เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 29 เมษายน 2024, 15:55:38
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  นักลงทุน การเงิน การธนาคาร
| | |-+  ภารกิจ Delete หนี้ที่คุณทำได้เองครับ
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] 2 พิมพ์
ผู้เขียน ภารกิจ Delete หนี้ที่คุณทำได้เองครับ  (อ่าน 9747 ครั้ง)
Naradhip
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 85


« เมื่อ: วันที่ 19 มิถุนายน 2012, 10:33:24 »

ขั้นที่ 1 ประเมินสถานการณ์
ขั้นตอนนี้เป็นช่วงที่ลูกหนี้อยู่ในภาวะกดดัน หาทางหมุนเงินเพื่อชำระหนี้ขั้นต่ำ อาจะเป็น5%, 10% ของยอดหนี้ การเตรียมตัวเบื้องต้น คือ
1.หยุดการก่อหนี้เพิ่ม
การที่เราเป็นหนี้สินมากมายก็เนื่องจากเราไม่สามารถห้ามใจในการจะใช้เงินกู้ เช่น รูดบัตรเครดิตซื้อของที่เราอยากได้
การเริ่มต้นในการแก้ปัญหาคือ การหยุดก่อหนี้เพิ่ม โดยเฉพาะแนวทางแก้ปัญหาหนี้ที่ชอบใช้กันทั่วไปคือ การกู้เงินจากแหล่งหนึ่งไปชำระหนี้อีกแหล่งหนึ่งซึ่งรวมถึงหนี้นอกระบบ เช่น โต๊ะเงินกู้แถวบ้าน วิธีการนี้ยิ่งทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ อาจจะสร้างปัญหามากขึ้น
2. จัดทำบัญชีรับ-จ่าย
ขั้นตอนนี้คือ เราต้องมาจัดทำบัญชีส่วนตัวของเราว่า มีรายได้อะไรบ้าง และต้องมีรายจ่ายอะไรบ้าง เงินคงเหลือสุทธิเท่าใด และความสามารถในการชำระหนี้มีมากน้อยเพียงใด ตัวอย่างเช่น
(หน่วย : บาท)
ลำดับ รายการ รายรับ รายจ่าย คงเหลือ
1 เงินเดือน 20,000
2 รายได้อื่นๆ 10,000
3 ค่าใช้จ่าย 1 10,000
4 ค่าใช้จ่าย 2 10,000
รวม 30,000 20,000 10,000
จากตารางจะเห็นได้ว่าเงินคงเหลือจำนวน 10,000 บาท จะเป็นเงินได้สุทธิ ที่สามารถนำไปชำระหนี้ต่อเดือนได้มากน้อยเพียงใด
3. จัดทำบัญชีหนี้สิน แยกประเภท
ขั้นตอนนี้คือ เราต้องนำหนี้สินทั้งหมดมาทำบัญชี ว่ามีมูลหนี้ที่เหลืออยู่เท่าใด มีภาระที่ต้องชำระเท่าใดต่อเดือน เพื่อให้สามารถประเมินได้ ตัวอย่าง
(หน่วย: บาท)
ลำดับ ชื่อเจ้าหนี้ ยอดหนี้ ภาระที่ต้องชำระ
1 ธนาคาร 1 30,000 3,000
2 ธนาคาร 2 30,000 3,000
3 ธนาคาร 3 40,000 4,000
ยอดรวม 100,000 10,000
จากตารางข้างต้น จะเห็นได้การจัดทำบัญชี จะทำให้เห็นภาพรวมว่ามีเจ้าหนี้รวมทั้งหมดกี่ราย มียอดหนี้รวมเท่าใด และมีภาระหนี้ที่ต้องชำระในแต่ละเดือนใดเท่า ประโยชน์ก็คือเราจะทราบถึงสถานะปัจจุบันของหนี้สินได้
4. หยุดจ่าย
กรณีตรวจสอบแล้วพบว่า มีหนี้สินมากมายจนไม่สามารถชำระหนี้ได้แล้ว ควรหยุดจ่าย
กรณีเป็นหนี้ในระบบ สิ่งที่ต้องพึ่งระวังคือ หนี้ที่เจ้าหนี้เป็นสถาบันการเงินเดียวกับธนาคารที่คุณมีรายได้เข้า หรือมีเงินฝากอยู่ เพราะเจ้าหนี้จะทราบความเคลื่อนไหวของคุณและเมื่อถึงเวลาที่เจ้าหนี้จะฟ้องคุณ เจ้าหนี้จะสามารถขอให้ศาลอายัดเงินจำนวนดังกล่าวเพื่อชำระหนี้ได้
กรณีเป็นหนี้นอกระบบ สิ่งที่ต้องพึ่งระวังคือ ชีวิตและทรัพย์สินที่จะถูกเจ้าหนี้ประเภทหนี้ตาม
หลังจากการหยุดจ่าย ควรแจ้งให้คนในครอบครัว หรือบุคคลใกล้ชิด หรือเพื่อนร่วมงาน หรือเจ้านาย เพื่อให้รับทราบจะได้ไม่ตกใจกรณีมีเจ้าหนี้มาติดต่อหรือมาเล่าเรื่องหนี้ของคุณ
5. ขอส่วนลดปิดบัญชี (hair cut)
การแก้ปัญหาหนี้ที่ดีสุดคือ การนำเงินสดของเราที่สะสมมาใช้ในการชำระหนี้ ไม่ควรกู้ยืมจากที่อื่นมาชำระ นอกจากไม่สามารถแก้ปัญหาได้แล้ว ยังเป็นการสร้างปัญหา
การขอส่วนลดปิดบัญชี หรือเรียกว่า แฮร์คัท ไม่ได้เกี่ยวกับการตัดผมแต่อย่างใด แต่เป็นการความตั้งใจของลูกหนี้ที่จะชำระหนี้โดยการขอส่วนลดจากเจ้าหนี้และชำระภายในครั้งเดียว หรือ อาจจะหลายครั้งซึ่งต้องเป็นไปตามความต้องการของลูกหนี้และเจ้าหนี้ ตัวอย่างเช่น
ลูกหนี้มียอดหนี้จำนวนเงิน 100,000 บาท แต่ขอเจรจากับเจ้าหนี้ว่าจะชำระเพียง 50,000บาท เพื่อขอปิดบัญชี ซึ่งจะเห็นได้ว่าลูกหนี้ได้ขอส่วนลดจำนวน 50,000 บาท โดยหลักการแล้ว ลูกหนี้ก็มักจะมอบหมายให้ทนายความเป็นผู้ทำแฮร์คัทให้เพื่อความสะดวกและได้ประโยชน์สูงสุด

