เดี๋ยวจะไปรวมเป็นเจ้าภาพครับ
อนุโมทนาสาธุครับ
ในโอกาศนี้ขอนำบทความคัดย่อมาลงพอให้ได้ปลื้มปีติในการบรรพชาเณรกัน
************************************************
อานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ ของการบรรพชาสามเณร
โดย สมชาย สมานวงศ์
หน่อไม้ไผ่ย่อมงอกออกมาเป็นกอไผ่ ให้ความร่มเย็น เป็นสุข และประดับประดาวัดวา อาคารบ้านเรือนฉันใด สามเณรก็เป็นเหล่ากอของสมณะ คือพระภิกษุ ซึ่งเป็นหนึ่งในพุทธบริษัท 4 ที่คอยปกปักรักษาพระพุทธศาสนาฉันนั้น
ถ้าไม่มีสามเณรก็ไม่มีพระภิกษุ ดุจไม่มีหน่อไผ่ก็ไม่มีกอไผ่ ฉันนั้น
การบวชเณร ปรากฏครั้งแรกเมื่อ ราหุลกุมาร ติดตามทูลขอทรัพย์สมบัติตามคำสั่งของผู้เป็นพระมารดา พระพุทธเจ้าทรงดำริว่า การให้ "อริยทรัพย์" ดีกว่าให้ทรัพย์ธรรมดา จึงรับสั่งให้พระสารีบุตรบวชให้ราหุลกุมาร
สามเณรราหุลบวชมาแล้วก็อยู่ในความดูแลของพระอุปัชฌาย์ คือ พระสารีบุตร ตามหน้าที่ในพระวินัย จนได้รับการยกย่องสรรเสริญถึงคุณสมบัติที่เป็นต้นแบบในทางสร้างสรรค์ 3 อย่าง คือ
1.เป็นผู้ว่าง่าย ไม่ถือตัวว่าเป็นโอรสของพระพุทธเจ้า
2.เป็นผู้ใฝ่การศึกษาอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่าเป็นผู้เลิศกว่าผู้อื่นในด้านผู้ใฝ่การศึกษา
3.เป็นผู้มีความเคารพและกตัญญูกตเวทีต่ออุปัชฌาย์อย่างยิ่ง เข้าตำราโบราณที่ว่า "ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น"
สามเณรราหุล นับเป็น "บิดา" ของสามเณรทั้งหลายในปัจจุบัน
ถัดจากนั้น ก็มีสามเณรทั้งในสมัยพุทธกาลและหลังพุทธกาลที่ควรจารึกไว้ให้ปรากฏเป็นทิฏฐานุคติ อีก 25 รูป มีสามเณรสังกิจ สามเณรบัณฑิต และสามเณรสุข เป็นต้น
(ผู้สนใจในรายละเอียดพึงหาอ่านได้จากหนังสือ สามเณร : เหล่ากอแห่งสมณะ โดย ศ.เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต)
เฉพาะประเทศไทย ที่มุ่งเน้นการศึกษาพระปริยัติธรรม มีสามเณรผู้สามารถสอบผ่านจนจบหลักสูตรชั้นสูงสุดแต่อายุยังน้อยเป็นรูปแรกในสมัยรัชกาลที่ 3 สามเณรรูปนั้นเป็นชาวนนทบุรี นามว่า สามเณรสา ต่อมาได้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 9 วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม
รูปที่ 2 คือ สามเณรปลด เกตุทัต ต่อมาได้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 14 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ 5 สถิต ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
รูปที่ 3 คือ สามเณรเสฐียรพงษ์ วรรณปก วัดทองนพคุณ เป็นชาวมหาสารคาม สอบได้เป็นรูปแรกในรัชกาลปัจจุบัน ต่อมาลาสิกขา แล้วรับราชการต่างพระเนตรพระกรรณในตำแหน่ง ราชบัณฑิต และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ผู้อุทิศตัวทำงานโครงการบรรพชาสามเณร 84,000 รูป โดยสมบูรณ์แบบ
รูปที่ 4 คือ สามเณรประยุทธ์ อารยางกูร วัดพระพิเรนทร์ เป็นชาวสุพรรณบุรี ปัจจุบันดำรงสมณศักดิ์ที่ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) และเป็นเจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน อ.สามพราน จ.นครปฐม ผู้อุทิศตนทำงานด้านวิชาการและเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยไม่ประมาทต่อกาลเวลาและสุขภาพ
ตั้งแต่ พ.ศ.2506 จนถึงปัจจุบัน ยังมีสามเณรที่สอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค จำนวนมากถึง 180 รูป พอดี นับเป็นเลขมงคลที่น่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะบางรูป/คน มีความโดดเด่นเป็นกำลังสำคัญของคณะสงฆ์ ส่วนราชการและมาตุภูมิ เช่น
