เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 29 มีนาคม 2024, 12:42:52
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ศาสนา กิจกรรมทางวัด (ผู้ดูแล: ap.41, ลุงหนาน)
| | |-+  ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 2 3 4 [5] 6 7 8 พิมพ์
ผู้เขียน ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ  (อ่าน 42791 ครั้ง)
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #80 เมื่อ: วันที่ 16 กรกฎาคม 2012, 21:22:56 »

...นักปฏิบัติ...
" การมีสติ แต่ขาดซึ่งสัมปชัญญะ (เห็นเกิด-ดับ)
ก็ไม่อาจจะทำให้สติสมบูรณ์ได้
ผู้ปฏิบัติจึงต้องมีอาตาปี สติมา สัมปชาโน
ไม่เช่นนั้นจะเป็นเพียงสติของนักกายกรรมเท่านั้นเอง "



วัดยางราก โคกเจริญ ลพบุรี


* 487760_n.jpg (41.44 KB, 360x480 - ดู 1450 ครั้ง.)

* 48c6536425903.gif (3.89 KB, 50x50 - ดู 699 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #81 เมื่อ: วันที่ 16 กรกฎาคม 2012, 21:43:19 »

...เงินทองรู้ใช้ให้คุ้มค่า...
"..ลูกอาจจะเหนื่อยบ้างจากการศึกษา
พ่อแม่นั้นเหนื่อยหนักหนา กับการปักกล้านาปี .. "


วัดยางราก โคกเจริญ ลพบุรี


* 4874694_n.jpg (13.95 KB, 231x320 - ดู 724 ครั้ง.)

* -18316-8814.gif (1.63 KB, 32x32 - ดู 719 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #82 เมื่อ: วันที่ 24 กรกฎาคม 2012, 20:44:01 »

ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย และบุคลทั้งหลาย จงมีเมตากรุณาความปราถนาดีต่อกัน ยิงฟันยิ้ม

IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #83 เมื่อ: วันที่ 03 สิงหาคม 2012, 10:31:15 »

 :)สื่งที่ใช้วัดกันในธรรมะคือการปฏิบัติอย่างแท้จริง
มิใช่การแสดงความฉลาดทางการ"วาทะ"
หรือมีอิทธิฤทธิ์วัตถุมงมลจำหน่ายจ่ายแจก

แต่หากแสดงธรรมแล้วพามนุษย์ข้ามห้วงทุกข์ได้นี่สิ
น่าสรรเสริญกว่า


* 396901_142147382590615_2100214681_n.jpg (55.58 KB, 480x480 - ดู 717 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 08 สิงหาคม 2012, 08:41:33 โดย ๋๋P » IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #84 เมื่อ: วันที่ 04 สิงหาคม 2012, 21:36:10 »

ฟังเพลงกันครับ ยิงฟันยิ้ม

IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #85 เมื่อ: วันที่ 07 สิงหาคม 2012, 10:33:57 »

ของดีมักอยู่ใน
คนจะดีต้องมองที่จิตใจ ยิ้มเท่ห์


* 394735_74_n.jpg (87.06 KB, 720x960 - ดู 702 ครั้ง.)

* 486a657469104.gif (30.07 KB, 50x50 - ดู 634 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #86 เมื่อ: วันที่ 07 สิงหาคม 2012, 13:31:48 »

“แสวงหาบุญ ... แต่ไม่ละบาป”
หลวงพ่อชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง
จ.อุบลราชธานี

ระยะเวลานี้พวกเรา “แสวงบุญ” กันมาก
โดยมาก ... ก็มาแสวงบุญกัน
แต่ว่าไม่เคยเห็นญาติโยมที่ ... “แสวงหาการละบาป”
มีแต่ “แสวงบุญ” ... เรื่อยไป
ไม่รู้จะเอาบุญ ... ไปไว้ตรงไหนกันก็ไม่รู้
บางทีก็พากันไป ... แสวงหาบุญกัน
ไปรสบัสคันใหญ่ ๆ 2 คัน 3 คัน พากันไป
บางที ทะเลาะกัน ... บนรถก็มี
บางที กินเหล้าเมา ... บนรถก็มี
ถามว่า ... ไปทำไม ?
“ไปแสวงบุญกัน”
ไป ... “แสวงหาบุญ”
ไปเอาบุญ ... แต่ไม่ “ละบาป”
ก็ไม่เจอ “บุญ” สักที
อันนี้ไป “แสวงหาบุญ” กันทั่วประเทศ
... แต่ไม่ “ละบาป”
กลับไปบ้าน ... ก็กลับไปเปล่า ๆ
... มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ


* 531193_2282379475903_1786476822_n.jpg (30.42 KB, 480x319 - ดู 672 ครั้ง.)

* icono34.gif (28.2 KB, 48x48 - ดู 666 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #87 เมื่อ: วันที่ 07 สิงหาคม 2012, 14:02:00 »

ความมหัศจรรย์ของการสวดมนต์อาตมา (สมเด็จโต)  ได้เห็นอานิสงส์ของการสวดมนต์ด้วยตัวอาตมาเอง

 

ในสมัยที่อาตมาได้ออกเดินธุดงค์ในป่าเป็นเวลา 15 ปี โดยอาศัยอยู่ในเขตดงพญาไฟ  ซึ่งเป็นเขตที่อยู่ใกล้ชายแดนของประเทศเขมร

 
ในสมัยนั้น…เต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ และภูติผีวิญญาณตลอดจนชาวบ้านที่มีเวทมนต์คาถา และเล่นคุณไสยกันอยู่อย่างมากมายในอาณาบริเวณชายแดนแห่งประเทศสยามในตอนนั้น

 
อาตมาได้เดินธุดงค์แต่เพียงลำพัง ในช่วงนั้นอาตมามิได้ศึกษาในพระเวทมนต์คาถาอาคมใดเลย  นอกจากคำว่า

 
พุทธัง   สะระณัง   คัจฉามิธัมมัง   สะระณัง    คัจฉามิสังฆัง   สะระณัง    คัจฉามิ

 
ซึ่งมีความหมายว่า   ข้าพเจ้าขอยึดมั่น พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พระธรรมเป็นที่พึ่ง พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง

 
อาตมาไปที่แห่งหนตำบลใด ก็จะกล่าวเพียงคำนี้ตลอดเวลาของจิตใจอันเป็นที่พึ่งของอาตมาอาตมาเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านชายแดนแห่งประเทศสยาม ในดงพญาไฟขณะนั้น  ในหมู่บ้านมีชาวบ้านอาศัยอยู่เพียงเล็กน้อย อาตมาจึงได้ปักกลดอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน มีชาวบ้านนำอาหารมาถวายตามกำลังที่เขาจะพอทำได้

 
เมื่อเห็นมีพระภิกษุมาปักกลดในที่แห่งนั้น  อาตมาอาศัยอยู่ที่นั้นเป็นระยะเวลาหลายปี  และ ณ ที่แห่งนั้น อาตมาจึงได้พบคุณวิเศษแห่งการสวดมนต์

 
มีชาวบ้านผู้หนึ่งได้เข้ามาสนทนากับอาตมาหลังจากได้ถวายอาหารแล้ว ชาวบ้านผู้นั้นอาตมาทราบชื่อภายหลังว่าชื่อ นายผล  นายผลได้เล่าให้อาตมาฟังว่า เขาเป็นผู้ฝึกเวทย์มนต์คาถาอาคม เล่าเรียนจนมีญาณแก่กล้า และมักจะทดสอบเวทย์มนต์คาถาอาคมแก่พระภิกษุสงฆ์ที่เดินทางมาปักกลด ณ บริเวณนี้เป็นประจำ

 
เขาเล่าให้อาตมาฟังว่า  เขาได้ส่งอำนาจคุณไสยเข้ามาทำร้ายอาตมาทุกคืน แต่ไม่ได้หวังทำร้ายเป็นบาปเป็นกรรมถึงตาย  เพียงแต่ต้องการทดสอบดูว่าภิกษุรูปนั้น จะมีวิชาอาคมแก่กล้าสามารถที่จะต่อสู้กับคุณไสยเขาได้หรือไม่

 
นายผลก็ได้ทำคุณไสยใส่อาตาถึง 7 วัน เต็มๆ  ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยควายธนู  หรือปล่อยหนังควาย ปล่อยตะขาบตลอดจนภูติพรายเข้ามาทำร้ายอาตมา  แต่ปรากฏสิ่งที่ปล่อยมา ก็ไม่สามารถเข้ามาทำร้ายอาตมาได้เลย

 
วันนี้จึงได้มากราบเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนวิชาความรู้กับอาตมา  อาตมาจึงได้บอกว่าตัวอาตมาเองไม่ได้ศึกษาพระเวทย์มนต์คาถา หรือคุณไสยใด  นายผลก็ไม่ยอมเชื่อหาว่าอาตมาโกหก  ถ้าหากไม่มีของดีแล้วไซร้ไฉนอำนาจคุณไสยดำที่เขาส่งมา จึงกลับมายังเขาซึ่งเป็นผู้กระทำ ไม่สามารถทำร้ายอาตมาได้อาตมาก็พยายามชี้แจงให้เขารู้ว่า อาตมาไม่มีวิชาเหล่านี้จริง ๆ  ทำให้ผลสงสัยยิ่งนักว่าเหตุใดอาตมาจึงไม่ได้รับภัยอันตรายจากอำนาจเวทมนต์คุณไสยดำที่เขาส่งมาทำร้ายได้

 
อาตมาได้บอกกล่าวแก่เขาว่า เมื่ออาตมาจะนอน อาตมาก็จะสวดแต่คำว่า

 
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

 
ธัมมัง  สะระณัง คัจฉามิ

 
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิจนจิตมีความสงบนิ่งแล้ว จึงได้แผ่ส่วนกุศลไปให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย  จงอย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย  อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย  อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย  และอาตมาก็จำวัดนอนเป็นปกติ

 
นายผล  เมื่อได้ฟังดังนั้น  จึงได้บอกแก่อาตมาว่า..

 
ข้าแต่ท่านอาจารย์ ก็เช่นนั้น ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านในวันนี้ ก่อนที่ท่านจะจำวัด จงหยุดการสวดมนต์สัก 1 คืนได้หรือไม่ข้าพเจ้าต้องการจะพิสูจน์ว่า.. การสวดมนต์ของท่านเช่นนี้จะเป็นเกราะคุ้มครองภัยท่าน หรือเป็นเพราะอำนาจเวทมนต์คาถาในภูติผีปิศาจของข้าพเจ้าเสื่อมกันแน่  ข้าพเจ้าของรับรองว่า จะไม่ทำอันตรายแก่ท่าอาจารย์อย่างเด็ดขาด เพียงแต่ต้องการ ที่จะทดสอบให้ความรู้แจ้งเห็นจริงว่าเกิดอะไรขึ้น

 
อาตมาก็ตกลงรับปากแก่นายผลว่า คืนนี้จะไม่ทำการสวดมนต์  นายผลจึงได้ลากลับไป  ครั้นถึงเวลาพลบค่ำ อาตมาก็นอนโดยมิได้ทำการสวดมนต์ตามที่ได้ปฎิบัติเป็นปกติ เมื่ออาตมานอนหลับไป..อาตมารู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง  เมื่อปรากฏว่าอาตมาได้ยินเสียง กุกกัก กุกกัก จะขึ้นมา จึงได้จุดเทียนและพบตะขาบใหญ่ยาวเท่าขาของอาตมากำลังเลื้อยเข้ามาอยู่ใกล้ตัวของอาตมามาก  อาตมารู้สึกตกใจถึงหน้าถอดสี  และด้วยสัญชาติญาณจึงกล่าวคำสวดมนต์   พุทธัง สะระณัง  คัจฉามิ  ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ   สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ  ด้วยจิตยึดมั่นในพระพุทธองค์เป็นที่พึ่งเป็นเวลานานเท่าใดไม่ทราบได้ เสียงกุกกักและตะขาบที่อยู่ข้างหน้าก็อันตรธานหายไป  จากนั้นอาตมาจึงได้จำวัดนอนเป็นปกติ

 
ในวันรุ่งขึ้น นายผลก็มาหาอาตมาและได้กล่าวว่า เมื่อคืนนี้..ข้าพเจ้าได้ปล่อยตะขาบเข้าไปในกลดที่ท่านพักนักอยู่ อาตมาบอกว่า อาตมาได้ตื่นมาและตกใจ   จึงได้สวดมนต์ภาวนา  ตะขาบตัวนั้นก็อันตรธานหายไป