ขั้นที่ 2 ช่วงเวลารับมือ
ช่วงเวลารับมือ เป็นช่วงระหว่างที่เราตัดสินใจหยุดจ่าย ซึ่งก็จะประมาณ 1- 15 วัน ก็จะมีเจ้าหนี้โทรศัพท์มาตามหนี้กันอย่างเต็มที่ วิธีการมีดังนี้
1. แจ้งหัวหน้างาน
ทำไมต้องมีการแจ้งหัวหน้างาน เนื่องจากวิธีหนึ่งที่เจ้าหนี้จะทำได้คือ แจ้งหัวหน้างานของลูกหนี้ เพื่อให้หัวหน้างานหัวเสียกับลูกหนี้และมากดดันให้ลูกหนี้ต้องรีบชำระหนี้
วิธีการในการแก้ไข คือ แจ้งหัวหน้าว่า เรามีหนี้อะไรบ้าง และเป็นจำนวนเงินเท่าใด และอาจจะออกตัวว่า ตนเองยินดีให้หัวหน้างานหักเงินเดือนได้ เพราะช่วงเวลาหลังจากนี้แล้วเจ้าหนี้จะโทรมาตามทวงตลอด ซึ่งอาจจะเป็นเวลางาน หรือ ขอทำงานเกินเวลากำหนด เช่น ปกติเราทำงานตั้งแต่ 8.30 – 16.30 นาฬิกา เราก็อาจจะขอทำเพิ่มจนถึง 18.00 นาฬิกา
ช่วงนี้อย่ามีปัญหากับหัวหน้าเป็นเด็ดขาด เพราะโอกาสตกงานมีสูง
2 บอกเพื่อนร่วมงาน
นอกจากอาจจะมีปัญหากับหัวหน้างานแล้ว เราอาจจะต้องเสียเพื่อนร่วมงานไปอีกคน เนื่องจาก เจ้าหนี้จะใช้วิธีการโทรศัพท์หาลูกหนี้ โดยกดเบอร์ผิดบ้าง และก็สอบถามผู้รับโทรศัพท์ว่ารู้จักลูกหนี้หรือไม่ และก็มักจะฝากบอกด้วยข้อความแรงๆ เช่น บอกนาย...(ชื่อลูกหนี้) ให้ชำระหนี้ หรือ โทรมาหาบ่อย ให้เพื่อนคอยตามลูกหนี้ให้ เมื่อเพื่อนร่วมงานโดนลักษณะนี้ก็ต้องมีความรู้สึกไม่ดีกับลูกหนี้บ้าง ดังนั้น วิธีแก้ไข ก็คืออาจจะบอกรายละเอียดเหมือนกับบอกหัวหน้างาน ให้เพื่อนรับทราบ และขอความเห็นใจ และพยายามเมื่อไปไหนมาก็อาจจะซื้อของฝากนำมาให้เพื่อนได้ทานอย่างสม่ำเสมอ
3. ต้องมีเงินสดติดตัวเอาไว้
ในขณะที่คุณหยุดชำระหนี้แล้วนั้น คุณควรมีเงินสดติดตัวเอาไว้ใช้ในยามจำเป็น เงินจำนวนนี้จะมาจากเงินที่คุณจะต้องนำไปจ่ายให้กับเจ้าหนี้
คำแนะนำ คุณจะต้องใช้เงินจำนวนนี้ด้วยความระมัดระวัง ควรใช้ไว้สำหรับค่าใช้จ่ายที่มีความจำเป็นเท่านั้น
และเงินจำนวนนี้เมื่อเก็บได้จำนวนหนึ่ง อาจจะสามารถนำมาชำระหนี้ในรูปแบบการจ่ายแบบขอส่วนลด (hair cut)
4 การโต้ตอบเจ้าหนี้
ตั้งแต่ ข้อ 1-3 เป็นการแนะนำสำหรับการตั้งรับ แต่ข้อ 4 จะแตกต่างกัน นั้นก็คือ การโต้ตอบเจ้าหนี้ การโต้ตอบไม่ได้เป็นการชกต่อยหรือการทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด เป็นการโต้ตอบภายใต้กฎหมาย
4.1 ต้องโต้ตอบบ้าง
ระหว่างถูกตามหนี้ ต้องไม่ใช่รับฟังอย่างเดียว ต้องโต้ตอบบ้าง ตัวอย่างเช่น ระหว่างพูดคุยทางโทรศัพท์ ถ้าเจ้าหนี้หรือพนักงานตามหนี้บอกข้อมูลอะไรผิด ลูกหนี้ก็ตอบโต้ไปบ้าง เพื่อให้เจ้าหนี้รู้ว่า ลูกหนี้ไม่ได้โง่ หรือไม่ได้ติดตามข้อมูล
4.2 ประหยัดเรื่องเวลาเอาไว้
ในการเจรจากับเจ้าหนี้ ลูกหนี้ประหยัดเรื่องเวลาเอาไว้ เนื่องจากอาจจะอยู่ระหว่างการทำงาน หรือเพื่อนร่วมงานอาจจะต้องการมีสมาธิในการทำงาน กรณีต้องเจรจากับเจ้าหนี้หลายครั้ง ภายในหนึ่งวันไม่น่าจะที่ลูกหนี้จะได้รับประโยชน์ ลูกหนี้ควรจะเจรจาครั้งเดียวให้จบได้ข้อตกลง
4.3 ยืดเวลาในการถูกทวงถาม
ในระหว่างการเจรจากับเจ้าหนี้ เจ้าหนี้มักจะพยายามติดตามโดยตลอด โทรศัพท์มาหาทุกวัน ทุกอาทิตย์ เพราะเจ้าหนี้หรือผู้รับมอบหมายอำนาจของเจ้าหนี้จะพยายามให้ลูกหนี้เกิดความรำคาญ และตัดสินใจชำระหนี้ วิธีการในแก้ไข คือ การยืดเวลาในการถูกทวงถาม ถ้าสามารถทำได้จะทำให้ลูกหนี้มีเวลาตั้งตัวพอสมควร เพราะเมื่อมีการกำหนดระยะเวลาแน่นอนแล้ว เจ้าหนี้มักจะไม่ติดตามจนกว่าจะถึงวันนัด ตัวอย่างเช่น
เจ้าหนี้ : เมื่อไหร่จะชำระหนี้ได้ละ
ลูกหนี้ : อีก 3 เดือน ชำระแน่นอน
เมื่อถึงกำหนดวันนัดก็สามารถยืดเวลาต่อไปได้ โดยหาสาเหตุในการไม่สามารถชำระหนี้ได้ เช่น ช่วงนี้ไม่ค่อยมีงาน เศรษฐกิจไม่ค่อยดี
ขั้นที่ 3 แนวทางรับมือการโดนทวงหนี้

1. ตั้งสติ
การตั้งสติ หมายถึง ไม่ควรจะตกใจกลัว หรือจินตนาการเกี่ยวกับการทวงหนี้ หรือ ฟังจากพวกไม่รู้จริง นั้นก็อาจจะทำให้เราไม่สบายใจ
วิธีการแก้ไข คือ การศึกษาจากผู้รู้จริง เช่น ทนายความ เพื่อทราบขอบเขตการทวงหนี้ ว่ามีอย่างไรบ้าง เมื่อมีการหยุดจ่ายแล้ว จะมีขั้นตอนอย่างไรของเจ้าหนี้
จริงๆ แล้ว เจ้าหนี้มีสิทธิเพียงการส่งเอกสารทวงหนี้ และโทรศัพท์ทวงให้ชำระเท่านั้น กรณีทำอย่างอื่น เช่น ขู่กรรโชก โทรศัพท์มาแกล้ง หมิ่นประมาท ด่าหรือต่อว่าเรา ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย
ปัจจุบัน ธนาคารแห่งประเทศไทย รับทราบการทวงหนี้ที่ผิดกฎหมาย และพยายามดำเนินการกับธนาคารฯ เจ้าหนี้ ที่ปล่อยให้สำนักงานกฎหมายใช้วิธีการทวงที่ผิดกฎหมาย
ดังนั้น ตั้งสติ ในที่นี้ก็คือ การหาความรู้ และเข้าใจขอบเขต และรู้ว่าเจ้าหนี้สามารถทำอะไรกับเราได้บ้าง และผลรับมีอะไรบ้าง

