เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 15 กันยายน 2025, 08:14:04
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ห้องนั่งเล่น
| | |-+  เหอเหอ...วันนี้ ผมเมา...ขอโพสอะไรที่มีสาระสุดๆอิอิอิ
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] 2 พิมพ์
ผู้เขียน เหอเหอ...วันนี้ ผมเมา...ขอโพสอะไรที่มีสาระสุดๆอิอิอิ  (อ่าน 1910 ครั้ง)
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« เมื่อ: วันที่ 04 เมษายน 2012, 20:50:55 »

บทความโดย ดร อรรถกฤต จุฬา

ไอน์สไตน์เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2498 เกือบสิบปีก่อนหน้าที่จะถึงยุคทองของฟิสิกส์อนุภาค
เขาจึงไม่มีโอกาสที่จะทราบว่า ธรรมชาติไม่ได้มีแค่แรงโน้มถ่วงและแรงแม่เหล็กไฟฟ้า
แต่ยังมีแรงพื้นฐานอีกสองชนิดคือ แรงนิวเคลียร์แบบอ่อน และแรงนิวเคลียร์แบบเข้ม




นอกจากนี้นักฟิสิกส์รุ่นหลานของไอน์สไตน์ ยังได้ค้นพบว่าสสารที่พบเห็นในธรรมชาติ
ล้วนประกอบขึ้นมาจากอนุภาคมูลฐานสองกลุ่ม คือ ควาร์ก (Quark) และ เล็ปตอน
(Lepton)



กลุ่มแรกเป็นอนุภาคมูลฐานที่ไม่พบอิสระตามธรรมชาติ ควาร์กจะรวมเข้าด้วยกันด้วยแรงนิวเคลียร์แบบเข้ม
อนุภาคที่เป็นองค์ประกอบในนิวเคลียสของอะตอมเช่น โปรตอน และนิวตรอน ล้วนเป็นอนุภาคที่ประกอบด้วยควาร์กสามตัว
ส่วนกลุ่มหลังคือเล็ปตอน เป็นอนุภาคมูลฐานที่สามารถพบได้อิสระตามธรรมชาติเช่น อิเล็คตรอน
และ มิวออน เป็นต้น โปรตอนกับนิวตรอนรวมตัวกันในนิวเคลียสด้วยแรงนิวเคลียร์



ในขณะที่อิเล็กตรอนถูกประจุไฟฟ้าบวกของโปรตอนดึงดูดให้โคจรรอบนิวเคลียสด้วยแรงแม่เหล็กไฟฟ้ากลายเป็น
“อะตอม” ของธาตุต่างๆ ทฤษฎีควอนตัมยังได้อธิบายแรงที่กระทำระหว่างอนุภาคพื้นฐานเหล่านี้ว่าเกิดจากการที่มันแลกเปลี่ยน
“อนุภาคสื่อ” ระหว่างกัน ในภาพของควอนตัมฟิสิกส์แรงแม่เหล็กไฟฟ้าเกิดจากการที่อนุภาคมีประจุแลกเปลี่ยนโฟตอน
(อนุภาคของแสง) ไปมาระหว่างกัน ในขณะที่โฟตอนเป็นสื่อนำแรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงนิวเคลียร์แบบเข้มจะมีอนุภาคที่ชื่อว่า
กลูออน ทำหน้าที่เป็นอนุภาคสื่อ ส่วนอนุภาค Z และWเป็นสื่อนำแรงนิวเคลียร์แบบอ่อน



นอกจากนี้แล้วในทศวรรษที่ 70 นักฟิสิกส์ยังสามารถที่จะอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ของแรงนิวเคลียร์ทั้งสองแบบ
และแรงแม่เหล็กไฟฟ้า ได้โดยอาศัยทฤษฎีเพียงทฤษฎีเดียว ที่รู้จักกันในชื่อ “แบบจำลองมาตรฐานของอนุภาคมูลฐาน”
(Standard Model of fundamental particles)



แม้ว่าแบบจำลองมาตรฐานจะประสบความสำเร็จในการทำนายปรากฏการณ์ต่างๆในธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่มันก็ยังมีข้อจำกัดในหลายๆด้าน ข้อจำกัดที่สำคัญมากที่สุดอันหนึ่งคือ แบบจำลองมาตรฐานไม่สามารถอธิบายพฤติกรรมของอนุภาคเมื่อมีแรงโน้มถ่วงเข้ามาเกี่ยวข้องได้
แรงโน้มถ่วงจะมีผลกับการทดลองมากเมื่ออนุภาคมีพลังงานสูงมากๆ ซึ่งทำให้ผลการคำนวณจากแบบจำลองมาตรฐานมีความผิดพลาดเนื่องจากไม่ได้คำนึงถึงแรงโน้มถ่วง
ทฤษฎีควอนตัมพยายามอธิบายแรงโน้มถ่วงว่าเกิดจากการที่อนุภาคแลกเปลี่ยนอนุภาคสื่อที่เรียกกันว่า
“กราวิตอน” (Graviton) นักฟิสิกส์เรียกทฤษฎีควอนตัมที่อธิบายแรงโน้มถ่วงนี้ว่า
“ทฤษฎีความโน้มถ่วงควอนตัม” (Quantum gravity) ในช่วงเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมานักฟิสิกส์ชั้นนำของโลกหลายต่อหลายคนพยายามที่จะพัฒนาทฤษฎีนี้
แต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ จนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีทฤษฎีที่เหมาะสมที่จะสามารถจัดการความไม่ต่อเนื่องของกาล-อวกาศได้
ปัจจุบันนักฟิสิกส์ทำได้ดีที่สุดเพียงแค่สร้างทฤษฎีที่ให้ภาพอย่างคร่าวๆของพฤติกรรมเชิงควอนตัมของแรงโน้มถ่วง
และคาดหวังว่าทฤษฎีเหล่านี้จะนำไปสู่ทฤษฎีควอนตัมกราวิตีที่แท้จริง ซึ่งสามารถจะรวมแรงโน้มถ่วงเข้ากับแรงธรรมชาติที่เหลือได้
หนึ่งในทฤษฎีเหล่านั้นรู้จักกันในชื่อของ “ทฤษฎีเส้นเชือก” หรือ “String Theory”
เนื่องจากในทฤษฎีนี้มีสมมุติฐานว่าอนุภาคต่างๆไม่ได้มีลักษณะเป็นจุด (Point-like
particle) เหมือนอย่างในทฤษฎีควอนตัม ในทฤษฎีสตริงอนุภาคทุกชนิด ทั้งที่เป็นอนุภาคที่ประกอบขึ้นเป็นสสารและอนุภาคที่เป็นสื่อนำแรงล้วนเป็นเส้นเชือกที่กำลังสั่นด้วยความถี่ต่างระดับกัน
เส้นเชือกเส้นเดียวกันถ้าสั่นด้วยความถี่ค่าหนึ่งอาจเป็นอิเล็กตรอน แต่เมื่อความถี่ของการสั่นเปลี่ยนไปเป็นอีกค่าหนึ่ง
เชือกเส้นนั้นก็จะกลายเป็นอนุภาคชนิดอื่น
จอห์น ชวาชซ์ (John Schwarz) นักฟิสิกส์อเมริกันหนึ่งในผู้บุกเบิก String Theory

ทฤษฎีสตริงค้นพบขึ้นมาโดยบังเอิญขณะที่นักฟิสิกส์กำลังศึกษาแรงนิวเคลียร์แบบเข้ม
และได้รับความสนใจในระยะสั้นๆ นักฟิสิกส์ส่วนใหญ่จะหันไปศึกษาทฤษฎีQuantum Chromodynamics
หรือ QCD ซึ่งสามารถอธิบายแรงนิวเคลียร์แบบเข้มได้ดีกว่า มีเพียงนักฟิสิกส์ที่เป็น
“แฟนพันธ์แท้” ของทฤษฎีเส้นเชือกเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดศึกษาทฤษฎีนี้ต่อไป
ในจำนวนนั้นมี จอห์น ชวาชซ์ (John Schwarz) นักฟิสิกส์อเมริกัน และ เพื่อนรวมงานชาวฝรั่งเศส
โจแอล เชอร์ก (Joel Scherk) ในปี พ.ศ. 2517 ทั้งคู่ค้นพบว่าบางความถี่ของการสั่นในทฤษฎีเส้นเชือกนั้น มีคุณสมบัติที่สอดคล้องกับอนุภาค กราวิตอน อนุภาคซึ่งเป็นสื่อนำแรงโน้มถ่วง นักฟิสิกส์อื่นๆจึงกลับมาสนใจทฤษฎีเส้นเชือกอีกครั้ง
และในครั้งนี้ทฤษฎีเส้นเชือกไม่ได้เป็นเพียงแค่ทฤษฎีที่อธิบายแรงนิวเคลียร์แบบเข้มเท่านั้น แต่มันกลับมาในฐานนะทฤษฎีที่อาจจะเป็น ทฤษฎีแรงโน้มถ่วงควอนตัม



ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่ออนุภาคที่เป็นสื่อนำแรงทั้งสี่ชนิดไม่ว่าจะเป็น โฟตอน กลูออน อนุภาค W และ Z รวมถึง กราวิตอน ต่างก็เป็นการสั่นของเส้นเชือกมาตรฐานชนิดเดียวกันที่มีความถี่ต่างกัน อุปมาเหมือนกับตัวโน๊ตที่บรรเลงออกมาจากเครื่องสายตัวเดียวกัน ทฤษฎีเส้นเชือกจึงสามารถที่จะอธิบายแรงทั้งสี่ชนิดในธรรมชาติได้ด้วยตัวของมันเอง หลายคนอ้างถึงทฤษฎีเส้นเชื่อกว่าเป็นทฤษฎีสรรพสิ่ง หรือ Theory of Everything ในความหมายที่มันสามารถอธิบายแรงทั้งสี่ของธรรมชาติได้นั่นเอง