 
นายผลจึงได้ยกมือพนมขึ้น แล้วกล่าวว่า บัดนี้ข้าพเจ้าเชื่อแล้วว่า อำนาจเวทมนต์คาถา และคุณไสยใดๆ ของข้าพเจ้ามิอาจทำร้ายท่านได้  ก็เพราะอำนาจแก่การสวดมนต์ภาวนาของท่านเป็นเกราะคุ้มครองภัยอันตรายต่างๆ  ได้

 
ที่อาตมา  (สมเด็จโต)  ได้เล่าให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ได้ฟังกัน  เพื่อให้เป็นอานิสงส์ของการสวดมนต์ว่า  เหล่าพรหมเทพได้มาฟังการสวดมนต์จริงดังที่อาตมาได้เทศน์ไว้  เพราะถ้าไม่ใช่เหล่าพวกพรหมเทพแล้วไซร้  ก็คงไม่สามารถที่จะขับไล่สิ่งที่เกิดจากอำนาจคุณไสย ที่นายผลส่งมาเล่นงานอาตมาได้อย่างแน่นอน

 
ท่านเจ้าพระยา และ อุบาสก  อุบาสิกา ในที่นั้น เมื่อได้ฟังคำเทศนาแล้วต่างก็ยกมือขึ้นสาธุว่า  อานิสงส์ของการสวดมานต์ช่างมีคุณค่าสูงส่งยีงนัก……………………………………………………………………………………………

 
จากหนังสือ   อมตะธรรม สมเด็จโตอานิสงส์การสวดมนต์แผ่เมตตามหาบุญ


* 00032_26.gif (31.58 KB, 128x128 - ดู 631 ครั้ง.)

* 582202_6_n.jpg (16.79 KB, 316x314 - ดู 697 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #88 เมื่อ: วันที่ 07 สิงหาคม 2012, 14:09:05 »

บางครั้ง...เรามองหา "สิ่งที่ขาด"
จนพลาด "สิ่งที่มี"
และบางครั้งก็เฝ้าหา "สิ่งที่ดี"
จนทำให้ "สิ่งที่มี"
นั้นหายไป!!!


* 4067_n.jpg (29.4 KB, 580x452 - ดู 2290 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #89 เมื่อ: วันที่ 07 สิงหาคม 2012, 14:22:36 »

สุขและทุกข์มาจากไหนหนอ....


บุญมาจาก กาย วาจา ใจ บาปใดๆ ก็มาจากที่นี่
ที่อื่นไม่มีทางมา กาย วาจา ใจ เป็นที่ไหลมาของเขา
สุขอยู่ที่กายกับใจ ทุกข์ก็อยู่ที่กายกับใจ

บ้านสองหลังนี้เป็นที่อยู่ของสุขและทุกข์.....


* 292478_339122289505983_152441313_n.jpg (66.31 KB, 403x403 - ดู 667 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #90 เมื่อ: วันที่ 09 สิงหาคม 2012, 01:48:17 »

อิจฉาคือ....
อิจฉาคือความเห็นผิดติดหลง หากไม่รีบละก็จักกลายเป็นริษยา
สะสมริษยาไว้ก็จักกลายเป็นแค้นเคือง กลายเป็นอาฆาต จองเวร
ก่อภพ สร้างชาติ แต่ก่อนที่จักก่อภพ สร้างชาติ ก็ ๑๐๐% ต้องไป
อบายภูมิก่อน วิธีแก้..แก้ด้วยพรหมวิหาร ๔ นี่แหละลืมกันนัก!!!
ธรรมหยาบๆ เบื้องต้นยังทำไม่ได้ แล้วจักไปพระนิพพาน
อันเป็นสุดยอดของธรรมละเอียด กันยังไง๊!!!

ธรรม...ปราบใจระยำ จาก
พระคุณพระสมุห์ปรินทร์ ธัมมสรโณ วัดเขาแร่ กรุงสุโขทัย


* 96631_1.gif (9.95 KB, 45x50 - ดู 653 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #91 เมื่อ: วันที่ 09 สิงหาคม 2012, 01:51:18 »

จงรักแบบไม่เคยเจ็บปวดมาก่อน
จงเต้นรำเหมือนไม่มีใครมองเรา
จงร้องเพลงเหมือนไม่มีใครได้ยินเรา
จงทำงานเหมือนเราไม่ต้องการเงินจากมัน
จงอยู่เหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้ายของโลก....

นั้นแหละสิ่งที่เค้าเรียกว่า"ความสุข"  ยิ้มเท่ห์


* 540254_399200226799674_535950243_n.jpg (55.36 KB, 840x586 - ดู 658 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #92 เมื่อ: วันที่ 16 สิงหาคม 2012, 07:40:18 »

ธรรมใดๆ ล้วนมีเหตุ เ ป็นแดนเกิด
ใช่บังเกิด ดลบันดาล จากสิ่งไหน
เมื่อเหตุดับ ธรรมจึงดับ รับกันไป
ทรงสอนไว้ ซึ่งทางดับ ระงับธรรม

“เย ธัมมา เหตุปปะภะวา
เตสัง เหตุง ตะถาคะโต
เตสัญจะ โย นิโรโธจะ
เอวัง วาที มะหาสะมะโณ"


พระคาถาที่พระอัสสชิ ได้ทรงสอน ท่านอุปติสสะ
จนได้บรรลุโสดาบัน ต่อมา ท่านอุปติสสะ คือ พระสารีบุตร นั่นเอง

ภาพประกอบ จาก บุโรพุทโธ วัดในพระพุทธศาสนา ที่ใหญ่ที่สุดในโลกครับ

จักรแก้ว กัลยาณมิตร


* 580807_351947091549586_1158151108_n.jpg (57.94 KB, 480x360 - ดู 634 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #93 เมื่อ: วันที่ 16 สิงหาคม 2012, 09:41:00 »

หากจิตนิ่ง รู้ซึ้ง ถึงธรรมะ
ยอมลดละ ปล่อยวาง ไม่ต้องถาม
รู้ร่างนี้ เมื่อตาย ไม่ติดตาม
จิตนิพพาน เปิดไว้ ยามสิ้นลม

