. ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล ๕แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้มีศีล ๘ แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

๔. ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล ๘ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานแก่ผู้มีศีล ๑๐ คือสามเณรในพุทธศาสนา แม้จะได้ถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 03 กันยายน 2012, 14:38:36 »

๕. ถวายทานแก่สามเณรซึ่งมีศีล ๑๐ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานดังกล่าวแก่พระสมมุติสงฆ์ ซึ่งมีศีลปาฏิโมกข์สังวร ๒๒๗ ข้อ
พระด้วยกันก็มีคุณธรรมแตกต่างกัน จึงเป็นเนื้อนาบุญที่ต่างกัน บุคคลที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนามีศีลปาฏิโมกข์สังวร ๒๒๗ ข้อนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสเรียกว่าเป็น "พระ" แต่เป็นเพียงพระสมมุติเท่านั้น เรียกกันว่า "สมมุติสงฆ์" พระที่แท้จริงนั้น หมายถึงบุคคลที่บรรลุคุณธรรมตั้งแต่พระโสดาปัตติผลเป็นพระโสดาบันเป็นต้นไป ไม่ว่าท่านผู้นั้นจะได้บวชหรือเป็นฆราวาสก็ตาม นับว่าเป็น "พระ" ทั้งสิ้น และพระด้วยกันก็มีคุณธรรมต่างกันหลายระดับชั้น จากน้อยไปหามากดังนี้คือ "พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธมเจ้า" และย่อมเป็นเนื้อนาบุญที่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้

๖. ถวายทานแก่พระสมมุติสงฆ์แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานแก่ - พระโสดาบัน แม้จะได้ถวายทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม (ความจริงยังมีการแยกเป็นพระโสดาปัตติมรรคและพระโสดาปัตติผล ฯลฯ เป็นลำดับไปจนถึงพระอรหัตผล แต่ในที่นี้จะกล่าวแต่เพียงย่นย่อพอให้ได้ความเท่านั้น)

๗. ถวายทานแก่พระโสดาบันแม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระสกิทาคามี แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๘. ถวายทานแก่พระสกิทาคามี แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระอนาคามี แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม


* 18.jpg (87.64 KB, 640x444 - ดู 288 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 03 กันยายน 2012, 14:42:30 »

๙. ถวายทานแก่พระอนาคามี แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระอรหันต์ แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๑๐. ถวายทานแก่พระอรหันต์ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๑๑. ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแด่พระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๑๒. ถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายสังฆทานที่มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะถวายสังฆทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม


* 27.jpg (82.31 KB, 640x443 - ดู 287 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 03 กันยายน 2012, 14:46:21 »

๑๓. การถวายสังฆทานที่มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็

ยังได้บุญน้อยกว่า "การถวายวิหารทาน" แม้จะได้กระทำแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม "วิหาร

ทาน ได้แก่การสร้างหรือร่วมสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ศาลาโรงธรรม ศาลาท่าน้ำ

ศาลาที่พักอาศัยคนเดินทางอันเป็นสาธารณะประโยชน์ที่ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน"

อนึ่ง การสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์หรือสิ่งที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน แม้จะไม่

เกี่ยวเนื่องกับกิจในพระพุทธศาสนา เช่น "โรงพยาบาล โรงเรียน บ่อน้ำ แท็งก์น้ำ ศาลาป้าย

รถยนต์โดยสารประจำทาง สุสาน เมรุเผาศพ" ก็ได้บุญมากในทำนองเดียวกัน

๑๔. การถวายวิหารทานแม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง (๑๐๐ หลัง ) ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการ

ให้ "ธรรมทาน" แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม "การให้ธรรมทานก็คือการเทศน์ การสอน

ธรรมะแก่ผู้อื่นที่ยังไม่รู้ให้รู้ได้ ที่รู้อยู่แล้วให้รู้ยิ่งๆขึ้น ให้ได้เข้าใจมรรค ผล นิพพาน ให้ผู้ที่

เป็นมิจฉาทิฐิได้กลับใจเป็นสัมมาทิฐิ ชักจูงผู้คนให้เข้าปฏิบัติธรรม รวมตลอดถึงการพิมพ์

การแจกหนังสือธรรมะ"

๑๕. การให้ธรรมทานแม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ "อภัยทาน" แม้จะ

ให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม การให้อภัยทานก็คือ "การไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตจองเวร ไม่

พยาบาทคิดร้ายผู้อื่นแม้แต่ศัตรู" ซึ่งได้บุญกุศลแรงและสูงมากในฝ่ายทาน เพราะเป็นการ

บำเพ็ญเพียรเพื่อ "ละโทสะกิเลส" และเป็นการเจริญ "เมตตาพรหมวิหารธรรม" อันเป็น

พรหมวิหารข้อหนึ่งในพรหมวิหาร ๔ ให้เกิดขึ้น อันพรหมวิหาร ๔ นั้น เป็นคุณธรรมที่เป็น

องค์ธรรมของโยคีบุคคลที่บำเพ็ญฌานและวิปัสสนา ผู้ที่ทรงพรหมวิหาร ๔ ได้ย่อมเป็น

ผู้ทรงฌาน ซึ่งเมื่อเมตตาพรหมวิหารธรรมได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อใด ก็ย่อมละเสียได้

ซึ่ง "พยาบาท" ผู้นั้นจึงจะสามารถให้อภัยทานได้ การให้อภัยทานจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน

และยากเย็น จึงจัดเป็นทานที่สูงกว่าการให้ทานทั้งปวง


* 43.jpg (95.68 KB, 720x486 - ดู 297 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 03 กันยายน 2012, 14:54:25 »

ท่านทั้งหลายที่ได้เคยยิ่งใหญ่ด้วยยศศักดิ์อำนาจวาสนาและทรัพย์สมบัติในอดีตกาล จน

เป็นถึงมหาจักรพรรดิมีสมบัติสร้างสมมาด้วยเลือดและน้ำตาของผู้อื่นจนค่อนโลก แต่แล้วใน

ที่สุดก็ต้องทิ้งต้องจากสิ่งเหล่านี้ไป แม้แต่เนื้อตัวร่างกายของท่านที่เคยยิ่งใหญ่ จนถึงกับ

เป็นผู้ที่ไม่อาจจะแตะต้องได้ แต่แล้วก็ต้องทอดทิ้งจมดินและทราย จนในที่สุดก็สลายไปจน

หาไม่พบว่าเนื้อ หนัง กระดูก ขน เล็บ ตับ ไต ไส้ กระเพาะของท่านว่าอยู่ที่ตรงไหน คง

เหลืออยู่แต่สิ่งที่เป็นดิน น้ำ ลม และไฟ ตามสภาพเดิมที่ก่อกำเนิดมาเป็นตัวของท่านเพียง

ชั่วคราวเท่านั้น แล้วตัวของเราท่านทั้งหลายก็เพียงเท่านี้มิได้ยิ่งใหญ่เกินไปกว่าท่านใน

อดีต จะรอดพ้นจากสัจธรรมนี้ไปได้หรือ

ในเมื่อความเป็นจริงก็เห็นๆกันอยู่เช่นนี้แล้ว เหตุใดเราท่านทั้งหลายจึงต้องพากันดิ้นรนขวน

ขวายสะสมสิ่งที่ในที่สุดก็จะต้องทิ้ง จะต้องจากไป ซึ่งเท่ากับเป็นการทำลายวันเวลาอันมีค่า

ของพวกเราซึ่งก็คงมีไม่เกินคนละ ๑๐๐ ปี ให้ต้องโมฆะเสียเปล่าไปโดยหาสาระประโยชน์

อันใดมิได้

เหตุใดไม่เร่งขวนขวายสร้างสมบุญบารมีที่เป็นอริยทรัพย์อันประเสริฐ์ ซึ่งจะติดตามตัวไปได้

ในชาติหน้า แม้หากว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่มีจริงดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ อย่างเลวพวกเราก็

เพียงเสมอตัว มิได้ขาดทุนแต่อย่างใด หากสิ่งที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนเอาไว้ว่ามีจริงดั่งที่