ทฤษฎีเส้นเชือก สมมุติว่าอนุภาคไม่ได้มีลักษณะเป็นจุด แต่เป็นเส้นหนึ่งมิติ
โดยการสั่นของเส้นเชือกนี้ ทำให้เกิดเป็นตัวโน๊ตต่างๆ ตัวโน๊ตหนึ่งตัว สามารถแทนอนุภาคได้หนึ่งตัว
ตัวโน๊ตที่ต่างคีย์กัน ก็จะให้อนุภาคที่ต่างชนิดกัน นักฟิสิกส์บางกลุ่มเชื่อว่าการสั่นในบางลักษณะของเส้นเชือกอาจจะเป็นอิเล็กตรอน
และ ควาร์กได้

(ภาพจาก NOVA the Elegant Universe : http://www.pbs.org/wgbh/nova/elegant/ )



การที่ทฤษฎีเส้นเชือกสมมุติว่าอนุภาคไม่ได้มีลักษณะเป็นจุด แต่เป็นเส้นหนึ่งมิติ
ช่วยให้นักฟิสิกส์ลดความยุ่งยากทางเทคนิคในการรวมทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปกับทฤษฎีควอนตัม
ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากความไม่ต่อเนื่องของกาล-อวกาศในระดับที่เล็กกว่าขนาดของอะตอมมากๆ
ธรรมชาติในระดับเล็กมากๆนั้น อวกาศมีลักษณะ ขรุขระ ไม่ต่อเนื่อง และมีการบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง
ปรากฏการณ์ดังกล่าวเรียกว่า ควอนตัมโฟม (Quantum foam) อนุภาคที่มีลักษณะเป็นจุดในทฤษฎีแบบเก่า
รวมถึงอนุภาคกราวิตอน จะถูกอิทธิพลของควอนตัมโฟมรบกวนอย่างหนัก จนทำให้นักฟิสิกส์ไม่สามารถใช้ในการคำนวณได้
เปรียบเหมือนเรือลำเล็กๆที่ล่องลอยอยู่ในมหาสมุทรท่ามกลางพายุและคลื่นลมซึ่งย่อมจะบังคับทิศทางได้ลำบาก
ในขณะที่เส้นเชือกใน String Theory เปรียบเหมือนเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่สามารถทนทานต่อพายุในทะเลได้
ผลของควอนตัมโฟมจึงไม่มีอิทธิพลในการคำนวณ จนนักฟิสิกส์สามารถประมาณได้ว่ากาลอวกาศมีลักษณะเรียบและต่อเนื่องในทฤษฎีเส้นเชือก
อย่างไรก็ตามแม้ว่าการเปลี่ยนจากจุดอนุภาคมาเป็นเส้นเชือกจะช่วยแก้ปัญหาความไม่ต่อเนื่องของกาล-อวกาศได้ แต่ก็ทำให้ทฤษฎีเส้นเชือกเต็มไปด้วยคณิตศาสตร์ที่ยุ่งยากซับซ้อน ความซับซ้อนที่สำคัญอันหนึ่งคือ การที่จะได้ทฤษฎีที่สมบูรณ์ทฤษฎีเส้นเชือกกำหนดให้ธรรมชาติจะต้องมีจำนวนมิติมากกว่า 4 มิติ คือนอกจากจะประกอบด้วย กว้าง ยาว สูง และเวลา ซึ่งเป็นกาล-อวกาศที่เราคุ้นเคยแล้วทฤษฎียังเปิดโอกาสให้มี “มิติพิเศษ” หรือ Extra Dimensions ในทฤษฎีที่เรียกว่าทฤษฎีเส้นเชือกยิ่งยวด (Superstring Theory) กำหนดให้ธรรมชาติมีจำนวนมิติอยู่ทั้งหมด10 มิติ ในบางรูปแบบของทฤษฎีเส้นเชือกอาจมีได้ถึง 11 (M-theory) และ 26 มิติ



 


Extra dimension

สมมุติว่ากาล-อวกาศเป็นผิวของหลอดกาแฟ ซึ่งเป็นพื้นผิวสองมิติ ดังที่แสดงในรูป มดที่เดินอยู่บนหลอดกาแฟ จะสามารถเคลื่อนที่ได้ในสองมิติ แต่ถ้ารัศมีของหลอดกาแฟเล็กลงมากๆ มดที่เดินอยู่ในบริเวณนั้น ก็จะรู้สึกเหมือนว่ามันเดินอยู่บนเส้นลวด ซึ่งมีจำนวนมิติเท่ากับหนึ่งมิติ


ในทฤษฎีเส้นเชือก กาล-อวกาศมีได้มากถึง 10 มิติ แต่ในชีวิตประจำวันเรารู้สึกได้เพียง 4 มิติ นักฟิสิกส์อธิบายว่ามิติพิเศษ หรือ Extra dimension ที่เหลืออีก 6 มิตินั้น จะม้วนเป็นวงเล็กๆ จนเราไม่สามารถที่จะตรวจวัดได้ (ใน M-theory เอกภพมีได้ถึง 11 มิติเลยทีเดียว)





ฟิสิกส์เป็นวิชาที่ศึกษาธรรมชาติโดยใช้ภาษาคณิตศาสตร์ ในขณะที่รัตนกวีอย่างท่านสุนทรภู่บรรยายความงามของธรรมชาติ ผ่านถ้อยคำภาษาไทยที่ร้อยเรียงเป็นคำกลอน นักฟิสิกส์อธิบายธรรมชาติผ่านภาษาคณิตศาสตร์ ซึ่งมีกฎทางฟิสิกส์เป็นตัวกำหนดฉันทะลักษณ์ เมื่อนักฟิสิกส์สนใจธรรมชาติของระบบที่ซับซ้อนมากขึ้น พวกเขาจึงต้องการภาษาคณิตศาสตร์ที่ละเอียดประณีตยิ่งขึ้น


อุปมาได้กับคำกลอนที่ใช้ภาษาสละสลวย ก็ย่อมสามารถอธิบายความงามของธรรมชาติให้ซาบซึ้งกินใจ มากกว่าถ้อยคำพื้นๆได้ฉันใด
ทฤษฎีคณิตศาสตร์ลึกซึ้งมากขึ้น ก็มักจะช่วยให้นักฟิสิกส์เข้าถึงความลึกลับของธรรมชาติได้ดียิ่งขึ้นฉันนั้น


ความก้าวหน้าทางด้านฟิสิกส์ส่วนหนึ่ง จึงจำเป็นต้องอาศัยเทคนิคใหม่ๆทางคณิตศาสตร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อไอน์สไตน์ค้นพบหลักการของสัมพัทธภาพพิเศษในปี พ.ศ. 2448 คณิตศาสตร์ที่เขาใช้เป็นเพียงพิชคณิตง่ายๆที่เด็กมัธยมปลายสามารถเข้าใจได้ แต่ความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับ กาล-อวกาศ จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าขาดอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์อย่าง เฮนรี่ พวงกาเร (Henri Poincare) รวมถึงนักฟิสิกส์อย่าง เฮอร์แมน มินคอฟสกี้ (Hermann Minkowski) และ อาร์โนลด์ ซอมเมอร์เฟลด์ (Arnold Sommerfeld) เมื่อคนเหล่านี้เรียบเรียงทฤษฎีสัมพัทธภาพให้อยู่ในภาษาคณิตศาสตร์ที่เหมาะสม
ความเข้าใจที่ลึกซึ้งของทฤษฎีนี้จึงปรากฏขึ้น และอีกหลายปีหลังจากนั้นไอน์สไตน์ยังต้องอาศัยความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิทของเขาคือ
มาร์แซล กรอสมัน (Marcel Grossmann) รวมถึงนักคณิตศาสตร์คนสำคัญอย่าง เดวิด ฮิลเบิร์ต (David Hilbert) ให้สอนวิชาเรขาคณิตเชิงอนุพันธ์ (Differential Geometry) ซึ่งเป็นคณิตศาสตร์ที่ไอน์สไตน์ใช้อธิบายการบิดโค้งของ กาล-อวกาศ ในทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปผลงานสำคัญที่สุดของเขา


ไอน์สไตน์ได้กล่าวถึงบทบาทของคณิตศาสตร์ในวิชาฟิสิกส์เอาไว้ว่า



“It was not clear to me as a young student that access to a more profound knowledge of the more basic principles of physics depends on the more intricate mathematical methods. This dawned upon me only gradually after years of independent scientific
work.” 1



ฟิสิกส์ในปัจจุบันศึกษาธรรมชาติในระดับที่ลึกซึ้งและซับซ้อนมากขึ้น ทฤษฎีใหม่ๆที่นักฟิสิกส์กำลังศึกษาอยู่ อย่างเช่น ทฤษฎีเส้นเชือก จึงจำเป็นต้องใช้รูปแบบคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนกว่าในอดีตมาก
ในวารสาร Physics World ฉบับเดือนธันวาคม ปี พ.ศ. 2542 นักฟิสิกส์ ลี สโมลิน (Lee Smolin) ได้ฝากความหวังคณิตศาสตร์สาขาใหม่ๆที่กำลังพัฒนาอยู่อย่างต่อเนื่องในขณะนี้อย่าง “Category theory” ว่าอาจจะช่วยให้นักฟิสิกส์นำมาอธิบายทฤษฎีความโน้มถ่วงควอนตัมได้ในอนาคต


อย่างไรก็ตามผู้เขียนยังอดสงสัยไม่ได้ว่าคณิตศาสตร์ที่นักฟิสิกส์ต้องการนั้นอาจจะไม่ใช่คณิตศาสตร์ที่เรามีอยู่แล้วในปัจจุบันนี้ก็เป็นได้
IP : บันทึกการเข้า
Very sabai
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,400


ทําแล้วเสียใจ ยังดีกว่าเสียใจที่ไม่ได้ทํา


« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 04 เมษายน 2012, 20:55:21 »

ป๊าดโทะ ลุงเจ้า...สาระมาก จริงๆ ค่ะ  ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

หน้าเป็นสิว หน้าเขรอะ อยากหน้าเนียนใส  ทักมาจ้า (สวยและปลอดภัยในแบบของตัวเอง )ติดตามชมหน้าสด โนแอ๊พ ของแม่ค้าได้ที่ https://www.facebook.com/BeautySheryn

**รับแปลเอกสาร+พิมพ์งาน **ราคาต่อรองได้
ⒷⒼ*
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,368

นิพพานคือนิรันดร์


« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 04 เมษายน 2012, 20:57:24 »

เมาแล้วมีสาระ +1  ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 04 เมษายน 2012, 20:58:52 »

อีกดอก.......



