เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 26 สิงหาคม 2025, 16:39:21
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ห้องนั่งเล่น
| | |-+  แง่คิด ชีวิตงาม (มีเวลาอ่านไม)......
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] 2 พิมพ์
ผู้เขียน แง่คิด ชีวิตงาม (มีเวลาอ่านไม)......  (อ่าน 1535 ครั้ง)
หมอกชวนฝัน
เพียงแค่สายลมพัดพา ให้มาเจอกัน
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,794



« เมื่อ: วันที่ 13 พฤษภาคม 2012, 16:07:23 »

   การรักและไม่ได้รับรักตอบ เป็นทุกข์ แต่สิ่งที่ทุกข์ยิ่งกว่า คือการรักใครสักคน แต่ไม่มีความกล้าพอที่จะบอกให้คนคนนั้นรู้ และต้องมาเสียใจภายหลัง...... ยิ้ม

    ชายหนุ่มเลิกงานและกลับเข้าบ้านช้า ด้วยความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า และพบว่าลูกชายวัย 5 ขวบรอคุณพ่ออยู่ที่หน้าประตู
ลูก : "พ่อครับ,พ่อผมมีคำถามถามพ่อข้อนึง"พ่อ : "ว่ามาสิลูก,อะไรเหรอ"
ลูก : "พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่" พ่อ : "ไม่ใช่โกงการอะไรของลูกนี่,ทำไมถามอย่างนี้ล่ะ"
พ่อตอบด้วยความโมโหลูก "ผมอยากรู้จริง ๆ โปรดบอกผมเถอะ พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่"
ลูกพูดร้องขอพ่อ "ถ้าจำเป็นจะต้องรู้ละก็ พ่อได้ชั่วโมงละ 20 เหรียญ"
ลูก : "โอ.." ลูกอุทาน แล้วคอตก พูดกับพ่ออีกครั้ง "พ่อครับ ผมอยากขอยืมเงิน 10 เหรียญ"
พ่อกล่าวด้วยอารมณ์ "นี่เป็นเหตุผลที่แกถามเพื่อจะขอเงินแล้วไปซื้อของเล่นโง่ ๆ หรืออะไรที่ไม่เข้าท่าหรอกเหรอ รีบขึ้นไปนอนเลยนะแล้วลองคิดดูว่าแกน่ะเห็นแก่ตัวมาก ชั้นทำงานหนักหลาย ๆ ชั่วโมงทุกวันและไม่มีเวลาสำหรับเรื่องเด็กๆ ไร้สาระอย่างนี้หรอก"
เด็กน้อยเงียบลง เดินไปที่ห้องแล้วปิดประตู ชายหนุ่มนั่งลงและยังโกรธอยู่กับคำถามของลูกชาย เค้ากล้าที่จะถามคำถามนั้นเพื่อจะขอเงินได้อย่างไร หลังจากนั้นเกือบชั่วโมงอารมณ์ชายหนุ่มก็เริ่มสงบลง และเริ่มคิดถึงสิ่งที่ทำลงไปกับลูกชายตัวน้อย บางทีเขาอาจจำเป็นต้องใช้เงิน 10 เหรียญนั้นจริง ๆ และลูกก็ไม่ได้ขอเงินเขาบ่อยนัก ชายหนุ่มจึงเดินขึ้นไปบนห้องแล้วเปิดประตู
พ่อ : "หลับหรือยังลูก" ลูก : "ยังครับ"พ่อ. "พ่อมาคิดดูเมื่อกี้พ่ออาจทำรุนแรงกับลูกเกินไป นานแล้วนะที่พ่อไม่ได้คลุกคลีกับลูก เอ้า นี่เงิน 10 เหรียญที่ลูกขอ" เด็กน้อยลุกขึ้นนั่ง "ขอบคุณครับพ่อ"
แล้วก็ล้วงลงไปใต้หมอนหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมา แล้วนับช้า ๆ ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็โกรธขึ้นอีกครั้ง
"ก็มีเงินแล้วนี่แล้วมาขออีกทำไม"
ลูก : "เพราะผมมีไม่พอครับ แต่ตอนนี้ผมมีครบแล้ว พ่อครับ ตอนนี้ผมมีเงิน ครบ 20 เหรียญแล้ว
ผมขอซื้อเวลาพ่อชั่วโมงนึง....พรุ่งนี้พ่อกลับบ้านเร็ว ๆ นะครับ ผมอยากกินข้าวเย็นกับพ่อ"

...

รักที่สมองหรือหัวใจ


....ถ้าใครตอบคำถามได้ว่า รักคนคนหนึ่งเพราะอะไร นั่นเป็นรักจากสมอง สมองมักมีเหตุผล มีคำตอบ ในการที่ต้องรัก และอาจไม่ใช่รักแท้ เพราะรักแท้ เป็นรักที่ไม่มีคำตอบ รักจากความรู้สึก รักเพราะรู้สึกรัก สังเกตง่าย ถ้ารักจากสมอง ชีวิตรักเหมือนอยู่ในโลกความจริง มักไม่อ่อนหวาน ทำอะไรก็มีแผนการ มีเหตุผล มีคำอธิบายร้อยแปด..
.....ต่างจากรักที่มาจากความรู้สึก ชีวิตเหมือนอยู่ในความฝัน อ่อนหวาน อบอุ่น ใช้หัวใจในการตัดสิน กลายเป็นคนไม่มีสมอง...
ถ้าใครบอกว่ารักคุณเพราะอะไร พึงจำไว้ว่า รักแท้จะไม่มีเหตุผล จะไม่มีคำว่าอะไร มาทำให้รัก เพราะถ้าบอกว่ารัก เพราะคุณสวย เมื่อความสวยหมด อาจเลิกรักได้ หรือถ้ารักเพราะคุณเป็นคนดี วันหนึ่งก็อ้างได้ว่า ตอนนั้นเห็นคุณเป็นคนดีได้อย่างไร... หรือถ้ารักเพราะคุณเป็นคุณ ก็คงเบื่อที่จะหาคำอื่นมาพูด คำนี้ใช้ง่ายที่สุด...
.....จงฟังคนที่บอกว่า รักคุณ และไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรัก นั่นเเสดงว่าใช้หัวใจรัก ไม่ว่าวันข้างหน้า คุณจะเป็นอย่างไร หัวใจก็จะยังไม่มีเหตุผลในการรักอยู่ดี
...จะเลือกคนที่ใช้หัวใจรัก หรือคนที่ใช้สมองรัก.....ขึ้นอยู่กับคุณ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 13 พฤษภาคม 2012, 16:21:59 โดย Walk with me » IP : บันทึกการเข้า
หมอกชวนฝัน
เพียงแค่สายลมพัดพา ให้มาเจอกัน
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,794



« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 13 พฤษภาคม 2012, 16:08:21 »

นิยามของเพื่อน กับคําสอนของพ่อ


มีเด็กน้อยคนหนึ่งที่สีหน้าแสดงอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก พ่อของเขาจึงให้ตะปูกับเขาหนึ่งถุง และบอกกับเขาว่า
"ทุกครั้งที่เขารู้สึกโมโห หรือโกรธใครสักคนให้ตอกตะปู 1 ตัวเข้าไปกับรั้วที่หลังบ้าน"
วันแรกผ่านไปเด็กน้อยคนนั้นตอกตะปูเขาไปที่รั้วหลังบ้านถึง 37 ตัว และก็ค่อย ๆ
ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ ในแต่ละวันที่ผ่านไป ก็ลดจํานวนลง น้อยลง น้อยลง
เพราะเขารู้สึกว่า การรู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเอง ให้สงบง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะ
และแล้วหลังจากที่เขาสามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้น ใจเย็นมากขึ้น เขาจึงเข้าไปพบกับพ่อและบอกกับพ่อของเขาว่า
เขาสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้แล้วไม่มุทะลุเหมือนแต่ก่อนที่เคยเป็นมา พ่อยิ้ม และบอกกับลูกชายของเขาว่า
"ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเจ้าต้องพิสูจน์ให้พ่อรู้ โดยทุกๆ ครั้งที่เขาสามารถควบคุมอารมณ์ ฉุนเฉียวของตนเองได้
ให้ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้าน 1 ตัว ทุกครั้ง" วันแล้ววันเล่าเด็กน้อยคนนั้นก็ค่อยๆ ถอนตะปูออกทีละตัว
จาก 1 เป็น 2 .... จาก 2 เป็น 3 จนในที่สุดตะปูทั้งหมดก็ถูกถอนออกจนหมด
เด็กน้อยดีใจมากรีบวิ่งไปบอกกับพ่อเขาว่า "ฉันทำได้ ในที่สุดฉันก็ทำจนสำเร็จ!!"
พ่อไม่ได้พูดอะไร แต่จูงมือลูกของเขาออกไปที่รั้วหลังบ้าน และบอกกับลูกว่า
"ทำได้ดีมาก ลูกพ่อ และเจ้าลองมองกลับไปที่รั้วเหล่านั้นสิ เจ้าเห็นหรือไม่ว่ารั้วนั้นมันไม่เหมือนเดิม
ไม่เหมือน..กับที่มันเคยเป็น จำไว้นะลูกเมื่อใดก็ตามที่เจ้าทำอะไรลงไปโดยใช้อารมณ์
สิ่งนั้นมันจะเกิดเป็นรอยแผลเหมือนกับการเอามีดที่แหลมคมไปแทงใครสักคน
ต่อให้ใช้คำพูด ว่า "ขอโทษ" สักกี่หนก็ไม่อาจลบความเจ็บปวด ไม่อาจลบรอยแผลที่เกิดขึ้นกับเขาคนนั้นได้ฉันใดก็ฉันนั้น
"กับเพื่อน" .. เพื่อนเปรียบเสมือนอัญมณีอันมีค่าที่หายากเป็นคนที่ทำให้เรายิ้มเป็นคนที่คอยให้กำลังใจ
และยินดีเมื่อเราพบกับความสำเร็จเป็นคนที่คอยปลอบใจเราเมื่อยามเศร้า
ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเราและจริงใจกับเราเสมอ ... แสดงให้เขาเห็น ว่าเราห่วงใยเขามากแค่ไหนและระวังสิ่งที่เราทำไป
ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ และจงจดจำไว้เสมอว่า "คำขอโทษ " ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เราหรือไม่ก็ตาม
แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือรอยร้าวที่เขาคงไม่อาจลืมมันได้ ...... ตลอดไป"
หวังว่านิทานนี้คงช่วยให้พวกเราอยู่ร่วมกัน ทำงานร่วมกัน คบกัน ด้วยความรู้สึกที่ดีต่อกันขึ้นเรื่อยๆ ตลอดไป.....
IP : บันทึกการเข้า
หมอกชวนฝัน
เพียงแค่สายลมพัดพา ให้มาเจอกัน
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,794



« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 13 พฤษภาคม 2012, 16:09:58 »

ขาว - ดำ


อาจจะมีคนเคยอ่านแล้ว อ่านอีกครั้งก้อได้คิดอีกครั้ง
มีเรื่องเล่าว่า วันหนึ่ง คุณครูเดินเข้ามา
แล้วชูกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่ง
มันเป็นกระดาษขาวที่มีจุดสีดำอยู่ตรงกลาง
แล้วครูจึงถามนักเรียนว่า เธอเห็นอะไร
นักเรียนจึงตอบว่าเห็นจุดสีดำ
คุณครูพูดว่า แล้วเธอไม่เห็นกระดาษขาวแผ่นนี้เหรอ?
นักเรียนจำเรื่องนี้ได้จนกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่เลย

เรื่องนี้จะเห็นได้ว่า
คนส่วนมากมักจะมองเห็นสิ่งไม่ดีมากกว่าสิ่งที่ดี
ซึ่งที่จริงแล้ว เราควรจะหัดให้เห็นสิ่งดีมากกว่าสิ่งที่ไม่ดี
โดยเฉพาะเวลาที่เรามองคนอื่น หากเรามองข้อดีของเขา
เราจะรู้สึกสบายใจ และบรรยากาศรอบข้างก็จะดีด้วย
IP : บันทึกการเข้า
หมอกชวนฝัน
เพียงแค่สายลมพัดพา ให้มาเจอกัน
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,794



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 13 พฤษภาคม 2012, 16:11:45 »

ไม่เป็นไร ไม่ต้องทอน


เจ้าเด็กชายตัวน้อยของเราเข้าไปหาแม่และส่งกระดาษให้
หลังจากแม่เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้ว เธอก็ก้มลงอ่าน
ค่าตัดหญ้า 5.00 บาท
ค่าทำความสะอาดห้องของผมอาทิตย์นี้ 1.00 บาท
ค่าซื้อของให้แม่ 2.50 บาท
ค่าดูแลน้องชาย 2.50 บาท
ค่าเอาขยะไปทิ้ง 1.00 บาท
ค่าได้คะแนนดี 5.00 บาท
ค่าทำความสะอาดและกวาดสนาม 2.00 บาท
รวมค้างชำระ 19.00 บาท
แม่มองลูกชายที่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างคาดหวัง
เธอหยิบปากกาขึ้นมา พลิกกระดาษ ไปด้านหลังแล้วเขียน :
- เก้าเดือนที่แม่อุ้มท้องลูก ไม่คิดเงิน
- เวลาที่แม่นั่งกับลูก พยาบาลลูก และสวดมนต์ให้ลูก ไม่คิดเงิน
- ค่าที่ลูกทำให้แม่เสียน้ำตาเป็นปี ๆ ไม่คิดเงิน
- หลายคืนที่แม่มีความหวาดระแวงกับความกังวล ที่แม่รู้รออยู่ข้างหน้า ไม่คิดเงิน
- ของเล่น อาหาร เสื้อผ้า และแม้แต่เช็ดน้ำมูกให้ ไม่คิดเงินหรอกจ๊ะลูก
- และเมื่อรวมทั้งหมดเข้าด้วยกันจะเป็นราคาเต็มของความรักที่แท้จริง
ไม่คิดเงินเหมือนกันจ๊ะ
เมื่อลูกชายของเราอ่านสิ่งที่แม่เขียน น้ำตาหยดโต ๆ ก็ไหลออกมา
เขาสบตาแม่และพูดว่า "แม่ครับ ผมรักแม่จริง ๆ นะครับ"
แล้วเขาก็เอาปากกาเขียนหนังสือตัวโตว่า => "จ่ายหมดแล้ว"

ที่รักเธอรักด้วยชีวิต อย่าคิดเลยรักไปเท่าไร ที่ให้เธอแม้มันจะหมดหัวใจ ไม่เป็นไร ไม่ต้องทอน
IP : บันทึกการเข้า
หมอกชวนฝัน
เพียงแค่สายลมพัดพา ให้มาเจอกัน
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,794



« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 13 พฤษภาคม 2012, 16:13:30 »

แด่ลูกรัก


เดินชนคนแปลกหน้า ฉันเอ่ยขอโทษ ไม่ตั้งใจ เขากลับตอบ "ขออภัย ผมเองไม่ทันเห็นคุณ"
เราต่างสุภาพ ถ้อยทีถ้อยอาศัย แสดงน้ำใจ แม้ไม่รู้จักกัน
แต่ที่บ้านเย็นวันนั้น ฉันทำอาหารอยู่ในครัว ลูกสาวตัวน้อยแอบมายืนข้างหลัง ไม่ทันระวัง ฉันหันกลับมาชน เธอล้มลง
"อย่ามายืนเกะกะ" ฉันดุใส่
ลูกสาวเดินจากไป หัวใจเธอปวดร้าว และคืนนั้นฉันได้ยินเสียงกระซิบจากเบื้องลึกของหัวใจ
"กับคนแปลกหน้าเจ้าสุภาพได้ กับลูกรักชิดใกล้ ทำไมทำได้ลงคอล่ะ"
เรานึกกลับไป เรามองดูที่พื้นครัว ดอกไม้หลากสีที่ลูกเราอุตส่าห์เก็บมาหวังให้เราแปลกใจ
ตกเกลือนอยู่ทั่วไป น้ำตาเธอไหล "เหตุใดฉันไม่แลเห็น" ฉันเพิ่งรู้ตัว เลยค่อย ๆ ย่องเข้าไปนั่นคุกเข่าข้างเตียงลูก
"ตื่นเถิดคนดี ดอกไม้นี่ลูกเก็บมาให้แม่หรือ"
ลูกตอบ "ใช่ค่ะ หนูเห็นดอกไม้บาน สวยงามเหมือนคุณแม่ รู้ว่าคุณแม่ต้องชอบ โดยเฉพาะดอกสีน้ำเงิน"
ฉันตื้นตันใจนัก "ลูกรัก แม่ขอโทษจริง ๆ ที่เอ็ดหนู"
"แม่จ๋า ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูรักแม่"
"แม่ก็รักลูก แม่ชอบดอกไม้ของหนูมาก โดยเฉพาะสีน้ำเงินจ๊ะ"

หากเราตายจากไปในวันพรุ่งนี้ อีกไม่กี่วันนายจ้างก็หาคนใหม่มาทำแทนได้
แต่ครอบครัวที่อยู่ข้างหลังอาจโศกเศร้าไปชั่วชีวิต ลองคิดดูว่าคุ้มไหม
หากเราจะทุ่มเทตัวเองให้กับงานมากกว่าครอบครัว

