เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 17 เมษายน 2024, 03:54:35
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ห้องนั่งเล่น (ผู้ดูแล: แชทซาโนย่า กอยุ่ง~*-., ©®*)
| | |-+  ก่อเกิดดวงจันทร์
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] 2 พิมพ์
ผู้เขียน ก่อเกิดดวงจันทร์  (อ่าน 2902 ครั้ง)
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« เมื่อ: วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2012, 09:39:52 »

ขอเป็นนักวิชาการสักวัน
ก่อเกิดดวงจันทร์

IP : บันทึกการเข้า
‘–’ลูกน้ำกว๊าน‘–’
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ ป.ตรี
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,817


สูงสุดคืนสู่สามัญ


« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2012, 10:52:43 »

ตอนสุดท้ายไม่อยากให้เกิดเลยจริงๆ
IP : บันทึกการเข้า

Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2012, 11:53:15 »

ตอนสุดท้ายไม่อยากให้เกิดเลยจริงๆ
เคสนีเกิดมาแล้วเมื่อประมาณสี่พันห้าร้อยล้านปีที่แล้ว...คนละเคสกะ2012 ครับ
IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2012, 12:34:10 »

พลินดีแต่บ่ะเข้าใจ้หงะ ท่านนองอธิบายกำ เฮียนมาน้อย....... ตกใจ
IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2012, 12:44:41 »

ถึงบ่ะค่อยฮู้เรื่องแต่ก็ชอบเรื่องของดวงดาวและจักรวาลนะครับ เอามาฮอม ยิงฟันยิ้ม

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2012, 12:49:07 โดย สบายแมน » IP : บันทึกการเข้า
inAus
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2012, 13:05:37 »

แปลคร่าวๆ ครับ

การกำเนิดดวงจันทร์ ก่อด้วยการปะทุของภูเขาไฟบนผืนโลก ทำให้เกิดลาวาไหลไปทั่วทุกแห่งหน และมีอุกาบาตพุ่งชนโลก และยังซ้ำด้วยดวงดาวขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลกันพุ่งเข้าชน ผลของการชนทำให้เกิดสสารที่หลุดออกจากแผ่นเปลือกโลกหลุดออกไปในอวกาศ และต่อมาได้รวมตัวกันเป็นดวงจันทร์และถูกแรงโน้มถ่วงของโลกดึงไว้ให้โคจรเป็นบริวารของโลก   ครับ

ทฤษฎีนี้เป็นของเก่าแล้วครับ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ข้อสงสัยในทฤษฎีนี้ได้รับการคลี่คลายลงเมื่อนักวิจัยจากสถาบันวิจัยเซาท์เวสต์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตาครูซที่นำโดย Robin Canup ได้สร้างแบบจำลองขึ้นมาใหม่และให้ผลใกล้เคียงกับปัจจุบันทั้งตำแหน่ง มวล โมเมนตัมเชิงมุม และองค์ประกอบทางเคมีของโลกและดวงจันทร์ นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้มากกว่า เพราะแบบจำลองใหม่นี้ต้องการวัตถุที่มาพุ่งชนเล็กกว่าเดิมซึ่งเป็นการเพิ่มความน่าจะเป็นให้มากขึ้นด้วย

กุญแจสำคัญของความสำเร็จของการสร้างแบบจำลองนี้คือ ความละเอียดในการคำนวณ แบบจำลองที่สร้างกันมาก่อนหน้านี้จะแทนระบบโลก-ดวงจันทร์ด้วยอนุภาคประมาณ 3000 อนุภาค แต่แบบจำลองของสถาบันเซาท์เวสต์นี้ใช้อนุภาคนับหมื่นอนุภาค จึงสามารถคำนวณได้ละเอียดกว่าเดิมถึง 10-20 เท่า
IP : บันทึกการเข้า
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2012, 13:13:31 »

แปลคร่าวๆ ครับ

การกำเนิดดวงจันทร์ ก่อด้วยการปะทุของภูเขาไฟบนผืนโลก ทำให้เกิดลาวาไหลไปทั่วทุกแห่งหน และมีอุกาบาตพุ่งชนโลก และยังซ้ำด้วยดวงดาวขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลกันพุ่งเข้าชน ผลของการชนทำให้เกิดสสารที่หลุดออกจากแผ่นเปลือกโลกหลุดออกไปในอวกาศ และต่อมาได้รวมตัวกันเป็นดวงจันทร์และถูกแรงโน้มถ่วงของโลกดึงไว้ให้โคจรเป็นบริวารของโลก   ครับ

