หนึ่งของขวัญจากพม่าแด่ 750 ปี เชียงราย : หรืออีกครึ่งทศวรรษภัยร้ายในสายน้ำกกจะมาเยือน?
สายน้ำกกเป็นเส้นเลือดหลักของลุ่มน้ำกกที่หล่อเลี้ยงผู้คนเมืองเชียงรายมากว่า 750 ปี แม่น้ำกกเริ่มต้นน้ำจากป่าในรัฐฉานประเทศพม่า ไหลผ่านเมืองก๊ก เมืองสาด เมืองยอนแล้วเข้าสู่ประเทศไทย ณ ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่แล้วไหลวกอ้อมผ่านตัวเมืองเชียงราย แล้วออกสู่แม่น้ำโขง ที่บ้านสบกก อ.เชียงแสน นับรวมความยาว 130 กม. ในไทย ส่วนในรัฐฉานยังไม่ชัดเจนในการสำรวจ
แม่น้ำกกตอนบนเป็นหุบดอยและเกาะแก่ง มีพื้นที่ราบน้อย แต่เมื่อเข้าสู่เขตเชียงรายแม่น้ำกกมีพื้นที่ลุ่มราบกว้างใหญ่ไปจนถึงแม่น้ำ โขง ด้วยที่มีดินดีน้ำชุ่มและอุดมด้วยทรัพยากรธรรมชาติในอดีต พญามังรายและผู้ติดตามจึงเลือกตั้งเมืองเชียงรายในปี พ.ศ. 1805 กระทั่งเป็นศูนย์กลางของแว่นแคว้นในเขตลุ่มน้ำกก คำ จัน ก่อนที่จะย้ายศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนาไปอยู่ที่เชียงใหม่ในลุ่มน้ำปิง
การท่องเที่ยวแบบล่องแพไม้ไผ่เปิดแม่น้ำกกสู่การท่องเที่ยวผจญภัยในยุคสมัยใหม่ ให้คนรู้จักเชียงรายและแม่น้ำกก กระทั่งเกิดเขื่อนกั้นแม่น้ำกกในตอนกลางล่างเมืองเชียงราย การท่องเที่ยวล่องแพก็หายไปพร้อมไม้ไผ่ในดอยต้นน้ำลดจำนวนลงมากเช่นกัน แต่แม่น้ำกกก็ยังเป็นสายน้ำอุปโภคบริโภคและการกษตรของคนเชียงรายตลอดมา
ในช่วงทศวรรษนี้ปี 2550 นี้ มีข่าวเล็ดลอดมาว่า บริษัทสระบุรีถ่านหินจำกัด เริ่มสำรวจถ่านหินในเขตแม่น้ำกกตอนบน ณ เมืองก๊ก (กกในสำเนียงไทย) แต่ผู้คนในลุ่มน้ำกกยังแทบไม่ได้ยินข่าวนี้ ต่อมาในช่วงเมษายน 2551 การรับรู้ของคนเชียงรายสะท้อนออกมาว่า เขาจะขนถ่านหินผ่านเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้ ส่วนข่าวมีว่า สระบุรีถ่านหินได้รับสัมปทานในการขุดถ่านหินลิกไนต์ที่เมืองก๊กจากรัฐบาล ทหารพม่า แล้วส่งออกมาประเทศไทยผ่านเชียงราย บริษัทฯ เสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ขอเปิดด่านชั่วคราวตรงข้ามหมู่บ้านเทิดไทย จังหวัดเชียงราย เพื่อนำเข้าถ่านหิน กรกฎาคม 2552 ตัวแทนชาวบ้านในนามชมรมท้องถิ่นไทย เขียนจดหมายร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และสภาทนายความแห่งประเทศไทย จัดเวทีสาธารณะเรื่องเส้นทางขนถ่านหิน โดยมีรองผู้ว่าฯ เข้าร่วมประชุม ณ ม.แม่ฟ้าหลวง ต่อมาเสียงสะท้อนของผู้นำชุมชน ชาวบ้าน นักแสดง ได้จัดกิจกรรมคัดค้านถนนขนส่งถ่านหิน ณ อนุสาวรีย์พญามังราย