รู้ไหมคำว่า FAMILY ย่อมาจาก
FAMILY = Father And Mother I Love You

ให้เวลากับพ่อ-แม่ของคุณมากขึ้นยามท่านแก่ตัวลง รู้จักแบ่งเวลาให้กับงานและคนที่บ้านให้สมดุลกัน
หากมีใครมาบอกให้จัดความสำคัญเสียใหม่ จงย้อนถามกลับไปว่าครอบครัวสำคัญน้อยกว่าหรือไร?
IP : บันทึกการเข้า
หมอกชวนฝัน
เพียงแค่สายลมพัดพา ให้มาเจอกัน
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,794



« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 13 พฤษภาคม 2012, 16:14:18 »

คริสต์มาส


อย่างน้อยก็สองเดือนก่อนวันคริสต์มาส ตอนที่ อัลมี โรส วัย 9 ขวบ บอกคุณพ่อของแกและฉันว่าแกอยากได้จักรยานใหม่ ขณะที่วันคริสต์มาสใกล้เข้ามา ความอยากได้รถจักรยานของแกดูเหมือนจะจางลง หรือไม่เราก็คิดไปเอง เราจึงซื้อตุ๊กตาเบบี้ ซิตเตอร์สคลับ ที่กำลังเป็นที่นิยมล่าสุด กับบ้านตุ๊กตาเตรียมไว้ให้แก แล้วเราก็ต้องแปลกใจมากที่ วันที่ 23 ธันวาคม แกพูดว่าแก "อยากได้รถจักรยานมากกว่าอะไรทั้งหมด"

มันสายเกินไป ไหนจะเรื่องจุกจิกทั้งหลาย ในการเตรียมอาหารวันคริสต์มาส ไหนจะต้องซื้อของขวัญนาทีสุดท้าย มันสายเกินกว่าจะหาเวลาไปเลือก "จักรยานที่เหมาะสม" สำหรับลูกสาวน้อย ๆ ของเรา ดังนั้นเวลาสามทุ่มของคืนก่อนวันคริสต์มาส เราจึงต้องมาปรึกษากัน ตอนนั้นอัลมี โรส และ ดีแลน น้องชายวัย 6 ขวบของแกนอนสบายอยู่บนเตียงเรียบร้อยแล้ว

ขณะนี้เราคิดเพียงเรื่องจักรยาน ความรู้สึกผิด และการเป็นพ่อแม่ที่ทำให้ลูกผิดหวัง "ถ้าผมปั้นจักรยานเล็ก ๆ ด้วยดินน้ำมัน และเขียนโน้ตติดไว้ว่า แกสามารถเอาดินน้ำมันจำลองมาแลกเป็นจักรยานจริง ๆ ได้ล่ะ" พ่อของแกถาม เหตุผลก็คือของชิ้นนี้ราคาแพง และแกก็โตมากแล้ว มันคงจะดีกว่าถ้าให้แกเป็นคนเลือกเอง ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาสี่ชั่วโมงต่อมา ปั้นดินน้ำมันเป็นจักรยานจำลองด้วยความยากลำบาก

เช้าวันคริสต์มาส เราตื่นเต้นมากที่จะให้อัลมี โรส เปิดห่อรูปหัวใจเล็ก ๆ ที่มีจักรยานดินน้ำมันสีขาวแดงและกระดาษโน้ตอยู่ข้างใน ในที่สุดแกก็เปิดห่อออกและอ่านโน้ตดัง ๆ "นี่แปลว่าหนูต้องแลกจักรยานคันนี้ที่คุณพ่อทำให้หนูกับจักรยานจริงหรือคะ" ด้วยความยินดี ฉันตอบว่า "ใช่จ๊ะ" อัลมี โรส น้ำตาคลอเมื่อแกตอบว่า "หนูคงแลกจักรยานแสนสวยที่พ่อทำให้หนูคันนี้ไม่ได้หรอกค่ะ หนูอยากเก็บมันไว้มากกว่าจะอยากได้คันจริง" ในตอนนั้นเราแทบจะพลิกแผ่นดินเพื่อซื้อจักรยานทุกคันบนดาวดวงนี้ให้แก
IP : บันทึกการเข้า
หมอกชวนฝัน
เพียงแค่สายลมพัดพา ให้มาเจอกัน
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,794



« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 13 พฤษภาคม 2012, 16:15:11 »

คนพิเศษ


ความพิเศษ ชีวิตคนเรามีอะไรมากมายที่ผ่านเข้ามาให้ซึมซับรับรู้
ในชีวิตคนเรามีผู้คนมากมายที่ผ่านเข้ามาให้รู้จักมักคุ้น
แต่ในผู้คนมากมายเหล่านั้น อย่างน้อยคงต้องมีใครบางคนที่ทำให้เรารู้สึก "ไม่ธรรมดา"
ที่จะนึกถึง เรียกว่าเป็น "ความพิเศษ"
ที่เราจะยกเว้นเอาไว้จากความปกติทั่วไปของจิตใจ
ก็ในเมื่อคำว่า "พิเศษ" หมายถึงความจำเพาะ ความแปลกแยก ความดีงาม ความอบอุ่นในหัวใจ

กระนั้นทำไมเราไม่ปฏิบัติต่อเขาให้ตรงกับที่ใจคิด
ให้ "ความรู้สึกดีดี" จากจิตใจที่ดีดี ให้ "ความอาทรถึง"
จากจิตใจที่นึกถึง ให้ "ความห่วง" จากจิตใจที่เป็นห่วง
ให้ไปเถอะ ให้ไปอย่างดีดี แต่มี "สติ" ให้ไปเถอะ
ให้ไปอย่างอบอุ่น แต่ไม่ "คุกกรุ่น" ให้ไปเลย ให้ไปเท่าไหร่ก็ได้
แต่เมื่อให้ไปแล้วต้อง "ไม่ร้อนรุ่มกลัดกลุ้ม"

และหากเมื่อใดจิตใจอาจระส่ำระสาย สะดุดกับอะไรขึ้นมาบ้าง ก็จงหยุดพักตรึกตรอง
อย่าปล่อยให้พายุอารมณ์โถมพัด "สิ่งดีดี" จนกระจัดกระจาย
เพราะ "การให้ความหมาย" ไม่ใช่ "การตั้งความหวัง"
คนสองคนให้ความหมายซึ่งกันและกัน
แต่คนสองคน "จะไม่ตั้งความหวังในกันและกัน"
เพราะการตั้งความหวังมักนำพาซึ่ง "การเรียกร้อง"

"ความอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ" โดยที่ไม่รู้ตัว มันร้อนนัก หนาวนัก และไม่เป็นสุข
เราต้องไม่ลืมปรับอุณหภูมิจิตใจเอาไว้ที่องศาอุ่นๆ
หากเริ่มรู้สึกตัวว่า ความร้อนเริ่มทวีขึ้น เราต้องค่อยๆ เดินออกมาสูดอากาศเย็น
หากตรงกันข้ามเราก็ต้องหลบเร้นจากความหนาวมาหาไอแดดเช่นกัน
และอย่าลืมว่า "ความพิเศษ" ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นพิเศษมากหรือพิเศษสุด หรือพิเศษอย่างยิ่งในคนคนเดียว
ทั้งเราและเขาอาจจะมีคนพิเศษในวิถีชีวิตได้หลายลักษณะ พิเศษในเรื่องนั้น พิเศษในเรื่องนี้

ในเมื่อหัวใจเป็นของเรา เราก็ย่อมเลือกให้ความพิเศษกับใครก็ได้ที่เราจะไม่ต้องแลกกับความทุกข์อย่างพิเศษกลับมา
จงให้ "ความพิเศษ" เป็นชีวิตชีวา เป็นแววตาที่แจ่มใส
เป็นความห่วงใยที่เมื่อนึกถึงทีไรก็ยิ้มได้
ไม่วิ่งหนี แต่ไม่วิ่งตาม ไม่หักห้าม แต่ไม่กระโจนใส่ ไม่เป็นน้ำตาลที่หวานอ่อนไหว
แต่เป็นความอบอุ่นในหัวใจและเอื้ออาทร
จงเป็นความแจ่มใสในอารมณ์ของตัวเอง เป็นความชุ่มชื่น สดใส เช่นสายน้ำ
เป็นสีสันงดงามเช่นมวลผกา เป็นสีเขียวของใบไม้ ที่เย็นที่ตาและที่ใจ
และที่ตรงนี้ จะอีกนานเท่าใด ไม่ว่า "คนพิเศษ"
คนนั้นจะอยู่ใกล้หรือต้องจากกันไกล ความพิเศษ" นั้นก็จะคงอยู่อย่างมีคุณค่า ณ ที่เดิม ที่ซึ่งหัวใจข้างซ้ายอยู่ตรงกัน
IP : บันทึกการเข้า
หมอกชวนฝัน
เพียงแค่สายลมพัดพา ให้มาเจอกัน
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,794



« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 13 พฤษภาคม 2012, 16:16:40 »

