“ขันตั้ง” ในที่นี้ก็คือขันครูนั่นเอง ซึ่งก่อนจะประกอบพิธีกรรมใดๆ ชาวล้านนาจะมีการบูชาครูหรือบูชาขันตั้งก่อนทุกครั้ง เพื่อเป็นการแสดงถึงการคารวะแก่ครูบาอาจารย์ การรำลึกถึงพระคุณของครูบาอาจารย์ที่ได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ และถือเป็นการเชิญครูบาอาจารย์เหล่านั้นมาสถิตอยู่ด้วยเพื่อให้เกิดความขลัง เกิดความศักดิ์สิทธิ์ในการประกอบพิธีกรรม อีกทั้งเพื่อปกป้องคุ้มครองและเป็นเกาะกำบังจากอันตรายและสิ่งชั่วร้ายทั้งปวงด้วย โดยขันตั้งของชาวล้านนาจะมีอยู่ 2 ประเภทใหญ่ๆ กล่าวคือ
1. ขันตั้งที่ทำให้กับผู้อื่น เป็นขันตั้งที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ เพื่อเป็นการสักการบูชาและอันเชิญครู ดังที่ผู้เขียนได้อธิบายข้างต้น
2. ขันตั้งที่ทำให้กับตัวเอง หรือเรียกว่า “ขันครู” โดยในสมัยก่อนการร่ำเรียนวิชาอาคมหรือมนต์คาถาต่างๆ จะไปเรียนตามวัดวาอารามหรือผู้มีวิชาอาคมก็ตาม ซึ่งในสมัยก่อนนั้นไม่มีค่าวิชาหรือค่าหน่วยกิตเหมือนในปัจจุบันนี้ ดังนั้นคนในสมัยก่อนจึงได้ทำขันตั้ง หรือขันครู อันประกอบไปด้วยข้าวตอกดอกไม้ หมากพลู รวมไปถึงข้าวเปลือกข้าวสารเป็นการต่างตอบแทน และเมื่อได้สำเร็จการเล่าเรียนวิชาความรู้ต่างๆ แล้ว ผู้เป็นครูจะแบ่งเอาขันตั้งนั้นครึ่งหนึ่งให้กับลูกศิษย์ เพื่อให้เป็นเครื่องหมายแห่งการสืบทอด เป็นสิ่งอันเป็นมงคลเสมือนว่ามีครูคอยปกปักรักษาและคอยเกื้อหนุนอยู่ตลอดเวลา และศิษย์ก็จะนำติดตัวไปไว้เพื่อบูชาและจะมีการสักการะก่อนทุกครั้งที่จะประกอบพิธีกรรม
ส่วนประกอบของขันตั้งชาวล้านนานั้นส่วนประกอบหลักๆ ประกอบไปด้วย เบี้ย หรือหอยเบี้ยที่ใช้แทนเงินในสมัยโบราณ หมาก พลู ข้าวเปลือก ข้าวสาร ผ้าขาว ผ้าแดง เงิน(ตามจำนวนที่แต่ละพิธีจะกำหนด) และข้าวตอกดอกไม้ ซึ่งแต่ละสิ่งมีความหมายและประเด็นที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยผู้เขียนขอเริ่มที่ ผ้าข้าวและผ้าแดงก่อน ทำไมต้องมีผ้าขาวและผ้าแดงและเพื่อใช้สื่อความหมายถึงอะไร
ผ้าขาว จึงใช้แทนความหมายของสรรพวิชาที่ครูบาอาจารย์ได้สั่งสมมา เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ โดยที่ผู้เป็นครูนั้นได้ถ่ายทอดมาให้กับศิษย์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ผ้าแดง สีแดงคือสีของโลหิต สรรพวิชาต่างๆ ที่ครูบาอาจารย์ได้สั่งสมและถ่ายทอดให้ศิษย์จากรุ่นสู่รุ่น จากอดีตถึงปัจจุบันและยังคงถ่ายทอดต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด สรรพวิชาเหล่านั้นได้ซึมซับอยู่ในสายเลือดทั้งผู้เป็นครูและศิษย์ ดังนั้นผ้าแดงจึงมีความหมายที่แฝงไว้ด้วยความหมายนี้