ฝ่าย บริษัทฯ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอิตาเลี่ยน-ไทย เดินหน้าต่อ โดยพฤศจิกายน 2552 รัฐบาลไทยอนุมัติร่างบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้า Tariff MOU โครงการ มาย-กก โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) จะรับซื้อไฟฟ้าจำนวน ๓๖๙ เมกะวัตต์จากบริษัทอิตาเลี่ยน-ไทย ชาวบ้านและผู้นำชุมชนจาก 50หมู่บ้าน ยื่นหนังสือคัดค้านถนนขนส่งถ่านหินที่ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ต่อผู้ว่าฯ และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ต่อมาในเดือนมีนาคม โครงการโรงไฟฟ้าเมืองก๊กได้บรรจุในแผนการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าของไทย โดยจะเริ่มผลิตไฟฟ้าและส่งขายมาไทยในปี 2559 และผู้แทนจากบริษัทสระบุรีถ่านหิน ได้แจ้งในที่ประชุมอนุกรรมการของจังหวัดว่า ได้ยกเลิกโครงการที่จะสร้างถนนผ่านอำเภอแม่ฟ้าหลวง
ดูเหมือนว่า ภัยจากมลภาวะทางฝุ่นถ่านหินที่จะมาตามเส้นทางถนนเข้าสู่เชียงรายจะหมดไป แต่ภัยสารพิษจากเหมืองถ่านหินที่ลงมาตามกระแสน้ำตามลำน้ำกกจากเมืองก๊กซึ่ง อยู่ใกล้แม่น้ำจะไหลมาสู่เมืองเชียงรายให้เป็นของขวัญในบรรยากาศการเฉลิม ฉลองครบรอบ 750 ปี เมืองเชียงราย โดยของขวัญนี้น่าจะเดินทางมาถึงอย่างเร็วในปี 2559 ที่เหมืองและโรงไฟฟ้าถ่านหินเปิดทำการ
เมืองก๊กและเมืองเชียงรายฤาจะรอดภัยจากเหมืองถ่านหิน
ในวันที่ 21 กรกฎาคม 2554 ที่ผ่านมา เวทีสาธารณะ "750 ปี เชียงราย บนเส้นทางถ่านหินและสายน้ำแร่ : ผลกระทบจากเหมืองและโรงไฟฟ้าถ่านหินเมืองกก ประเทศพม่า" ณ วัดเจ็ดยอด เมืองเชียงราย โดยภาคประชาสังคมเชียงรายและกลุ่มฮักเมืองกก ได้เปิดเผยเอกสาร "ปกป้องเมืองก๊กให้ปลอดภัยจากเหมืองถ่านหิน" ในภาษาอังกฤษ ไทย ไทใหญ่และพม่า
เมืองก๊กเป็นชุมชนชาวไทใหญ่ ลาหู่ อาข่า กว่าพันคนทำเกษตรกรรมในที่ราบริมน้ำกกและบนดอย พื้นที่นี้เป็นเขตต่อสู้ระหว่างกองทัพรัฐบาลพม่ากับกองกำลังในพื้นที่อยู่ เป็นประจำ ในปี 2543 ทหารพม่าจึงสร้างฐานทัพเมืองก๊กอย่างเป็นทางการ และมีรายงานการละเมิดสิทธิประชาชนท้องถิ่นในระดับสูงและบ่อยครั้ง รวมทั้งได้นำกำลังเข้ามารักษาความปลอดภัยให้เหมืองถ่านหินด้วย ในเดือนมกราคม 2554 ผู้นำทหารในเขตเมืองกกได้เรียกผู้นำหมู่บ้านและชาวบ้านมาร่วมประชุมแล้วแจ้ง ให้ชาวบ้านวัดพื้นที่นาของตนเอง และในปลายมีนาคม 2554 ได้เรียกประชุมครั้งที่สองแล้วมีคำสั่งให้ชาวบ้านขายพื้นที่นาตอนใต้แม่น้ำ ตุดซึ่งเป็นแม่น้ำสาขาของแม่น้ำกกในเมืองก๊กให้กับบริษัทไทย ในราคาไร่ละไม่ถึง 240 บาท (20,000 จ๊าดต่อหนึ่งเอเคอร์) ชาวบ้านกว่า 80 ครอบครัวที่อยู่ตอนใต้ของเมืองก๊ก คือบ้านก๊กใต้ ก๊กกลาง และบ้านเวียง ถูกสั่งให้อพยพไปอยู่ทิศเหนือในพื้นที่จัดสรรใหม่ ใกล้บ้านปุ่งและบ้านหนองปูน โดยให้จับฉลากและไม่มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็น โดยพื้นที่เหล่านั้นไม่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก
รายงาน ยืนยันว่า บริษัทสระบุรีถ่านหินกับอิตาเลี่ยน-ไทย ได้สร้างแคมป์คนงานให้คนงานไทยกว่า 100 คน โดยคนงานชุดแรกทำการสำรวจเจาะเอาตัวอย่างถ่านหินรอบๆ เมืองก๊ก มาตั้งแต่ปี 2553 และได้ส่งเข้ามาทางท่าขี้เหล็กเพื่อทดสอบคุณภาพถ่านหินในไทยอยู่เป็นประจำ ทางรถบรรทุก คนงานชุดที่สองปรับปรุงเส้นทางถนนเพื่อการขนส่งถ่านหินจากเมืองก๊กไปด่านแม่ โจ๊ก ตรงข้าม อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย มีการจัดหาที่ดินเพื่อพักถ่านหินในพื้นที่ขนาดใหญ่ ชุดที่สามกำลังสำรวจรังวัดเตรียมก่อสร้างโรงไฟฟ้าในพื้นที่ทิศตะวันตกและทิศ ตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองก๊ก รถบรรทุกจำนวนมากนำหินทราย เหล็ก ปูนซีเมนต์จากไทยเข้าไปตั้งแต่เดือนเมษายน 2554
เหมืองถ่านหินเมืองก๊กเป็นเหมืองแบบเปิด มีลิกไนต์จำนวน 120 ล้านตันในเนื้อที่ 30 ตร.กม. บริษัทสระบุรีถ่านหินจำกัดได้รับสัมปทานให้ทำเหมืองแรกเริ่ม 10 ปี ต่อสัญญาได้ 5 ปีครั้ง จะส่งถ่านหินเข้ามาไทยวันละ 5,000 ตันต่อวัน 1.5 ล้านตันต่อปี แต่ต่อมาเมื่อชาวบ้าน ชุมชนท้องถิ่นและผู้นำท้องถิ่นในเชียงรายคัดค้านการขนส่งถ่านหินผ่านเขตท่อง เที่ยวในจังหวัดเชียงราย ทำให้โครงการฯ ปรับโครงการให้มีการสร้างโรงไฟฟ้าเหมืองถ่านหินในพื้นที่เมืองก๊กโดยตรง ซึ่งทำให้เห็นว่า ชาวเชียงรายน่าจะรอดพ้นจากภัยมลพิษทางฝุ่นและเสียงที่มากับรถบรรทุกจำนวนมาก ผ่านพื้นที่โดยตรง
โรงไฟฟ้าเหมืองถ่านหิน บริษัทอิตาเลี่ยน-ไทย จะสร้างขนาดกำลังการผลิต 405 เมกะวัตต์ จะขายไฟฟ้า 369 เมกะวัตต์ให้กับกฟผ. เป็นเวลามากกว่า 25 ปี ผ่านสายส่งขนาด 230 กิโลวัตต์ ระยะทาง 80 กม. เข้าทางจังหวัดเชียงราย คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2559 แน่นอนว่า ผลกระทบทางตรงจากโรงไฟฟ้าเหมืองถ่านหินเมืองก๊กย่อมส่งผลต่อคนเมืองก๊ก และประสบการณ์เหมืองถ่านหินแบบเปิดในรัฐฉาน ณ ถี่จี๊ก ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ใหญ่ที่สุดในพม่า ซึ่งชาวบ้านทนทุกข์จากกองขี้เถ้าถ่านหิน แม่น้ำทุ่งนาเป็นที่สะสมของสารพิษและมลภาวะทางอากาศ ชาวบ้านกว่าครึ่งในจำนวนประชากรประมาณ 12,000 คน ต้องรับเคราะห์อยู่ก็น่าจะฉายภาพให้คนเมืองก๊กรับรู้ได้เช่นกัน