บอล 5 ลูก


หากชีวิตเราเปรียบเสมือนเกมโยนบอล 5 ลูกสลับกันไปในอากาศคล้ายนักเล่นกล
บอลทั้ง 5 เปรียบได้กับ งาน, ครอบครัว, สุขภาพ, เพื่อนและจิตใจ
เราคงต้องบอกว่า งาน นั้นคงต้องเป็นลูกบอลยาง

ซึ่งแม้ว่าเราจะพลาดพลั้งทำตกกี่ครั้งมันก็สามารถที่จะกระเด้งกระดอนกลับมา
ให้เรานำกลับมาเล่นต่อได้
แต่บอลอีก 4 ลูกที่เหลือ คือ ครอบครัว สุขภาพ เพื่อน
และจิตใจนั้นเป็นเช่นลูกแก้ว การพลาดพลั้งทำลูกใดลูกหนึ่งตกไปนั้น
แม้เป็นเพียงแค่รอยถลอก รอยตำหนิเล็กๆ รอยหัก แหว่ง
หรือแตกละเอียด
ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถแก้ไขให้มันกลับมาเป็นลูกแก้วที่แววใสดังเดิม ไ ด้

ดังนั้นเราจึงควรระลึกอยู่เสมอว่า.....ชีวิตเราคือ.....การต่อสู้ประคับประคอง
บอลทั้ง 5 ลูกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงให้สมดุลย์มากที่สุด.....
ทำอย่างไรน่ะหรือ ??
อย่างแรก.....
** จงอย่าประเมินค่าของตัวเองให้ต่ำต้อย โดยการเปรียบเทียบกับคนอื่น
พึงระลึกเสมอว่าเราทุกคนล้วนแตกต่าง กัน
และทุกคนก็มีความพิเศษเป็นของตนเอง โดยเฉพาะ
อย่าปล่อยให้ชีวิตผ่านไปอย่างไร้ค่า โดยการปล่อยเวลาให้ผ่านไป
** จงคิดว่าทุกๆ วันที่ผ่านพ้นไปคือส่วนหนึ่งของชีวิตเรา
อย่าเพิ่งละความพยายามเมื่อเจอปัญหา
** จงจำไว้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะจบสิ้นเมื่อคุณทิ้งความพยายามของคุณเอง
อย่ากลัวที่จะยอมรับว่าเราไม่ใช่คนที่สมบูรณ์ พร้อมในทุกอย่าง
เพราะการหลงตัวเองจะเปรียบเสมือนผมเส้นบางๆที่บังตาไม่ให้คุณมองเห็นผู้คนรอบข้าง
** จงอย่ากลัวการเสี่ยง
เพราะมันคือโอกาสที่คุณจะได้เรียนรู้ถึงความกล้าหาญ
อย่าทิ้งความรักไปจากชีวิต โดยการบอกว่ามันไม่มีทางที่จะหาพบ
หนทางที่ง่ายที่สุดที่จะได้รับความรักคือการรู้จักให้
และการรักษาความรักที่ดีที่สุดคือการให้อิสระกับมัน จำไว้ว่า
ยิ่งคุณพยายามไขว่คว้ามันไว้กับตัวคุณมากเท่าไร
มันก็ยิ่งจะจากไปจากคุณได้เร็วเท่านั้นอย่าพิจารณาชีวิตของคุณเร็วเกินไป
จนคุณลืมที่จะนึกว่าคุณมาจากที่ไหนและ
คุณกำลังจะไปที่ใด

พึงตระหนักว่าความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์เราต้องการคือความประทับใจ
จงอย่ากลัวการรับรู้ หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
ความรู้นั้นไร้น้ำหนัก
แต่เป็นทรัพย์สมบัติอันมีค่าที่มันจะติดตัวคุณไปและจะไม่มีใครที่สามารถขโมยมันไปจากคุณได้
จงใช้เวลาและคารมอย่างระมัดระวัง

เพราะทุกสิ่งที่ผ่านไปจะไม่สามารถย้อนกลับคืนมาได้เหมือนสายน้ำที่ไม่มีวัน
จะไหลย้อนกลับ
** จงรู้ว่า ชีวิตไม่ใช่การแข่งขัน
แต่ชีวิตคือการเดินทางคือการสัมผัสรับรู้ในแต่ละก้าวที่เดินไป
** และสุดท้าย จงจำไว้ว่า ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง ...
IP : บันทึกการเข้า
หมอกชวนฝัน
เพียงแค่สายลมพัดพา ให้มาเจอกัน
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,794



« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 13 พฤษภาคม 2012, 16:17:55 »

การสูญเสีย


"ผมขอโทษครับ คุณเซ็นเตอร์ แต่เราไม่สามารถออกใบขับขี่ใหม่ให้คุณได้ถ้าไม่ได้ตรวจดูเลขประกันสังคมของคุณก่อน" เป็นครั้งที่เท่าไหร่ที่ฉันต้องอดทนเพื่อพยายามอธิบายว่า ฉันไม่มีบัตรประกันสังคมแล้ว มันถูกขโมยไปที่สถานีรถไฟพร้อมใบขับขี่ กระเป๋าเงิน บัตรเครดิต บัตรธนาคาร เงินสดกับรูปถ่ายลูกของฉัน ยังไม่เลวร้ายพออีกหรือที่ฉันต้องมาที่นี่วันนี้ ฝ่าการจราจรมาต่อแถวยาวน่าเบื่อที่ทุกคนนึกอยากไปอยู่ที่อื่นแทนที่นี่กันทั้งนั้น ฉันดึงเบอร์บัตรคิว และรอเรียกตัวอยู่เพียงเพื่อจะได้รับฟังว่า "วันนี้ เครื่องคอมพิวเตอร์ดาวน์ครับ แต่คุณจะไปรับใบขับขี่ที่สำนักงานอีกแห่งของรัฐได้ ไปทางตะวันออกสักยี่สิบกิโลเมตร ออกจากทางหลวง 290 ก็ถึงครับ" ทั้งหมดเพื่อความผิดที่ฉันไม่ได้ก่อสักนิด ฉันยังคงประสาทเสียเมื่อนึกถึงว่ามีคนแปลกหน้าคนหนึ่งเดินฝ่าฝูงชนที่รีบร้อนในช่วงหลังคริสต์มาสที่สถานียูเนียน แล้วกล้าหาญชาญชัยพอที่จะเปิดกระเป๋าถือของฉันและขโมยกระเป๋าเงินไป ความไม่สะดวกทั้งหลายทั้งปวงไม่ได้คลี่คลายลงเอยวันนี้เมื่อฉันมาที่นี่ เพียงเพื่อจะพบว่าฉันยังต้องขับรถต่อไปอีก ทีแรกขับเข้าเมืองไปสามสิบนาทีเพื่อขอรับบัตรประกันสังคม แล้วขับอีกครึ่งชั่วโมงไปยังสำนักงานแห่งที่สองด้วยความหวังว่าที่นั่นคอมพิวเตอร์จะทำงาน ยังกับว่าฉันไม่มีอะไรดีกว่านี้จะทำแล้วอย่างนั้นแหละ

ฉันพึมพำกับตัวเองขณะที่ฉันดึงเบอร์บัตรคิวและต่อแถวที่สาม ครั้งนี้ที่สำนักงานประกันสังคม ฉันรู้สึกทันทีว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่คนมาสำหรับเรื่องดี ๆ เด็กเล็กร้องให้โหยหวน ผู้ใหญ่บ่นพึมพำ การถูกบังคับให้เหลือแค่ตัวเลขบนบัตรคิวดูจะดูดอะไรก็ตามที่เหมือนความตั้งใจดีกับความเข้าใจออกจากตัวพวกเราที่กำลังรออยู่ "ผมไม่เคยเห็นที่ไหนหยาบกระด้างเท่าที่นี่มาก่อนเลยในชีวิต" ชายชราใบหน้าคร้ามพร่ำรำพันขณะที่กระแทกไม้เท้าลงบนพื้น "ต้องดึงเบอร์มาก่อนถึงจะยอมตอบคำถามนี่" เขาบ่นว่าอย่างไม่เจาะจงให้ใครฟังเป็นพิเศษ แต่พวกเราพยักหน้าเห็นด้วยในความเงียบ ประสิทธิภาพอันเย็นชาการขาดการสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชนไม่ค่อยสนใจฉันเท่าไหร่เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อฉันรู้ว่าฉันยังจะต้องเจออีกมากหลังจากที่ฉันออกจากที่นี่ และทั้งหมดนี้เพราะมีคนกล้าหาญชาญชัยมาขโมยกระเป๋าเงินฉันไป ฉันหวนกลับไปนึกถึงที่มาของความระทมของฉัน และรู้สึกกรามขบเข้าหากันแน่นอีกครั้ง ฉันเคยผ่านฉากนี้มาแล้ว เป็นนาทีที่ไม่ทันตั้งตัว สนใจหลายเรื่องพร้อมกัน มีคนวิ่งสับสนไปมารอบตัว และบ่อยครั้งแค่ไหนที่ฉันเตือนลูกสาววัยรุ่นว่าให้ถือกระเป๋าสะพายคล้องไว้ด้านหน้าเวลาที่อยู่ในฝูงชน ฉันไม่ให้อภัยตัวเองหรือขโมยคนนี้ง่าย ๆ แน่ ๆ ฉันยังคงหงุดหงิดและงุ่นง่าน ไม่ใช่เพราะแค่เจ้าขโมยคนนี้ แต่เพราะความไม่สะดวกอันยืดเยื้อของวัน