พบหลุมดำขนาดใหญ่ (Supermassive black hole) ใจกลางของ Quasars เทียบมวลความหนาแน่นขนาด 100 -1,000,000 เท่าของดวงอาทิตย์ มีรูปแบบพลังงานคล้ายวงจรไฟฟ้า(chematic) หมุนตัวด้วยความเร็ว พร้อมดูดกลืนวัตถุทุกสิ่งที่เข้าใกล้ ระบบของ Quasars ด้วยอำนาจ ravitational field (แรงดึงดูดที่มีความมั่นคง แข็งแกร่งสามารถหดขนาด วัตถุให้สั้นคล้ายกดอัด) 
  พลังงานของ Quasars ขึ้นกับปริมาตรมวลสสาร ที่บรรจุบีบอัดอยู่บริเวณใจกลางหลุมดำ กาแล็คซี่ทั้งหลายรวมถึ กาแล็คซี่ทางช้างเผือกของเรา ก็มีหลุมดำเช่นกัน บางทฤษฎีกล่าวว่า หลุมดำในจักรวาลมีอยู่ทั่วไปมากมาย พร้อมที่จะดูดกลืนสิ่งต่างๆได้ เช่น ดวงดาว หรือแม้แต่เวลาอาจหายไปกับหลุดดำ Quasars จะแสดงพลังงานอย่างสุดขีด ด้วยการถ่ายเทก๊าซ เป็นจำนวนมหาศาลสู่หลุมดำ ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นคือ มีการตอบสนองของพลังงานที่ใหญ่กว่า Quasars นับพันเท่าลุกโชติช่วง ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างรุนแรงไม่รู้จบสิ้น การถ่ายทอดพลังงานสู่หลุมดำของ Quasars อย่างมหาศาลไม่มีวันหมดง่าย และ กาแล็คซี่ที่มี ปฏิกิริยาของหลุมดำน้อย เราเรียกว่า Active Galaxy ส่วนบริเวณภายในหลุมดำเราเรียกว่า Active Galactic Nucleus หรือ AGN ใน Milky Way หรือAndromeda Galaxyเป็นตัวอย่างชี้บอกว่ามีหลุมดำ แต่ปลดปล่อยพลังงานน้อย รังสี X–Rays จาก Quasars จะก่อตัวเป็นสสารที่มีความร้อนจัดอุณหภูมิสูงถึงนับล้านองศาไปกระตุ้นปฏิกิริยาลูกโซ่ของหลุมดำนั้น ก๊าซบางส่วนที่ล้นออกมาเกิดเป็นจุดหมุนลักษณะแบบวังน้ำวน (Whirlpool) ลำแสงพลังสูงที่พวยพุ่งออกมาอย่างรุนแรงแบบ High Energy Jets จากหลุมดำได้พบว่าความเร็วของการพุ่งบีบอัด ให้เกิดระเบิดอย่างมหาศาล มีระยะทางยาวมากตั้งแต่ 100 - 1,000 ปีแสง หรืออาจมากถึง 100,000 ปีแสงได้   
          ลมพายุหมุนปั่น รอบ Black hole Giant jet พ่นออกจาก Black hole เกิดขึ้นมีระยะทางห่างจากโลก 3 พันล้านปีแสง  อธิบายเพิ่มได้อีกว่า ลำแสงพลังงานสูงแบบ Jets ที่พุ่งออกมา คือ การเคลื่อนไหวบิดตัวของแม่เหล็กก๊าซ (Magnetized gas) ท่ามกลางความหนาแน่นของสนาม
แม่เหล็ก ที่อยู่ใกล้บริเวณปากปล่องของหลุมดำ โดยมีไส้แกนกลางเป็นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าหนาแน่นนั้น บีบอัดอย่างยิ่งยวด คล้ายแบบ Synchrotron Radiation (การแยกปรมาณูโดยใช้แม่เหล็กเร่งอีเล็คตรอน) ขณะนี้เรายังไม่ทราบถึงอนุภาคที่เป็นองค์ประกอบของ Jet อนุภาคในจักรวาล เช่น Electrons มีความสามารถเร่งความเร็ว ถึงจุดความเร็วใกล้เคียงแสง (Speed of light) ด้วยพลังงานไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก และอนุภาคที่เกิดพลังสูง เป็นผลทำให้ Photons ระดับคลื่นวิทยุ (Radio) เพิ่มพลังขึ้นถึงระดับ Gamma-ray ได้
 
IP : บันทึกการเข้า
vasparr
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 794



« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 04 เมษายน 2012, 21:01:13 »

ผมก็เมา แต่อ่านไม่ได้ตาลาย
IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 04 เมษายน 2012, 21:01:41 »

ขอแจมตวยคนครับอยากเมา!!!!!!!!

           โรคความดันโลหิตสูง (อังกฤษ: Hypertension) เป็นภาวะทางการแพทย์อย่างหนึ่ง โดยจะตรวจพบความดันโลหิต อยู่ในระดับที่สูงกว่าปรกติเรื้อรังอยู่เป็นเวลานาน ทั้งนี้องค์การอนามัยโลก กำหนดไว้ในปี 1999 ว่า ผู้ใดก็ตามที่มีความดันโลหิตวัดได้มากกว่า 140 /90 มม.ปรอทถือว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง และ การที่ความดันโลหิตสูงอยู่เป็นเวลานาน เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดในสมองตีบ โรคหัวใจ โรคไตวาย เส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพอง อัมพาต ฯลฯ

โรคความดันโลหิตสูง เป็นโรคที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ที่มีความดันโลหิตสูงมักจะไม่รู้ตัวว่าเป็น เมื่อรู้ตัวว่าเป็นส่วนมากจะไม่ได้รับการดูแลรักษา ส่วนหนึ่งอาจจะเนื่องจากไม่มีอาการทำให้คนส่วนใหญ่ ไม่ได้ให้ความสนใจ เมื่อเริ่มมีอาการหรือภาวะแทรกซ้อนแล้วจึงจะเริ่มสนใจและรักษา ซึ่งบางครั้งก็อาจจะทำให้ผลการรักษาไม่ดีเท่าที่ควร การควบคุมความดันโลหิตให้ปกติอย่างสม่ำเสมอ สามารถลดโอกาสเกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เป็นข้อเท็จจริงทางการแพทย์ที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป

คนที่รับประทานเกลือมากจะมีโอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากกว่าผู้ที่รับประทานเกลือน้อย ตัวอย่างเช่น ชาวญี่ปุ่นตอนเหนือรับประทานเกลือมากกว่า 27 กรัม/วัน มีผู้ป่วยความดันโลหิตสูงถึง 39% ส่วนชาวญี่ปุ่นตอนใต้รับประทานเกลือวันละ 17 กรัม/วัน เป็นมีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงเพียง 21%

อาการของผู้ป่วยผู้ป่วยความดันโลหิตสูงอาจจะไม่มีอาการใดๆ เลย หรืออาจจะพบว่ามีอาการปวดศีรษะ มึนงง เวียนศีรษะ และเหนื่อยง่ายผิดปกติ อาจมีอาการแน่นหน้าอกหรือนอนไม่หลับ

ความดันโลหิตสูงอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ 2 กรณีด้วยกันคือ

กรณีที่ 1 ภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูงโดยตรง ได้แก่ภาวะหัวใจวายหรือหลอดเลือดในสมองแตก
กรณีที่ 2 ภาวะแทรกซ้อนจากหลอดเลือดแดงตีบหรือตัน เช่น กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือเรื้อรัง ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจจะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ หลอดเลือดสมองตีบ เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือหลอดเลือดแดงในไตตีบมากถึงขั้นไตวายเรื้อรังได้
จากข้อมูลทางการแพทย์ระบุไว้ว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงและไม่ได้รับการรักษาจะเสียชีวิตจากหัวใจวายถึง 60-75 % , เสียชีวิตจากเส้นเลือดในสมองอุดตัดหรือแตก 20-30 % และเสียชีวิตจากไตวายเรื้อรัง 5-10 %