2. ทำความเข้าใจเรื่องขอบเขตการทวงหนี้
ขั้นตอนนี้ จะต่อจากการตั้งสติว่า คุณต้องทำความเข้าใจเรื่องขอบเขตการทวงหนี้ โดยทั่วไปแล้วจะมีขั้นตอนดังนี้
2.1 เมื่อคุณหยุดชำระหนี้ ภายใน 1 เดือน ปกติแล้วเจ้าหนี้หรือธนาคาร จะติดต่อมาด้วยตนเอง เป็นเอกสาร มักจะมีข้อความ ตัวอย่างเช่น
“เอกสารฉบับนี้ ต้องการแจ้งสิทธิของการชำระหนี้ ถ้าคุณสามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดก็จะได้รับการบริการปกติ”
2.2 เมื่อผ่านข้อ 2.1 เจ้าหนี้หรือธนาคารก็จะติดต่อมาด้วยตนเองโดยทางโทรศัพท์ อาจจะเป็นฝ่ายพัฒนาหนี้ ช่วงนี้จะไม่รุนแรง เป็นการให้ข้อมูล และเจรจาด้วยภาษาดอกไม้
2.3 เมื่อผ่านข้อ 2.1และ 2.2 แล้วและลูกหนี้ไม่ชำระ ธนาคารหรือเจ้าหนี้จะมอบอำนาจให้สำนักงานกฎหมายที่รับคดีจากธนาคาร
คราวนี้เริ่มจะรุนแรง เนื่องจากพนักงานตามหนี้จะได้รับเงินเดือนจากสำนักงานกฎหมายไม่มาก แต่จะได้รับเงินพิเศษจากการทวงหนี้ได้ ขั้นตอนนี้จึงเกิดความรุนแรงมากขึ้น
ความจริงในทัศนะของผู้เขียน เชื่อว่า ธนาคาร หรือ เจ้าหนี้คงไม่ต้องการใช้ความรุนแรง แต่สำนักงานกฎหมาย โดยเฉพาะพนักงานตามหนี้ ต้องการเร่งหารายได้ จึงจำเป็นที่จะต้องใช้วิธีการที่รุนแรง เช่น ด่าลูกหนี้ หมิ่นประมาท
2.4 เมื่อลูกหนี้อดทนจนถึงขั้นนี้แล้ว การด่าหรือการต่อว่า ไม่สามารถทำอะไรลูกหนี้ได้ จึงต้องดำเนินคดีกับลูกหนี้ คือ ฟ้องและดำเนินคดี ซึ่งขั้นตอนนี้จะกล่าวโดยละเอียดในขั้นที่6
เมื่อทราบขอบเขตการทวงหนี้ได้แล้ว ตอนนี้ก็ไม่น่ากลัวอะไรอีก เพราะวงจรก็มีเพียงเท่านี้

3 เมื่อมีการติดตามทวงหนี้จากเจ้าหนี้ที่ผิดขั้นตอนหรือเข้าใจว่าไม่ถูกต้องตามกฎหมายลูกหนี้สามารถดำเนินการร้องเรียนธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำเอกสาร และโทรศัพท์ไปร้องเรียน ซึ่งธนาคารเจ้าหนี้และบริษัทที่รับดำเนินการให้จะเกรงกลัวธนาคารแห่งประเทศไทย

ขั้นที่ 4 การรับมือกับการทวงหนี้ชนิดรุนแรงในช่วงแรก

1. จิตใจเข้มแข็ง
การทำให้จิตใจเข้มแข็งนั้น คุณต้องทราบก่อนว่าขอบเขตการทวงหนี้มีอะไรบ้าง และคุณต้องเข้าใจว่าสิทธิของลูกหนี้มีอะไรบ้าง
เมื่อคุณทราบแล้ว คุณก็จะไม่กลัว เมื่อคุณไม่กลัวจิตใจคุณจะเข้มแข็งมากขึ้น

2. ที่ทำงานหรือบ้านของคุณเป็นพื้นที่ส่วนตัว
ส่วนใหญ่เจ้าหนี้มักจะชอบโทรศัพท์ว่าจะมาพบคุณที่ทำงาน หรือ ที่บ้าน เพื่อให้คุณชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ กรณีอยู่นอกบ้านหรือที่ทำงานสามารถทำได้ แต่การที่เจ้าหนี้หรือเจ้าหน้าที่ของเจ้าหนี้จะเข้ามาภายในให้ได้นั้น คงไม่สามารถให้เจ้าหนี้ทำอย่างนั้นได้ วิธีการแก้ไข คือ ร้องทุกข์(แจ้งความ) กับตำรวจในท้องที่เพื่อให้เข้าระงับเหตุการณ์และดำเนินคดีกับเจ้าหนี้ให้ถึงที่สุด
กรณีอื่นที่เจ้าหนี้มักจะทำเช่น ข่มขู่ หมิ่นประมาท ฯลฯ ลูกหนี้ก็สามารถแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนได้
3. เมื่อแจ้งความร้องทุกข์แล้ว เพื่อขยายผลให้เจ้าหนี้เกรงกลัวที่จะไม่กระทำผิดกฎหมาย
วิธีการมีดังนี้ ให้นำสำเนาบันทึกการแจ้งความที่คุณได้ดำเนินการแล้วตาม ข้อ 2 มาเป็นเอกสารแนบท้ายหนังสือร้องเรียน ซึ่งในหนังสือร้องเรียน ต้องมีรายละเอียดดังนี้
3.1 เรื่องราวที่คุณถูกกระทำจากเจ้าหนี้ โดยละเอียด
3.2 ชื่อเจ้าหนี้หรือธนาคาร และบริษัทที่ดำเนินการ
3.3 ในตอนท้ายของหนังสือร้องเรียน ควรมีคำว่าสำเนาส่ง ยังหน่วยงาน ตัวอย่างเช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักนายกรัฐมนตรี สภาทนายความ และสุดท้าย สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค
โดยนำหนังสือร้องเรียนฉบับนี้ส่งไปยังเจ้าหนี้หรือสำนักงานกฎหมาย ที่รับทวงหนี้ให้เพื่อปรามมิให้มีพฤติกรรมการทวงหนี้ที่ผิดกฎหมาย
4. วิธีการทวงหนี้ในขั้นตอนนี้มีดังนี้
4.1 เจ้าหนี้ทวงหนี้ด้วยตนเอง
4.2 ว่าจ้างบุคคลภายนอก เช่น สำนักงานกฎหมาย ตามหนี้
4.3 ใช้วิธีการข่มขู่จะว่าจะดำเนินคดีกับลูกหนี้
4.4 ในระหว่างการเจรจาใช้คำพูดหยาบคาย
4.5 แสดงท่าทางเป็นนักเลงในระหว่างการเจรจา
4.6 กรณีผิดนัด 1-2 งวด จะมอบหมายให้พนักงานโทรศัพท์ทวง หนี้ ส่วนใหญ่จะโทรเข้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ (มือถือ) บ้าน, ที่ทำงาน การเจรจาจะไม่ค่อยสุภาพ แต่จะพยายามให้ลูกหนี้ใช้หนี้
4.7 เมื่อครบ 3 เดือนลูกหนี้ไม่ได้ชำระหนี้ เจ้าหนี้ก็จะส่งฝ่ายกฎหมาย หรือฝ่ายพัฒนาหนี้ หรือสำนักงานกฎหมายภายนอกเพื่อติดตามให้
ซึ่งการติดตามก็จะแตกต่างกันไปตามอายุของหนี้
4.8 มีการเขียนจดหมายข่มขู่ อนุมัติฟ้องภายใน 24 ชม. ภายใน 48 ชม. ในการปฏิบัติจะมีการประทับตราสีแดง อนุมัติฟ้อง และเขียนชื่อลูกหนี้ ซึ่งการกระทำดังกล่าวก็เพื่อกดดันลูกหนี้
4.9 อาจจะข้อความว่าหากไม่จ่ายภายใน 3 วัน จะพาเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมดำเนินคดี ซึ่งหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ทางแพ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังคับเอาทรัพย์สิน ไม่มีการติดคุกอย่างแน่นอน
4.10 เจ้าหนี้จะมีเอกสารว่าจะชื่อของลูกหนี้เข้า black list (บัญชีดำ) ต่อไปท่านไม่สามารถติดต่อกับสถาบันการเงินได้ ฟ้องล้มละลาย และไม่สามารถเดินทางออกต่างประเทศได้
4. 11 ให้เจ้าหน้าที่มาเฝ้าที่ทำงานของลูกหนี้ หรือการเข้ามาหาในที่ทำงาน กรณีดังกล่าวไม่สามารถทำได้เป็นการคุกคามและบุกรุก 4.12. มีการเขียนไปรษณียบัตร ส่งตามบ้านญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง
4.13 มีการโทรหา ภรรยา ผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน พูดทวงหนี้ เช่น นาย...(ชื่อลูกหนี้) เป็นคนที่ไม่ยอมใช้หนี้
4.14 การส่ง fax มีรายละเอียดเกี่ยวกับลูกหนี้และข้อความเกี่ยวกับหนี้ ไปยังบุคคลภายนอก
4.15 จดหมายจากสำนักงานกฎหมายว่า หากคุณไม่ชำระ จะเข้ายึดทรัพย์ และยึดทรัพย์เจ้าของบ้าน ซึ่งในความจริงกว่าที่จะมีการยึดทรัพย์ได้ ต้องมีการฟ้องร้องดำเนินคดีก่อน และต้องมีคำสั่งศาลตั้งพนักงานบังคับคดี