...จิตนิพพาน เป็นหนึ่ง ไม่มีสอง
ไม่ได้ครอง จิตนั้น เพื่อสุขสม
จิตนิพพาน ไม่ได้ เป็นดั่งลม
แต่สุขสม เป็นเช่นนั้น ของจิตเอง

...เข้าใจจิต ติดตามดู ให้รู้แจ้ง
ฝึกแสดง ใกล้ตาย ให้ตรงเผ๋ง
เมื่อเราตาย จริงๆ จิตบรรเลง
เหมือนฝึกเพลง เอาไว้ จนคล่องใจ

...คนใกล้ตาย จริงๆ เกิดความกลัว
แต่ที่กลัว เพราะไม่รู้ ตายไปไหน
กลัวกรรมดี ที่ทำ น้อยเกินไป
ทำชั่วไว้ มากกว่า กลัวลนลาน

พระธนวรรธน์ แซ่เจน ยิ้มเท่ห์


* 531144_272567576191282_208468721_n.jpg (32.63 KB, 320x480 - ดู 2873 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #94 เมื่อ: วันที่ 22 สิงหาคม 2012, 13:59:41 »

เราไ่ม่วาง เราก็เป็นทุกข์
เราไม่หยุด เราก็วุ่นวาย เราไม่ทิ้ง เราก็ทุกข์จนตาย
ใครก็ช่วยอะไรเราไม่ได้ ถ้าใจเราไม่รู้จักปล่อยวางเอง


ธรรมทาน


* 185595_10151001970975841_335920694_n.jpg (113.6 KB, 960x640 - ดู 624 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #95 เมื่อ: วันที่ 28 สิงหาคม 2012, 17:44:35 »

 ยิ้ม นกน้อยทำรังแต่พอตัว ค่อยๆเดินไปตามขั้นบันไดอย่างมั่นคง ยิ้ม
 ยิ้ม ทำไปด้วยความสุขถ้ายังล่ะไม่ได้ ก็ตั้งจิตอยู่บนกุศล  ยิ้ม
 ยิ้ม ตั้งอยู่บนทางที่ดี เป็นหนทางสู่ความสุข บุญถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ยิ้ม



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 28 สิงหาคม 2012, 17:50:14 โดย สบายแมน » IP : บันทึกการเข้า
@เชียงแสน
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ ป.ตรี
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,359


..ทุกลมหายใจคือการเปลี่ยนแปลง..


« ตอบ #96 เมื่อ: วันที่ 28 สิงหาคม 2012, 20:17:52 »

ยิ้ม นกน้อยทำรังแต่พอตัว ค่อยๆเดินไปตามขั้นบันไดอย่างมั่นคง ยิ้ม
 ยิ้ม ทำไปด้วยความสุขถ้ายังล่ะไม่ได้ ก็ตั้งจิตอยู่บนกุศล  ยิ้ม
 ยิ้ม ตั้งอยู่บนทางที่ดี เป็นหนทางสู่ความสุข บุญถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ยิ้ม





เยี่ยมเลยครับ... ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #97 เมื่อ: วันที่ 01 กันยายน 2012, 14:11:05 »

มาทำให้พรหมวิหาร 4 เป็นธรรมประจำใจกันเถอะ ยิงฟันยิ้ม

พรหมวิหาร 4  
      พรหมวิหาร วิหาร แปลว่า ที่อยู่ พรหม แปลว่า ประเสริฐ คำว่า พรหมวิหาร หมายความว่า เอาใจจับอยู่ในอารมณ์แห่งความประเสริฐ หรือเอาใจไปขังไว้ในความดีที่สุด ซึ่งมีคุณธรรม 4 ประการ คือ


•เมตตา
•กรุณา
•มุทิตา
•อุเบกขา
      คุณธรรม 4 ประการนี้ นอกจากความเป็นมนุษย์ผู้เประเสริฐแล้ว ยังเป็นอานิสงส์ความสุขแก่ผู้ปฏิบัติถึง 11 ประการ ดังนี้


1.สุขัง สุปฏิ นอนหลับเป็นสุข เหมือนนอนหลับในสมาบัติ
2.ตื่นขึ้นมีความสุข ไม่มีความขุ่นมัวในใจ
3.นอนฝัน ก็ฝันเป็นมงคล
4.เป็นที่รักของมนุษย์ เทวดา พรหม และภูติผีทั้งหลาย
5.เทวดา พรหม จะรักษาให้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง
6.จะไม่มีอันตรายจากเพลิง สรรพาวุธ และยาพิษ
7.จิตจะตั้งมั่นในอารมณ์สมาธิเป็นปกติ สมาธิที่ได้ไว้แล้วจะไม่เสื่อม มีแต่จะเจริญยิ่งขึ้น
8.มีดวงหน้าผุดผ่องเป็นปกติ
9.เมื่อจะตาย จะมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์
10.ถ้ามิได้บรรลุมรรคผลในชาตินี้ ผลแห่งการเจริญพรหมวิหาร 4 นี้ จะส่งผลให้ไปเกิดในพรหมโลก
11.มีอารมณ์แจ่มใส จิตใจปลอดโปร่ง ทรงสมาบัติ วิปัสสนา และทรงศีลบริสุทธิ์
      เมตตา แปลว่า ความรัก หมายถึง รักที่มุ่งเพื่อปรารถนาดี โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ จึงจะตรงกับคำว่า เมตตาในที่นี้ ถ้าหวังผลตอบแทนจะเป็นเมตตาที่เจือด้วยกิเลส ไม่ตรงต่อเมตตาในพรหมวิหารนี้

      ลักษณะของเมตตา ควรสร้างความรู้สึกคุมอารมณ์ไว้ตลอดวัน ว่า เราจะเมตตาสงเคราะห์ เพื่อนที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย จะไม่สร้างความลำบากให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ความทุกข์ที่เขามี เราก็มีเสมอเขา ความสุขที่เขามี เราก็สบายใจไปกับเขา รักผู้อื่นเสมอด้วยรักตนเอง

      กรุณา แปลว่า ความสงสาร หมายถึง ความปรานี ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ความสงสารปรานีีนี้ก็ไม่หวังผลตอบแทนเช่นเดียวกัน สงเคราะห์สรรพสัตว์ที่มีความทุกข์ให้หมดทุกข์ตามกำลังกาย กำลังปัญญา กำลังทรัพย์