ภาวะแทรกซ้อนหัวใจทำงานหนักขึ้น ทำให้ผนังหัวใจหนาตัวและถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ผนังหัวใจจะยืดออกและเสียหน้าที่ ทำให้เกิดหัวใจโต และหัวใจวายได้ในที่สุด
อาจเกิดภาวะหลอดเลือดในสมองตีบตันหรือแตก ทำให้เป็นอัมพาตหรือเสียชีวิตได้ ถ้าเป็นเรื้อรัง อาจกลายเป็นโรคความจำเสื่อม สมาธิลดลง
เลือดอาจไปเลี้ยงไตไม่พอ เนื่องจากหลอดเลือดเสื่อม ทำให้ไตวายเรื้อรังและภาวะไตวายจะยิ่งทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นอีก
หลอดเลือดแดงในตาจะเสื่อมลงอย่างช้าๆ อาจมีเลือดที่จอตา ทำให้ประสาทตาเสื่อม ตามัวลงเรื่อยๆ จนตาบอดได้ บางที่อาจปวดที่ก้น

ข้อควรปฏิบัติเมื่อมีความดันโลหิตสูง1.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ตัวอย่างเช่น การเดินเร็วๆ วิ่งเหยาะ หรือว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ควรออกกำลังกายประมาณ 15-20 นาที อย่างน้อย 3-6 ครั้ง/สัปดาห์
2.ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัด เพื่อลดปริมาณเกลือซึ่งจะทำให้ความดันโลหิตสูงได้
3.ลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่
4.ลดความเครียดของงานและภาวะแวดล้อม
5.ลดน้ำหนักตัว โดยเฉพาะในรายที่น้ำหนักเกินมาตรฐาน ความอ้วนถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโรคความดันโลหิตสูง
6.รับประทานยาและพบแพทย์สม่ำเสมอ เพื่อตรวจวัดความดันโลหิตและปรับยาให้เหมาะสม
IP : บันทึกการเข้า
ใต้ฟ้า..เจียงฮาย
<<< Fibre optic>>>
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ :ป.โท
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,563


บริการ เดินสาย Fiber optic ,LAN


« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 04 เมษายน 2012, 21:02:33 »

นี่ละ..ที่กำบ่าเก่าเปิ้นว่า....ผ่อแม่ยิงงาม..หื้อผ่อเมื่อยามไปหาปล๋า....ผ่อคนมีผญ๋า...หื้อผ่อเมื่อกิ๋นเหล้า..เมาเหล้า ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

<<รับเดินสาย และ Spice Fiber Optic
ระบบ FTTR,กล้องวงจรปิด,สาย LAN ,ซ่อมคอมพิวเตอร์ และเครื่องพิมพ์ Printer>>งานช่างทั่วไป..<<>>087-1729636
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 04 เมษายน 2012, 21:09:21 »

อีกดอก....เอ...จริงๆ ชรฟกนี่น่าจะมีห้องวิชาการบ้างเนาะ


วิวัฒนาการของมนุษย์
แนะนำให้รู้จัก...ลูซี่(Lucy)
ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส (Australopithecus afarensis)

 ลูซี่(Lucy)เป็น ซากฟอสซิล ของออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส (Australopithecus afarensis) มีชีวิตอยู่ในช่วง 3-3.9 ล้านปีก่อน ซากฟอสซิล ของลูซี่ ที่สมบูรณ์เกือบ 40% ให้ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับ บรรพบุรุษของมนุษย์ ในสมัยนั้น
ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิสมีความสูงประมาณ 107-152 cm โดยเพศชาย มีขนาด ร่างกาย ใหญ่กว่าเพศหญิงมาก (sexual dimorphism ลักษณะแบบนี้ ยังพบได้ในกอริลล่า)
ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส มีช่วงแขนที่ยาว เกือบจะเท่ากับ ชิมแปนซี มีมือที่ ไม่สามารถกำได้แบบพวกเรา ฟอสซิลกระดูกเชิงกราน และเข่าที่พบ มีลักษณะ เหมือนมนุษย์ปัจจุบัน แสดงว่าสามารถเดิน 2 ขาได้
มีการค้นพบ รอยเท้าเดิน 2 ขา แบบมนุษย์ ปรากฎอยู่บน หินภูเขาไฟ อายุ 3ล้าน 6 แสนปี ที่เลโตลิ (Laetoli) ประเทศแทนซาเนีย ทวีปแอฟริกา เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่า บรรพบุรุษของมนุษย์ สามารถเดิน 2 ขาได้ เป็นเวลา อย่างน้อย 3ล้าน 6 แสนปี มาแล้ว จากช่วงอายุ เป็นไปได้มากว่า เป็นรอยเท้าของ ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส
ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส มีขนาดสมอง พอๆกับลิงชิมแปนซี หน้าตาก็คล้ายๆชิมแปนซี ยกเว้นฟันที่ มีลักษณะ อยู่กึ่งกลาง ระหว่างชิมแปนซี กับมนุษย์ปัจจุบัน ลักษณะเขี้ยวที่สั้นคาดว่า อฟาร์เอนซิส อาจไม่จำเป็นต้องใช้ เขี้ยวต่อสู้กับเพศชายด้วยกัน เพื่อครองความเป็นใหญ่ ในฝูง (ยังคงพบได้ในกอริลล่า)


เปรียบเทียบลักษณะกระโหลกและฟัน ของ ลิงชิมแปนซี(ซ้าย) A.afarensis(กลาง) และมนุษย์ปัจจุบัน(ขวา)

คาดว่าออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส น่าจะสืบเชื้อสายมาจาก ออสตราโลพิเธคคัส แอนาเมนซิส และน่าจะเป็น บรรพบุรุษของ มนุษย์ สปีชีส์ถัดมาเกือบทั้งหมด
ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส มีชีวิตอยู่ ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลง ของภูมิอากาศบนโลก สภาพพื้นที่ แห้งแล้งมากขึ้นเรื่อยๆ ผืนป่าลดลด กลายเป็นทุ่งหญ้า อาหารของลิงใหญ่ตามต้นไม้ในป่า เริ่มขาดแคลน ความสามารถเดิน 2 ขา ของ ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส เป็นประโยชน์ ในการไปหากินตามทุ่งหญ้า และการย้ายจากป่าหนึ่ง ไปอีกป่าหนึ่ง
ช่วงนี้เองที่คาดว่า ทำให้เกิด วิวัฒนาการของมนุษย์ ความสามารถในการเดิน 2 ขา มือที่ว่างสามารถหยิบจับ อาหาร และการใช้เครื่องมือ มีการพัฒนาการของสมอง สามารถวิวัฒนาการเข้าสู่ ความเป็นมนุษย์ ในที่สุด แต่คงไม่สามารถ เกิดขึ้นได้ทั้งหมด ในช่วงเวลาสั้นๆ ในช่วงชีวิตของ ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส

รายละเอียดการค้นพบ ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส (Australopithcus afarensis)
 ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส (Australopithcus afarensis) ค้นพบโดย โดนัลด์ โจฮานสัน (Donald Johanson) และผู้ร่วมงาน ที่ประเทศเอธิโอเปีย ทวีปแอฟริกา (site:Hardar) เมื่อปี 1974 ช่วงเวลาประมาณ 20 ปี หลังจากนั้น ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส ก็เป็นสปีชีส์ เก่าแก่ที่สุดของ บรรพบุรุษของมนุษย์ ที่เรารู้จัก (จนกระทั่งมีการค้นพบ A.anamensis และ A.ramidus ซึ่งเก่าแก่ยิ่งกว่า)

ในช่วงปี'70s มีการตามหาซากฟอสซิล ที่แสดงรอยต่อ ของวิวัฒนาการ จากลิงใหญ่ มาสู่มนุษย์ โดยคาดว่าน่าจะเกิดขึ้น ที่ทวีปแอฟริกา ทีมงานของโดนัลด์ โจฮานสัน ซึ่งขุดค้นอยู่ที่ ฮาร์ดาร์ ในเดือนตุลาคม ปี1974 ได้ค้นพบฟอสซิล ที่สมบูรณ์ถึง 40% มีลักษณะรูปร่างแบบลิงใหญ่ แต่พบกระดูกเชิงกราน และเข่า ซึ่งแสดงถึง ความสามารถ เดิน 2 ขา ได้อย่างมนุษย์ปัจจุบัน เขาตั้งชื่อซากฟอสซิลนั้นว่า ลูซี่ (Lucy) มาจากเพลง Lucy in the sky with daimonds ของ The Beatles ซึ่งเปิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในค่ายพักช่วงนั้น เขาเรียกชื่อสปีชีส์ ว่า ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส (Australopithcus afarensis) จึงนับเป็นการเริ่ม บทใหม่ที่สำคัญ ในการศึกษาวิวัฒนาการของมนุษย์

 ฟอสซอลของลูซี่ บริเวณใบหน้าขาดหายไป และซากฟอสซิลของ ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส ที่พบก็มีขนาดโครงร่างที่แตกต่างกัน บ้างใหญ่บ้างเล็ก มีหลายคนถกเถียงกันว่า น่าจะเป็นฟอสซิล ของอย่างน้อย 2 สปีชีส์ หรือเป็นขนาด ที่แตกต่างกัน ระหว่างเพศชาย และหญิง
ดังนั้นงานต่อไปของ โดนัลด์ โจฮานสัน ก็คือต้องหา ฟอสซิล กระโหลกศรีษะ ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ของ ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส อันจะเป็นส่วนสำคัญที่บอก รายละเอียดของสปีชีส์ เขาทำได้สำเร็จในปี 1992 ทำให้เราทราบ ลักษณะใบหน้าของ ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส และฟอสซิลกระโหลก ของ ทั้ง 2 เพศที่มีขนาดโครงร่าง ชายใหญ่กว่าหญิง ก็บอกถึงลักษณะ Sexual Dimorphism ซึ่งพบได้ใน ลิงใหญ่ และ บรรพบุรุษของมนุษย์ยุคแรกๆ วิวัฒนาการของมนุษย์
สายพันธุ์มนุษย์ ที่เพิ่งค้นพบล่าสุด
ออสตราโลพิเธคคัส การี (Australopithecus garhi)