เมื่อเสียงเรียกเบอร์ของฉันดังขึ้น ฉันเดินไปที่เคาน์เตอร์และฉันรู้สึกว่ามีใครคนหนึ่งในเสื้อคลุมสีชมพูก้าวขึ้นมายืนข้างฉัน ฉันยังรู้สึกด้วยว่าไม่ใช่คิวของเธอ ฉันนั่งรอมาแล้ว เธอก็ต้องทำเหมือนกันด้วยสิ ฉันคิดในใจ "ขอโทษนะคะคุณ คุณต้องไปดึงเบอร์และรอคิวค่ะ" เสมียนพูดแทน ความขุ่นใจของฉัน " แต่ฉันต้องการแค่……." เด็กเล็ก ๆ สองคนดึงเสื้อคลุมของเธอและทารกในอ้อมแขนของเธอแผดเสียงร้อง เสมียนทวนขั้นตอนซ้ำ ด้วยท่าทีดุเดือดและรำคาญมากขึ้น "ได้โปรดเถอะค่ะ คุณ" ผู้เป็นมารดายังสาวพูดใหม่ ครั้งนี้เธอพูดพร้อมเสียงสะอื้น "ดิฉันต้องการถามแค่…. ที่นี่ใช่ที่ที่ดิฉันจะขอรับใบมรณบัตรของสามีดิฉันไหมคะ" เราหยุดนิ่งกลางคัน ทั้งเสมียนทั้งฉัน เราต่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ฉันอยากจะโอบกอดผู้เป็นแม่คนนี้ไว้ เช็ดน้ำตาให้เธอ ช่วยอุ้มทารกที่กำลังร้องให้ปลอบลูกเล็ก ๆ ที่กระสับกระส่ายของเธอ ฉันถอยห่างจากเคาน์เตอร์และพึมพำพูดอะไรออกมาว่าเสียใจและ "เชิญค่ะ" เสมียนพูดกับหญิงสาวผู้โศกเศร้าด้วยน้ำเสียงกระด้าง ก่อนจะส่งแบบฟอร์มที่จำเป็นให้ฉัน ฉันกลับมานั่งลงเขียน แต่ฉันปิดปากเงียบและเจียมเนื้อเจียมตัว ฉันเสียกระเป๋าเงินไปหนึ่งใบ แต่เธอเสียสามี ฉันครุ่นคิดขณะที่กรอกฟอร์มก่อนหน้านาทีนี้การสูญเสียของฉันเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่ ฉันขับรถไปยังจุดหมายต่อไปด้วยหัวใจที่นึกขอบคุณ ในความคิดของฉัน ฉันยังเห็นภาพผู้หญิงในเสื้อคลุมสีชมพูอีก และได้ยินเสียงสะอื้นของเธอและแม้แต่ขณะที่ขับรถ ฉันก็สวดให้การสูญเสียของเธอและเริ่มต้นตั้งใจที่จะลืมเรื่องการสูญเสียของตัวเอง

บางครั้งเราเองก็คิดว่าการสูญเสียของเรานี่ช่างยิ่งใหญ่เราแทบจะทนไม่ได้ แต่ถ้าเรามองไปรอบๆข้างเราเราอาจจะเห็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่กว่าของเราน่ะครับ
IP : บันทึกการเข้า
หมอกชวนฝัน
เพียงแค่สายลมพัดพา ให้มาเจอกัน
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,794



« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 13 พฤษภาคม 2012, 16:18:53 »

มีดโกนหนวด


กาลครั้งหนึ่ง มีมีดโกนหนวดสวยอันหนึ่งทำงานอยู่ในร้านตัดผม
วันหนึ่งไม่มีลูกค้าเลย มันจึงออกจากด้ามไปผึ่งแดด
เมื่อมันเห็นพระอาทิตย์ส่องแสงสะท้อนใบมีดราวกับกระจก
มันมีความรู้สึกภูมิใจในประกายของมันมาก
ดังนั้น เมื่อมันหวนคิดถึงอดีตที่เป็นเพียงมีดโกนหนวด จึงรำพันว่า
"วันหนึ่ง ข้าจะกลับไปในร้านที่ข้าเพิ่งจะออกมาหยก ๆ ไหมนะ" ไม่แน่ ๆ!
พระผู้เป็นเจ้าคงไม่โปรดแน่เลยที่ความงามเจิดจ้า
จะกลับไปโกนหนวดที่ฟอกสบู่แล้วของผู้คนหยาบคายน่าเกลียดเหล่านั้น !
ข้าไม่อยากทำงานเป็นเครื่องจักรกลเช่นนั้นอีกต่อไป
รูปร่างที่งดงามของข้าถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำงานเหล่านี้หรือ ไม่ใช่แน่!
ด้วยเหตุนี้ "ข้าจะไปซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ลับ
เพื่อลิ้มรสชาติชีวิตพักผ่อนแสนสงบ"
พูดจบ มีดโกนหนวดก็แอบซ่อนตัวอย่างดีเพื่อหลบสายตาคนอื่น ๆ

หลายเดือนผ่านไป วันหนึ่ง มันอยากออกไปสูดอากาศจึงออกจากที่ซ่อน
แต่กว่าจะออกได้ก็ลำบากลำบนเต็มที
เมื่อมันมองดูตัวเอง มันก็งุนงงเป็นที่สุด ช่างน่าแปลกใจอะไรอย่างนี้
มันผิดหูผิดตาเสียจนเหมือนกันเลื่อยขึ้นสนิม
และใบมีดของมันก็ไม่สะท้อนความงดงามของพระอาทิตย์อีกต่อไป
มันสำนึกผิดอย่างขมขื่น แต่ไร้ประโยชน์ที่จะเสียใจกับความงามที่หายไป
มันร้องไห้กับความเสียหายที่แก้ไขไม่ได้แล้วนี้ พร้อมกับพูดว่า
"อนิจจา! คมมีดที่เสียไปน่าจะได้ใช้งานที่ร้านตัดผมมากกว่า!
ความบางเฉียบของคมมีดข้ากลายเป็นอะไรไป
ใบมีดที่เจิดจ้าของข้าอยู่ที่ไหน
ตอนี้ข้าถูกสนิมกินจนกร่อน ดูน่าเกลียดน่าชัง
ความทุกข์ของข้าไม่มีทางแก้ได้"

คนขี้เกียจก็เหมือนกับมีดโกนนี้ ไม่ทำงานเอาแต่เพ้อฝัน
จึงสูญเสียรูปร่างและความคมไป
สนิมนั้นคือความเขลาและความเกียจคร้าน
IP : บันทึกการเข้า
หมอกชวนฝัน
เพียงแค่สายลมพัดพา ให้มาเจอกัน
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,794



« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 13 พฤษภาคม 2012, 16:20:13 »

เพื่อนกับนาฬิกา


ถามอะไรคุณอย่างนึงได้ไหมคะ
เพื่อนตามความคิดคุณคืออะไร?
เค้ามีความสำคัญกับคุณมากแค่ไหน
“เทียบกับคนรักของคุณได้บ้าง ฤ เปล่า”
ฉันมีบ้างอย่างอยากจะเล่าให้ฟังแค่นั้นเอง