ทฤษฎีนี้เป็นของเก่าแล้วครับ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ข้อสงสัยในทฤษฎีนี้ได้รับการคลี่คลายลงเมื่อนักวิจัยจากสถาบันวิจัยเซาท์เวสต์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตาครูซที่นำโดย Robin Canup ได้สร้างแบบจำลองขึ้นมาใหม่และให้ผลใกล้เคียงกับปัจจุบันทั้งตำแหน่ง มวล โมเมนตัมเชิงมุม และองค์ประกอบทางเคมีของโลกและดวงจันทร์ นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้มากกว่า เพราะแบบจำลองใหม่นี้ต้องการวัตถุที่มาพุ่งชนเล็กกว่าเดิมซึ่งเป็นการเพิ่มความน่าจะเป็นให้มากขึ้นด้วย

กุญแจสำคัญของความสำเร็จของการสร้างแบบจำลองนี้คือ ความละเอียดในการคำนวณ แบบจำลองที่สร้างกันมาก่อนหน้านี้จะแทนระบบโลก-ดวงจันทร์ด้วยอนุภาคประมาณ 3000 อนุภาค แต่แบบจำลองของสถาบันเซาท์เวสต์นี้ใช้อนุภาคนับหมื่นอนุภาค จึงสามารถคำนวณได้ละเอียดกว่าเดิมถึง 10-20 เท่า

เยี่ยม
IP : บันทึกการเข้า
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2012, 13:27:47 »

ถึงบ่ะค่อยฮู้เรื่องแต่ก็ชอบเรื่องของดวงดาวและจักรวาลนะครับ เอามาฮอม ยิงฟันยิ้ม

เอาอีกดอก
นักฟิสิกส์เสนอว่าสนามโน้มถ่วงควอนตัม (quantum gravity) อาจถูกตรวจวัดในอวกาศได้ ตามคำกล่าวของ ดร. ชาร์ลส หวาง (Charles Wang) กาล-อวกาศ (space-time) ถูกทำให้บิดเบี้ยวไปมาเล็กน้อยอยู่ตลอดเวลา โดยอนุภาค กราวิตอน (graviton) ที่เชื่อว่าเป็นตัวกลางในการส่งผ่านสนามโน้มถ่วงที่ระดับขนาดของกาล-อวกาศที่เล็กมากอย่างสุด ๆ ที่เรียกว่า พลังค์ สเกล (Planck scale) การทำให้กาล-อวกาศเกิดการกระเพื่อมไปมาโดยอนุภาคสื่อนำแรงโน้มถ่วงนี้เป็นไปในลักษณะเดียวกับ การที่ละอองเกสรดอกไม้หรือละอองควันที่ลอยในอากาศมีการเคลื่อนที่แบบสุ่มที่เรียกว่า ‘การเคลื่อนที่แบบบราวเนียน’ (Brownian motion) เนื่องจากการกระทบกระแทกโดยโมเลกุลที่มีขนาดเล็กกว่ามาก เขากล่าวว่า “หากการตรวจวัดการบิดเบี้ยวของกาล-อวกาศเพียงเล็กน้อยด้วยการทดลองในระดับควอนตัมนี้ประสบผลสำเร็จ พวกเราคิดว่ามันเป็นไปได้ที่จะได้ข้อมูลของทฤษฎีสนามโน้มถ่วงควอนตัม”

เป็นที่รู้กันในหมู่นักฟิสิกส์ว่า ทฤษฎีของพฤติกรรมของกาล-อวกาศในระดับสเกลของกาล-อวกาศที่เล็กที่สุด ที่เรียกว่า พลังก์ สเกล ยากที่จะถูกตรวจสอบด้วยการทดลองได้ นี่คือปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งในจำนวน ‘ทฤษฎีแห่งทุกสรรพสิ่ง’ (theory of everything) ทั้งหลาย การทดลองได้ เป็นสิ่งอันพึงปรารถนาของนักทฤษฎี เพราะมันจะทำให้ทราบว่าทฤษฎีใดบ้างที่เป็นไปไม่ได้ และเมื่อทราบแล้วก็จะเหลือทฤษฎีที่เป็นคู่แข่งกันน้อยลง

สิ่งที่ท้าทายสำหรับทฤษฎีแห่งทุกสรรพสิ่ง ก็คือการรวมทฤษฎีแรงโน้มถ่วงแบบที่บรรยายไว้โดยไอน์สไตน์ (นั่นคือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป) และทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัม เข้าด้วยกันให้เป็นทฤษฎีที่สามารถบรรยายสนามโน้มถ่วงในระดับควอนตัม (quantum gravity) ได้ ในทฤษฎีของสนามโน้มถ่วงควอนตัมหลายทฤษฎี ได้ทำนายว่ากาล-อวกาศจะกระเพื่อมอย่างรวดเร็วตลอดเวลาบน พลังก์สเกล ซึ่งคือสเกลของอวกาศประมาณ 10–35 เมตร และสเกลเวลาประมาณ 10-43 วินาที อย่างไรก็ตาม ขนาดของกาล-อวกาศในระดับนี้เล็กเกินกว่าที่จะตรวจวัดโดยตรงได้ “หากต้องการตรวจวัดพฤติกรรมทางฟิสิกส์ที่สเกลระดับนี้ในเครื่องเร่งอนุภาค มันจำเป็นจะต้องใช้ปริมาณพลังงานที่มหาศาลแบบสุด ๆ” กล่าวโดย ดร.ชาร์ลส หวาง แห่งมหาวิทยาลัยอเบอร์ดีน ประเทศอังกฤษ