ออสตราโลพิเธคคัส การี(Australopithcus garhi) เป็นสายพันธุ์มนุษย์ ที่เพิ่งค้นพบล่าสุด มีชีวิตอยู่บนโลก เมื่อประมาณ 2ล้าน 5แสนปีก่อน เป็นบรรพบุรุษ ของมนุษย์ พวกแรก ที่เริ่มมีขายาวแบบมนุษย์ และเริ่มใช้ เครื่องมือทำจากหิน ตัดเนื้อสัตว์เป็นอาหาร
 

การที่ออสตราโลพิเธคคัส การี มีสัดส่วนของขา ยาวขึ้นแบบมนุษย์ แต่ยังคงมี สัดส่วนของแขน ยาวแบบลิง ทำให้เราสันนิษฐานได้ว่า วิวัฒนาการในส่วนแขนและขา ของมนุษย์ น่าจะเป็นไปในอย่างน้อย 2ขั้นตอน คือ
ขั้นตอนหนึ่ง เมื่อเริ่มเดิน 2ขา มีวิวัฒนาการของขา ยาวขึ้นแบบมนุษย์
ขั้นตอนถัดไป เมื่อลดการปีนป่ายตามต้นไม้ลง มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วน ของความยาวแขน
 

เนื่องจากขุดพบ เครื่องมือหินเก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยค้นพบ และฟอสซิล กระดูกสัตว์ถูกขูด และทุบด้วยเครื่องมือหิน ที่ชั้นหินอายุ 2ล้าน 5แสนปี ใกล้บริเวณ ที่พบฟอสซิล ของ ออสตราโลพิเธคคัส การี
จึงคาดว่าออสตราโลพิเธคคัส การี น่าจะเป็นพวกแรก ในสายวิวัฒนาการ ของมนุษย์ ที่สามารถใช้เครื่องมือหิน ทุบกระดูกสัตว์ เพื่อกินไขกระดูกภายใน นับเป็นหลักฐาน เก่าแก่ที่สุด แสดงถึงการเปลี่ยนพฤติกรรม การกินของ บรรพบุรุษมนุษย์ เมื่อ 2ล้าน 5แสนปีก่อน
ไขกระดูกเป็นโปรตีน ที่มีคุณค่าทางอาหารสูง ช่วยให้สมอง พัฒนาและใหญ่ขึ้น จนสามารถ วิวัฒนาการเป็นบรรพบุรุษ ของมนุษย์ในยุคต่อๆมา
ออสตราโลพิเธคคัส การี มีสมองเล็กเพียง 450cc (สมองมนุษย์ปัจจุบัน มีขนาด ~1400cc) มีฟันที่ค่อนข้างใหญ่ โดยเฉพาะฟันกราม คาดว่าขนาดร่างกาย น่าจะใหญ่กว่า ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส (คะเนจากขนาด ของกระโหลก ศีรษะ)
สิ่งแวดล้อมในบริเวณที่พบ ออสตราโลพิเธคคัส การี ในสมัยนั้น มีลักษณะเป็นขอบของทุ่งหญ้ากว้าง ริมทะเลสาบน้ำจืดตื้นๆ

เป็นไปได้ว่า ออสตราโลพิเธคคัส การี สืบเชื้อสายมาจาก ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส (3-3.9 ล้านปีก่อน) และวิวัฒนาการต่อไปเป็น มนุษย์ ในจีนัสโฮโม

รายละเอียดการค้นพบ ออสตราโลพิเธคคัส การี
(Australopithcus garhi)

ช่วงก่อนปี 1999 เราทราบเพียงว่า ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส (A.afarensis สปีชีส์ของลูซี่ สูญพันธุ์ไปเมื่อ 3ล้านปีก่อน) วิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์ ในจีนัสโฮโม (ซึ่งเคยเชื่อว่าเป็นพวกแรก ที่รู้จักใช้เครื่องมือหิน)
ซากฟอสซิล ส่วนใหญ่ พบที่แอฟริกาตะวันออก ฟอสซิลของมนุษย์ ชิ้นที่มีอายุ 2-3 ล้านปีพบค่อนข้างน้อย ที่พบส่วนใหญ่ ก็ไม่สามารถ กำหนดอายุได้แน่ชัด และมักพบเฉพาะ ในบริเวณแอฟริกาใต้

ในปี 1996 ทิม ดี. ไวท์ (Tim D. White) และทีมงาน (University of California at Berkeley) ขุดค้นอยู่ที่เอธิโอเปีย บริเวณแอฟริกา ตะวันออก ได้ค้นพบฟอสซิล กระดูกแขน และขา อายุ 2.5ล้านปี กระดูกต้นขายาวกว่าของ A.afarensis แสดงว่าสัดส่วนของขา เริ่มยาวออก ตั้งแต่กว่า 1ล้านปี ก่อนที่แขนจะสั้นลง จนเป็นสัดส่วนของแขนขา แบบมนุษย์ปัจจุบัน แต่เนื่องจาก ซากฟอสซิล ที่ไม่สมบูรณ์ เขาไม่สามารถจำแนก สปีชีส์ของมนุษย์ในยุคนั้นได้

นอกจากนี้ เขายังพบ ฟอสซิลอายุ 2.5ล้านปี จากบริเวณใกล้เคียง เป็นกระดูกสัตว์มีรอยขูด ที่เกิดได้จาก เครื่องมือหินเท่านั้น และนักสำรวจ อีกชุด (the Royal Institute of Natural Science in Belgium) ได้พบเครื่องมือหินอายุ 2.5ล้านปี จากจุดที่ ห่างออกไปเล็กน้อย แม้จะไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า ใครเป็นผู้ที่ใช้ เครื่องมือหินเหล่านี้ แต่ก็เป็น หลักฐานเก่าแก่ที่สุด ว่ามีการใช้เครื่องมือ หินตั้งแต่ 2.5ล้านปีก่อน

ต่อมาในปี 1997 Yohannes Haile-Selassie (University of California at Berkeley) พบฟอสซิล กระโหลกศีรษะอายุ 2.5ล้านปี จากพื้นที่ใกล้เคียง เนื่องจากมันแตก เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และติดแน่น ด้วยคาร์บอเนต การทำความสะอาด ต้องใช้เวลานานหลายเดือน
Berhane Asfaw และทีมงาน ได้ศึกษาซากฟอสซิลอย่างละเอียด แล้วเขาก็พบสิ่งที่น่าประหลาดใจคือ ฟันของซากฟอสซิล โดยเฉพาะฟันกราม มีขนาดใหญ่กว่า ของA.afarensis แต่ใบหน้ายื่น และ ส่วนที่คลุมสมองเล็ก กว่ามนุษย์ในจีนัสโฮโม เป็นลักษณะผสม ที่ไม่เคยได้พบ ในมนุษย์สายพันธุ์ใด มาก่อน เขาเรียกชื่อสปีชีส์ใหม่นี้ว่า ออสตราโลพิเธคคัส การี (Australopithcus garhi) มาจาก garhi ในภาษาอฟาร์ แปลว่าประหลาดใจ (surprise) ประกาศลงในวารสาร Science ฉบับเดือนเมษายน ปี1999
IP : บันทึกการเข้า
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 04 เมษายน 2012, 21:10:16 »

นี่ละ..ที่กำบ่าเก่าเปิ้นว่า....ผ่อแม่ยิงงาม..หื้อผ่อเมื่อยามไปหาปล๋า....ผ่อคนมีผญ๋า...หื้อผ่อเมื่อกิ๋นเหล้า..เมาเหล้า ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
ขอบคุงที่ชม...หลงตัวเองแล้วเนี่ย..อิอิอิ
IP : บันทึกการเข้า
Fary_dotta
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 04 เมษายน 2012, 21:13:50 »



มีสาระด้วยคนเน้ออออ   (เเซวๆๆๆบ่าดายเน้อออ)
 อิอิ

ข้อเสียของการดื่มแอลกอฮอล์   
                1. ทำให้เกิดความประมาท    เมื่อดื่มเหล้าเข้าไป  ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะทำให้ไม่สามารถควบคุมประสาทและ
สมองให้สั่งการได้ทันเวลา  ด้วยเหตุนี้เหล้าจึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายและรุนแรง  เช่น  อุบัติเหตุในการจราจร
ตกจากที่สูง  ถูกของมีคม หรืออุบัติเหตุในโรงงานต่าง ๆ
 
               2.  ขาดสติยั้งคิด เมื่อ “ดื่ม” แอลกอฮอล์จะไปกดสมองส่วนที่ควบคุมความคิด    และสมองส่วนที่คอยยับยั้งให้มี
ความระมัดระวังทำให้คน ๆ นั้นไม่สามารถควบคุมตนเองได้อีกต่อไป     และกล้าทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสมได้ทุกเรื่อง  เช่น  ก่อการ
ทะเลาะวิวาท  ทำร้ายร่างกายคนใกล้ชิด (ทั้งเพื่อนฝูง  ภรรยาและลูก)
 
               3. สร้างความแตกร้าวในครอบครัว  บางกรณีถึงขั้นหย่าร้าง  หรือครอบครัวล่มสลาย  ที่สำคัญและรุนแรงยิ่ง
กว่านั้นคือ การไปมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัยกับหญิงอื่น  แล้วนำเชื้อเอดส์มาติดภรรยาและลูก
 