มีนาฬิกาปลุกอยู่เรือน 1
มันทำหน้าที่ของมันทุกวัน
ทั้งเข็มยาวเข็มสั้น….
ยังคงเดินทางรอบหน้าปัดอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ตอนเช้าๆๆๆๆๆๆๆๆ
มันจะส่งเสียงกวนประสาท
เสียงที่ทำให้เราต้องตื่นจากความฝันแสนหวาน
เราตอบแทนมันโดยการเอื้อมมือไป ควานหา”ตบหรือกดมันอย่างแรง”
ด้วยความรำคาญ เพื่อให้มันเงียบ
ทั้งๆที่มันก็ช่วยให้เราไม่ไปผิดนัดสำคัญๆอยู่เสมอ
และถ้ามันเผลอปลุกเราในวันพักผ่อน
บางทีเราอาจจะขวางมันทิ้งเสียด้วยซ้ำ
ทั้งๆที่เราก็เป็นคนตั้งเวลาเอาไว้เอง
บ้างครั้งเราก็มั่วทำอย่างอื่นที่เราเห็นว่าสำคัญมากเสียยิ่งกว่า
“นาฬิกา” ที่มันตั้งอยู่ที่เดิมของมันทุกวัน
เราไม่ใส่ใจมันเท่าไรหรอก จะสนใจมันแค่ตอนเรา
“อยาก รู้ เวลา ก็ เท่านั้น เอง”
จนกระทั่งวันนึง
นาฬิกาเดิมๆเรือนนั่นมันเงียบหายไป
คุณไม่รู้หรอกว่ามันเงียบไปเมื่อไร
คุณจำไม่ได้หรอกว่าตอนมันเดินครั้งสุดท้าย คือ ตอนไหน
คุณได้แต่โทษมันในเช้าวันนั้นว่า
“ไอ้นาฬิกา เฮงซวย..ทำไมถึงไม่ปลุก”
ทั้งที่มันเงียบไปเพราะคุณ………
คุณว่าไหม ว่า
“เพื่อนมันเหมือน “นาฬิกาปลุกเนอะ…”
ทำไมนะเหรอ……….
คุณคิดดูสิ---
ความรักระหว่างเพื่อนก็เหมือนการเดินของเข็มนาฬิกานะ
เดินอยู่ที่เดิมๆๆๆๆๆ แต่ก็เดินไปได้เรื่อยๆๆ ไม่เหนื่อยไม่เบื่อ
บางครั้งเพื่อนก็เตือนเรา
บอกเรา แนะนำเราไนบางเรื่องที่เราควรจะฟัง
แต่เรากลับรำคาญมัน
พูดทำร้ายน้ำใจเค้า หรือทำให้เค้าเสียใจ
เพราะคิดว่าคำพูดเตือนของเค้าทำให้คุณรำคาญ
ถึงแม้บางทีคุณก็ทำไปเพราะไม่ได้ตั้งใจ
แต่ลองสังเกตสิ
สิ่งที่เพื่อนๆคุณเตือน(ด้วยความหวังดีนั้น)
บางทีกลับช่วยคุณได้หลายๆเรื่อง
หลายครั้งหลายคราว
ที่คุณมัวแต่ทำเรื่องอื่น
ให้ความสำคัญกับคนอื่นๆๆ
และมองข้ามความสำคัญเพื่อน
เพราะคุณคิดอยู่เสมอว่า……..
ความรักของเพื่อน มันเป็นเรื่องปกติ ธรรมดา
เช่นเดียวกับ นาฬิกา…
ที่มันจะเดินไปอย่างนั้น…เหมือนทุกๆวัน
แต่คุณคงลืมไปว่าสักวัน
ถ่านที่คุณใส่ไว้มันก็ต้องหมด
นาฬิกาไม่ได้ละเลยหน้าที่ของมัน
หากเพียงแต่เมื่อเวลาผ่านไป
มันจะเอาแรงที่ไหนเดินหากไม่มี แบตเตอร์รี่
เช่นเดียวกันกับเพื่อนของคุณ
แม้เค้าจะรักและปรารถนาดีกับคุณมากแค่ไหนก็ตาม
หากคุณเองไม่เคยใส่ใจ
หลงลืมไปว่ายังมีเค้าอยู่
ก็เปรียบเหมือนดังนาฬิกา
ที่มันไม่ได้ละทิ้งหน้าที่ของมันหรอก
หากแต่เพียงคุณเองที่ไม่เคยจะเอาใจใส่
นาฬิกาเก่าๆเดิมๆเรือนนั้นเลย
ถึงเวลาหรือยังที่คุณจะหันกลับมามอง
มองดูนาฬิกาเรือนเดิม
ไม่สายไปใช่ไหมที่คุณจะใส่ถ่านให้มันอีกครั้ง
และไขลานให้มันเดินดังเดิม
เพื่อให้นาฬิกาเรือนเดิม
กลับมาทำหน้าที่หน้าเบื่อเดิมๆ
อักสักครั้ง
รักเพื่อนๆทุกคนนนนนนนนนนน
IP : บันทึกการเข้า
หมอกชวนฝัน
เพียงแค่สายลมพัดพา ให้มาเจอกัน
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,794



« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 13 พฤษภาคม 2012, 16:23:40 »

เสน่ห์ของความต่าง


เรื่องของคน 2 คน …..ที่แตกต่างกันเกือบทุกด้าน
ยกเว้น.....ความรู้สึกที่มีให้กัน
เขาชอบดำ.......เธอชอบขาว
เขาชอบเพลงใต้ดิน........เธอฟังเพลงสบายๆ
เขาตัวสูง........เธอไม่สูง
เขาเรียนไม่เก่ง........เธอท็อปเกือบทุกวิชา
เขาเก่งกีฬา.........เธอไม่เคยวิ่งทันใครเค้า
เขาชอบเสียงเครื่องยนต์........เธอเกลียดความเร็ว
เขาชอบฝน......เธอกลัวเสียงฟ้าร้อง
เขาเป็นคนเงียบๆ ไม่เรื่องมาก..........
เธอร่าเริงและจำเป็นต้องมีคนอยู่รอบด้าน
เขาเก็บความรู้สึกและระบายลงสมุดบันทึก
........เธออ่อนไหว ขี้เหงา และช่างรู้สึก
เขาน้ำตาซึมเพราะมองไม่เห็นค่าของตัวเอง........
เธอร้องไห้ให้ความเดียวดายที่เกาะกุมหัวใจ
เขาชอบเก็บตัวอยู่คนเดียวในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ
.....เธอชอบมิตรภาพที่ใครต่อใครมอบให้
แต่กระนั้น ……..
ผู้คนมากมายที่รายล้อมก็ไม่ได้ทำให้เธอหายว้าเหว่
ทุกครั้งที่เขาเหงา……..
เธอจะนั่งอยู่ข้างๆโดยไม่เรียกร้องความสนใจ
ทุกครั้งที่เธอร้องไห้ ……….
เขาไม่มีคำปลอบโยน เพียงแค่กุมมือเธอไว้
ทุกครั้งที่เขามองเห็นเงาตัวเองในกระจก
…..เขาจะเห็นเพียงผู้ชาย...ที่ไร้ความสามารถ
และไม่มีความสำคัญกับใคร
แต่เธอกลับมองเห็นผู้ชายคนนึง.....
ที่สามารถปกป้องเธอได้
และมีค่ามากมายสำหรับเธอ
ทุกครั้งที่ฝนตก …….เธอจะนั่งหลบอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง
ฝนพัดพาความเหงามาให้ เสียงฟ้าร้องเรียกความกลัวมาใกล้
แต่ทุกครั้งที่ฝนตก เขาจะโทรศัพท์หาเธอ
และจะอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งฝนหยุดตก
......แม้จะไม่ได้พูดอะไรกันเลยสักคำ
เขาและเธอ.....อยู่ด้วยกันในความเงียบ....
.แต่ไม่เคยรู้สึกอึดอัด
เขาและเธอ.....อยู่ด้วยกันในความเงียบ.....
แต่เหมือนกับได้พูดคุยกันตลอดเ วลา
เขาและเธอ.....เหงาด้วยกัน.....แต่กลับรู้สึกอุ่นในใจ
เขาและเธอ.....เหงาด้วยกัน.....แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองมีค่าขึ้น
นี่คือเสน่ห์....ของความแตกต่าง
IP : บันทึกการเข้า
หมอกชวนฝัน
เพียงแค่สายลมพัดพา ให้มาเจอกัน
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,794



« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 13 พฤษภาคม 2012, 16:24:15 »

หน้าที่ของนาฬิกา


ณ ห้องนั่งเล่นของบ้านหรูสไตล์ตะวันตกหลังหนึ่ง
มีนาฬิกาเรือนงามเรือนหนึ่งประดับเด่นอยู่บนผนังของห้องนั่งเล่นนั้น
เข็มนาฬิกาทั้งสามบนหน้าปัดนาฬิกาเรือนงามนี้ต่างภูมิใจ
ในหน้าที่ของพวกตนที่ได้บอกเวลาอย่างเที่ยงตรง
แก่เจ้าของบ้านและผู้มาเยือนมาโดยตลอด

