ผู้เขียนได้กล่าวถึงการจัดเตรียมสถานที่ในการประกอบพิธี รวมถึงคติความเชื่อและความหมายในการจัดเตรียมสถานที่และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่ใช้ในการประกอบพิธีไปแล้ว หลังจากที่ได้มีการจัดเตรียมพิธีพร้อมสรรพแล้ว ลำดับถัดจากนั้นจะเข้าสู่พิธีพุทธาภิเษกในช่วงบ่าย เมื่อได้เวลาประกอบพิธีเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพิธีนิมนต์พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ขึ้นนั่งยังอาสนะที่จัดเตรียมไว้ จากนั้นพิธีกรหรือปู่อาจารย์แล้วแต่ว่าจะมอบหมายใครกล่าวนำไหว้พระรับศีลตามแบบฉบับพิธีทำบุญทั่วไป เมื่อประธานสงฆ์ให้ศีลจบประธานในพิธี ซึ่งเป็นพระมหาเถรานุเถระจะเป็นผู้เจิมเทียนชัยและปิดทองเทียนชัยหน้าพระประธาน จากนั้นประธานในพิธี ซึ่งจะเป็นพระสงฆ์หรือฆาราวาสก็ได้เป็นผู้จุดเทียนชัย เทียนพุทธาภิเษก เทียนมงคลซ้ายขวา เทียนนวหรคุณ เทียนวิปัสสีตามลำดับ ขณะนี้พระสงฆ์จะสวดคาถาจุดเทียนชัย มโหรีปี่พาทย์ประโคม เจ้าหน้าที่ลั่นฆ้องชัยเพื่อความเป็นสิริมงคล ด้วยพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เมื่อเสร็จสิ้นแล้วประธานสงฆ์จะประพรมน้ำพระพุทธมนต์ และโปรยข่าวตอกดอกไม้ในมณฑลพิธีราชวัตร เจ้าภาพจะถวายจตุปัจจัยไทยธรรมแด่พระสงฆ์ที่สวดคาถาจุดเทียนชัยและเจริญพระพุทธมนต์ พระสงฆ์ให้พรจบก็ถือว่าเสร็จสิ้นในขั้นตอนแรก
ในพิธีพุทธาภิเษกพระเจ้าล้านทองเฉลิมพระเกียรติฯ ที่ผู้เขียนได้กล่าวมาแล้วในช่วงแรกๆ ซึ่งผู้เขียนได้จัดทำกำหนดการให้พิธีการครอบคลุมไปถึงรุ่งเช้าของวันใหม่ โดยได้นิมนต์พระสงฆ์และพระพิธีธรรมเพื่อเจริญพระพุทธมนต์สลับกันไปตลอดพิธี นอกจากนี้ยังได้จัดให้มีเทศน์อบรมสมโภช การสวดเบิกแบบล้านนา พิธีกวนข้าวทิพย์ พิธีเบิกเนตรโดยมีรายละเอียดและขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
ขั้นตอนพิธีการแบบคร่าวๆ ในพิธีพุทธาภิเษกพระเจ้าล้านทองฯ
เวลา ๑๓.๑๙ น. - ประธานในพิธีจุดธูป-เทียน บูชาพระรัตนตรัย
- ประธานสงฆ์ให้ศีล จบแล้ว
- ประธานจุดเทียนชัย(พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์จำนวน ๙ รูป เจริญ
พระคาถาจุดเทียนชัย พนักงานประโคมฆ้องชัย )
- พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์จำนวน ๙ รูป เจริญพระพุทธมนต์
- ประธานสงฆ์ประพรมน้ำพระพุทธมนต์และโปรยข้าวตอกดอกไม้
ณ บริเวณมณฑลราชวัตร(พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์จำนวน ๙ รูป