               4. สร้างความทุกข์ให้ผู้อื่น  บ้านไหนมีลูกหรือพ่อบ้านเป็นนักดื่ม  ย่อมสร้างความทุกข์  ความเศร้าหมองให้กับผู้
เกี่ยวข้องอย่างแน่นอน  ยิ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวก็ยิ่งมีผลกระทบมาก  เพราะลูกและภรรยาอาจหมดความนับถือ ขาดความมั่นคง
ทางจิตใจ แล้วหันไปหาทางออกที่ผิด ๆ แบบที่เราเห็นตัวอย่างมากมายในสังคม
 
               5. ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น  น้ำเมาเป็นเครื่องดื่มที่ราคาแพง และค่าใช้จ่ายนี้ก็สูญเปล่าโดยไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย  โดย
เฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวที่ยากจนอยู่แล้วก็ยิ่งมีปัญหาเดือดร้อนเรื่องเงินทองมากขึ้นไปอีกหลายเท่า
 
               6. บั่นทอนสุขภาพ  ปัจจุบันเหล้าได้รับการขนานนามจากนักวิชาการว่าเป็น “เครื่องดื่มอายุสั้น”  เพราะแอลกอฮอล์
์ในเหล้ามีฤทธิ์ทำลายอวัยวะทุกส่วนของร่างกายที่มันไหลผ่านตั้งแต่ช่องปากและคอกระเพาะอาหาร  ตับ  ไต  หัวใจ  สมอง  ระบบ
สืบพันธุ์  ผิวหนังและหลอดเลือด
 
               7.  ขาดสารอาหาร   การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก่อให้เกิดอาการขาดสารอาหาร    และส่งผลในระยะยาวต่อ
อวัยวะสำคัญของร่างกาย  เช่น  มีผลต่อการทำงานของตับอ่อน   การทำงานของระบบสมอง  ก่อให้เกิดผลเสียต่อระบบประสาท
 
               8. เป็นโรคซึมเศร้า เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตา ย  ผู้ที่ติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เรื้อรัง   มีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้า และ
เสี่ยงฆ่าตัวตายสูงกว่าคนไม่ดื่ม
 
IP : บันทึกการเข้า
>_อนัตตา_<
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,365



« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 04 เมษายน 2012, 21:19:14 »

น่าจะเมาบ่อย ๆ น่ะค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ แลบลิ้น ยิ้มกว้างๆ ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 04 เมษายน 2012, 21:21:32 »

หัวใจ (อังกฤษ: Heart) ในกายวิภาคศาสตร์ของสัตว์มีกระดูกสันหลัง เป็นอวัยวะสำหรับการสูบฉีดเลือดไปยังส่วนต่างๆของร่างกายโดยอาศัยโครงสร้างของกล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac muscle) และระบบนำไฟฟ้า (conduction system) ภายในหัวใจซึ่งสร้างและควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ

หัวใจวางตัวอยู่ในบรินกลางของช่องอก ในบริเวณที่เรียกว่า เมดิแอสไตนัมส่วนกลาง (middle mediastinum) ซึ่งเป็นบริเวณที่ถูกขนาบข้างด้วยปอด และมีหลอดเลือดแดงใหญ่และหลอดอาหารวางอยู่ใต้หัวใจ นอกจากนี้หัวใจยังถูกห่อหุ้มโดยเยื่อบางๆ เรียกว่า เยื่อหุ้มหัวใจ (pericardium) ซึ่งช่วยลดแรงเสียดทานระหว่างการเต้นของหัวใจ นอกจากนี้หัวใจยังมีระบบหลอดเลือดเฉพาะ ซึ่งเรียกว่า ระบบหลอดเลือดหัวใจ (coronary system) ซึ่งไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจโดยตรง

ในศัพท์ทางการแพทย์ หัวใจและโครงสร้างที่เกี่ยวกับหัวใจจะใช้คำ Cardio- มาจาก kardia ซึ่งหมายถึงหัวใจในภาษากรีก

โครงสร้างและพื้นผิวของหัวใจสำหรับในร่างกายมนุษย์ หัวใจจะวางตัวอยู่ในช่องอกและเยื้องไปทางซ้ายเล็กน้อย ในผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพสมบูรณ์ หัวใจจะมีน้ำหนักประมาณ 250-350 กรัม และมีขนาดประมาณสามในสี่ของกำปั้น แต่ในกรณีของผู้ป่วยโรคหัวใจโต (cardiac hypertrophy) น้ำหนักของหัวใจอาจมากถึง 1000 กรัม หัวใจคนเรานั้นมี4ห้องคือ2ห้องบนและ2ห้องล่าง

บนพื้นผิวของหัวใจจะมีร่องหัวใจ (cardiac grooves) ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการวางตัวของหลอดเลือดหัวใจ ร่องหัวใจที่สำคัญได้แก่

ร่องโคโรนารี (Coronary grooves) หรือร่องเอตริโอเวนตริคิวลาร์ (atrioventricular groove) เป็นร่องที่อยู่ระหว่างหัวใจห้องบน (atria) และหัวใจห้องล่าง (ventricle) ร่องนี้จะเป็นที่วางตัวของแอ่งเลือดโคโรนารี (coronary sinus) ทางพื้นผิวด้านหลังของหัวใจ
ร่องอินเตอร์เวนตริคิวลาร์ด้านหน้า (Anterior interventricular groove) เป็นร่องที่แบ่งระหว่างหัวใจห้องซ้ายและหัวใจห้องขวาทางด้านหน้า และจะมีแขนงใหญ่ของหลอดเลือดแดงโคโรนารีด้านซ้าย (left coronary artery) วางอยู่
ร่องอินเตอร์เวนตริคิวลาร์ด้านหลัง (Posterior interventricular groove) เป็นร่องที่แบ่งหัวใจระหว่างห้องซ้ายและห้องขวาทางด้านหลัง ส่วนใหญ่จะพบว่ามีแขนงของหลอดเลือดแดงโคโรนารีด้านขวา (right coronary artery) วางอยู่
ผนังหัวใจผนังของหัวใจประกอบด้วยเนื้อเยื่อสามชั้น ได้แก่

เยื่อหุ้มหัวใจชั้นใน (Epicardium) เป็นชั้นที่ติดต่อกับเยื่อหุ้มหัวใจด้านที่ติดกับหัวใจ (Visceral layer of pericardium) ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่เหนียวและแข็งแรง
กล้ามเนื้อหัวใจ (Myocardium) เป็นชั้นที่มีความหนามากที่สุด และประกอบด้วยกล้ามเนื้อหัวใจเกือบทั้งหมด
เยื่อบุหัวใจ (Endocardium) เป็นชั้นบางๆที่เจริญมาจากเซลล์เยื่อบุหลอดเลือด

ห้องหัวใจ  
โครงสร้างภายในของหัวใจห้องขวา
โครงสร้างภายในของหัวใจห้องซ้ายหัวใจจะถูกแบ่งออกเป็นสี่ห้อง (heart chambers) และทิศทางการไหลของเลือดเข้าสู่แต่ละห้องจะถูกควบคุมโดยลิ้นหัวใจ (cardiac valves) ทำให้เลือดไม่ไหลย้อนเมื่อมีการบีบตัวและคลายตัว ในที่นี้จะกล่าวถึงห้องของหัวใจตามลำดับของการไหลของเลือดภายในหัวใจ

หัวใจห้องบนขวาหัวใจห้องบนขวา (Right atrium) มีหน้าที่รับเลือดที่มาจากหลอดเลือดดำใหญ่ซุพีเรียเวนาคาวา (superior vena cava) ซึ่งรับเลือดมาจากร่างกายส่วนบน และหลอดเลือดดำใหญ่อินฟีเรียร์เวนาคาวา (Inferior vena cava) รับเลือดมาจากร่างกายช่วงล่าง ผนังของหัวใจห้องนี้ค่อนข้างบาง โดยเฉพาะทางด้านที่ติดกับหัวใจห้องบนซ้าย จะมีรอยบุ๋มที่เรียกว่า ฟอซซา โอวาเล (Fossa ovale) ซึ่งเป็นทางเชื่อมระหว่างหัวใจห้องบนทั้งสองห้องระหว่างที่อยู่ในครรภ์ โดยปกติจะไม่มีช่องเปิดใดๆ แต่ในกรณีที่รอยบุ๋มดังกล่าวนี้ยังคงเหลือช่องเปิดอยู่ อาจทำให้การไหลเวียนของเลือดภายในหัวใจผิดปกติได้ เลือดจากหัวใจห้องบนขวาจะไหลเข้าสู่หัวใจห้องล่างขวา ผ่านทางลิ้นหัวใจไทรคัสปิด (Tricuspid valve)

หัวใจห้องล่างขวาหัวใจห้องล่างขวา (Right ventricle) จะอยู่ทางด้านหน้าสุดของหัวใจ และพื้นผิวทางด้านหลังของหัวใจห้องนี้จะติดกับกะบังลม หัวใจห้องล่างขวาทำหน้าที่รับเลือดจากหัวใจห้องบนขวา แล้วส่งออกไปยังปอด ผ่านลิ้นหัวใจพัลโมนารี (pulmonary valve) และหลอดเลือดแดงพัลโมนารี (pulmonary arteries) ที่ผนังของหัวใจห้องที่จะมีแนวของกล้ามเนื้อหัวใจที่สานต่อกัน และมีเอ็นเล็กๆที่ควบคุมลิ้นหัวใจไทรคัสปิด ซึ่งเรียกว่า คอร์ดี เท็นดินี (chordae tendinae) ซึ่งทำหน้าที่ยึดลิ้นหัวใจไทรคัสปิดไม่ให้ตลบขึ้นไปทางหัวใจห้องบนขวาระหว่างการบีบตัวของหัวใจห้องล่าง ดังนั้นจึงป้องกันไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ

หัวใจห้องบนซ้ายหัวใจห้องบนซ้าย (Left atrium) มีขนาดเล็กที่สุดในห้องหัวใจทั้งสี่ห้อง และวางตัวอยู่ทางด้านหลังสุด โดยหัวใจห้องนี้จะรับเลือดที่ได้รับออกซิเจนจากปอดผ่านทางหลอดเลือดแดงพัลโมนารี (pulmonary veins) และจึงส่งผ่านให้หัวใจห้องล่างซ้ายทางลิ้นไมทรัล (Mitral valve)

หัวใจห้องล่างซ้ายหัวใจห้องล่างซ้าย (Left ventricle) จัดว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดและมีผนังหนาที่สุด ทำหน้าที่หลักในการสูบฉีดเลือดไปยังทั่วทั้งร่างกายผ่านทางลิ้นหัวใจเอออร์ติก (Aortic valve) และหลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ตา (Aorta)

ลิ้นหัวใจ
ภาพตัดตรงของหัวใจ แสดงผนังของหัวใจและตำแหน่งของลิ้นหัวใจลิ้นหัวใจเป็นแผ่นของกล้ามเนื้อหัวใจและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่แข็งแรงที่ยื่นออกมาจากผนังของหัวใจ เพื่อควบคุมทิศทางการไหลของเลือดภายในหัวใจ ให้เป็นไปในทิศทางเดียว โดยอาศัยความแตกต่างของความดันโลหิตในแต่ละห้อง ลิ้นหัวใจที่สำคัญได้แก่

ลิ้นหัวใจไทรคัสปิด (Tricuspid valve) มีสามกลีบ (cusps) อยู่ระหว่างหัวใจห้องบนขวาและล่างขวา
ลิ้นไมทรัล (Mitral valve) มีสองกลีบ บางครั้งจึงเรียกว่า ลิ้นหัวใจไบคัสปิด (bicuspid valve) อยู่ระหว่างหัวใจห้องบนซ้ายและล่างซ้าย
ลิ้นหัวใจพัลโมนารีเซมิลูนาร์ (pulmonary semilunar valve) มีสามกลีบ อยู่ระหว่างหัวใจห้องล่างขวาและหลอดเลือดแดงพัลโมนารี
ลิ้นหัวใจเอออร์ติกเซมิลูนาร์ (Aortic semilunar valve) มีสามกลีบ อยู่ระหว่างหัวใจห้องล่างซ้ายและหลอดเลือดแดงใหญ่ ใกล้ๆกับโคนของลิ้นหัวใจนี้จะมีรูเปิดเล็กๆ ซึ่งเป็นทางเข้าของเลือดที่จะเข้าสู่ระบบหลอดเลือดหัวใจ

ระบบนำไฟฟ้าของหัวใจ
ภาพวาดแสดงเอวีโนด และแนวของบันเดิล ออฟ ฮิสคุณสมบัติประการหนึ่งที่น่าสนใจของหัวใจ คือการที่กล้ามเนื้อหัวใจสามารถกระตุ้นการทำงานได้ด้วยตัวเอง โดยอาศัยระบบนำไฟฟ้า (conduction system) ภายในผนังของหัวใจ โครงสร้างที่สำคัญของระบบนำไฟฟ้าของหัวใจได้แก่

ไซโนเอเตรียลโนด (Sinaoatrial node) หรือเอสเอโนด (SA node) เป็นกลุ่มของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจที่มีการเปลี่ยนรูปไปเป็นเซลล์ของระบบนำไฟฟ้า โดยอยู่ในผนังของหัวใจห้องบนขวา เอสเอโนดทำหน้าที่เป็นตัวเริ่มต้นในการส่งกระแสไฟฟ้าไปตามกล้ามเนื้อหัวใจห้องบน ด้วยความถี่ประมาณ 60-70 ครั้งต่อนาที
เอตริโอเวนตริคิวลาร์โนด (Atrioventricular node) หรือเอวีโนด (AV node) อยู่ระหว่างหัวใจห้องบนและห้องล่าง โดยจะรับกระแสไฟฟ้าที่ส่งมาตามหัวใจห้องบน แล้วจึงนำกระแสไฟฟ้าส่งลงไปยังหัวใจห้องล่างผ่านทางเส้นใยนำไฟฟ้าที่อยู่ในผนังกั้นหัวใจห้องล่างขวาและล่างซ้าย ซึ่งเรียกว่า บันเดิล ออฟ ฮิส (Bundle of His) และนำกระแสไฟฟ้าเข้าสู่หัวใจห้องล่างทางเส้นใยปัวคินเจ (Purkinje fiber) นอกจากนี้ในกรณีที่เอสเอโนดไม่สามารถกระตุ้นหัวใจได้ เอวีโนดจะทำหน้าที่เป็นตัวเริ่มต้นแทน


หวังว่าท่านผู้อ่านจะได้สาระความรู้จากบทความดีๆนี้นะครับ.



* 220px-Gray498.png (58.21 KB, 220x193 - ดู 259 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 04 เมษายน 2012, 21:26:28 โดย สบายแมน » IP : บันทึกการเข้า
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 04 เมษายน 2012, 21:24:28 »

แหล่มๆ...น้องรัก
ประวัติศาสตร์โลกกับ


จูเลียส ซีซาร์ หรือชื่อเต็มว่า ไกอัส จูเลียส ซีซาร์ เกิดเมื่อวันที่ 12 กรกฏาคม 102 ปีก่อน ค.ศ. ในครอบครัวร่ำรวยแห่งโรมัน ตอนนั้นสาธารณรัฐโรมันตกอยู่ในวิกฤตการณ์เลวร้ายหลังสงครามพิวนิคครั้งที่ 2 ประชาชนตกอยู่ในความยากจนและไม่สามัคคีกัน แต่ทั้งที่ไม่ค่อยสามัคคีกัน ก็ยังมีการก่อขบถต่อต้านรัฐอยู่เนืองๆจนรัฐเองก็หวั่งไหว ข้างฝ่ายชนชั้นนักปกครองแทนที่จะเอาใจใส่บ้านเมือง หาทางจัดการกับปัญหาร้อยแปดที่แวดล้อมอยู่ กลับแข่งขันแย่งชินอำนาจกันเอง เหตุการณ์รุมเร้ามากมายขนาดนี้ ข้าราชการชั้นรองก็ไม่มีเอกภาพพอที่จะประสานรอยร้าวต่างๆได้ โอกาสรอดทางเดียวของโรมต้องมีระบบการปกครองแบบใหม่ๆและต้องนำโดยผู้นำที่มีความสามารถพอเท่านั้น
     จูเลียส ซีซาร์เป็นผู้ที่ไต่เต้าขึ้นมาตามหน้าที่ทางการเมืองระดับต่างๆ ดังเช่น หนุ่มโรมันที่กระตือรือร้นทั้งหลาย ซีซาร์ได้รับเลือกให้เป็นผู้กำกับดูแลด้านการเงินของรัฐในปี 68-69 ก่อนคริสตกาล, ถูกรับเลือกเป็นเพรเตอร์ในปี 62 ก่อนคริสตกาล, เป็นผู้ว่าการสเปนที่อยู่ห่างไกลเมื่อปี 61-60 ก่อนคริสตกาล และเป็นกงสุลในปี 59 ก่อนคริสตกาล ซีซาร์จึงกล้าที่จะร่วมจัดตั้ง "คณะไตรมิตร"(The First Triumvirate) ขึ้นปกครองโรมันด้วยเสียงสนับสนุนของสภาซีเนทเป็นครั้งแรกในปีนั้น คณะไตรมิตรประกอบด้วย จูเลียส ซีซาร์, ปอมเปย์ และคราสซุส สองคนหลังเป็นนายพลเช่นเดียวกับซีซาร์

ปอมเปย์
     ปีต่อมา ซีซาร์ได้รับเลือกเป็นแม่ทัพยกพลออกไปรบกับพวกกอล สงครามคราวนี้ซีซาร์ตีเมืองเล็กเมืองน้อยมาอยู่ในอาณัติของโรมมากมาย การชนะศึกทำให้ฐานะของเขาร่ำรวยขึ้น และที่สำคัญมีศักยภาพมากขึ้นจนสามารถเสนองงบประมาณขยายกองทัพออกไปอย่างใจหวังได้
     ยิ่งมีกองทัพเข้าข้างซีซาร์ใหญ่ขึ้น อำนาจของซีซาร์ก็มากขึ้น แต่ก็ทำให้เขาต้องรบกับศัตรูมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ที่สำคัญศัตรูที่น่ากลัวที่สุดกลับไม่ใช่ศัตรูภายนอกอย่างเดียว แต่เป็นศัตรูภายในต่างหากที่ทำให้เขาต้งอเหนื่อยเป็นหลายเท่า ศัตรูที่ว่านั้นก็คือ อีกสองคนในคณะไตรมิตรที่ร่วมกันตั้งการปกครองแบบใหม่ขึ้นมาด้วยกัน ทั้งปอมเปย์, คราสซุส และซีซาร์ ต่างไม่ค่อยลงรอยกันในการปกครองบ้านเมืองช่วงระยะหลัง จึงทำให้ต่างคนต่างหาทางเลื่อยขาเก้าอี้กัน
     ปี 49 ก่อนคริสตกาล ซีซาร์ ได้รับคำสั่งจากสภาซีเนท ให้ไปประจำอยู่ที่แคว้นซีซันไพน์ กอล และให้เคลื่อนทัพข้ามแม่น้ำรูบิคอน ภายใน 2-3 อาทิตย์ ผลก็คือ ซีซาร์ชนะศึกครอบครองอิตาลีทั้งหมด หลังจากนั้นเขาก็ทำสงครามกับปอมเปย์ในดินแดนของกรีซ ซีซาร์ได้ชัยชนะเป็นการขจัดปัญหาความขัดแย้งอย่างรุนแรงจากเรื่องที่ว่าโรมควรมีผู้ปกครองคนเดียว และซีซาร์ก็เห็นว่าตนควรได้รับตำแหน่งนั้น เนื่องจากมีขุมกำลังที่เพียงพอจะรวมโรมได้ ส่วนคราสซุสอีกไตรมิตรที่เหลือ ก็ถูกฆ่าตายในการรบ เมื่อปี 53 ก่อนคริสตกาลแล้ว