วันหนึ่งเจ้าเข็มวินาทีสีแดงสดรูปร่างเพรียวบาง
รู้สึกเหนื่อยหน่ายกับภาระหน้าที่ของตัวเอง
ที่ต้องตรากตรำเดินอยู่บนหน้าปัดตลอดเวลาอย่างเหน็ดเหนื่อย
ในขณะที่ในวันหนึ่งๆเจ้าเข็มสั้นและเจ้าเข็มยาวไม่ค่อยได้เดินสักเท่าไรเลย
เจ้าเข็มวินาทีจึงรู้สึกว่าตนถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างมาก จึงโวยวายออกไปว่า
“ ข้าทนไม่ไหวแล้วนะ พอทีเถอะ
ข้าเหนื่อยเหลือเกินกับการทำหน้าที่ของข้า
พวกเจ้าเอาเปรียบข้า ข้าไม่เคยได้พักอย่างพวกเจ้าบ้างเลย
ข้าไม่อยากเดินอีกต่อไปแล้ว พอกันที “
เมื่อได้ฟังดังนั้น .......
เจ้าเข็มสั้นจึงบอกกับเจ้าเข็มวินาทีไปด้วยเสียงอันแหลมเล็กว่า
“ โอ๊ะ.........โอ!! โถๆๆๆเจ้าเข็มวินาทีเอ๋ย
เจ้าหาว่าพวกข้าเอาเปรียบงั้นรึ?
เจ้าจงมองดูรูปร่างของข้าสิ อ้วนอุ้ย อ้ า ยและยังตัวสั้นเตี้ย
แถมข้ายังมีหัวที่โตมากอีกต่างหากข้าต้องแบกหัวหนักๆนี้ไว้ตลอดเวลาเลย
กว่าข้าจะเดินได้แต่ก้าวนี่ช่างยากลำบากกว่าเจ้าเป็นไหนๆ
แล้วอย่างนี้เจ้าจะมาหาว่าข้าเอาเปรียบเจ้าได้อย่างไรกัน”
เจ้าเข็มยาวก็กล่าวเสริมว่า
“ เจ้าเข็มวินาทีเอ๋ยเจ้าคงไม่รู้หรอกนะว่า
ข้าแอบอิจฉาเจ้าที่เจ้ามีรูปร่างเพรียวบางสามารถเดินได้อย่างคล่องแคล่ว
และมีสีแดงสดใสสะดุดตาเช่นเจ้านี้ ผิดกับข้านักที่ตัวดำและหนาเทอะทะ “
“ ไม่จริง พวกเจ้าโกหก ไม่ต้องมาหลอกข้าซะให้ยาก
บอกว่าข้าดีอย่างนั้นอย่างนี้ ทำไมไม่มาเป็นข้าดูบ้างล่ะ
ข้าจะได้พักผ่อนเสียที “
เจ้าเข็มวินาทีกระแทกเสียง
เจ้าเข็มนาฬิกาทั้งสามจึงสลับหน้าที่กัน
โดยที่เจ้าเข็มสั้นทำหน้าที่แทนเจ้าเข็มยาว
ขณะที่เจ้าเข็มยาวทำหน้าที่แทนเจ้าเข็มวินาที
ส่วนเจ้าเข็มวินาทีได้แต่นอนดูเพื่อนๆเดินตามหน้าที่ใหม่
มันดีใจมากที่ไม่ค่อยได้เดินสักเท่าไร
เพราะมันทำหน้าที่แทนเจ้าเข็มสั้น
ทันใดนั้นเจ้าของบ้านที่กำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น
ก็เกิดความประหลาดใจมากที่เห็นนาฬิกาเรือนงามบนผนังเดินผิดปกติ
กึก...กึก..........กึก........
เจ้าเข็มวินาทีสะดุ้งเฮือกเมื่อรับรู้ถึงการสั่นสะเทือนของนาฬิกา
“ โอ๊ย......... เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ? “ เจ้าเข็มวินาทีถามขึ้น
“ แย่แล้ว..... พวกเราไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้วหรือนี่
ทำไมเขาถึงยกนาฬิกาที่เราอยู่ลงจากผนังเสีย ? เราจะทำอย่างไรดีล่ะทีนี้ “
เจ้าเข็มสั้นพูดด้วยเสียงอันสั่นเครือ
“ เมื่อพวกเราต่างไม่ได้ทำตามหน้าที่ของตน
นาฬิกาเรือนนี้ก็ไม่สามารถบอกเวลาได้อย่างแม่นยำเหมือนเดิมได้อีกแล้ว
เจ้าของบ้านเขาคงเห็นว่าเราคงหมดประโยชน์แล้วล่ะ
แต่ข้าว่ามันคงไม่สายเกินไปนะ ที่พวกเรา
จะทำให้นาฬิกาเรือนที่เราอยู่นี้มีคุณค่าขึ้นอีกครั้ง
โดยที่เราต้องทำตามหน้าที่ของแต่คนตามเดิม “
เจ้าเข็มยาวบอก
“ ข้าผิดไปแล้ว เพราะข้าคนเดียวทำให้พวกเราหมดคุณค่าไป “
เจ้าเข็มวินาทีพูดด้วยความสำนึกผิด
แล้วเจ้าเข็มนาฬิกาทั้งสาม
ก็กลับมาทำหน้าที่ของพวกตนตามเดิม
เมื่อเจ้าของบ้านเห็นว่านาฬิกาเรือนงามของเขา
สามารถบอกเวลาได้ตามปกติแล้ว
เขาจึงนำนาฬิกาเรือนนั้น
ไปแขวนที่ผนังห้องนั่งเล่นตามเดิม
เจ้าเข็มนาฬิกาทั้งสามก็เดินบนหน้าปัดนาฬิกาเรือนงาม
ตามหน้าที่ของพวกตนอย่างมีความสุข

จากเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
การทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์
เป็นการสรรค์สร้างคุณค่าให้แก่ชีวิต.
IP : บันทึกการเข้า
หมอกชวนฝัน
เพียงแค่สายลมพัดพา ให้มาเจอกัน
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,794



« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 13 พฤษภาคม 2012, 16:25:04 »

หน้าที่ของนาฬิกา


ถ้าสามารถย่อประชากรโลกลงเหลือเพียง 100 คน
โดยยังคงสัดส่วนต่าง ๆ ของประชากรไว้อย่างถูกต้อง
จะมีสภาพดังนี้

57 คน เป็นชาวเอเชีย
21 คน เป็นชาวยุโรป
14 คน อยู่ทางฝั่งตะวันตก ทั้งทางเหนือและใต้
8 คน เป็นพวกอัฟริกัน

52 คน เป็นผู้หญิง
48 คน เป็นผู้ชาย

70 คน เป็นพวกที่ไม่ใช่ผิวขาว
30 คน เป็นพวกผิวขาว

70 คน ไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์
30 คน นับถือศาสนาคริสต์

89 คน เป็นพวกที่มีเพศชัดเจนและชอบเพศตรงข้าม
11 คน เป็นพวกที่ไม่แน่ใจว่าเป็นเพศอะไรและชอบเพศเดียวกัน

6 คน เป็นพวกที่ร่ำรวยมาก และมีทรัพย์สมบัติเท่ากับ 59% ของความมั่งคั่งทั้งโลกรวมกัน โดยทั้ง 6 คนนี้เป็นชาวอเมริกัน
80 คน อาศัยอยู่ในบ้านที่มีสภาพต่ำกว่ามาตรฐาน
70 คน อ่านหนังสือไม่ออก
50 คน เป็นโรคขาดอาหาร
1 คน กำลังจะตาย และ 1 คนกำลังจะเกิด
1 คน มีโอกาสเรียนจนจบปริญญาตรี
1 คน มีคอมพิวเตอร์ใช้

เมื่อมองโลกจากมุมข้างต้นนี้ เห็นได้ชัดว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญมาก
รวมไปถึงจะต้องมีการยอมรับ และการทำความเข้าใจในสภาพปัจจุบัน
เป็นสิ่งสำคัญอย่างเห็นได้ชัด

เรื่องต่าง ๆ อีกหลายเรื่องที่น่าคิดด้านล่าง .....
ถ้าท่านตื่นขึ้นในตอนเช้าและมีสุขภาพดี ไม่เจ็บป่วย
ถือว่าท่านโชคดีกว่าคนอีกเป็นล้านที่ไม่มีชีวิตรอดผ่านสัปดาห์นี้ไปได้

ถ้าท่านไม่เคยอยู่ในสภาพสงคราม ไม่เคยติดคุก
ไม่เคยถูกทรมาณ ไม่เคยอดอยาก ท่านดีกว่าอีก 500 ล้านคนในโลกนี้

ถ้าท่านอยู่ในสภาพที่ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกจับ ถูกทรมาณ
หรือถูกฆ่า ท่านโชคดีกว่าคนอีกสามพันล้านคนในโลกนี้

ถ้าท่านมีอาหารเก็บในตู้เย็น มีเสื้อให้ใส่
อาศัยอยู่ในบ้านที่มีหลังคาและมีที่ให้หลับนอน
ท่านร่ำรวยกว่าคนอีก 75% ของโลกนี้

ถ้าท่านมีเงินในธนาคาร, มีเงินในกระเป๋า,
และมีเศษสตางค์ทิ้งไว้ในถ้วยที่ไหนซักแห่ง
ท่านเป็นหนึ่งใน 8% ของประชากรที่รวยที่สุดของโลก

ถ้าพ่อแม่ของท่านยังมีชีวิตอยู่ และยังอยู่ด้วยกัน
ถือเป็นเรื่องประเสริฐที่เกิดขึ้นยากมาก
แม้แต่ในอเมริกาและแคนนาดา

