|
|
|
|
|
|
Jill Valentine
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 05 เมษายน 2012, 22:41:56 » |
|
ต้องลองหามาดูบ้างซะแล้ว
|
|
|
|
|
|
K€nGja1
ผู้ดูแลบอร์ด
ระดับ :ป.โท

ออฟไลน์
กระทู้: 4,607

|
 |
« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 09 เมษายน 2012, 12:47:27 » |
|
เหมือนโลกแห่งความเป็นจริงแท้ๆ
คนที่รวย ก็อยู่ได้สบายใจ คนที่จน ก็จนได้ไม่สิ้นสุด
เห้ออออ เหมือนเนื้อหาในหนังจริงๆ เราไปปล้นเงินมาแจกดีใหม 55+
ไปปล้นมาเลย เอามาแจกเฮาก่อนเน้อ ขอซัก 20 ล้าน ปอละ 555+
|
รับซ่อม ซื้อขาย คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ อุปกรณ์ IT IDEAcomputer 082-0186679
|
|
|
|
|
|
ViRuS_HDD
ชั้นประถม

ออฟไลน์
กระทู้: 360
|
 |
« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 09 เมษายน 2012, 15:41:13 » |
|
หนังเรื่อง In time ข้อคิดที่ได้จากหนังเรื่องนี้คือ *สิ่งใดที่มีน้อย สิ่งนั้นจะมีคุณค่า* ทำเนื้อหาได้ดีในระดับหนึ่ง ที่หยิบเอาเรื่องของ เวลา มาใช้แทนเงิน มีการทำงานแลกเวลา ซื้อ-จ่ายข้าวของ การดำเนินชีวิตประจำวัน รับรู้เวลาที่เหลือก่อนจะตาย (อันนี้น่ากลัว) และที่สำคัญ มีการเปรียบเทียบระหว่างคน 2 ชนชั้น คือ 1.คนที่มีเวลามาก-ถึงเรียกได้ว่าเป็นอมตะ ใช้จ่ายเวลาแบบฟุ่มเฟือย แต่ต้องจ้างคนมาคุ้มกัน 2.คนที่มีเวลาน้อย-ไม่มีเวลาเลย ต้องไปกู้เวลามาใช้ก่อน เรียกได้ว่าทุกวินาทีมีค่าสำหรับเขา ต้องวางแผนการทำงาน-การใช้จ่าย หากใช้แบบไม่คิดหน้าคิดหลัง มีขั้นถึงตาย หนังแสดงให้เห็นว่าค่าเวลาที่ใช้ครองชีพ รายรับเวลาเท่าเดิม แต่มีคนในครอบครัวเพิ่มขึ้น รายจ่าย+ภาษี เพิ่มขึ้น (เหมือนไทย ข้าราชการ 15,000 บาท ลูกจ้างในเชียงรายขั้นต่ำตอนนี้ ป.ตรี ได้เริ่มต้น 5,500บาท หักค่าใช้จ่ายในแต่ละวันแทบไม่เหลือเก็บ แค่พอประทังชีวิตไปวันๆ ยืมอิออนบ้าง บางครั้ง เงินเดือนข้าราชการขึ้น ลูกจ้างแรงงานขั้นต่ำขึ้นแต่ไม่เยอะ ทำให้ค่าครองชีพ+ภาษี ขึ้นราคาตาม ) ในหนังเลยมี พระเอก(วิล ซาลาส) ที่อยากจะเปลี่ยนระบบเวลาใหม่ ปล้นคนมีเวลามาก มาแจกคนมีเวลาน้อย (มองแบบถูกกฏหมายก็ ขโมยดีๆนี่เอง) แต่หนังไม่ได้เจาะลึกว่า ระบบเวลา มาเป็นตัวแลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ได้อย่างไร ใครเป็นคนริเริ่ม พ่อของพระเอกที่ใครๆ ในหนังกล่าวถึงเป็นใคร สงสัยต้องมีภาคต่อแน่นอน 
|
 ล่องแพ ณ เขื่อนแม่สรวย
|
|
|
WalkManUser
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ ป.ตรี

ออฟไลน์
กระทู้: 2,391

ยิ่งโต ยิ่งเหนื่อย อยากกลับไปเป็นเด็ก
|
 |
« ตอบ #14 เมื่อ: วันที่ 09 เมษายน 2012, 17:48:58 » |
|
หนังเรื่อง In time ข้อคิดที่ได้จากหนังเรื่องนี้คือ *สิ่งใดที่มีน้อย สิ่งนั้นจะมีคุณค่า* ทำเนื้อหาได้ดีในระดับหนึ่ง ที่หยิบเอาเรื่องของ เวลา มาใช้แทนเงิน มีการทำงานแลกเวลา ซื้อ-จ่ายข้าวของ การดำเนินชีวิตประจำวัน รับรู้เวลาที่เหลือก่อนจะตาย (อันนี้น่ากลัว) และที่สำคัญ มีการเปรียบเทียบระหว่างคน 2 ชนชั้น คือ 1.คนที่มีเวลามาก-ถึงเรียกได้ว่าเป็นอมตะ ใช้จ่ายเวลาแบบฟุ่มเฟือย แต่ต้องจ้างคนมาคุ้มกัน 2.คนที่มีเวลาน้อย-ไม่มีเวลาเลย ต้องไปกู้เวลามาใช้ก่อน เรียกได้ว่าทุกวินาทีมีค่าสำหรับเขา ต้องวางแผนการทำงาน-การใช้จ่าย หากใช้แบบไม่คิดหน้าคิดหลัง มีขั้นถึงตาย หนังแสดงให้เห็นว่าค่าเวลาที่ใช้ครองชีพ รายรับเวลาเท่าเดิม แต่มีคนในครอบครัวเพิ่มขึ้น รายจ่าย+ภาษี เพิ่มขึ้น (เหมือนไทย ข้าราชการ 15,000 บาท ลูกจ้างในเชียงรายขั้นต่ำตอนนี้ ป.ตรี ได้เริ่มต้น 5,500บาท หักค่าใช้จ่ายในแต่ละวันแทบไม่เหลือเก็บ แค่พอประทังชีวิตไปวันๆ ยืมอิออนบ้าง บางครั้ง เงินเดือนข้าราชการขึ้น ลูกจ้างแรงงานขั้นต่ำขึ้นแต่ไม่เยอะ ทำให้ค่าครองชีพ+ภาษี ขึ้นราคาตาม ) ในหนังเลยมี พระเอก(วิล ซาลาส) ที่อยากจะเปลี่ยนระบบเวลาใหม่ ปล้นคนมีเวลามาก มาแจกคนมีเวลาน้อย (มองแบบถูกกฏหมายก็ ขโมยดีๆนี่เอง) แต่หนังไม่ได้เจาะลึกว่า ระบบเวลา มาเป็นตัวแลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ได้อย่างไร ใครเป็นคนริเริ่ม พ่อของพระเอกที่ใครๆ ในหนังกล่าวถึงเป็นใคร สงสัยต้องมีภาคต่อแน่นอน  ชัดเจนมาก ... 
|
|
|
|
|
|
|