ขั้นที่ 5 อันตรายของการประนอมหนี้, ปรับโครงสร้างหนี้

การปรับโครงสร้างหนี้, ประนอมหนี้
เมื่อเจ้าหนี้ได้ดำเนินการจนถึงขั้นที่ 4 แล้ว และลูกหนี้ยังไม่ยอมชำระ หรือว่า อายุความของคดีใกล้จะหมดแล้ว (อายุความบัตรเครดิต 2 ปี นับจากการเรียกเก็บเงินครั้งสุดท้าย)
เจ้าหนี้จะเปลี่ยนแปลงตัวเองมาเป็นในแนว ยอมลด แลก แจกแถม โดยขอให้ลูกหนี้ทำสัญญาการปรับโครงสร้างหนี้ หรือ จัดทำสัญญาประนีประนอมยอมความ
เหตุผลที่เจ้าหนี้ต้องทำอย่างนั้น เนื่องจาก กรณีเกิดอายุความสิ้นสุด แล้วนำคดีดังกล่าวไปฟ้องร้อง ถ้าลูกหนี้มอบหมายให้ทนายความดำเนินการต่อสู้เรื่องอายุความ เจ้าหนี้ก็จะแพ้คดี และจะไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้จากลูกหนี้
การจัดทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ จึงเป็นวิธีการหนึ่งของนักกฎหมายที่ต้องการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสัญญา เพราะถ้าเป็นบัตรเครดิต จะต้องฟ้องภายใน 2 ปี นับตั้งแต่การเรียกเก็บเงินครั้งสุดท้าย แต่กรณีเปลี่ยนสัญญามาเป็นสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ อายุความจะเปลี่ยนแปลงเป็น 10 ปี อีกทั้งเจ้าหนี้สามารถเรียกดอกเบี้ยพิเศษตามสัญญาฉบับดังกล่าวได้
ดังนั้น วิธีในการแก้ไขปัญหาในขั้นตอนนี้ก็คือ ปฏิเสธการจัดทำสัญญาใดๆ ทั้งสิ้น และบอกกับเจ้าหนี้ให้ดำเนินคดีไปตามปกติ

ขั้นที่ 6 แนวทางปฏิบัติเมื่อคดีความที่เข้าสู่ศาลแพ่ง

ขั้นตอนนี้มักจะเกิดจากลูกหนี้ไม่ชำระหรือว่าไม่สามารถจะขอส่วนลดปิดบัญชี (hair cut) ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของเจ้าหนี้ ซึ่งเจ้าหนี้แต่ละรายก็จะแตกต่างกันไป เช่น เจ้าหนี้บางรายมีการกำหนดว่าถ้ากรุงเทพฯ ยอดเงินเช่น 30,000 บาท ถึงจะฟ้องร้อง หรือ ถ้าเป็นต่างจังหวัด ต้องมียอดเงิน ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป ส่วนในบางรายซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ เงินจำนวนหลักร้อยและหลักพันก็ฟ้องแล้ว เราควรจะติดต่อทนายความเอาไว้บ้าง
ส่วนใครมาถึงขั้นตอนนี้แล้วถือได้ว่ามาใกล้ๆ อุโมงค์ทางออกแล้ว ซึ่งผู้เขียนมีคำแนะนำดังนี้
1. วันไปขั้นศาล ควรปรึกษาทนายความและไปทุกนัด เพราะการไปดีกว่าการไม่ไป
2. นัดแรก เป็น นัดไกล่เกลี่ย
2.1 กรณีเจ้าหนี้และลูกหนี้ ตกลงกันได้ในยอดหนี้ ดอกเบี้ย ระยะเวลาการผ่อนชำระ และค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้ ขั้นตอนและวิธีการจะมีดังนี้
2.1.1 ตนเองลงนามหรือจะมอบหมายให้ทนายความลงนามในบันทึกการไกล่เกลี่ย และจัดทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยเจ้าหนี้และลูกหนี้ ซึ่งในขั้นตอนนี้จะเรียก โจทก์ และจำเลย กรณีมีการมอบหมายให้ทนายความดำเนินการ ทนายความก็จะลงชื่อด้วย

2.1.2 เจ้าหน้าที่ศาล จะดำเนินการจัดทำคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมตามที่เจ้าหนี้และลูกหนี้ได้ตกลงกันตาม 2.1.1 ไปให้ผู้พิพากษาลงนามโดยท่านผู้พิพากษาจะอ่านคำพิพากษาต่อหน้าเจ้าหนี้และลูกหนี้ ซึ่งรวมถึงต่อหน้าทนายความด้วย
2.1.2 เมื่อผู้พิพากษาได้ดำเนินการตาม 2.1.2 แล้ว เจ้าหนี้และลูกหนี้และทนายความก็จะลงลายมือชื่อในรายงานกระบวนพิจารณา และรับมอบคำพิพากษาจากเจ้าหน้าที่ของศาล โดยต้องเก็บไว้เป็นหลักฐานและปฏิบัติไปตามนั้น
2.1.3 กรณีขั้นตอนนี้ เป็นกรณีที่สามารถตกลงกันได้ แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยสำเร็จเนื่องจากเจ้าหนี้ไม่ค่อยจะยอมตามเงื่อนไขของลูกหนี้
แต่ถ้าไม่สามารถตกลงกันได้ก็จะเข้าสู่การดำเนินการตามข้อ 2.2
2.2 หากเจ้าหนี้และลูกหนี้ไม่สามารถตกลงในนัดไกล่เกลี่ยได้ เจ้าหน้าที่ศาลจะจะส่งเรื่องคืนเข้าสู่การนัดสืบพยานเรื่องราวที่ตกลงกันในการไกล่เกลี่ยก็จะไม่นำกลับมาพิจารณา
ดังนั้นเพื่อให้สามารถดำเนินการต่อไปได้ ขอแนะนำวิธีการในการเจรจากับเจ้าหนี้ดัง
- เมื่อมาศาลจะพบทนายความของเจ้าหนี้ (โจทก์) ที่ฟ้อง ให้เราเจรจาเงื่อนไขที่เราต้องการ ถ้าเจ้าหนี้ไม่ยอมลูกหนี้ก็ขอเลื่อนคดี เพื่อยืดระยะเวลาออกไป เช่น อ้างว่าจะมีรายรับอีกประมาณ สองถึงสามเดือนข้างหน้า
- หรือการยื่นคำให้การ ซึ่งวิธีนี้จะต้องมอบหมายให้ทนายความเป็นผู้จัดทำคำให้การ โดยสามารถตกลงค่าใช้จ่ายกับทนายความได้
- ระหว่างยืดระยะเวลาออกไปนั้น ต้องสะสมเงินเพื่อชำระหนี้ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนชำระ หรือการขอส่วนลดปิดบัญชี
3. นัดสืบพยาน
นัดนี้กรณีมีการยื่นคำให้การ ก็จะเข้าสู่การสืบพยาน โดยผู้พิพากษาจะฟังความทั้งสองฝ่าย และพยานที่กล่าวอ้าง ตามกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงแห่งหนี้ และเมื่อเสร็จขั้นตอนนี้ก็จะเข้าสู่การนัดฟังคำพิพากษา
4. นัดฟังคำพิพากษา
ในวันดังกล่าวยังสามารถตกลงกับเจ้าหนี้ได้ แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ศาลก็จะอ่านคำพิพากษาไป
ขั้นที่ 7 แนวทางปฏิบัติหลังศาลตัดสินแล้ว
เมื่อมีคำพิพากษาแล้ว ขั้นตอนนี้คงเป็นช่องทางที่ลูกหนี้จะเลือกจ่ายหนี้ด้วยวิธีใด ซึ่งก็จะมีความแตกต่างกันบ้างตามรายละเอียดของลูกหนี้และทรัพย์สินของลูกหนี้
1. กรณีลูกหนี้มีเงินเดือนสูง ควรจะเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อขอส่วนลดและปิดบัญชี เนื่องจากถ้าลูกหนี้ยอมให้เจ้าหนี้อายัดเงินเดือน ก็จะเป็นเงินจำนวนที่สูง เพราะเจ้าหนี้จะสามารถอายัดเงินเดือนได้ 30% จากเงินเดือน
2. กรณีลูกหนี้มีทรัพย์สินจำนวนมาก ลูกหนี้ควรจะเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อขอส่วนลดและปิดบัญชี เพราะถ้าไม่ดำเนินการตามนั้น เจ้าหน้าที่ก็จะบังคับคดีจากทรัพย์สิน โดยทำการยึดทรัพย์และขายทอดตลาด
3. กรณีลูกหนี้ไม่มีเงินเดือนและไม่มีทรัพย์สิน ตรงนี้ลูกหนี้ก็จะได้รับประโยชน์ในการเจรจา เพราะเมื่อเจ้าหนี้ไปสืบทรัพย์แล้วพบว่าลูกหนี้ไม่มีเงินเดือนและทรัพย์สินอื่นๆ คาดว่าน่าจะเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้แล้ว การเจรจาขอส่วนลดและปิดบัญชี เจ้าหนี้น่าจะได้ประโยชน์มากกว่า ซึ่งการเจรจาในลักษณะนี้ อาจจะสามารถลดหนี้ได้มากกว่า 50% ส่วนถ้าลูกหนี้ไม่ดำเนินการอะไรก็จะไม่ถูกบังคับคดีเนื่องจากไม่มีทรัพย์สินใดๆ ให้ยึด แต่จะมีติดเพียงประวัติในเครดิตบูโร หรือที่เรียกว่า black list เท่านั้นจริงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
สุดท้ายนี้ ก็หวังว่า 7 ขั้นตอนพิชิตหนี้ จะสามารถช่วยผู้เข้าร่วมฟังสามารถนำไปปฏิบัติเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป
IP : บันทึกการเข้า
Naradhip
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 85


« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 19 มิถุนายน 2012, 10:38:12 »

แนะนำ เวปของ ชมรมหนี้บัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคล ช่วยเหลือคนที่เป็นหนี้แล้วหาทางออกไม่ได้ครับ
http://www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&func=showcat&catid=5&Itemid=29
IP : บันทึกการเข้า
Pension
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 19 มิถุนายน 2012, 12:58:21 »

เยี่ยมเลย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 25 มิถุนายน 2012, 14:28:45 โดย Pension » IP : บันทึกการเข้า
Naradhip
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 85


« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 19 มิถุนายน 2012, 20:56:54 »

แนะนำ http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=2161806030189403252#overviewstats
IP : บันทึกการเข้า
Naradhip
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 85


« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 20 มิถุนายน 2012, 08:30:50 »

 ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
สมพร1962
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 468



« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 20 มิถุนายน 2012, 16:52:16 »

เจ้าหน้าที่สถาบันการเงิน ฝ่ายแก้ไขหนี้ ถ้าเจอลูกค้ารู้ทางหนีแบบนี้ ก็คงลักไก่ลูกค้าลำบากแล้วล่ะ..... ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

ลูกค้าให้ความไว้วางใจ ครอบครัวอยู่รอด
@เชียงแสน
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ ป.ตรี
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,359


..ทุกลมหายใจคือการเปลี่ยนแปลง..


« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 20 มิถุนายน 2012, 20:21:26 »

 ยิ้ม :)ความรู้ครับ ยิ้ม ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
Naradhip
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 85


« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 22 มิถุนายน 2012, 11:17:22 »

เพิ่มเติมครับ

สำหรับคนที่หมุนบัตรโน่น จ่ายบัตรนี้ หนี้สินพัลวัน

http://www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&func=showcat&catid=5&Itemid=29
IP : บันทึกการเข้า
►•••   Natz.   •••◄
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,434



« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 22 มิถุนายน 2012, 13:25:14 »

เพิ่มเติมครับ

สำหรับคนที่หมุนบัตรโน่น จ่ายบัตรนี้ หนี้สินพัลวัน

http://www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&func=showcat&catid=5&Itemid=29

บัตรมันยอมลดกันขนาดนั้นเลยหรอนิ 50 60 เปอเซนต์  ฮืม 
IP : บันทึกการเข้า
Naradhip
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 85


« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 25 มิถุนายน 2012, 05:41:09 »

มีมากมายครับ

ลองเข้าไปอ่านดูนะครับ
http://www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&func=showcat&catid=6&Itemid=29
IP : บันทึกการเข้า
Naradhip
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 85


« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 25 มิถุนายน 2012, 08:24:05 »

็Hair Cut คืออะไร

นิยาม" ของคำว่า Hair-cut

Hair-cut ก็คือการจ่ายชำระมูลหนี้ ที่มีการค้างชำระกันไว้ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ โดยมีข้อตกลงเจรจาเป็นการนำเสนอที่จะทำการลดมูลหนี้ที่คงค้างกันอยู่...ว่าจะมีการลดหนี้ให้เป็นจำนวนเท่าไหร่?

โดยคิดจากมูลหนี้ที่คงค้างทั้งหมด จากยอด ณ.ปัจจุบัน

ซึ่งก็คือยอดหนี้ของ ณ.วันนี้ นั่นเอง

วันที่เรากำลังเจรจาต่อรองเรื่องส่วนลดหนี้กันอยู่ ณ.ขณะนี้

(ไม่ใช่ยอดหนี้ของเงินต้นในอดีต...ไม่ใช่ยอดหนี้ของวันที่เราเริ่มต้นหยุดจ่าย)

ซึ่งส่วนมากทางเจ้าหนี้มักจะเป็นผู้เสนอว่า จากมูลหนี้ที่คงค้างอยู่ ณ.ปัจจุบันนี้ จะลดหนี้ให้เท่าไหร่? โดยการแจ้งเป็นตัวเลข ว่าจะลดให้กี่บาท หรือกี่เปอร์เซนต์ (ซึ่งส่วนมากจะเสนอตัวเลขเป็นบาท แต่ถ้าเราอยากรู้ว่าเป็นกี่เปอร์เซนต์ ก็สามารถเอามาคำนวนเองได้)
ยกตัวอย่างเช่น มีหนี้คงค้างอยู่ ณ.ปัจจุบันนี้เป็นจำนวนเงิน 100,000.-บาท (หนึ่งแสนบาท) ทางเจ้าหนี้เสนอมาว่า จะลดหนี้ให้เป็นจำนวน 40% ก็หมายความว่า ทางเจ้าหนี้พึงพอใจที่จะเรียกเอาเงินคืนเพียงแค่ 60,000.-บาท (60%) เท่านั้น...ส่วนอีก 40,000.-บาท (40%) นั้น...ทางเจ้าหนี้ลดหนี้ให้ ด้วยเหตุผลต่างๆดังนี้

- ขี้เกียจทวงแล้วโว้ย...ทวงเท่าไหร่ก็ไม่ยอมจ่ายสักที

- ทางเจ้าหนี้ ตัดหนี้ตัวเป็น NPL ไปแล้ว (เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้) หรือตัดเป็น“หนี้สูญ”ไปแล้ว

- ไม่อยากตั้งทุนสำรอง“หนี้สูญ” ตามข้อตกลงของ MOU และตามคำสั่งของ ธปท. เพราะต้องถูกบังคับให้ตั้งเงินสำรองเพื่อกันเอาไว้ 100,000.-บาท (เป็นการตั้งสำรอง“หนี้สูญ”ในอัตรา 100% ของมูลหนี้ที่เสีย) ทางฝ่ายเจ้าหนี้จึงมีความคิดที่ว่า สู้เอาเงินที่ตั้งสำรองจำนวนนี้ ไปปล่อยกู้ใหม่ให้กับลูกหนี้รายอื่นๆ ยังได้กำไรจากการขูดรีดอัตราดอกเบี้ยกับลูกหนี้รายใหม่อื่นๆ มากกว่าการเอาเงินมาตั้งสำรอง“หนี้สูญ”แบบนี้โดยที่ไม่ได้ดอกเบี้ยอะไรเลย แถมยังได้เงินสดคืนมาจากลูกหนี้อีก 60,000.-บาท เมื่อเอามารวมกันแล้ว ก็เป็นจำนวนเงิน 160,000.-บาท เอาเงินก้อนนี้ไปปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยราคาแพงๆ ให้กับลูกค้ารายอื่นๆยังดีกว่า