ปราชญ์ในอดีตกาลยอมรับ แล้วเราท่านทั้งหลายไม่สร้างสมบุญและความดีไว้ สร้างสมแต่

ความชั่วและบาปกรรมตามติดตัวไป เราท่านทั้งหลายไม่ขาดทุนหรอกหรือ เวลาในชีวิตของ

เราที่ควรจะได้ใช้ให้เป็นประโยชน์ กลับต้องโมฆะเสียเปล่าก็สมควรที่จะได้ชื่อว่าเป็น "โมฆะ

บุรุษ" โดยแท้




*******************
คัดลอกจาก : เว็บพลังจิต

ข้าเจ้าขอเผยแผ่ เพื่อเป็นธรรมทาน


* 1.jpg (84.23 KB, 640x439 - ดู 303 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
Yim sri
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,753



« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 03 กันยายน 2012, 19:15:29 »

ซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ
IP : บันทึกการเข้า

ธ สถิตย์ในใจตราบนิรันดร์กาล
jirapraserd
magdafVE
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 692


« ตอบ #14 เมื่อ: วันที่ 04 กันยายน 2012, 08:43:20 »

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 16 กันยายน 2012, 19:16:39 โดย jirapraserd » IP : บันทึกการเข้า

twiwit
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 45



« ตอบ #15 เมื่อ: วันที่ 20 กันยายน 2012, 12:24:51 »

  ถือศีล และวิปัสนากรรมฐาน  ไม่ต้องลงทุนซักบาท แต่ได้บุญกุศลสูงสุดกว่าทานใดๆ
  ของดีมีอยู่ในตัวของทุกคนอยู่แล้วครับ

  สาธุ
IP : บันทึกการเข้า
nantong
ปั๋น กั๋นฮู้ แล้วก่อยเอาไปกึ๊ดอ่าน กั๋น แหมกำ อาจมีผิดถูก ฯ
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,579



« ตอบ #16 เมื่อ: วันที่ 21 กันยายน 2012, 19:52:14 »

  

นักทำกัมมัฏฐาน  ท่าน   บอก  ว่า

          แก่น สิดี  มี ประโยชน์ สูง  ใช้  ทำ เสาเรือน        เทียบ  ได้  ดั่ง     ภาวนามัย   ได้   ปัญญา

มา ...... เธอ  จง  มา หัดนั่ง  สมาธิ  ภาวนา   กับ อาจารย์


ผู้ชอบ  ทรงศีล  ว่า........

    ศีล  นี่  แหละ  จัก  พา                              ให้ งาม  ใน   ดวงจิต                  คิด  แต่  ดี                       อีก  งามทั้ง  วาจา วจี  มีเสน่ห์

  ศีล  จักนำให้  มี กิริยา  น่าเลื่อมใส    เพิ่ม  ความเชื่อ  ศรัทธา  น่านับถือ

ศีล ทำให้ สวยนอก สวยใน             สวยภาษา พูด ภาษากาย  ภาษาใจ  

ไป ............. เราไป    ด้วย  กัน    สัก        3 วัน  7วัน  ก็ยังดี        ไป   สร้างคุณศีล  

 ศีล จัก  นำ โภคทรัพย์  มีสุข
 ดั่ง  คำพระ  ว่า    

             สีเลนะ  สุขะ ติง  ยันติ        สีเลนะ   โภคะ  สัมปทา

    อันเป็น  คุณ  ของศีล


คนใจบุญสุนทร  ทาน    เอ่ย  มาว่า..............