เจริญชัยมงคลคาถา พนักงานประโคมฆ้องชัย)
เวลา ๑๔.๓๐ น. - เจ้าหน้าที่อาราธนา พระเถราจารย์ ชุดที่ ๑ อธิษฐานจิตภาวนา
- ประธานในพิธีจุดธูป-เทียน เครื่องบูชากระบะมุก
- ประธานในพิธีจุดเทียนพุทธาภิเษกที่ขันสาครทั้ง ๒
- พระพิธีธรรมสวดพระคาถาพุทธาภิเษก
เวลา ๑๖.๐๐ น. - เจ้าหน้าที่อาราธนาพระปริตร
- พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์จำนวน ๙ รูป เจริญพระพุทธมนต์สวด
มนต์ตั๋นแบบล้านนาชุดที่ ๑ (พนักงานประโคมฆ้องชัย)
เวลา ๑๗.๐๐ น. - พระสงฆ์แสดงพระธรรมเทศนากัณฑ์พุทธาภิเษก ๑ กัณฑ์
เวลา ๑๘.๐๐ น. - เจ้าหน้าที่อาราธนาพระปริตร
- พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์จำนวน ๙ รูป เจริญพระพุทธมนต์พระ
คาถาสิบสองตำนาน(พนักงานประโคมฆ้องชัย)
เวลา ๑๙.๓๐ น. - พระพิธีธรรมสวดพระคาถาพุทธาภิเษก ชุดที่ ๒
เวลา ๒๑.๓๐ น. - ประธานสงฆ์เจิม และประพรมน้ำพระพุทธมนต์เครื่องประกอบ
พิธีกวนข้าวทิพย์
- พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์จำนวน ๙ รูป เจริญชัยมงคลคาถา
(พนักงานประโคมฆ้องชัย) เทพีกวนข้าวทิพย์เริ่มพิธีกวนข้าว
ทิพย์ (พนักงานประโคมฆ้องชัย ปี่พาทย์)
- พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์จำนวน ๙ รูป เจริญพระพุทธมนต์พระ
คาถาเจ็ดตำนาน
เวลา ๒๒.๓๐ น. - พระสงฆ์สวดเบิกแบบล้านนา วารที่ ๑
เวลา ๒๓.๓๐ น. - พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์จำนวน ๙ รูป เจริญพระพุทธมนต์สวด
มนต์ตั๋นแบบล้านนา ชุดที่ ๒ (พนักงานประโคมฆ้องชัย)
เวลา ๐๐.๓๐ น. - พระพิธีสวดพระคาถาพุทธาภิเษก ชุดที่ ๓
(๐๐.๓๐-๐๒.๓๐ น. ๒ ชั่วโมง)
เวลา ๐๒.๓๐ น. - พระสงฆ์สวดเบิกแบบล้านนา วารที่ ๒ และ ๓
เวลา ๐๔.๐๐ น. - ทำวัตรเช้า เจริญสมาธิภาวนา
เวลา ๐๕.๐๙ น. - ประกอบพิธีเบิกเนตร (พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์จำนวน ๙ รูป
เจริญชัยมงคลคาถา พนักงานประโคมฆ้องชัย ปี่พาทย์)
- ถวายข้าวมธุปายาส(ข้าวทิพย์)
เวลา ๐๕.๓๐ น. - ประธานสงฆ์ประพรมน้ำพระพุทธมนต์และโปรยข้าวตอกดอกไม้
ในมณฑลพิธีราชวัตร(พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์จำนวน ๙ รูป
เจริญชัยมงคลคาถา พนักงานประโคมฆ้องชัย ปี่พาทย์)
- ประธานสงฆ์ประกอบพิธีดับเทียนชัย
- พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์จำนวน ๙ รูป สวดพระคาถาดับเทียนชัย
(พนักงานลั่นฆ้องชัย)