      ลักษณะของกรุณา การสงเคราะห์ทั้งทางด้านวัตถุ โดยธรรม ว่าผู้ที่จะสงเคราะห์๋นั้นขัดข้องทางใด หรือถ้าหาให้ไม่ได้ ก็ชี้ช่องบอกทาง

      มุทิตา แปลว่า มีจิตอ่อนโยน หมายถึง จิตที่ไมีความอิจฉาริษยาเจือปน มีอารมณ์สดชื่นแจ่มใสตลอดเวลา คิดอยู่เสมอว่า ถ้าคนทั้งโลกมีความโชคดีด้วยทรัพย์ มีปัญญาเฉลียวฉลาดเหมือนกันทุกคนแล้ว โลกนี้จะเต็มไปด้วยความสุข สงบ ปราศจากอันตรายทัั้งปวง คิดยินดี โดยอารมณ์พลอยยินดีนี้ไม่เนื่องเพื่อผลตอบแทน การแสดงออกถึงความยินดีในพรหมวิหาร คือไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น

      อุเบกขา แปลว่า ความวางเฉย นั่นคือ มีการวางเฉยต่ออารมณ์ที่มากระทบความวางเฉยในพรหมวิหารนี้ หมายถึง เฉยโดยธรรม คือทรงความยุติธรรมไม่ลำเอียงต่อผู้ใดผู้หนึ่ง


•คนที่มีพรหมวิหาร 4 สมบููรณ์ ศีลย่อมบริสุทธิ์
•คนที่มีพรหมวิหาร 4 สมบูรณ์ ย่อมมีฌานสมาบัติ
•คนที่มีพรหมวิหาร 4 สมบูรณ์ เพราะอาศัยใจเยือกเย็น ปัญญาก็เกิด

คุณพ่อคุณแม่ของเราก็มีพรหมวิหาร 4 เป็นธรรมประจำใจเหมือนกันนะ ยิ้ม
เมตตา คือมีความปรารถนาดีให้ลูกมีความสุข
กรุณา  คือมมมีความปรารถนาให้ลูกพ้นจากความทุกข์
มุทิตา  คือมคความยินดีเม่อลูกมีความสำเร็จให้สิ่งที่ปรารถนา
อุเบกขา  คือความวางเฉย การวางเฉยนี้สำคัญมาก เท่าที่เคยได้ฟังมา การวางเฉยนี้ไม่ได้แปลว่าทำใจให้เฉยเมยไม่ยินดียินร้าย แต่หมายความว่า การดำรงค์คุณธรรมทั้งสาม คือ เมตตา กรุณา และ มุทิตา อย่างสม่ำเสมอไม่เปลี่ยนแปลง คือ ไม่ว่าลูกจะเป็นคนดี หรือคนไม่ดี พ่อแม่ก็รัก และมีความปรารถนาดีต่อลูกอยู่เสมอ ดังนั้นจึงพูดได้ว่าพ่อแม่มีธรรมพรหมวิหาร 4 ประจำใจ ผมเห็นว่าข้อนี้ตรงกับความเป็นจริงตามธรรมชาติจึงได้ขยายความเล่าสู่กันฟัง (หากถูกผิดประการไดขอได้โปรดอโหสิกรรมในครั้งนี้ด้วย) เพราะธรรมะที่ท่านผู้รู้ได้กล่าวนั้น ท่านว่าสติปัญญาของมนุษย์นั้นแตกต่างกัน สิ่งที่ผู้ที่บรรลุแล้วได้สนทนาธรรมกันนั้น เพียงสติปัญญาของมนุษย์ธรรมดาอาจเข้าใจตามได้นั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ผมก็เห็นว่าจะเป็นไปตามนั้นเพราะพรหมวิหารสี่ คือการให้โดยความปรารถนาดี โดยปราศจากกิเลสกามราคะ โดยเฉพาะข้ออุบกขา จึงเห็นสมควรว่า พ่อแม่ มีพรหมวิหารสี่เป็นธรรมประจำใจครับ  ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม

ที่มา http://www.larnbuddhism.com/grammathan/promvihan.html


* 867183.jpg (16.42 KB, 325x180 - ดู 1488 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 01 กันยายน 2012, 14:13:10 โดย สบายแมน » IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #98 เมื่อ: วันที่ 18 กันยายน 2012, 13:52:42 »

ธรรมะจากพระอรหันต์ ยิ้ม



หลายคนถ้าพูดถึงคำว่า 'พระบ้า' แล้ว ก็ไม่พ้นที่จะนึกถึงพระรูปหนึ่ง .....นามว่า จี้กง (济公) ละครจีนชุดเรื่องจี้กง เคยถูกนำมาฉายและได้รับความนิยมอย่างสูง ภาพพระจี้กง คือ พระที่สวมรองเท้าสานขาดๆ ถือพัดใบลานที่เป็นรู ใส่เสื้อผ้ารุ่งริ่ง มีหมวกโทรมใบเล็ก และที่สำคัญ ขี้ไคลของท่านรักษาได้สารพัดโรค .... แต่นั่นก็เป็นเพียงภาพที่ละครโทรทัศน์ผลิตออกมาเพื่อความบันเทิงเป็นหลักเท่านั้น

สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ นิกายมหายาน จี้กง ถูกจัดเป็น อรหันต์ (罗汉) แต่เป็นพระอรหันต์ที่แปลกประหลาดเสียจนผู้คนงุนงง จนผู้คนให้ฉายานามว่า พระบ้า หรือ พระเพี้ยน (疯和尚) สาเหตุก็ คือ จี้กงเป็นพระที่รับประทานเนื้อสัตว์ ดื่มสุราอยู่เป็นนิจ นอกจากนี้ยังลักษณะท่าทางยังปราศซึ่งความสำรวม ผิดแผกกับ พระสงฆ์ทั่วไปโดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม 'เปลือกนอก' กับ 'เนื้อใน' หรือ 'สิ่งที่เห็น' กับ 'สิ่งที่เป็น' นั้นบางครั้งก็มิใช่เรื่องเดียวกันเสียหมด อรหันต์จี้กง ก็ถือเป็นหนึ่งในข้อยกเว้นนั้น
จี้กง (济公) หรือ จี้เตียน (济颠) มีตัวตนอยู่จริงในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ปกครองประเทศจีน โดยใช้ชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ.1148-1209 เดิมแซ่หลี่ นามซินหย่วน (李心远) นอกจากนี้ยังมีนามอื่นๆ อีก เช่น หูหยิ่น (湖隐) และ ฟังหยวนโส่ว (方圆叟) เกิดที่ หมู่บ้านหย่งหนิง ตำบลเทียนไถ มณฑลเจ้อเจียง ในตระกูลของผู้มีอันจะกิน*
อย่างไรก็ตามหลังจาก บิดา-มารดา เสียชีวิต จี้กงก็ตัดสินใจละทางโลก สละเพศฆราวาส ออกบวชที่วัดหลิงอิ่น (灵隐寺) แห่งเมืองหางโจว โดยได้ฉายานามว่า เต้าจี้ (道济) ทั้งนี้เต้าจี้ได้รับการอุปสมบทโดยมีพระสงฆ์ผู้มีชื่อเสียงในเวลานั้น คือ พระอาจารย์ฮุ้ยหย่วน
หลังจากจี้กงออกบวช และ ต่อมาก็ออกลาย กลายมามีพฤติกรรมพิเรนทร์ผิดกับพระทั่วไป จนเป็นที่ติฉินนินทาของพระสงฆ์รูปอื่นๆ แต่ด้าน พระอาจารย์ กลับทราบดีว่า แม้ภายนอกจี้กงจะมีกิริยาไม่สำรวมผิดกับพระทั่วไป ทั้งผิดศีล เล่นซุกซนกับเด็กๆ ประพฤติ-พูดจาไม่สำรวม ดื่มสุรา บริโภคเนื้อสัตว์ แต่ลึกลงไปภายใน จี้กงกลับเป็น - - - บุคคลที่ตื่นแล้ว!
นอกจากนี้ด้วยการกระทำหลายๆ ประการของ จี้กง แม้จะเป็นการกระทำที่ดูเหมือนจะผิดศีลธรรม ผิดประเพณีดั้งเดิม แต่เมื่อพิจารณาจาก เนื้อแท้ จุดมุ่งหมายและผลลัพธ์ แล้ว การกระทำเหล่านั้นของจี้กงกลับเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และ ก่อคุณประโยชน์

สรุปความสั้นๆ ตามความเชื่อของพุทธมหายานก็คือ จี้กงเป็นอรหันต์ที่จุติมาเกิดอีกครั้ง เพื่อสั่งสอนมนุษย์โลก



สำหรับ วัดหลิงอิ่น อันเป็นสถานที่แรกซึ่ง จี้กง ก้าวเข้าสู่ เส้นทางแห่งร่มผ้ากาสาวพัสตร์ นับเป็นวัดที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 1,600 ปี และถึงปัจจุบันก็ยังเป็นสถานที่ซึ่งผู้ซึ่งมาถึง หางโจว ต้องไปเยือนด้วยประการทั้งปวง
วัดหลิงอิ่น (灵隐寺) แปลความหมายเป็นไทยได้ว่า "วัดซ่อนใจ" มีประวัติย้อนไปได้ถึงปี ค.ศ.326 เมื่อพระอินเดียรูปหนึ่ง ธุดงค์มาถึงทิวเขาด้านตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลสาบซีหู และพบหุบเขาที่สามด้านล้อมรอบด้วยป่างาม เหมาะแก่การบำเพ็ญภาวนา ท่านจึงสร้าง วัดซ่อนใจ แห่งนี้ขึ้น** ขณะที่พระอินเดียรูปดังกล่าวเดินสำรวจพื้นที่ก็พบเข้ากับภูเขาหินขนาดมหึมาที่ดูแล้ว ลักษณะโดดออกจากภูมิประเทศโดยรอบ ท่านจึงพรรณาขึ้นว่า "มิทราบว่าเขายอดนี้บินมาจากหนใด" และนี่เองจึงเป็นที่มาของชื่อ ยอดเขาบิน ณ วัดหลิงอิ่น (灵隐-飞来峰)***

