
อัมพร บุรา รักษ์
วันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็นวันสำคัญที่ ‘อัมพร (บุรารักษ์) พัฒนานันท์’ บันทึก ไว้ในปฏิทินชีวิตอย่างไม่มีวันลืม เพราะเป็นวันแห่งความปีติ สุขที่เธอได้รับเกียรติให้ครองตำแหน่งนางสาวไทยคนที่ ๙ จากการประกวดนางสาวไทยในงานฉลองรัฐธรรมนูญประจำปี คุณ อัมพรในวัย ๗๖ ปี ถ่ายทอดเรื่องราวครั้งนั้นให้ฟัง
ความทรงจำของผู้ครองมงกุฎผู้หญิงที่สวยที่สุดของไทยครั้งนั้นยังคงแม่นยำ ช่วงเวลาสำคัญเริ่มเปิดฉากในค่ำคืนหนึ่งท่ามกลางอากาศ หนาวเย็น
“ดิฉันได้ เข้ามาประกวดก็เป็นเพราะครั้งนั้นรัฐมนตรีมหาดไทย พระยา รามราชภักดี ขึ้นมาตรวจราชการที่จังหวัดเชียงราย แล้วก็แวะไปเยี่ยมที่บ้านของดิฉัน ที่ อำเภอพาน…คือ ท่านก็ถามเรื่องการส่งคนเข้าประกวดนางสาวไทยจากผู้ว่าราชการจังหวัด แล้วผู้ว่าฯ ก็แนะนำท่านเหมือน ให้มาดูตัวเราทำนองนี้ ตอนนั้นดิฉันอายุ ๑๘ - ๑๙ ปี ท่านก็บอก กับผู้ว่าฯ ว่าให้เลือกหนูคนนี้แหละเป็นตัวแทน จังหวัดเชียงราย ส่งไปประกวดที่กรุงเทพฯ ผู้ว่าฯ ก็มาพูดคุยกับพ่อแม่ เรื่องการประกวด
ดิฉันก็ไม่คิดว่าท่านจะเลือกเราหรอกค่ะ คิดว่าตัวเองไม่ได้สวยอะไร คิด ว่าเราคนบ้านนอกบ้านนาแล้วจะไปประกวดสู้คนกรุงเพทฯ ได้ อย่างไรมากกว่า เรื่องนี้พ่อกับแม่ก็ปรึกษากับลุง เพราะว่าลุงคือขุนพาน บุรารักษ์ เป็นนายอำเภอคนแรกของเวียงป่าเป้า จังหวัด เชียงราย ลุงก็ให้ประกวดได้…ทางจังหวัดได้ให้นายอำเภอ พานและภรรยาไปเป็นพี่เลี้ยงให้ที่กรุงเทพฯ เราไปพัก ที่บ้านของพันโทณรงค์ วรบุตร ที่ รู้จักกับนายอำเภอ แถวหลานหลวง อยู่ ๑๐ กว่าวันเตรียมตัวเข้าประกวด”
เวที เดียวและเวทีแรกในชีวิตทำให้สาวงามเมืองเหนือคนนี้เกิดอาการประหม่าและเขิน อายไม่น้อย
“ตื่นเต้นมากเลยค่ะ ไม่เคยขึ้นเวทีมาก่อน ใจสั่น เหมือนกัน กลัว คนสวยๆ เยอะเลย กลัวคนสวย (หัวเราะ) กลัวว่าเราจะสู้เขาไม่ได้ อีกอย่างเราก็ตัวเล็กกว่าเพื่อนเลย…การประกวดจะมีประมาณ ๗ วัน แต่ว่าประกวดวันเว้นวันกัน ตอน เช้าก็ใส่ชุดลำลอง พอกลางคืนก็เป็นชุดว่ายน้ำแต่ไม่ เหมือนสมัยนี้หรอกค่ะ คือยุคโน้นจะเป็นผ้าต่วนสอง ท่อนมีกางเกงด้านใน ดิฉันไม่เคยใส่มาก่อนรู้สึกอาย เดินก็สั่นๆ แต่ กำลังใจดีค่ะ เพราะว่าตอนเดินอยู่บนเวทีรู้สึกว่ามี เสียงเชียร์นะคะ แต่ในใจไม่ได้หวังอะไร เพราะคนที่มาประกวดเขาก็สวยๆ กัน ทั้งนั้น…มีมาประกวด ๗๐ กว่าคน เพราะตอนนั้นเรามี ๗๐ กว่าจังหวัดแล้ว การคัดเลือกก็เป็นไปโดยเข้มงวดมาก เลย จะเสริมแต่งมากไม่ได้ ถ้ามากไปกรรมการผู้หญิงจะเช็ด ออก ดูใกล้ชิดมากเลย ให้ หมุนซ้ายหมุนขวาให้กรรมการดู”