พ.ศ.2519 มีสามเณร 3 รูป สอบได้พร้อมกัน มั่นคงสมณเพศ และเป็นกำลังสำคัญในการสอนงานคณะสงฆ์ไทยและต่างประเทศแบบเชิงรุก คือ สามเณรประกอบ วงศ์พรนิมิตร วัดชนะสงคราม เป็นชาวสมุทรสาคร (ปัจจุบัน คือ พระธรรมเจดีย์ เจ้าคณะภาค 13 และเจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตร) สามเณรประยูร มีฤกษ์ วัดประยุรวงศาวาส (ปัจจุบัน คือ พระธรรมโกศาจารย์ เจ้าคณะภาค 2 อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และเจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส) และสามเณรสุชาติ สอดสี วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ (ปัจจุบัน คือ พระธรรมปัญญาภรณ์ เจ้าคณะภาค 5 และเลขานุการแม่กองบาลีสนามหลวง)
ส่วนที่ลาสิกขาแล้วออกไปเป็นอุบาสก ช่วยเหลือสังคมและประเทศชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น สามเณรอุทัย เมตตานุภาพ (เกลี้ยงเล็ก) วัดบางหลวง ปทุมธานี, สามเณรบรรจบ บรรณรุจิ (ปั่งมี) วัดสุทัศนเทพวราราม, สามเณรชรินทร์ จุลคประดิษฐ์ วัดมหาพฤฒาราม, สามเณรสำเนียง เลื่อมใส วัดดาวดึงษาราม, สามเณรแก้ว ชิดตะขบ วัดจักรวรรดิราชาวาส, สามเณรบุญเลิศ โสภา วัดพระพุทธบาท สระบุรี, สามเณรอุทิศ ศิริวรรณ วัดราชบูรณะ, สามเณรเวทย์ บุญคุ้ม วัดมหาสวัสดิ์ นครปฐม และ สามเณรเทพพร มังกรธานี วัดปทุมคงคา ฯลฯ
และที่สำคัญสูงสุดของคณะสงฆ์ไทย คือ การได้ทรัพยากรบุคคล ที่ล้วนแต่เป็นผลิตผลมาจากการบรรพชาเป็นสามเณร แล้วพัฒนาการตามหลักไตรสิกขา ก้าวสู่ความเป็นพระมหาเถระ ทั้งกรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่ เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล และ เจ้าอาวาสทั่วประเทศ
และที่ได้รับการยอมรับจากสังคมไทยและต่างประเทศในเวลานี้ ในฐานะพระนักเขียนและนักเผยแผ่ธรรมะรุ่นใหม่ ก็มีพระมหาอุเทน ปญฺญาปริทตฺโต วัดชนะสงคราม, พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว. วชิรเมธี) วัดเบญจมบพิตรฯ และ พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต วัดสร้อยทอง ซึ่งล้วนแต่มาจากการบรรพชาเป็นสามเณรเช่นเดียวกัน
ฉะนั้น การบรรพชาหรือการบวชเป็นสามเณรนั้น ถือว่าเป็นการสร้างกุศลอันยิ่งใหญ่ทั้งแก่ผู้บวชและผู้จัดให้มีการบวช เพราะผู้บวชได้มีโอกาสเข้ามาใช้ชีวิตแบบบรรพชิตจริงๆ ได้ศึกษาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อน้อมนำไปปฏิบัติเป็นหลักใจ ได้สนองพระคุณบิดามารดา ผู้เป็นบุรพการี ส่วนบิดามารดาและวงศาคณาญาติย่อมได้โอกาสทำบุญเป็นพิเศษเท่ากับได้บวชใจไปด้วย
นอกจากนี้ การบวชยังทำให้เกิดผลดีทั้งฝ่ายศาสนจักรและอาณาจักร กล่าวคือ ฝ่ายศาสนจักร หรือวัด ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ หอฉัน ย่อมมีความหมายขึ้น เพราะมีผู้นำมาใช้ประโยชน์ ฝ่ายอาณาจักรหรือฝ่ายบ้านเมืองก็ได้รับความสงบร่มเย็น ได้สงวนทรัพยากรของชาติ ได้อนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามไว้ ที่สำคัญ คือ การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมแก่เยาวชนของชาติได้อย่างแยบยล และมีผลมหาศาล...
ที่มา : มติชนออนไลน์
http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act01251050&day=2007-10-25§ionid=0130