หลังจากที่เสร็จสิ้นพิธีเบิกเนตรและดับเทียนชัยแล้ว ประธานสงฆ์ก็จะประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้กับผู้เข้าร่วมพิธีทั้งหมดเพื่อความเป็นสิริมงคล จากนั้นก็ถวายจตุปัจจัยไทยธรรมแก่พระสงฆ์ พระสงฆ์อนุโมทนาก็ถือว่าเสร็จสิ้นพิธี ซึ่งระยะเวลาก็จะล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่และรุ่งเช้าพอดี จากกำหนดการคร่าวๆ ข้างต้นจะเห็นได้ว่าพิธีดังกล่าวเป็นพิธีที่ใหญ่และได้นิมนต์พระสงฆ์เพื่อมาประกอบพิธีจำนวนมาก พระสงฆ์ที่เจริญพระพุทธมนต์ในแต่ละชุดก็สลับผลัดเปลี่ยนกันไปตามลำดับ และขณะเดียวกันกับที่พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์และสวดคาถาพุทธาภิเษกนั้น ก็นิมนต์พระเถราจารย์ผู้ทรงวิทยาคมหรือผู้ที่มีวัตรปฏิบัติ นั่งอธิษฐานจิตปรกไปพร้อมกันด้วยจนเสร็จสิ้นพิธี ซึ่งได้จัดเป็นชุดๆ ละ ๘ รูป จำนวน ๑๐ ชุด พระเถระท่านจะนั่งอธิษฐานจิตราว ๓๐-๔๐ นาที แต่บางรูปท่านก็จะนั่งอธิษฐานนับชั่วโมงเลยก็มี
แต่พิธียังไม่ถือว่าเสร็จสมบูรณ์ทั้งหมด เพราะก่อนหน้านี้เราได้ประกอบพิธีอัญเชิญพระอุปคุตมาประดิษฐานยังมณฑลพิธีเพื่อช่วยปกปักรักษาให้การประกอบพิธีสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เมื่อเสร็จสิ้นพิธีแล้วต้องอัญเชิญพระอุปคุต ขึ้นประดิษฐานยังบุษบกเพื่ออัญเชิญท่านกลับไปประทับยังปราสาทแก้ว หรือ ณ จุดที่เราไปอัญเชิญมา ซึ่งในขบวนนั้นก็จะประกอบไปด้วยข้าวของเครื่องอัฐบริขาร และวงมโหรีปี่พาทย์เช่นเดียวกับตอนที่ไปประกอบพิธีอัญเชิญ จึงถือว่าพิธีอบรมสมโภชหรือพุทธาพิเษกนี้เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์
ในพิธีอบรมสมโภชหรือพิธีพุทธาภิเษก ที่มีพิธีกรรมต่างๆ มากมายนั้น ผู้เขียนขออธิบายรายละเอียดและเกร็ดความรู้เพิ่มเติมในพิธีต่างๆ ซึ่งได้รวบรวมมาจากการบอกเล่าและจากการสอบถามจากพระเถรานุเถระและผู้รู้ต่างๆ อาทิการเจริญพระพุทธมนต์ซึ่งคงเคยได้ยินได้ฟังมาบ้างแล้ว และบางท่านอาจจะรู้ความหมายว่าเป็นการสวดเพื่อเสกน้ำมนต์เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล แต่ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนหรือน้อยคนจะรู้จักเช่นการสวดมนต์ตั๋น ซึ่งเป็นการสวดแบบล้านนา คำว่า “ตั๋น” ภาษากลางออกเสียง “ตัน” หมายถึงไม่กลวง ไม่รั่ว ไม่มีรอยแยกหรือแตกเป็นต้น ดังนั้นการสวดมนต์ตั๋นในที่นี้หมายถึงการสวดมนต์แบบไม่หยุดหรือไม่มีช่องว่างหรือเว้นวรรค ซึ่งพระสงฆ์จะสวดแบบต่อๆ เสียงกันไปตลอดโดยไม่ให้เกิดช่องว่างระหว่างบทต่างๆ การสวดมนต์ตั๋นนี้นิยมสวดในพิธีอบรมสมโภชหรือพุทธาภิเษกเป็นส่วนใหญ่ คำว่าตั๋นหรือตันนี้มีความเชื่อว่าพุทธคุณของพระจะช่วยอุด หรือช่วยปกป้องภยันตรายต่างๆ หรือให้พุทธคุณทางคงกระพรรณชาตรีนั่นเอง ส่วนบทสวดหรือคาถาที่ใช้สวดมนต์ตั๋นนี้จะมีอยู่ราว ๔๐ บทด้วยกัน ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่บนแรก ผริตวานะเมตตังและสัคเคหลวง บทที่ ๒ สมันตาจักกะวาเฬสุ เรื่อยไปจนถึงสุโข พุทธานัง รวมทั้งสิ้น ๔๐ บทด้วยกัน ดังนั้นพระเถระที่สวดมนต์ตั๋นนั้นส่วนใหญ่จึงมีพรรษาที่ค่อนข้างสูง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเป็นผู้มีวัตรปฏิบัติและวิทยาคมสูงด้วยนั่นเอง
นอกจากการสวดมนต์ตั๋นแล้วยังรวมไปถึงการสวดคาถาเจ็ดตำนาน และสิบสองตำนานด้วย ซึ่งการสวดแต่ละแบบก็จะใช้บทที่มีทั้งเหมือนและต่างกันออกไป แต่โดยรวมแล้วการสวดมนต์และพระคาถาต่างๆ นั้นมีจุดประสงค์เช่นเดียวกันกล่าวคือ
๑. เพื่อสรรเสริญในพระเกียรติคุณและพระมหากรุณาธิคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า
๒. เพื่อขอพรจากคุณพระรัตนตรัย ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในพระพุทธศาสนา เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ตัว
๓. เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจแก่พุทธศาสนิกชนทั่วไป
๔. เพื่อขอให้พุทธานุภาพช่วยขจัดปัดเป่าซึ่งภยันตราย และสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายทั้งปวงออกไปจากชีวิต
๕. เพื่อขอพรให้ความสำเร็จต่างๆ บังเกิดแก่ผู้ประกอบพิธี
๖. เพื่อถือเป็นการทบทวนบทสวดต่างๆ ของพระสงฆ์ ให้เกิดความแม่นยำและไม่ให้หลงลืม
ก่อนที่จะเริ่มพิธีสวดมนต์ตั๋นนั้น มัคนายกหรือที่ชาวล้านนาเรียกว่าอาจารย์นั้น เริ่มกล่าวโยขันหลวงและขันห้าโกฐากส์ก่อน คำว่า “โย” หรือ “ยอ” นั้นหากจะกล่าวให้เข้าใจง่ายๆ แล้วก็เหมือนกับการอ่านโองการบูชาฤกษ์ของโหรหลวงในพิธีพราหมณ์ต่างๆ ที่เราเคยพบเห็นตามโทรทัศน์ที่ถ่ายทอดพระราชพิธีต่างๆ เช่นกัน การโยขันหลวงหรือขันห้าโกฐากส์นี้ก็เสมือนเป็นการอ่านโองการแบบล้านนา หรือเป็นการบอกกล่าวพระรัตนตรัย ครูบาอาจารย์ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ได้รับรู้รับทราบถึงการประกอบพิธีและการสวดมนต์หรือพระคาถาต่างๆ รวมทั้งขอความสุขสวัสดิ์เกิดแก่ผู้ร่วมพิธีทั้งหลาย และการขอขมาต่อพระรัตนตรัยและครูบาอาจารย์ด้วย