- ทางเจ้าหนี้ "กลัว" แพ้คดี ถ้าถึงขั้นการฟ้องร้องต่อศาล เพราะตัวเองก็มีการหมกเม็ด และการโกงอัตราดอกเบี้ยของลูกหนี้เอาไว้เพียบ...ดังนั้น ถ้าวันนี้ ได้เงินคืนกลับมาบ้างบางส่วน ก็ยังดีกว่าที่ได้คืนมาน้อย หรือไม่ได้คืนเลยในชั้นศาล หากตัวเองฟ้องแล้วแพ้คดี (ตามสุภาษิตที่ว่า...กำขี้...ดีกว่ากำตด)

- ทางเจ้าหนี้กลัวว่าลูกหนี้จะเป็นอะไรไป...เนื่องจากการคิดสั้นของลูกหนี้ที่มีหนี้สินเยอะ เพราะถ้าหากลูกหนี้เป็นอะไรไป (หมายถึง ล้มหายตายจากไป) หนี้ดังกล่าว จะเป็นหนี้ศูนย์(0)ทันที และจะไปฟ้องร้องกับใครก็ไม่ได้ เนื่องจากเป็นหนี้สินส่วนบุคคล(หนี้ส่วนตัวที่ไม่มีผู้ค้ำประกัน) จึงไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น ดังนั้น ถ้าอยากจะฟ้องต่อ ก็ต้องฆ่าตัวตายตามลูกหนี้ เพื่อไปฟ้องร้องต่อจากท่านยมบาลเอาเอง (แล้วใครมันยอมจะฆ่าตัวตายเพื่อตามไปทวงหนี้ต่อล่ะวะ)

- เจ้าหนี้ได้รับเงินคืนตามที่ตัวเองพึงพอใจแล้ว โดยคิดจากส่วนต่างที่หักจากค่าคอมมิชชั่นในการทวงหนี้ออกไป...ตัวอย่างเช่น...เจ้าหนี้มีการตั้งค่าหัวในการทวงหนี้เราไว้ที่ 30% หากสำนักงานทวงหนี้ที่ใดก็ตาม สามารถทวงหนี้จากเราได้...เช่น...ถ้าสมมุติว่า สำนักงานทวงหนี้ "ชั่ว"คอลเลคชั่น สามารถทวงหนี้เราได้ที่ 100,000.-บาท ดังนั้น สำนักงาน"ชั่ว"คอลเลคชั่น...รับเอาค่าคอมมิชชั่นไปเลย 30,000.-บาท เพื่อเป็นค่าแรงในการทวงหนี้ ส่วนทางเจ้าหนี้พอใจที่จะเอาเงินคืนเพียงแค่ 70,000.-บาทเท่านั้นก็พอ ถ้าเป็นเช่นนั้น สู้เราไปจ่ายชำระหนี้ให้กับทางเจ้าหนี้โดยตรง ไม่ดีกว่าเหรอ? (โดยไม่จ่ายผ่านสำนักงานทวงหนี้) ทางเจ้าหนี้ก็พอใจในการรับเงินคืนเหมือนกัน เพราะถึงอย่างไรทางเจ้าหนี้ก็มีความต้องการที่จะได้รับเงินคืนเพียงแค่ 70,000.-บาทอยู่แล้วนี่ โดยไม่สนใจว่าจะได้เงินคืนมาจากใครหรือด้วยวิธีใดก็ตาม

- ทางเจ้าหนี้มีการขายหนี้ของเรา ให้กับสำนักงานทวงหนี้ข้างนอก ในราคาถูกๆไปแล้ว เนื่องจากขี้เกียจตั้งทุนสำรองหนี้สูญ (อาจขายหนี้ไปประมาณสัก 2-3 หมื่นบาท จากราคาหนี้ ณ.ปัจจุบันที่ 100,000.-บาท) เพื่อให้สำนักงานทวงหนี้ ไปทวงต่อเอาเองแล้วแต่จะได้ ดังนั้น ถ้าสำนักงานทวงหนี้เสนอราคาให้เรา 60,000.-บาท ในการทำ Hair-cut...ตัวมันเองก็ยังได้กำไรจากส่วนต่างนี้ตั้ง 3-4 หมื่นบาท)

- เจ้าหนี้รีบลดราคาในการทำ Hair-cut ให้...ด้วยราคาที่งามมาก เนื่องจากคดีขาดอายุความในการฟ้องร้องไปแล้ว

ด้วยเหตุผลต่างๆ ตามที่กล่าวมานี้ จึงเกิดกระบวนการที่เรียกกันว่า

Hair-cut เกิดขึ้น

แต่กระบวนการ Hair-cut นี้ มิได้เกิดขึ้นได้โดยง่าย
ต้องผ่านการบ่มระยะเวลามายาวนานพอสมควร โดยมีสูตรดังนี้

ต้องหยุดจ่ายซะก่อน ถึงจะเกิดกระบวนการ

Hair-cut ขึ้นได้


ยิ่งหยุดจ่ายนานเท่าไหร่

หนี้ก็ยิ่งเน่ามากขึ้นเท่านั้น


หนี้ยิ่งเน่ามากเท่าไหร่

ก็ยิ่งได้ส่วนลดมากขึ้นเท่านั้น


หลายๆคนชอบเข้ามาตั้งคำถามที่ว่า
หยุดจ่ายมาได้ 3 เดือนแล้วครับ...จะได้ส่วนลดแล้วหรือยังครับ และถ้าได้ลด จะได้ส่วนลดกี่เปอร์เซนต์ครับ

คำตอบที่ชัดเจนก็คือ
ยัง!...และไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย
เพราะการหยุดจ่ายเพียงแค่ 2-3 เดือน มันเป็นเพียงบันไดก้าวแรก ที่จะไปสู่กระบวนการ Hair-cut อันแท้จริงต่อไป
การ Hair-cut ที่แท้จริง มันต้องหยุดจ่ายนาน 8-10 เดือนขึ้นไปเป็นอย่างน้อย หรือบางทีอาจต้องรอเป็นปี หรือจนถึงขั้นได้รับหมายศาลแล้วนั่นแหละ

จึงมีคำถามต่อมาอีกว่า...
แล้วถ้าเช่นนั้น ต้องหยุดจ่ายนานเท่าไหร่? ถึงจะได้รับหมายศาลล่ะ?

คำตอบก็คือ
เฉลี่ยโดยทั่วไปแล้ว ประมาณ 1 ปีครับ
แต่บางราย...ก็นานเกินกว่า 1 ปีนะครับ
ยกเว้น "ซิตี้แบงค์" เพียงรายเดียวที่ฟ้องเร็วที่สุด (เฉพาะรายนี้เพียงรายเดียวเท่านั้น ที่ฟ้องเร็วมาก) โดยหยุดจ่ายประมาณ 4-6 เดือนก็ฟ้องแล้ว...ขอย้ำว่า...เป็นรายเดียวที่ฟ้องเร็วที่สุด...แต่รายนี้ถ้าเราได้รับหมายศาลแล้ว...ก็จะได้รับข้อเสนอราคา Hair-cut ที่งามสุดๆเหมือนกัน

สำหรับส่วนลดที่ทางเจ้าหนี้เสนอมาให้ ก็มีตั้งแต่ 30% , 40% , 50% , 60% , 70% แล้วแต่เงื่อนไขการเจรจา , เทคนิคการต่อรอง , นโยบายส่วนลดหนี้ของสถาบันการเงินนั้นๆ และ ความ“เน่า”ของหนี้ที่หยุดจ่าย