    ทาน  การแบ่ง ปัน  ทำให้  โลก        สมัครสมาน  สามัคคี    มี น้ำจิต   มิตร  ไมตรี  ใน  สังคม



เด็ก น้อย   อย่าง  ข้า         มานั่ง   งง   งง    งง     และ     งง    งง


จะ  ไป  ภาวนา..........  ก็   กลัว ปวดล้า  เหน็บชา กิน     หรือ      เจอ ผี ตาโบ๋

จะ   ไป  ถือ  ศีล ..........  โรคพอดี     ก็      มากำเริบ            เลย บอก     หลวงพ่อ   ว่า  
  พอดี  ไม่มี  วันหยุด  

 หรือ     พอดี  มี วันหยุด ยาว  จำต้อง  ไปเยี่ยมญาติ เยี่ยม พ่อ แม่ ที่แก่เฒ่า


ครั้น   จะ   ไป  ทำทาน  ด้วย  อาหาร   ฉัน  ก็   ว่า            พระออกบิณฑบาตร ได้ตั้งเยอะ


  
   สรุป  ว่า ใครสามารถ  ทำการบุญ การกุศล       ทำอะไร   ได้   ให้    รีบ   ทำ                    

  อย่า    ช้า.........   ครับท่าน


    ไม่  ว่า    ทาน    ศีล   ภาวนา           ดีมี ประโยชน์    
ไม่งั้น  พระพุทธเจ้า             คง  ไม่ สรรเสริญ

      สิ่ง ที่ท่าน   สอนสั่ง  ให้  ทำ  หรือ  แนะนำให้ เลิกละ        ล้วนแล้ว   แต่  เป็น  ประโยชน์  
ต่อ สรรพสัตว์         เป็น   ประโยชน์    ทั้งในโลกนี้     โลกหน้า    

เกื้อกูลโลก  โลกิยธรรม    ไปจนถึง  โลกุตรธรรม  มี นิพพาน เป็น  ที่สุด


 



ขอจง  เป็น ธรรมทาน  

ธรรมะ ของพระพุทธเจ้า


สาธุครับ
จาก
หนานธง  




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 23 กันยายน 2012, 00:47:00 โดย nantong » IP : บันทึกการเข้า

หนานขี้อู้หำยาน : นายจิราวัฒน์  โสรัจพงศ์เกษม / หนานธง   อีเมล : k e n g k a b h e n g @ g m a i l . c o m    มือถือ  081 777  51 76
put_put
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 181


« ตอบ #17 เมื่อ: วันที่ 22 กันยายน 2012, 18:41:27 »

  ถือศีล และวิปัสนากรรมฐาน  ไม่ต้องลงทุนซักบาท แต่ได้บุญกุศลสูงสุดกว่าทานใดๆ
  ของดีมีอยู่ในตัวของทุกคนอยู่แล้วครับ

  สาธุ

ถูกต้องสุดๆ
IP : บันทึกการเข้า
nantong
ปั๋น กั๋นฮู้ แล้วก่อยเอาไปกึ๊ดอ่าน กั๋น แหมกำ อาจมีผิดถูก ฯ
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,579



« ตอบ #18 เมื่อ: วันที่ 23 กันยายน 2012, 02:00:21 »

เรื่อง  ที่มาลง โดย ท่าน  เมฆพัตร  นำมาจาก  เวป  พลังจิต  นี้  เป็น  การสอบถามปัญหา ของ  ลูกศิษย์
ของ พระราชพรหมยาน หลวงพ่อ ฤาษีลิงดำ  วัดท่าซุง  เคย  ตีพิมพ์ ในวารสาร  ธัมมวิโมกข์  วัดจันทาราม ท่าซุง ต.น้ำซึม อ.เมือง อุทัยธานี

คำว่า บุญ ในที่นี้  ของ ศิษย์  ที่ถาม  น่าจะ หมายเอา ตามภาษาชาวบ้าน  การทำบุญ  แบบ ชาวบ้าน คือ การให้  ทานมัย แล้วก็ต้อง ทำกับ พระ  เณร  ถึง จะหมายถึง  บุญ  ของเขา

แต่  ทำ ทานมัย  กับ คน หรือ สัตว์ กายทิพย์     เขาก็ว่า  ทำทาน     ไม่ใช่    ทำบุญ    ผมเคย  อธิบายให้ คนที่ คิดแบบ  คน บ้าน ๆ      เขา ก็ไม่  ใคร่   จะยอม  เข้าใจ  เท่าใด

สอนเรา  กลับ  อีกว่า    บุญ  ไม่ใช่ทาน     ทาน   ไม่ใช่  บุญ
เรา ก็ พยายาม จะบอก  ให้  เข้า  ใจ   แบบเรา