นอกจากนี้ ดร. หวาง ยังอธิบายว่า “เป็นที่ยอมรับกันในฟิสิกส์แผนใหม่ว่าการกระเพื่อมของกาล-อวกาศที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องจากคุณสมบัติทางควอนตัมนี้ มีขนาดของการกระเพื่อมเล็กเกินกว่าที่จะสังเกตได้ในสภาวะปกติ”
‘มอง’ อย่าง “การเคลื่อนที่แบบบราวเนียน”

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยใหม่ที่ทำร่วมกันระหว่าง ดร. หวาง และเพื่อนร่วมงานของเขา ลงความเห็นว่ามีความเป็นไปได้อย่างมากที่สัญญาณของพฤติกรรมของกาล-อวกาศในระดับควอนตัมจะถูกตรวจวัดในแล็บทดลองได้ และตอนนี้โอกาสก็ใกล้เข้ามาแล้ว

งานของพวกเขามีความเชื่อมโยงกับปรากฏการณ์ที่เรียกว่า การเคลื่อนที่แบบบราวเนียน (Brownian motion) ซึ่งกล่าวถึงการที่อณูขนาดเล็กที่เราสามารถมองเห็น อย่างเช่นละอองเกสรดอกไม้ มีการเคลื่อนที่เป็นแบบสุ่มในลักษณะหนึ่ง อันเป็นผลมาจากการกระทบกระแทกไปมาโดยการสั่นของโมเลกุลขนาดเล็กมาก ๆ ที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ พูดอีกแบบหนึ่ง ก็คือเราสามารถ “มองเห็น” การเคลื่อนที่ของโมเลกุลขนาดเล็กที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตา ผ่านปรากฏการณ์อันเป็นผลของมัน อย่างไรก็ตาม โรเบิร์ต บราวน์ (Robert Brown) ผู้ค้นพบปรากฏการณ์นี้ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ไม่ได้เกี่ยวข้องในเรื่องการกระเพื่อมของกาล-อวกาศแต่อย่างใด แต่เป็น ดร. หวาง กับเพื่อนร่วมงานที่ได้ความคิดที่เป็นในทางคล้ายคลึงกับการเคลื่อนที่แบบบราวเนียน คือเราอาจจะ “มองเห็น” การกระเพื่อมของกาล-อวกาศที่ยังไม่อาจสังเกตได้ จากการสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นในการทดลองปรากฏการณ์ทางควอนตัม

เทคนิกของนักวิจัยกลุ่มนี้เกี่ยวข้องกับ คลื่นสสาร (matter waves) ซึ่งค้นพบครั้งแรกโดย ศาสตราจารย์ G. P. Thomson ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 คือเกือบ 80 ปีก่อน จากนั้นศาสตราจารย์ธอมสันก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี ค.ศ. 1937 สำหรับงานที่เขาบุกเบิกขึ้น ในปัจจุบันงานเกี่ยวกับการทดลองคลื่นสสารของอะตอมกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และ ดร. หวางและผู้ร่วมงานก็แสดงให้เห็นว่ามีหนทางอย่างไรที่เราจะสามารถได้ข้อมูลเกี่ยวกับทฤษฎีของกาล-อวกาศที่ลึกล้ำนี้

ในชีวิตประจำวันของเรา อะตอมจะเคลื่อนที่ไปรอบ ๆ ด้วยอัตราเร็วสูง แต่ถ้าเราสามารถทำให้มันอยู่กับที่ได้ เราก็อาจทำอะไรกับมันในแบบที่ในภาวะปกติไม่สามารถทำได้ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเมื่อเร็ว ๆ นี้ในเรื่องการทำให้เย็นแบบยิ่งยวด (supercooling) ได้ทำให้อะตอมอยู่ในสภาวะใกล้หยุดนิ่งได้ ซึ่งทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดการวัดทางฟิสิกส์ในแบบใหม่ที่มีความถูกต้องอย่างสูงยิ่ง