แหล่งข่าวจากชาวไทใหญ่ผู้หนึ่งกล่าวว่า โรงงานไฟฟ้าต้องใช้น้ำจากแม่น้ำกกเป็นจำนวนมากในการผลิตไอน้ำเพื่อหมุน เครื่องกำเนิดไฟฟ้า น้ำทิ้งจากเหมืองและโรงไฟฟ้าจะปล่อยลงสู่แม่น้ำกก ทั้งมีความร้อนสูงและปนเปื้อนสารเคมีเป็นพิษหลายชนิด เช่น สารหนู ปรอท โครเมี่ยม และแคดเมี่ยม สารเหล่านี้จะทำลายระบบนิเวศแม่น้ำโขง รวมถึงคนท้ายน้ำอย่างเมืองเชียงราย น้ำประปาอุปโภคบริโภคก็จะมีสาพิษปนเปื้อน คนเชียงรายก็หลีกเลี่ยงผลกระทบทางอ้อมและเรื้อรังในระยะยาวไปไม่ได้เช่นกัน
รวมทั้งมีนักวิเคราะห์ที่เฝ้าสังเกตสถานการณ์ในรัฐฉาน ถามคำถามสำคัญว่า เมืองก๊กจะมีคนมาอยู่มากขึ้น เมืองสาด เมืองยอน ก็จะใหญ่ขึ้น ปัจจุบัน ทหาร ตำรวจพม่าและครอบครัวมีจำนวนมากกว่าชาวบ้านดั้งเดิมในเมืองก๊กอยู่แล้วใน ปัจจุบัน การต้องการน้ำจะเพิ่มมากขึ้น ทั้งการนำน้ำไปใช้ในโรงงานไฟฟ้าและกิจกรรมของเหมืองแร่ รวมทั้งป้อนให้เมืองต่างๆ โดยรอบ หากรัฐบาลทหารพม่าและนายทุนใหญ่สัญชาติไทยรวมกันสร้างเขื่อนที่อยู่เหนือ เมืองก๊กขึ้นไปในลำน้ำโขง แล้วเมืองเชียงรายจะเป็นอย่างไร?
นี่จึงเป็นของขวัญสำคัญที่รัฐทหารพม่าร่วมกับบริษัทก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ได้ชื่อ ว่าสัญชาติไทย ร่วมกันมอบของขวัญสำคัญให้คนเชียงรายในวาระครบ 750 ปี ในปี 2555 นี้ได้ขบคิด แล้วในอีกห้าปีข้างหน้าคือปี 2559 หากโรงไฟฟ้าเหมืองถ่านหินเดินหน้าได้ต่อไป โดยที่คนเชียงรายรู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัวและเป็นเรื่องภายในรัฐพม่า และเข้าใจเอาว่ารอดพ้นภัยจากเหมืองถ่านหินโดยตรงแล้ว โดยลืมไปว่า สายน้ำกกเป็นสายน้ำสองสัญชาติที่เชื่อมถึงชีวิตคนเมืองเชียงรายใช้อุปโภคและ บริโภคและการเกษตรอยู่ทุกวี่วัน รวมทั้งสายน้ำนี้ไหลไปเชื่อมกับสายน้ำโขงด้วย แล้วเมื่อสายน้ำคายพิษออกมา คนเชียงรายจะทำอย่างไร?
หรือ คนเชียงรายจะไม่ยอมรับของขวัญที่ยังไม่ถูกเปิดออกมาให้ชัดเจนชิ้นนี้ ในวาระครบรอบ 750 ปี เมืองเชียงราย ที่พญามังรายและคนรุ่นก่อนเพียรสร้างมาให้รุ่งเรืองจนปัจจุบัน หรือว่าจะปล่อยให้โรคจากสารพิษทางน้ำเกิดขึ้นกับลูกหลานเราในอนาคตในนามโรค ใหม่ครั้งแรกของโลกว่า "โรคเอ่อเจียงฮาย"แล้วชะตากรรมของเมืองเชียงรายขึ้นอยู่กับรัฐบาลทหารพม่าที่จัดการทรัพยากรลุ่มน้ำกกโดยไม่สนใจคนท้ายน้ำ
โรคนี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ขึ้นอยู่กับคนเจียงฮายทั้งหมดจะใส่ใจต่อเรื่องโรงไฟฟ้า เหมืองถ่านหินและต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนเมืองก๊กและคนรัฐฉานซึ่งเป็น เชื้อพันธุ์เครือญาติกันมาแต่ครั้งพญามังราย หรือไม่อย่างไร?
ที่มา :
http://www.mekonglover.com/article_info_mekong.asp?status=ArticleDetail&ArticleId=150ปะชาธรรม สถานีข่าวประชาชน