กรรมการทั้งหญิง – ชาย ๒๐ กว่าคน พินิจพิเคราะห์สาว งามอย่างถ้วนถี่แล้ว ก็ถึงวาระสำคัญที่จะตัดสินชี้ ขาดในความงาม ทำให้สาวสวย ๕ คนในรอบสุดท้ายประหม่าและตื่นเต้นไปตามๆ กัน ในที่สุด สาวน้อยผู้มี ท่าทีแช่มช้อยวงหน้าอ่อนหวานนาม อัมพร บุรารักษ์ ก็ชนะใจกรรมการตลอดจน กองเชียร์ชาวกรุงที่ส่งกำลังใจตลอดการประกวด
“ตอนที่จะประกาศถึงตำแหน่ง จำได้ว่าพิธีกรพูดเป็นนัยๆ ว่า นางสาวไทยปีนี้น่าจะมาจากเมืองแห่งสายหมอกอะไรทำนองนี้นะ คะ…ตอนนั้นใจ ก็รู้สึก เอ๊ะ จะเป็นใครกัน เพราะในปีนั้นมีสาวเหนือสองคนที่เข้ารอบสุดท้าย มีดิฉัน แล้วก็นางสาวแพร่ คือคุณพรทิพย์ จันทโมกข์ พอ ประกาศว่าเป็นเรา ก็ยังคิดอยู่เลยนะคะว่าจริงหรือ เปล่า เป็นเราจริงก็ดีใจมาก นึก ไม่ถึง ทำให้พูดอะไรไม่ออกเลย…
ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม เป็นผู้สวมมงกุฎให้ แล้วงานของนางสาวไทยก็เริ่มหลังจากลงจากเวทีเลย คือต้องไปเยี่ยมร้านค้าที่มาร่วมออกงานฉลอง มีทั้งร้านของทหารและประชาชน ไป ทุกร้านเลย เหนื่อยมากค่ะ หลังจากวันนั้นก็ต้องออก งานตลอด เรียกว่าออกงานจนน้ำหนักลดลง (หัวเราะ)”
นอกจากมงกุฎ แหวนเพชร สายสะพาย และ ของรางวัลต่างๆ แล้ว นางสาว ไทยของปีนี้ยังได้รับตั๋วเดินทางท่องเที่ยวรอบโลกเป็นเวลา ๓ เดือนจากจี้เซ้งทัวร์ โดยมี ภรรยานายอำเภอพานไปด้วย การได้ไปเยือนสถานที่สำคัญๆ ของโลก นับเป็นประสบการณ์ใน ชีวิตที่คุณอัมพรไม่เคยลืม เช่นเดียวกับครั้งหนึ่ง ที่ได้ดำรงตำแหน่งนางสาวไทย
“การได้เป็นนางสาวไทยคนที่ ๙ ทำให้รู้สึกภูมิใจว่า คนเหนือเรา ก็ได้เป็นหนึ่งกับเขาเหมือนกันนะ (หัวเราะเบาๆ ) สำหรับ ตอนนี้ชีวิตก็เรียบๆ ดิฉันก็ใช้ชีวิตอยู่ที่ เชียงใหม่กับครอบครัว ลูกๆทำงานทำการกันหมดแล้ว มีหลานๆ ที่น่ารัก เวลานี้ก็ไม่มีอะไรต้องห่วง…ดิฉันก็ได้ทำอะไรสนุกอย่าง ที่ชอบทำ ตอนนี้ก็ขายอาหารเสริม เป็น อาหารเพื่อสุขภาพ พอมีเวลาว่างก็นัดรวมกลุ่มเพื่อนๆ กว่า ๓๐ คน รับประทานอาหารกัน สังสรรค์ประจำเดือน เรียก ว่าชีวิตมีความสุขดีค่ะ”
คุณ อัมพรสรุปสั้นๆ
หนังสือ มงกุฎ
ที่มา
www.thaimiss.com