เพียงแต่อยากให้มองว่า เงื่อนไขที่ทางเจ้าหนี้เสนอมานั้น เราจ่ายไหวไหม? น่าสนใจและรับได้หรือเปล่า? อย่าไปมองเพียงแค่ต้องการให้ได้ส่วนลดเยอะๆเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ให้พิจารณาว่าถ้าเราจ่ายไปแล้ว เราจะได้ลดเจ้าหนี้ไปอีกหนึ่งราย(ได้ลดศัตรูในการทวงหนี้ไปแล้วอีกหนึ่งที่) ที่เหลือก็ค่อยๆมาปลดหนี้ทีละรายต่อไป ตามกำลังและความสามารถ (แต่ต้องจ่ายไหวจริงๆนะ ห้ามไปกู้หนี้ยืมสินที่ต้องเสียดอกเบี้ยจากที่อื่นมาปิด Hair-cut อีก มิฉะนั้น มันจะไม่มีวันจบสิ้น)...ถ้าสามารถทำได้เช่นนี้ ก็จะสามารถปลดหนี้ได้โดยเร็ววัน

และทั้งนี้ทั้งนั้น...ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้รายไหนๆ เงื่อนไขของการ Hair-cut ก็เหมือนๆกันหมดทั้งนั้น คือ
การเสนอส่วนลดให้ในราคาที่งามมาก แต่ต้องจ่ายชำระคืนเพียง“งวดเดียว”เท่านั้น…โดยไม่มีการผ่อน (จ่ายปิด“ตูมเดียว”เพื่อปิดบัญชีหนี้เน่า)
แต่ก็มีบางคนถามต่ออีกว่า...แล้วถ้าอยากได้ส่วนลด Hair-cut เนื่องจากหนี้ก้อนนี้มันเน่ามากพอสมควรแล้ว แต่เราไม่สามารถจ่ายแบบ“งวดเดียว”หรือ“ตูมเดียว”เพื่อปิดบัญชีได้...เราสามารถขอส่วนลดด้วย และก็ขอผ่อนต่อด้วย จะได้ไหม?
ผมจะขอตอบว่า...ไอ้ได้น่ะ มันได้อยู่หรอกนะครับ แต่ทางฝ่ายเจ้าหนี้มันจะไม่ยอมให้คุณสามารถผ่อนต่อ ในระยะเวลานานๆหรอกนะครับ (เต็มที่สูงสุด มันก็ยอมให้ผ่อนได้ในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือนเท่านั้น) และส่วนลดที่มันจะให้ ก็จะแตกต่างกันด้วย ขอยกตัวอย่างให้ดูตามนี้นะครับ

สมมุติว่าเมื่อปีที่แล้ว เรามีหนี้อยู่กับธนาคาร A เป็นจำนวนเงิน 80,000.-บาท แล้วเราก็หยุดจ่ายหนี้ตัวนี้มานานประมาณ 1 ปีแล้ว...โดย ณ.ปัจจุบัน(ณ.ตอนนี้) หนี้เงินต้น+ดอกเบี้ย ปาเข้าเป็นจำนวนเงิน 100,000.-บาทแล้ว โดยทางฝ่ายเจ้าหนี้ได้ติดต่อขอให้เราชำระหนี้ทั้งหมด เพื่อทำการปิดบัญชี โดยจะมีส่วนลดให้ด้วย ถ้าสามารถจ่ายแบบ“งวดเดียว”(ตูมเดียว)ได้ ก็จะให้ส่วนลดครึ่งหนึ่ง(50%) จากราคาหนี้ ณ.ปัจจุบัน (100,000.-บาท)

ถ้าเราตอบกลับไปว่า จ่าย“งวดเดียว”ไม่ไหว ขอผ่อนได้ไหม...ราคามันก็จะเป็นไปตามนี้ครับ

-ถ้าสามารถจ่าย“งวดเดียว”ได้...ก็จ่ายเพียง 50,000.-บาท เพื่อปิดบัญชี
-ถ้าขอผ่อน 2 งวด มันก็จะบังคับให้จ่ายงวดละ 27,500.-บาท (รวม 2 งวดก็เป็นเงิน 55,000.-บาท)
-ถ้าขอผ่อน 3 งวด มันก็จะบังคับให้จ่ายงวดละ 20,000.-บาท (รวม 3 งวดก็เป็นเงิน 60,000.-บาท)
-ถ้าขอผ่อน 4 งวด มันก็จะบังคับให้จ่ายงวดละ 16,250.-บาท (รวม 4 งวดก็เป็นเงิน 65,000.-บาท)
-ถ้าขอผ่อน 5 งวด มันก็จะบังคับให้จ่ายงวดละ 14,000.-บาท (รวม 5 งวดก็เป็นเงิน 70,000.-บาท)
-ถ้าขอผ่อน 6 งวด มันก็จะบังคับให้จ่ายงวดละ 12,250.-บาท (รวม 6 งวดก็เป็นเงิน 75,000.-บาท)

ก็แล้วแต่คุณไปพิจารณาเอาเองนะครับ ว่าอยากได้ส่วนลดในราคาแบบไหน

และสุดท้ายแล้ว สำหรับคำว่า Hair-cut

Hair-cut สามารถทำได้ตลอด

ทุกช่วงเวลาหลังจากที่"หนี้"ของเรา"เน่า"แล้ว...ไม่ว่าจะเป็น

- ก่อนได้รับหมายฟ้อง (แต่ต้องหยุดจ่ายนานๆ หลายๆเดือนซะก่อนนะครับ)
- ได้รับหมายฟ้องแล้ว แต่ยังไม่ถึงวันที่ต้องไปขึ้นศาล
- ขึ้นศาลแล้ว แต่ยังอยู่ในระยะเวลาระหว่างการต่อสู้คดี โดยรอขึ้นศาลอีกครั้งในนัดหน้านัด หรือนัดต่อไป (ศาลยังไม่ได้พิพากษา)
- ถูกศาลพิพากษาแล้ว และอยู่ในระหว่าง รอการจ่ายชำระหนี้คืนตามคำพิพากษา
- ถูกศาลพิพากษาแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้จ่ายชำระหนี้คืน จนกระทั่งถูกอายัดเงินเดือน หรือถูกอายัดทรัพย์สินอยู่ในขณะนี้

เห็นไหมล่ะครับ ว่า Hair-cut สามารถทำได้ตลอดชีพจริงๆ

แต่การ Hair-cut ที่ได้ราคางามที่สุด (หรือที่เรียกว่า "นาทีทอง" นั้น...มักจะอยู่ในช่วงของเวลาดังต่อไปนี้
- หยุดจ่ายนานเกิน 10 เดือนขึ้นไป
- ได้รับหมายฟ้องแล้ว แต่ยังไม่ถึงวันที่ต้องไปขึ้นศาลในนัดแรก
- ขึ้นศาลแล้ว แต่ยังอยู่ในระยะเวลาระหว่างการต่อสู้คดี อีกหลายนัด (ยังไม่ได้พิพากษา)
ถ้าพ้นกำหนดช่วงเวลาดังกล่าวนี้ไปแล้ว โปรโมชั่น "นาทีทอง" อาจหมดไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะทำ Hair-cut ไม่ได้...เพียงแต่ว่า อาจไม่ได้ราคางามๆตามโปรโมชั่นของ "นาทีทอง" ก็เท่านั้นเอง

และที่สำคัญ การทำ Hair-cut จะต้องให้ทางเจ้าหนี้ออกเอกสาร

ยืนยันว่า จะลดหนี้ให้ตามเงื่อนไขที่เจรจาตกลงกันไว้ ด้วยทุกครั้ง

โดยเราต้องได้รับหนังสือยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรจากทางเจ้าหนี้

ก่อนที่จะทำการจ่ายชำระ Hair-cut ใดๆ

อย่าไปจ่ายหนี้ที่ตกลงกันด้วยวาจาผ่านทางโทรศัพท์โดยเด็ดขาด (สัญญาหรือข้อตกลงใดๆ ที่เป็นแค่วาจาหรือ“ลมปาก” ไม่สามารถใช้เป็นข้อยืนยันตามกฏหมายได้)

ขอย้ำอีกครั้ง...ถ้าคุณยังไม่ได้รับหนังสือยืนยันการ

ลดหนี้ (หนังสือ Hair-cut) เสียก่อน

ห้ามจ่ายโดยเด็ดขาด...!