ก็เหมือน คนแก่  เห็น สีฟ้า   ก็บอก  ว่า  สีเขียว ๆ   อย่างนั้น   ผมเจอกับ  ตัว คือ ยาย ของผมเอง 

 แต่  คนแก่  ยุค  3G คนแก่  ที่ ทันสมัย  มี มือถือ ใช้     คง  ไม่  เรียก แบบ เหมาสีฟ้า ว่า  สีเขียว  แล้ว เนาะ

ส่วนคนวัด  หรือ  คนชอบวัด  ชอบ  ศึกษา  ไม่ถือ ทิฎฐิ  มานะ เกินงาม
 ดั่ง  คำ ว่า  ทิฎฐิ  พระ     มานะ กษัตริย์

คำว่า  บุญ  ก็คือ การทำความดี งาม  ทั้งปวง

มี ทาน  ศีล  ภาวนา  ในส่วน  ฆราวาสธรรม
ศีล  สมาธิ  ปัญญา ธรรมบรรพชิต

บุญกิริยาวัตถุ  10

การสร้าง กำลัง แห่ง ใจ  ก็คือ   บารมี (ปารมี)
บารมี 10ทัศ ของ สาวกภูมิ            20 ทัศ  พระปัจเจกพุทธภูมิ         30 ทัศ พระพุทธภูมิ


ผมหนานธง  อ่าน คำอธิบายธรรม พระพุทธเจ้า โดย  หลวงพ่อฤๅษี(คำนี้ใช้ สระ อา หางยาว น่าจะ ถูก ต้อง กว่า า หาง ธรรมดา) บ่อย ๆ

บท ทำบุญ ที่ ว่า  อภัย ทาน  หลวงพ่อ   ว่า   ใหญ่  กว่า  ธรรมทาน 


แต่  ผมถาม  อาจารย์อิทธิ  ปัณฑิตารมย์ ท่านว่า ใน  พระบาลี  ไม่มี  รับรอง  อภัยทาน  ว่า  ใหญ่  กว่า  ทานใด ๆ

แต่  ทรง  กล่าว  รับรอง    ว่า

สัพพะ  ทานัง        ธัมมะ   ทานัง        ชินาติ


การให้  ธรรมทาน        ชนะ การให้  ทั้งปวง


การให้  อภัย     น่า  จะ   เข้าอยู่  ใน  หมวดภาวนามัย  มากกว่า


ใคร  คิด  ยังไง    อย่า  ม้ำมึก  เอาไว้         โพสต์  ลง   เพื่อ   แลก   ความเห็นต่าง  กันเถอะ  ครับ

หนานธง  แม้  จัด เป็น  พวก  ดี  แต่  ปาก         ใจ   ก็  ดี   พอ สมควร   แม้  ใจ ไม่ กว้าง ที่ จะยอม คนอื่น  สักปานไหน    ก็  ไม่ถึงกับ    ใจจ้อม  ครับ


กราบ ขออภัย มาทุกกรณี   แก่ ทุกท่าน มา  ณ  โอกาสนี้  ครับ

อย่าได้  เป็น ภัย ใด ๆ เลย

ผมยัง ด้อย  การศึกษา พระธรรม พระวินัย ครับ

 ไม่ศึก คือ ไม่ ศึกษา  พระธรรม อย่าง เต็มที่
     
 แต่  สึก  ครับ        สึก  จาก  พระ    กลายเป็น  หนาน  มานานแล้ว



  ขอสมมาการวะ    ไหว้สาตุ๊ ครับ

หนานธง  ขี้อู้

เข้าต๋ำฮา   เิปิ่นว่า          หนาน  ขี้อู้   หำยาน



IP : บันทึกการเข้า

หนานขี้อู้หำยาน : นายจิราวัฒน์  โสรัจพงศ์เกษม / หนานธง   อีเมล : k e n g k a b h e n g @ g m a i l . c o m    มือถือ  081 777  51 76
sabaidree
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 565


« ตอบ #19 เมื่อ: วันที่ 23 กันยายน 2012, 06:52:56 »

ขอบคุณมากๆครับ ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!