ทั้งนี้ ในเวลาต่อมาด้วยความศรัทธาต่อ พระจี้กง ชาวบ้านหางโจวจึงโยงใยที่มาของยอดเขาบินที่วัดหลิงอิ่นเข้าเกี่ยวพันเป็นหนึ่งในตำนานอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของ พระจี้กง แต่งเป็นนิทานขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง โดยนิทานพื้นเมืองของชาวหางโจวเรื่องนั้นระบุเอาไว้ว่า
เดิมยอดเขาประหลาดดังกล่าวตั้งอยู่ในบริเวณดินแดนแถบตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลเสฉวน .... เช้าวันหนึ่งเมื่อพระจี้กง มีญาณบอกล่วงหน้าว่า ราวเที่ยงวันยอดเขาดังกล่าวจะบินมาตกทับหมู่บ้านข้างวัดหลิงอิ่น และจะทำให้มีผู้คนเสียชีวิตมากมาย ด้วยเหตุนี้พระจี้กงจึงตัดสินใจวิ่งเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อบอกมหันตภัยดังกล่าวให้กับชาวบ้านได้รับทราบ เพื่อที่จะได้พากันอพยพไปยังที่ปลอดภัย
"เที่ยงวันจะมีภูเขาหล่นลงมาทับหมู่บ้าน ทุกคนรีบเก็บข้าวข้องเร็ว ไม่งั้นก็ไม่ทันแล้ว" จี้กงกระหืดกระหอบ มาตะโกนบอกชาวบ้านโดยทั่ว
อย่างไรก็ตามด้วย ความที่ชาวบ้านมองว่า จี้กง เป็นเพียงพระบ้ารูปหนึ่งที่กล่าวอะไรไร้สาระไปวันๆ ทุกคนจึงส่ายหัว พร้อมกับด่าทอว่า "พระบ้าเอ้ย! จะหาเรื่องอะไรมาเล่นสนุกอีกละ ภูเขาบินมีที่ไหนกันเล่า!"
ตะวันยิ่งลอยยิ่งสูง .... ใกล้ถึงเวลาเที่ยงวันที่ยอดเขาจะตกลงมายังหมู่บ้านเข้าไปทุกที พอดีในวันนั้นมีการจัดงานมงคลสมรส จึงมีเสียงของงานรื่นเริงดังขึ้นที่มุมหนึ่งของหมู่บ้าน
เมื่อจี้กงเห็นว่าไม่มีใครยอมเชื่อสิ่งที่ตนเองกล่าวเตือน จี้กงจึงตัดสินใจแอบลอดตัวเข้าไปในงาน หลบหลีกผู้คน อุ้มเจ้าสาวหนีออกจากงานเสีย
จี้กงอุ้มเจ้าสาวและวิ่งอย่างว่องไวออกไปนอกหมู่บ้าน ขณะที่ชาวบ้านที่มาร่วมงานต่างก็วิ่งไล่จับ พร้อมกับตะโกนป่าวร้อง ให้ทุกคนช่วยกันคว้าตัว 'พระบ้าขโมยเจ้าสาว' อย่างไรก็ตามด้วยอิทธิฤทธิ์ จี้กงก็มีฝีเท้าเร็วพอที่จะไม่ถูกใครไล่ตามจับได้ทัน
จี้กงกวดฝีเท้าออกมาๆ พร้อมกับผู้คนทั้งหมู่บ้านที่วิ่งไล่ตาม ออกมาไกลสิบกว่าลี้จนกระทั่งเลยรัศมีของยอดภูเขามหันตภัย เห็นดังนั้นจี้กงจึงวางเจ้าสาวลง เมื่อหยิบพัดใบลานขึ้นมาโบกคลายร้อน ก็บังเกิดเสียงดังลั่นสนั่นพสุธา!!! .... ยอดเขาตกลงมาทับหมู่บ้านอย่างที่คาดไว้
ชาวบ้านที่วิ่งตามมา เมื่อหันกลับไปมองสภาพภูเขายักษ์หล่นมาทับหมู่บ้านของตนเสียแบนก็ทราบว่าสิ่งที่จี้กงกล่าวเตือนนั้นเป็นความจริง ส่วนการที่จี้กงอุ้มเจ้าสาวหนีออกมาจากงานมงคลนั้นก็เพื่อช่วยชีวิตชาวบ้านทั้งมวลนั่นเอง แต่ทั้งนี้หลังจากเห็นบ้านช่อง ทรัพย์สมบัติถูกทับแบนอยู่ใต้ภูเขา ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยก็เกิดความเสียดายและเศร้าโศกเสียใจ ร้องไห้ ตีอกชกเท้า กันเป็นพัลวัน
ด้วยสภาพดังกล่าว จี้กงจึงหันไปกล่าวกับชาวบ้านเหล่านั้นว่า "ร้องไห้ไปทำไม พวกเจ้าที่ดินที่มัวแต่เสียดายสมบัติต่างก็ถูกทับจมอยู่ใต้ภูเขาไปแล้ว จากนี้ต่อไปทุกคนก็กลับไปทำไรทำนาของตัวเอง ทำเท่าไหร่ได้เท่านั้น ชีวิตก็ยังมี จะยังกลัวสร้างเรือนใหม่ไม่ได้ไปใย"
ชาวบ้านพอได้ยินก็สำนึกได้ว่าท่ามกลางความทุกข์ก็ยังพอมีประกายแสงแห่งความสุขเรืองรองอยู่บ้าง ท่ามกลางความสูญเสียอย่างน้อยที่สุดพวกตนก็ยังรักษาชีวิตให้รอดอยู่ได้ เมื่อเห็นชาวบ้านพอจะคลายทุกข์ลงได้แล้ว จี้กงก็รั้งเหล่าชาวบ้านเอาไว้ และกล่าวต่อว่า
"อย่างเพิ่งไป ทุกคนฟังอาตมากล่าวก่อน ยอดเขาก้อนนี้เดิมลอยไปลอยมา จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง หลังทับทลายหมู่บ้านของพวกเราแล้วก็อาจจะบินไปทับหมู่บ้านอื่น อาจทำให้คนเสียชีวิตอีกมากมาย อาตมาขอร้องให้พวกเราช่วยกันสลักพระอรหันต์ 500 องค์ไว้บนภูเขาลูกนี้ เพื่อที่จะทำให้ภูเขาลูกนี้ไม่บินไปสร้างอันตรายให้กับผู้อื่นอีก" ชาวบ้านได้ยินดังนั้นจึงรีบกลับไปช่วยกันสลักพระอรหันต์ 500 องค์ไว้บนยอดเขาบินกันคนละไม้ละมือ ...... โดยนับจากนั้น ยอดเขาดังกล่าวก็ไม่บินไปสร้างอันตรายให้ใครอีก และถูกเรียกขานกันต่อๆ มาว่า ยอดเขาบิน ณ วัดหลิงอิ่น





ปัจจุบัน นักท่องเที่ยวก็ยังคงสามารถเข้าชม ยอดเขาบินและพระพุทธรูปสลัก 500 อรหันต์ได้ ทั้งนี้ พระพุทธรูปสลักที่ยอดเขาดังกล่างนี้ถูกจัดว่าอยู่ในส่วนของ วัฒนธรรมถ้ำหินสลัก (石窟文化) โดยถ้ำหินสลัก ที่นี่แม้จะไม่ถูกจัดให้เป็น 3 สุดยอดแห่งถ้ำหินสลักแห่งแผ่นดินจีน เหมือนกับ ถ้ำหินสลักโม่เกา (莫高石窟) แห่งตุนหวง, ถ้ำหินสลักหลงเหมิน (龙门石窟) แห่งลั่วหยาง หรือ ถ้ำหินสลักหยุนกัง (云冈石窟) แห่งต้าถง (大同) มณฑลซานซี แต่ ถ้ำหินสลักที่นี่ก็ยังมีดีไม่น้อย เนื่องจากนับว่าเป็นตัวแทนหนึ่งของ วัฒนธรรมถ้ำหินสลักของจีนภาคใต้ แถบลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง ที่สืบเสาะประวัติศาสตร์ย้อนรอยกลับไปได้นานกว่า 1,000 ปี

เครดิตจาก ยิงฟันยิ้ม http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=picha-mon&month=15-02-2009&group=12&gblog=4


ถ้าไม่อยากอ่านยาวมีสรุปให้อ่านจ้า ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