คำว่าขันห้าโกฐากส์นั้นหมายถึงอะไร ผู้เขียนขออธิบายเพิ่มเติมดังนี้ ขั้นห้าโกฐากส์คำว่า “โกฐากส์” มาจากคำว่า “โกฐ” หรือกอง ลักษณะเป็นกองๆ รวม ๕ กอง ดังนั้นขันห้าโกฐากจึงหมายถึงขันที่มีข้าวตอก ดอกไม้ และเทียนขี้ผึ้งซึ่งขณะที่โยขันหลวงหรือขันห้านั้นจะจุดเทียนขี้ผึ้งและยกพานขึ้นเสมอศีรษะ เพื่อน้อมสักการบูชาโดยหันหน้าเข้าสู่พระรัตตรัย ขณะที่มัคนายกหรืออาจารย์อ่านโองการหรืออ่านคำโยขันหลวงและขันห้าโกฐากส์
จำนวนเครื่องสักการะทั้ง ๕ กอง หรือ ๕ ชุดนี้ เพื่อใช้บูชาและสักการะสิ่งสำคัญ ๕ ประการประกอบด้วย
๑. ปฐมโกฐากส์ ใช้สักการบูชาและขอขมาซึ่งพระพุทธเจ้า
๒. ทุติยโกฐากส์ ใช้สักการบูชาและขอขมาซึ่งพระโลกุตตะระธรรม ๙ ประการ รวมถึงพระปริยัตติธรรม
๓. ตะติยะโกฐากส์ ใช้สักการบูชาและขอขมาซึ่งพระอริยะสงฆ์ทั้งมวล
๔. จตุตถะโกฐากส์ ใช้สักการบูชาและขอขมาซึ่งพระกัมมัฏฐาน ๒ จำพวกได้แก่ สะมะถะกัมมัฏฐาน และวิปัสสนากัมมัฏฐาน
๕. ปัญจะมะโกฐากส์ ใช้สักการบูชาและขอขมาซึ่งครูบาอาจารย์ผู้อบรมสั่งสอนและผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้เรา
ในส่วนของการเทศนาเนื่องในพิธีอบรมสมโภชหรือพิธีพุทธาภิเษกนั้น ก็เพื่อสร้างบารมีและอานิสงส์ในการประกอบกิจการงานบุญ และเพื่อให้ผู้เข้าร่วมพิธีนั้นรู้ถึงความเป็นมาของพิธีดังกล่าว และบุญหรือบารมีที่จะได้รับจากการประกอบพิธี โดยเนื้อหาของธรรมที่พระสงฆ์ท่านเทศนานั้น เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรของสมเด็จพระพุทธเจ้า ซึ่งแต่ละกัณฑ์ก็จะเล่าเรื่องราวที่แตกต่างกันออกไป เช่นกัณฑ์อบรมสมโภช กัณฑ์พุทธาภิเษกเป็นต้น
ขั้นตอนที่สำคัญอีกขั้นตอนหรือพิธีกรรมหนึ่งนั่นก้อคือ “ไขสายตาพระเจ้า” คำว่า “ไข” หมายถึงเปิด คือการเปิดสายตาพระพุทธรูปหรือที่เรารู้จักกันดีว่าพิธีเบิกเนตรนั่นเองความแตกต่างของพิธีเบิกเนตรแบบล้านนาจะเริ่มตั้งแต่พระสงฆ์สวดเบิกแบบล้านนา สวดถึงวารที่ ๔(บทที่๔) “อวิชชาปัจจยา” ผู้เป็นประธานสงฆ์จะอธิฐานจิตภาวนาหน้าพระพุทธรูปองค์ใหม่ที่จัดอบรมสมโภชนั้น พร้อมทั้งเปิดผ้าที่คลุมพระพักตร์ออก และแกะเอาขี้ผึ้งที่ปิดพระเนตร พระกรรณ และพระโอษฐ์ออก ขณะแกะขี้ผึ้งออกนั้นให้บริกรรมคาถาว่า “สะหัสสะเนตโต เทวินโท เนตโต ทิพจักขุ วิโสธายะ นะโม พุทธายะ พุทธจักขุ ธัมมะจักขุ สังฆะจักขุ ทวายะ สวาหะ” จำนวน ๓ จบ จากนั้นนำน้ำมันจันทน์มาเช็ดที่พระพักต์ขององค์พระพุทธรูป บริเวณพระเนตรและพระโอษฐ์ นำพัดหางนกยูงมาพัดโบกหน้าพระพักตร์ขึ้นลง ๓ รอบ และนำเอาแว่นส่องสายตาพระเจ้า(ลักษณะเป็นกระจกจำนวน ๓ ชิ้น) พร้อมทั้งจุดเทียนไว้เหนือแว่นสายตาพระเจ้าหรือกระจกนั้น แล้วแก่วงหน้าพระพักตร์ของพระพุทธรูปจำนวน ๓ รอบ จากนั้นให้หันกระจกออกด้านนอกแล้วแก่วงอีก ๓ รอบ ขณะที่ทำพิธีเบิกเนตรหรือไขสายตาพระเจ้านี้ ให้จุดเทียนโสฬสะจำนวน ๑๖ เล่มที่หน้าพระประธาน
การเอาแว่นสายตาหรือกระจกทั้ง ๓ มาแก่วงหน้าพระพักตร์พระพุทธรูปนั้นหมายถึงญาณทั้ง ๓ คือ
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือความรู้เป็นเครื่องระลึกได้ถึงขันธ์ที่อาศัยอยู่ก่อนหรือ หมายถึงการระลึกชาติได้
จุตูปปาตญาณ คือความรู้ในการจุติหรือการเกิดของสัตว์ทั้งหลาย หรือหมายถึงทรงมีทิพยจักษุญาณ
อาสวัคขยญาณ คือการหมดสิ้นแห่งกิเลสและตัณหาทั้งปวงนั่นเอง
ขณะที่ประกอบพิธีไขสายตาพระเจ้าหรือพิธีเบิกเนตรนั้น เจ้าหน้าที่จะเริ่มประโคมฆ้องชัย มโหรีปี่พาทย์ต่างๆ บางแห่งที่ผู้เขียนได้มีโอกาสไปร่วมมา ถ้าเป็นการจัดอบรมสมโภชที่วัด ชาวบ้านจะลั่นระฆัง ตีกลองปูจา ซึ่งกลองปูจานี้จะตีก็ต่อเมื่อมีงานสมโภชใหญ่ๆ หรือวาระสำคัญๆ เท่านั้น นอกจากนั้นแล้วผู้เฒ่าผู้แก่ที่มาร่วมพิธีขณะนั้นก็พากันลุกขึ้นฟ้อนรำเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาด้วย
ความเชื่อความศรัทธาที่ชาวล้านนามีต่อพระพุทธศาสนา และได้แสดงออกมานี้ สะท้อนให้ผู้เขียนนึกถึงภาพเมื่อครั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ แล้วหมู่เทพไท้พยุดาและอินทร์พรหม ตลอดจนเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ต่างเป็นปีติชื่นชมยินดีและแซ่ซ้องสาธุการไปทั้ง ๓ ภพนั่นเอง ชาวล้านนายังเชื่อว่าการได้มีโอกาสเห็นพระพักตร์ครั้งแรกเมื่อไขสายตาพระเจ้านั้น เป็นบุญที่ยิ่งใหญ่และเป็นมงคลกับตนเองเป็นอย่างมาก
หลังจากที่เสร็จสิ้นพิธีไขสายตาพระเจ้าแล้ว ก็เป็นการถวายข้าวมธุปายาสจำนวน ๔๙ ก้อน ซึ่งผู้ที่ถวายนั้นจะใช้ผู้หญิงต่างสมติว่าเป็นนางสุชาดา ที่นำข้าวมาถวายพระพุทธเจ้าตามที่ปรากฏในพุทธประวัตินั่นเอง ส่วนพิธีการกวนข้าวมธุปายาสหรือข้าวทิพย์นั้น มีประวัติความเป็นน่าที่น่าสนใจ ตลอดจนรายละเอียดที่ค่อนข้างมาก ซึ่งผู้เขียนจะได้นำมาอธิบายต่อไป การถวายข้าวมธุปายาสของชาวล้านนานั้น ก่อนที่จะกล่าวถวายมัคนายกหรืออาจารย์จะโอกาสเวนตานข้าวมธุปายาส คำว่า “จะโอกาสเวนตาน” นี้หมายถึงการอ่านโองการหรือกล่าวคำถวายแบบล้านนานั่นเอง