เบี้ย เบี้ยหรือหอยเบี้ยนั้นในสมัยโบราณนั้นใช้เป็นเงินเพื่อซื้อขายและแลกเปลี่ยนสินค้า เบี้ยมีการใช้กันมานานในแผ่นดินสยามรวมไปถึงแผ่นดินล้านนาไทยด้วย ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเบี้ยที่นำเข้ามาใช้เป็นเงินตราในการซื้อขายและแลกเปลี่ยนสินค้านั้นนำมาจากประเทศอื่น หรือมีการนำเข้ามาจากต่างแดนนั่นเอง ดังนั้นการที่ใส่เบี้ยเข้าไปในขั้นตั้งเปรียบเสมือนได้กับเป็นสินน้ำใจและค่าตอบแทนสำหรับผู้ประกอบพิธีกรรมหรือครูบาอาจารย์ผู้ให้วิชาความรู้ หรือพูดง่ายๆ ก็คือค่าจ้างหรือค่าตอบแทนนั่นเอง ถึงแม้ปัจจุบันประเทศสยามได้ยกเลิกการใช้เบี้ยแทนเงินตราและเปลี่ยนมาใช้เหรียญกระษาปณ์รวมไปถึงพันธบัตรแล้วก็ตาม แต่จารีตและประเพณีที่เคยยึดถือมาแต่เก่าก่อนก็ยังคงได้รับการถ่ายทอดมาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้น “เบี้ย” จึงจัดเป็นองค์ประกอบและเครื่องหมายหนึ่งที่จะขาดไม่ได้ในขันตั้งที่เราเห็นปัจจุบัน ซึ่งในปัจจุบันในขันตั้งจะมีการนำเงินใส่ไปเป็นค่าครูด้วย ตามแต่ละตำราหรือครูอาจารย์แต่ละคนจะกำหนด เช่น 39,59 หรือ 108 บาท เป็นต้น
หมาก พลู ข้าวเปลือก และข้าวสาร หมายถึงข้าวของต่างตอบแทนน้ำใจและความกตัญญูที่ศิษย์พึงมีต่อครูบาอาจารย์ เนื่องจากในสมัยโบราณข้าวของเหล่านี้เป็นข้าวของที่มีคุณค่ามากในสมัยนั้น เป็นน้ำใจที่คนสมัยก่อหยิบยื่นให้แก่กัน
ข้าวตอก ดอกไม้ และเทียน ซึ่งส่วนมากจะเป็นดอกไม้ขาวและเทียนขาว ซึ่งหมายถึงความบริสุทธิ์ ข้าวตอกดอกไม้ที่นำมาเป็นส่วนหนึ่งในขั้นตั้งนั้นมีความหมายและนัยสำคัญที่แฝงอยู่ ซึ่งผู้เขียนขออธิบายคร่าวๆ ดังนี้
ข้าวตอก หรือที่ภาษาบาลีว่า “ลาชา” ได้มาจากการนำเอาข้าวเปลือกหรือข้าวโพด ไปคั่วในหม้อดินด้วยไฟอ่อนๆ จนเมล็ดข้าวนั้นแตกออกมาเป็นสีขาวและมีกลิ่นหอมนั้น เสมือนกับความแตกฉานในวิชาความรู้ที่ครูบาอาจารย์ท่านได้อบรมสั่งสอนและถ่ายทอดให้ และเป็นความรู้และวิชาอันบริสุทธ์นั่นเอง
ดอกไม้ เป็นสิ่งมีชีวิต มีความสวยงาม มีกลิ่นหอม มีความบริสุทธิ์ควรค่าแก่การบูชา ดังนั้นคนในสมัยโบราณจึงนำเอาดอกไม้มาเป็นส่วนหนึ่งในเครื่องสักการะ