ประวัติ ยิ้ม

พระอรหันต์จี้กง นามเดิมว่า ซิวอ้วง แซ่ลี้ เป็นชาวเมืองเทียนไถ ได้บวชอยู่ที่ วัดเล่งอุ้ง ตำบลโซโอ้ว เมืองหางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้รับฉายาว่า “เต้าจี้”ชาวบ้านขนานนามว่าพระสติเฟื่อง(จี้เตียง) พระจี้กงมองว่าการปฏิบัติธรรม ถือศีลกินเจ ของคนในสมัยก่อนเป็นเพียงแต่การรักษาศีลทางกาย แต่มิได้รักษาศีลทางใจ ไม่ได้เข้าใจ และรู้ซึ้งถึงแก่นพระธรรมขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง พระจี้กงมีความเห็นว่า อาหารก็เป็นเพียงแค่อาหาร ที่มนุษย์ทุกคนสามารถรับประทานได้ เพราะการรับประทานอาหารไม่ได้ทำให้คนเราเป็นบาป แต่จิตใจต่างหากที่จะทำให้คนเรานั้นเป็นบาป ท่านจึงเป็นนักบวชที่ปฏิบัติตนตามสบาย แรกๆชาวบ้านก็เห็นว่าพระรูปนี้แปลกๆ ไม่ค่อยจะเคร่งครัดในพระธรรมวินัยนัก แต่ท่านก็ได้ให้ความช่วยเหลือชาวบ้านที่ทุกข์ยากอยู่เสมอ ด้วยความเมตตาและบำบัดทุกข์ของมนุษย์ที่เดือดร้อน ในที่สุดก็ทำให้ท่านได้บรรลุธรรมจนสำเร็จพระอรหันต์ ท่านได้ละสังขารจากโลกในสมัยพระจักรพรรดิ์เกียเตีย อัฐิของท่านถูกบรรจุใน เจดีย์เสือผ่าน



คุณธรรมพิเศษ ยิ้ม

ตลอดพระชนม์ชีพของท่าน ได้ช่วยเหลือและอบรมชาวบ้านโดยวิธีการเสแสร้งต่างๆ กันมาตลอด โดยไม่มีอุปสรรค ตัวท่านเป็นพระภิกษุ มีจิตที่เป็นมหาโพธิสัตว์ ท่านมีแต่จีวรขาดๆ รองเท้าขาดๆ หนึ่งคู่ โดยไม่สนใจว่ามันจะเปื้อนโคลนหรือไม่ มือก็ถือพัดเล่มหนึ่ง ไม่กลัวทั้งที่ต่ำและที่สูง ศีรษะโล้น เท้าเปลือยเปล่า ไม่หนาวไม่ร้อน ไม่ต้องบิณฑบาตเพราะไม่หิวไม่กระหาย พบใครก็เอาแต่อมยิ้ม เพื่อจะได้แผ่บุญ ไม่หลบสังคม พบเสียงทุกข์ก็เข้าช่วยเหลือ ท่านมีจิตเมตตาไม่ถือสา การปรากฏตนของท่าน เอาแน่เอานอนไม่ได้ กิริยาล้วนเป็นปริศนาธรรม ธรรมะของท่านเป็นที่กล่าวขาน จนได้รับการยกย่องว่าเป็นพระอาจารย์ทางพระกัมมัฏฐาน แม้ท่านจะละสังขารจากโลกนี้ไปแล้วแต่ธรรมะท่าน ยังมีประโยชน์ต่อมวลมนุษย์เสมอมา ดังนั้น จึงได้สมัญญาว่า เป็นพระพุทธที่ยังมีชีวิตอยู่



เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ยิ้ม

พระอรหันต์จี้กงได้บรรลุธรรม 3 ประการ คือ
“สรรพสิ่งเกิดจากจิต”
“รักษาศีลทางจิตไม่ถือศีลทางปาก”
“ปฏิบัติตนตามสบาย”

http://www.abhakara.com/webboard/index.php?topic=196.0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 18 กันยายน 2012, 14:05:51 โดย สบายแมน » IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #99 เมื่อ: วันที่ 19 กันยายน 2012, 19:13:06 »

อ่านเรื่องของพระจี่กงแล้วนึกถึงเรื่องที่ได้ฟังมา
พระท่านบอกว่าพระฤาษีกับพระเป็นผู้ฝึกตนเหมือนกัน
แต่แตกต่างกัน ท่านว่า พระฤาษี เห็นว่าโลกมนุษย์นั้นมีความ
วุ่นวาย มีความยึดมั่นถือมั่น ยึดติดในเรื่องสมมุติ แบ่งแย่งสิ่งต่างๆ
เป็นของๆตน ยศศักดิ์เป็นเรื่องที่สมมุติขึ้นมา ไม่มีความสงบ
ดังนั้นจึงได้ปลีกวิเวกไปบำเพ็ญตนในป่า เพื่อหลีหนีจากความวุ่นวาย
แต่พระไม่อาจทิ้งญาติโยมได้ เมื่อเจริญกรรมฐาน ฝึกตนแล้ว จึง
ต้องกลับมาโปรดญาติโยม เห็นเพราะต้องการชี้นำให้ญาติโยม
พ้นทุกข์ละจากกิเลศ ได้เดินในทางที่ถูกต้อง องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อท่านตรัสรูแล้ว ท่านยังเมตตากลับมาโปรดสัตว์หวังให้หลุดพ้นจาก
ความทุกข์ ดังนั้นพระสงฆ์ซึ่งเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ก็ต้องปฏิบัติ
ตามเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา ธรรมของพระจี่กง ผมว่าล้ำลึกมาก
เนื้อแท้ของท่านเป็นพระอรหันต์ ที่ท่านฉันเนื้อผมคิดว่าไม่ใช่เนื้อจริงหรอก
อาจจะเป็นหัวมันที่ท่านจำแลงให้ดูก็ได้ (หลวงปู่ศุกวัดปากคลองมะขามเฒ่า
สามารถเสกหัวปลีให้เป็นกระต่ายให้เด็กวัดวิ่งเล่นได้)เห็นเพราะท่านสละตนเพื่อเป็นกุศโลบาย
สอนใจคน เมื่อเขาเหล่านั้นเห็นว่าพระกินเนื้อไม่ดี เขาเหล่านั้นก็ได้รู้แล้วว่าสิ่งไดไม่ดี
ดังนั้นเมือเขาได้รู้ว่าสิ่งไดไม่ดีเขาจึงควรละเว้นเสีย อันนี้เป็นสิ่งที่ผมคิดไว้
หากผิดถูกประการไดได้โปรดอโหสิกรรมในครับนี้ด้วยครับ ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 3 4 [5] 6 7 8 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!