ถูกหลอกให้จ่ายเงินเข้าไปเพื่อหักหนี้ในราคาเดิม(ไม่มีส่วนลด) โดยโกหกว่าจะยอมลดราคา Hair-cut ให้
ด้วยคำพูด หรือการรับปากกันทางโทรศัพท์ แต่แล้วก็ไม่ยอมทำ Hair-cut ให้จริงๆ

มีลูกหนี้โดนหลอกมานับไม่ถ้วนแล้วนะครับ...ขอเตือน...
IP : บันทึกการเข้า
Naradhip
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 85


« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 25 มิถุนายน 2012, 08:25:01 »

Blog ของผมครับ

http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=2161806030189403252#overviewstats
IP : บันทึกการเข้า
Naradhip
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 85


« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 28 มิถุนายน 2012, 09:14:40 »

พื่อเป็นการเพิ่มช่องทางในการเผยแพร่ความรู้ในการแก้ไขปัญหาหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ให้กับลูกหนี้และบุคคลทั่วไปได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น ทางชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล จึงได้จัดให้มีการอบรมแก้ไขปัญหาหนี้ฯ เป็นประจำทุกๆสามเดือน โดยชมรมฯจะมีการประกาศบนหน้าบอร์ดให้ทราบว่าในแต่ละครั้งว่า จะมีการจัดอบรมในวันเวลาใด และวิทยากรท่านใด ที่จะเป็นผู้ดูควบคุมแลการอบรมดังกล่าว

การอบรม(ฟรี )สำหรับการอบรมในครั้งต่อไปที่จะถึงนี้ จัดขึ้นในวัน

อาทิตย์ที่ 29 เดือนกรกฏาคม 2555 ตั้งแต่เวลา 13.00-17.00 น.

สถานที่อบรมคือ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (ห้องประชุม ชั้น 2) เลขที่ 4/2 ซอยวัฒนะโยธิน (ราชวิถี 7) แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ

สำหรับวิทยากรผู้บรรยาย ประจำเดือนกรกฏาคม 2555 นี้

วิทยากรหลัก คุณอาร์ชาวิน (Arshavin) (รองประธานชมรมฯ)


และวิทยากรสมทบ คุณ คนสยาม(Konsiam) (กรรมการชมรมฯ)


การอบรมดังกล่าวเป็นการอบรมฟรี! ไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น! เพียงแต่จะไม่มีบริการอาหารและเครื่องดื่มให้เท่านั้น จำนวนผู้เข้าอบรมไม่เกิน 50 ท่าน
ชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล จึงใครขอเรียนเชิญสมาชิกใหม่ที่กำลังคิดจะหยุดจ่าย หรือเพิ่งเริ่มหยุดจ่าย และอยากได้ความรู้นับตั้งแต่ก้าวแรกไปจนสุดทาง

• เริ่มตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน(เริ่มหยุดจ่ายใหม่ๆ)...ไปจนถึงขั้นตอนต่อสู้คดีในชั้นศาล และการถูกบังคับคดี (อายัดเงินเดือน , อายัดทรัพย์)

• ใช้การอธิบายด้วยภาษาแบบชาวบ้าน (ภาษาชาว “ยิ้มสู้หนี้”) เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้แก้ปัญหาได้จริง

• ชี้ให้เห็นประเด็นกลโกงของเจ้าหนี้ ทั้ง “ตามข้อกฏหมาย” และ “ช่องโหว่ของกฏหมาย”

• เพื่อนสมาชิกจะได้มีโอกาสพบปะพูดคุย กับ“ชาวยิ้มสู้หนี้”อีกมากมาย (ที่มีหัวอกเดียวกัน เนื่องจากเป็นหนี้เหมือนกัน) และจะได้พบกับกรรมการชมรมฯอีกหลายท่าน ที่ประสบความสำเร็จในการ “ปลดหนี้” โดยใช้แนวทางของชมรมฯ

รวมทั้งสมาชิกเก่าที่ยังมีข้อสงสัย อยากจะฟังเพื่อความเม่นยำ ในรายละเอียดบางเรื่อง ถึงแม้จะได้อ่านหรือศึกษาข้อมูลในเวปของชมรมฯมาบ้างแล้วก็ตาม การอบรมนี้จะช่วยให้ท่านมีความรู้ มีความเข้าใจ มีตัวเลือก และมีทัศนะคติในการแก้ไขปัญหาหนี้สินของตนเองได้มากขึ้น

สมาชิกที่สนใจ สามารถลงชื่อเข้าร่วมอบรมได้ในกระทู้นี้ โดยจะประกาศปิดรับสมัคร เมื่อมีจำนวนสมาชิกที่เข้ามารับฟัง ครบจำนวน 50 ท่านแล้ว

และเนื่องจากจำนวนที่นั่ง มีจำนวนจำกัด (50 ท่าน) ดังนั้น หากสมาชิกท่านใดที่ลงชื่อขอจองที่นั่งแล้ว แต่บังเอิญติดธุระด่วนในภายหลัง ทำให้ไม่สามารถมาร่วมงานในวันดังกล่าวได้ (เพิ่งมารู้ว่า ไม่สามารถไปร่วมงานได้ในทีหลัง)

1. ขอให้แจ้ง “สละสิทธิ์” มาในกระทู้นี้ ก่อนถึงวันงานอย่างน้อย 3 วัน
2. โทรบอกวิทยากรผู้รับผิดชอบในเดือนนั้นๆ บอกถึงเหตุผลที่ไม่สามารถมาร่วมงานได้ หรือ
3. e-mail แจ้งเหตุผลที่ไม่สามารถเข้าร่วมงานอบรม กับวิทยากรผู้จัดงาน

ทั้งนี้...เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้กับสมาชิกท่านอื่นๆ ได้มีโอกาสไปร่วมในงานแทน (กรุณาอย่าใช้สิทธิ์จองที่นั่งเพื่อ “กั๊ก” คนอื่น โดยที่ตนเองไม่ได้ไป)

สมาชิกที่ลงทะเบียนแล้วในแต่ละท่าน สามารถจองสิทธิ์ที่นั่งได้เพียง 1 ที่นั่ง...เท่านั้น

ไม่อนุญาตให้"จองสิทธิ์ที่นั่ง"เผื่อคนอื่นที่ไม่ใช่สมาชิก

และไม่ได้ทำการลงทะเบียนให้ถูกต้อง

หากสมาชิกท่านใด ขอจองสิทธิ์ที่นั่งแล้ว แต่ไม่สามารถไปร่วมงานได้ (เพิ่งมารู้ทีหลังในตอนใกล้วันงาน ว่าไม่สามารถไปได้) แล้วไม่ยอมแจ้งการ “สละสิทธิ์” เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้ใช้สิทธิ์ไปแทน ทางชมรมฯจะขอ“ตัดสิทธิ์”ของท่านสมาชิกท่านนั้นๆ ในการเข้าร่วมกิจกรรมของชมรมฯในครั้งต่อไป หากชมรมฯมีการจัดกิจกรรมใดๆขึ้นอีกในภายภาคหน้า (ติด Blacklist ในการเข้าร่วมกิจกรรมของชมรมฯ)
http://www.consumerthai.org/debtclub/index.php?option=com_kunena&func=view&catid=5&id=15077&Itemid=29
IP : บันทึกการเข้า
Naradhip
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 85


« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 28 มิถุนายน 2012, 16:21:41 »

 ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
Naradhip
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 85


« ตอบ #14 เมื่อ: วันที่ 09 กรกฎาคม 2012, 10:44:31 »

 ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
Naradhip
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 85


« ตอบ #15 เมื่อ: วันที่ 13 กรกฎาคม 2012, 10:24:04 »

 ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
Naradhip
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 85


« ตอบ #16 เมื่อ: วันที่ 23 กรกฎาคม 2012, 16:18:06 »

 ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
Naradhip
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 85


« ตอบ #17 เมื่อ: วันที่ 09 สิงหาคม 2012, 14:09:50 »

 ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
buth922
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #18 เมื่อ: วันที่ 21 สิงหาคม 2012, 18:18:11 »

ขอบคุณครับ สำหรับความรู้ ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
Naradhip
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 85


« ตอบ #19 เมื่อ: วันที่ 24 สิงหาคม 2012, 15:25:58 »

ด้วยความยินดีครับ  ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!