ถ้าท่านได้อ่านข้อความนี้ ถือว่าท่านโชคดี 2 ชั้น
ที่มีบางคนคิดถึงท่าน และเหนือกว่านั้น
ท่านโชคดีกว่าคนอีกสองพันล้านคนในโลกนี้ที่อ่านไม่ออกเลย

บางคนเคยพูดไว้ว่า : เรื่องที่ผ่านพ้นไปอย่างไร ก็จะกลับมาอย่างนั้น

ทำงานเหมือนกับท่านไม่ต้องการเงิน (ทำเพราะรักงาน)
รักให้เหมือนกับท่านไม่เคยเจ็บปวด
เต้นให้เหมือนกับไม่มีใครดู
ร้องเพลงให้เหมือนกับไม่มีใครฟัง
ใช้ชีวิตบนโลกนี้อย่างมีความสุขเสมือนอยู่บนสวรรค์

สุขสันต์ในทุกๆวัน เพราะตราบใดที่เรามีลมหายใจอยู่
นั่นเท่ากับว่า เรามีโอกาสได้ทำดี ได้พบกับประสบการณ์ชีวิต. . .สีสันของชีวิต!!!
IP : บันทึกการเข้า
หมอกชวนฝัน
เพียงแค่สายลมพัดพา ให้มาเจอกัน
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,794



« ตอบ #14 เมื่อ: วันที่ 13 พฤษภาคม 2012, 16:26:38 »

หินก้อนใหญ่


วิทยากรที่มีชื่อเสียงด้านการบริหารเวลาผู้หนึ่ง บรรยายให้กับนักศึกษาฟัง ท่านวิทยากรหอบเอาโถแก้ว และก้อนหินใหญ่น้อยมาวางไว้ที่หน้าชั้นเรียน แล้วจึงเริ่มกระบวนการสอน..
เริ่มต้นด้วยการใส่หินลงไปในโหลแก้วโดยใส่หินก้อนใหญ่ลงไปจำนวนหนึ่ง แล้วก็ถามผู้ที่เข้าฟังว่าโถนี้เต็มหรือยัง นักศึกษาก็บอกว่ายังไม่เต็ม วิทยากรจึงให้ผู้ฟังลองใส่หินก้อนเล็กๆลงไปอีกหลายก้อนแต่ยังมีช่องว่างเหลืออยู่ระหว่างหิน จึงเททรายใส่ลงไป และเพื่อให้มั่นใจว่าโหลเต็มจริงๆ สุดท้ายจึงเทน้ำใส่ลงไปจนต็มโหล วิทยากรท่านนั้นถามว่า "จากขวดโหลนี้คุณเห็นอะไรบ้าง?"
มีคนตอบว่า "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น"
อีกคนตอบว่า "เราหาเวลาเพิ่มได้เสมอหากว่ามีความตั้งใจจริง"
วิทยากรบอกว่าผิด ขวดโหลนี้แสดงให้พวกคุณเห็นว่า "หากไม่เอาหินก้อนใหญ่ใส่เข้าไปตั้งแต่แรก ก็จะไม่ทางเอามันใส่เข้าไปได้เลย เหมือนชีวิตคนเราต้องเอาเรื่องใหญ่ๆก่อนแล้ว ค่อยเติมให้เต็มด้วยเรื่องรองๆ ลงมาตามลำดับ"
"อะไรคือหินก้อนใหญ่ในชีวิตของเรา..การใช้เวลากับคนที่เรารัก ความเชื่อศรัทธาความหวังและความฝัน การทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม...ก่อนนอนคืนนี้ไปคิดซะ แล้วเอาหินก้อนใหญ่ใส่ไว้ก่อน"
IP : บันทึกการเข้า
หมอกชวนฝัน
เพียงแค่สายลมพัดพา ให้มาเจอกัน
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,794



« ตอบ #15 เมื่อ: วันที่ 13 พฤษภาคม 2012, 16:28:28 »

ดินสอกับยางลบ


มีดินสอที่เขียนอย่างไรก็ไม่มีวันหมดอยู่แท่งหนึ่ง
มียางลบที่ลบอย่างไรก็ไม่มีวันหมดอยู่ก้อนหนึ่ง

ดินสอแท่งนั้นเป็นเพื่อนกับยางลบก้อนนั้น ทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกันทำอะไรด้วยกัน
หน้าที่ของดินสอก็คือเขียน มันจึงเขียนทุกที่ทุกอย่างเสมอตลอดเวลาที่อยู่กับยางลบ
หน้าที่ของยางลบก็คือลบ มันจึงลบทุกอย่างที่ดินสอเขียนทุกที่ทุกเวลา

เวลาผ่านไปนานหลายสิบปี ทุกอย่างก็ยังดำเนินเหมือนเดิมเรื่อยมา จนกระทั่ง
ดินสอเอ่ยกับยางลบว่า "เรากับนายคงอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้ว"
ยางลบจึงถามว่า "ทำไมล่ะ"
ดินสอจึงตอบกลับไปว่า "ก็เราเขียนนายลบแล้วมันก็ไม่เหลืออะไรเลย"
ยางลบจึงเถียงว่า "เราทำตามหน้าที่ของเราเราไม่ผิด"
ทั้งคู่จึงแยกทางกัน

ดินสอพอแยกทางกับยางลบมันก็ดีใจที่สามารถเขียนอะไรได้ตามใจมัน แต่พอเวลาผ่านไปมันเริ่มเขียนผิด
ข้อความที่สวยๆที่มันเคยเขียนได้ก็สกปรก มีแต่รอยขีดทิ้งเต็มไปหมด มันคิดถึงยางลบจับใจ

ฝ่ายยางลบพอแยกทางกับดินสอมันก็ดีใจที่ตัวมันไม่ต้องเปื้อนอีกต่อไป พอเวลาผ่านไปมันกลับใช้ชีวิตอย่างไร้ค่า
เพราะไม่มีอะไรให้ลบ มันคิดถึงดินสอจับใจ

ทั้งคู่จึงกลับมาอยู่ด้วยกันใหม่คราวนี้ดินสอเขียนน้อยลงเขียนแต่สิ่งทีดี ส่วนยางลบก็ลบเฉพาะที่ดินสอเขียนผิดเท่านั้น

ถ้าเปรียบการเขียนเป็นการจำ ดินสอในตอนแรกก็จำทุกเรื่องทั้งดีและไม่ดี
แต่พอเวลาเปลี่ยนไปมันก็หัดเลือกจำแต่ สิ่งดีๆเท่านั้น
ส่วนการลบเปรียบเหมือนการลืม ยางลบในตอนแรกก็ลืมทุกอย่าง ทั้งดีและไม่ดี แต่ทุกครั้งที่ลืมตัวมันก็จะสกปรก
แต่ตอนหลังมันเลือกลืมแต่เรื่องไม่ดี หรือคือการให้อภัยนั่นเอง

ฉะนั้นการเปรียบการเดินทางของทั้งคู่ดุจมิตรภาพ คือ การจำแต่สิ่งดีๆและลืมในสิ่งที่อาจผิดพลาดบ้าง
IP : บันทึกการเข้า
blue dragon
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 924


..แดดสุดท้าย..


« ตอบ #16 เมื่อ: วันที่ 13 พฤษภาคม 2012, 16:38:37 »

อ้ายท๊อป มาแปลกแฮะ
IP : บันทึกการเข้า

กั๋นว่าจะมัด บ่ต้องมัดด้วยป๋อ กำปากกำคอ มัดกั๋นก็ได้
https://www.facebook.com/skyline.blue.9
หมอกชวนฝัน
เพียงแค่สายลมพัดพา ให้มาเจอกัน
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,794



« ตอบ #17 เมื่อ: วันที่ 13 พฤษภาคม 2012, 16:39:59 »

อ้ายท๊อป มาแปลกแฮะ

แห่ๆ ผมมีอีกเยอะครับจะทยอยเอามาลงเน้อครับอ้ายนุ..อิอิ....
IP : บันทึกการเข้า
blue dragon
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 924


..แดดสุดท้าย..


« ตอบ #18 เมื่อ: วันที่ 13 พฤษภาคม 2012, 16:45:45 »

อ้ายท๊อป มาแปลกแฮะ

แห่ๆ ผมมีอีกเยอะครับจะทยอยเอามาลงเน้อครับอ้ายนุ..อิอิ....

ข้อคิดมีเยอะขนาดนี้ ใครได้ไปเป็นแฟน คงโชคดีน่าดู
IP : บันทึกการเข้า

กั๋นว่าจะมัด บ่ต้องมัดด้วยป๋อ กำปากกำคอ มัดกั๋นก็ได้
https://www.facebook.com/skyline.blue.9
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #19 เมื่อ: วันที่ 13 พฤษภาคม 2012, 16:50:13 »

เปิดกรุมาเลยกาอ้ายท๊อป อิ อิ ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!