เทียน หรือที่ภาษาบาลีว่า “อัคคิธูปะ” โดยที่ อัคคิ หมายถึง เทียนขี้ผึ้งที่สามารถจุดให้เกิดแสงสว่าง เปรียได้ดั่งกับแสงสว่างแห่งปัญญาและนำพามาซึ่งความรุ่งโรจน์และความรุ่งเรืองในชีวิตนั่นเอง
ขันตั้งหรือขันครูของชาวล้านนานี้มีทั้งแบบที่เรียกว่าขันตั้งธรรมดา หรือขันตั้งทั่วไปซึ่งใช้ประกอบพิธีกรรมเล็กๆ และอีกแบบหนึ่งเรียกว่า “ขันตั้งหลวง” ซึ่งจะมีลักษณะที่พิเศษและขนาดใหญ่กว่าแต่ยังคงองค์ประกอบเดิมไว้ทั้งสิ้น ส่วนใหญ่ขันตั้งหลวงนี้จะใช้ในงานพิธีที่เกี่ยวข้องกับทางพระพุทธศาสนาใหญ่ๆ เช่นงามสมโภชวิหาร พิธีพุทธาภิเษกพระพุทธรูป พิธีสืบชะตาหลวง งานตั้งธรรมหลวงในป๋าเวณียี่เป็งของชาวล้านนา เป็นต้น บางหมู่บ้านหรือบางท้องถิ่น ผู้เฒ่าผู้แก่จะนั่งทำกรวยดอกไม้หรือสวยดอกไม้ ข้างในใส่หมากและใบพลูลงไป เรียกว่า “สวยหมากสวยปู” จำนวน 108 สวย เพื่อเป็นเครื่องสักการะและบูชาครูในขั้นตั้งหลวงนี้ด้วย ซึ่งจำนวน 108 นี้นำมาจากมงคล 108 นั่นเอง(ดูรายละเอียดจากเรื่องสืบชะตา) ส่วนรายละเอียดของเรื่องข้าวตอกดอกไม้ และธูป-เทียนนั้น ผู้เขียนจะได้นำมากล่าวในส่วนของเครื่องสักการะของชาวล้านนาต่อไป
มีเกร็ดความรู้จากพระอาจารย์โต ฐิตวิริโย แห่งวัดพระบาทปางแฟน อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ถึงขันครูว่ามีอยู่ 3 ประเภท คือขันครูชั้นปฐม มีกรวยดอกไม้และเงินอย่างละ 12 ซึ่งจำนวน 12 นี้หมายถึงคุณบิดา-มารดา ประเภทที่ 2 คือขันชั้นรองขึ้นมา มีกรวยดอกไม้และเงินอย่างละ 32 ซึ่งหมายถึงร่างกาย ตัวตนของเรา ที่สมบูรณ์ได้ต้องประกอบไปด้วย 32 ประการ และประเภทที่ 3 คือขั้นครูเจ้าสำนัก ซึ่งมีจำนวนกรวยดอกไม้และเงิน จำนวน 108 ซึ่งมีความหมายเดียวกันกับที่ผู้เขียนได้กล่าวมาข้างต้นนั่นเอง
ผู้รวบรวม-เรียบเรียง
นายพนมกร นันติ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
๑. พระครูรัตนกิตติญาณ(ศรีชุ่ม กิตติญาโณ) เจ้าอาวาสวัดเกตุแก้ว อ.พาน จงเชียงราย
๒. พระคณุพิศาลธรรมานุรักษ์ รองเจ้าอาวาสวัดเกตุแก้ว อ.พาน จงเชียงราย
๓. พระครูสมุห์นวัตถกรณ์ อริยเมธี เจ้าอาวาสวัดดงหนองเป็ด อ.เมือง จ.เชียงราย
๔. อาจารย์นิพนธ์ อ้ายไชย อาจารย์มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ห้องเรียนวัดพระแก้ว จังหวัดเชียงราย