จูเลียส ซีซาร์








     จูเลียส ซีซาร์ เป็นคนที่ทะเยอทะยานมาก เขาทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกเมื่อต่อมาไม่นานเขาก็ได้รับเลือกเป็นผู้ชี้นำของโรม(Dictator - คำๆนี้ต่อมาระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 กลายเป็นคำที่ใช้เรียกผู้นำที่รวบอำนาจเบ็ดเสร็จหรือก็คือผู้นำเผด็จการ) ซีซาร์อยู่ในตำแหน่งนี้ถึง 10 ปี ต่อจากนั้นยังได้รับตำแหน่งผู้พิทักษ์จริยธรรม(Perfect Of Morals) อีก 3 ปี ตำแหน่งนี้ทำให้เขาได้รับความนับถือจากชาวโรมันเกือบทั้งหมด จูเลียส ซีซาร์ทำตัวให้เป็นที่นิยมเพื่อประโยชน์ที่เขาปรารถนาจะไปถึงในภายหน้าอาจจะเป็นตำแหน่งจักรพรรดิที่เขาไปไม่ถึงก็เป็นได้ เพราะแม้ว่าเขาพยายามจะสั่งสมอำนาจและบารมีมากขึ้นๆ ขนาดไหน เขาก็มีอุปสรรคเป็นศัตรูฝ่ายตรงข้ามเสมอ เวลาที่เขาน่้าจะรออะไรบางอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่แท้จริง เขาจะถูกขัดขวางด้วยการเดินทัพออกไปปราบปรามศัตรู ไม่ว่าจะเป็นศัตรูในสเปน ในคาบสมุทรอนาโตเลีย หรือศัตรูในแอฟรอกาเหนือ ทุกครั้ง ทว่าศึกเสือเหนือใต้ที่ว่าร้ายแล้ว กลับยังไม่น่ากลัวเท่าภัยจากศัตรู...ในรูปมิตร
     ข้อเสียของจูเลียส ซีซาร์ จนนำจุดจบมาให้ก็คือความเมตตาที่เขามีให้ศัตรูภายในพวกนี้ ทั้งๆที่เขาจับได้หลายหนว่ามีแผนลอบสังหารตน แต่เขาก็ยังนิ่งนอนใจ
     แผนลอบสังหารครั้งสุดท้ายจึงสัมฤทธิ์ผลในวันที่ 15 มีนาคม ปี 44 ก่อนคริสตกาล

ภาพเหตุการณ์ที่นำไปสู่ความตายของจูเลียส ซีซาร์


     ณ สภาซีเนท พวกก่อการไม่เห็นซีซาร์มาเสียที ก็ส่งบรูตุส ผู้ที่ซีซาร์เลี้ยงดูตั้งแต่เด็กมาตามถึงบ้าน ซีซาร์ก็ออกเดินทางตามไป และได้เผชิญหน้ากับกลุ่มมาตกรที่หน้าสภาซีเนทอย่างไม่รู้ตัว เพราะทุกคนเป็นเพื่อนที่รู้จักกันทั้งนั้น พวกเขายืนล้อมซีซาร์เป็นครึ่งวงกลมทำทีเหมือนจะชักชวนพูดคุยด้วยความชื่นชม แต่ทันใดนั้นทุกคนต่างก็ชักมีดออกมาจ้วงแทงจูเลียส ซีซาร์ไม่นับก่อนสิ้นลมเขาหันมาทางบรูตุสพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาประโยคสุดท้ายว่า "เจ้าก็ด้วยรึบรูตุส" บาดแผลที่ปรากฎบนศพของเขามีถึง 23 แผล
     ชีวิตอันแสนสั้นของบุรุษผู้เรืองนามแห่งโรม ซึ่งได้ปฎิรูปความเป็นไปตั้งแต่ส่วนยอด(จากนี้จะปกครองโดยจักรพรรดิที่ต้องได้เสียงสนับสนุนอย่างเพียงพอจากสภาซีเนท) ลงไปถึงส่วนล่าง(ที่เขาจัดชนชั้นกรรมาชีพขึ้นใหม่และเปลี่ยนแปลงการรับราชการทหาร) ได้ลบอำนาจของขุนนาง จนทำให้จักรวรรดิโรมันตะวันตกมั่นคงมาอีกกว่า 400 ปี(ส่วนจักรวรรดิโรมันตะวันออกมีอายุยาวนานกว่าจักรวรรดิโรมันตะวันตกนานมาก) ได้ทำให้อิทธิพลของโรมแผ่ขยายออกไปกว้างไกลแทบจะทั่วยุโรป ผลงานต่างๆเหล่านี้นับเป็นหนทางที่อุตส่าห์แผ้วถางมาตลอดชีวิตให้เป็นถนนราบเรียบ สู่การตั้งจักรพรรดิขึ้นปกครองโรมัน และจักรพรรดิองค์แรกที่น่าจะเป็นเขา น่าเสียดายว่าซีซาร์ไปไม่ถึงตำแหน่งจักรพรรดิ กลับตายซะก่อน

จักรพรรดิออกุสตุส




     ตำแหน่งจักรพรรดิที่จูเลียส ซีซาร์อุตส่าสร้างมาด้วยเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อของซีซาร์ก็ตกเป็นของอ๊อคตาเวียน(จักรพรรดิออกุสตุส) ผู้มีศักดิ์เป็นหลาน และลูกเลื้ยงของจูเลียส ซีซาร์
IP : บันทึกการเข้า
กาสะลอง
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 0



« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 04 เมษายน 2012, 22:41:34 »

"สะสารไม่มีวันหายไปจากโลก"
IP : บันทึกการเข้า
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« ตอบ #14 เมื่อ: วันที่ 04 เมษายน 2012, 23:24:44 »

"สะสารไม่มีวันหายไปจากโลก"
สมการสมดุล....ทุกอย่างเรื่มต้นมาจากความว่างเปล่า...ย่อมกลับเข้าไปสู่ความว่างเปล่า...จริงๆนะครับ...จากทฤษฎี..Bigbang....สสาร=ปฏิสสาร
IP : บันทึกการเข้า
เบียร์นุ่ม><”
Be used to Discouragement. But is never recede.
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,943



« ตอบ #15 เมื่อ: วันที่ 04 เมษายน 2012, 23:25:52 »

สาระจริงๆ
IP : บันทึกการเข้า

บธ.บ ท่องเที่ยว
Line : beernoomm
oatvoranat
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 746


กลุ่ม cbr150 เชียงราย


« ตอบ #16 เมื่อ: วันที่ 04 เมษายน 2012, 23:29:26 »

โหๆๆ เข้ามาดู ของจริง สาระ เน้นๆ ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

เชิญร่วมชมรม cbr150 club เชียงราย
platu
KnOwLedge ... iS ... PoweR !!!
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,274


.... Up to mE ....


« ตอบ #17 เมื่อ: วันที่ 05 เมษายน 2012, 12:44:35 »

อัจฉริยะแท้ๆ ขนาดเมายังสละเวลายกแก้วมาโพสต์ สาระเจงๆ เหอๆ แลบลิ้น แลบลิ้น ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า

N o t h i n g     d o e s n ' t     C h a n g e .
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« ตอบ #18 เมื่อ: วันที่ 05 เมษายน 2012, 18:36:18 »

อัจฉริยะแท้ๆ ขนาดเมายังสละเวลายกแก้วมาโพสต์ สาระเจงๆ เหอๆ แลบลิ้น แลบลิ้น ยิ้มกว้างๆ
ครายบอก...เอือก...มือซ้ายยกแก้ว...มือขวาพิมพ์....ตาซ้ายมองเวลาเทเหล้าขณะที่ตาขวามองดูหน้าจออ่านกระทู้...(คนหรือกิ้งก่าฟะกลอกตาซะแบบนี้)
IP : บันทึกการเข้า
platu
KnOwLedge ... iS ... PoweR !!!
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,274


.... Up to mE ....


« ตอบ #19 เมื่อ: วันที่ 06 เมษายน 2012, 12:38:32 »

อัจฉริยะแท้ๆ ขนาดเมายังสละเวลายกแก้วมาโพสต์ สาระเจงๆ เหอๆ แลบลิ้น แลบลิ้น ยิ้มกว้างๆ
ครายบอก...เอือก...มือซ้ายยกแก้ว...มือขวาพิมพ์....ตาซ้ายมองเวลาเทเหล้าขณะที่ตาขวามองดูหน้าจออ่านกระทู้...(คนหรือกิ้งก่าฟะกลอกตาซะแบบนี้)
เอ่อ ขยิบตา......นึกภาพตามแล้ว ไม่แน่ใจว่า เมา หรือพิการ(ทางสายตา) อิอิ ยิงฟันยิ้ม แลบลิ้น
IP : บันทึกการเข้า

N o t h i n g     d o e s n ' t     C h a n g e .
หน้า: [1] 2 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!