ทดลองในอวกาศ

ทิม ซูมเนอร์ (Tim Sumner) แห่งมหาวิทยาลัยอิมพีเรียลคอลเลจ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ กำลังเตรียมเสนอแผนปฎิบัติการในอวกาศ ที่เรียกสั้น ๆ ว่า ‘เกจ’ (GAUGE) ต่อองค์การอวกาศยุโรป (the European Space Agency - ESA) ในปีนี้ ถ้าผ่านความเห็นชอบ ปฏิบัติการนี้จะต้องใช้เงินราว 250 ล้านยูโร หรือ 12,000 ล้านบาท และอาจจะขึ้นสู่อวกาศได้ก่อนปี ค. ศ. 2015

ปฏิบัติการนี้ ซึ่งมีชื่อเต็มว่า the GrAnd Unification and Gravity Explorer (GAUGE) จะรวมแผนการที่เคยถูกเสนอก่อนหน้านี้ ที่รู้จักกันในชื่อ HYPER ซึ่งจะทำการทดลองฟิสิกส์ขั้นมูลฐานด้วยเช่นกัน แต่ไม่ได้รับการอนุมัติจากอีซ่า (ESA) ให้ส่งออกไป เนื่องจากมันมีวัตถุประสงค์ที่ซ้อนทับกับดาวเทียม กราวิตี โพรบ บี (Gravity Probe B) ขององค์การอวกาศสหรัฐฯ หรือ นาซ่า (NASA)

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ ดร. หวาง ได้เพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่ปฏิบัติการ GAUGE โดยเขาได้แสดงว่าเครื่องแทรกสอดคลื่นสสารของอะตอม (atom matter-wave interferometer – เป็นเครื่องที่ใช้การแทรกสอดของคลื่นสสาร) สามารถตรวจวัดการบิดเบี้ยวในกาล-อวกาศในระดับสเกลใกล้ พลังก์สเกลได้

การทดลองของเครื่องแทรกสอดคลื่นสสารของอะตอมบนยานอวกาศ GAUGE จะเกี่ยวข้องกับการส่งลำของอะตอมที่เย็นจัด (ultracold atoms) ลงแขนที่เหมือนกันสองข้างของเครื่องแทรกสอด การกระเพื่อมในกาล-อวกาศอันเนื่องมาจากกราวิตอนจะส่งผลให้เวลาที่ลำอะตอมใช้ในการเคลื่อนลงแขนของเครื่องเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างสุ่ม สิ่งนี้จะทำให้รูปแบบของการแทรกสอดระหว่างสองลำอะตอมเย็นจัด ที่เดิมเป็นริ้ว ๆ ที่ชัดเจนกลับมัวขึ้นเล็กน้อย ด้วยเหตุที่เกิดการเลื่อนเฟสของคลื่นสสารของลำอะตอมทั้งสองอย่างเล็กน้อยและแบบสุ่ม อนึ่ง การทดลองนี้ไม่สามารถทำบนโลกได้ เนื่องจากโลกมีแรงโน้มถ่วงมากเมื่อเทียบกับในอวกาศ ทำให้การตัดผลของแรงโน้มถ่วงอันส่งผลเรขาคณิตของกาล-อวกาศมากเป็นไปได้ยาก

“งานของพวกเราบ่งชี้ว่าเป็นไปได้ที่สัญญาณของสนามโน้มถ่วงควอนตัมจะถูกสังเกตได้ในห้องทดลอง” กล่าวโดยหวาง “สิ่งนี้ทำให้ปฏิบัติการอวกาศนี้มีคุณค่าขึ้นมาก”

จิโอวานนี อเมลลิโน-คาเมลิโอ (Giovanni Amelino-Camelio) นักฟิสิกส์ปรากฏการณ์ทางด้านสนามโน้มถ่วงควอนตัม จากมหาวิทยาลับแห่งโรม คิดว่างานตีพิมพ์ของหวางถือเป็นก้าวที่สำคัญก้าวหนึ่ง ในการแปลงจากความคิดที่เสนอขึ้นครั้งแรกโดย เอียน เพอร์ซิวัล (Ian Percival) ไปเป็นการทดลองได้ “งานนี้น่าจะช่วยเพิ่มแรงบันดาลใจในการศึกษาการวัดการแทรกสอดของคลื่นสสารในอวกาศต่อไป” กล่าวโดย อเมลลิโน-คาเมลิโอ “มันไม่เป็นที่แน่ชัดว่าปรากฏการณ์ที่ว่าจะเกิดขึ้นจริง ๆ อย่างที่บรรยายในงานตีพิมพ์ของพวกเขา แต่อย่างน้อย ก็น่ามีคุณค่าต่อการพัฒนางานวิเคราะห์ในงานการศึกษาทางด้านนี้”

IP : บันทึกการเข้า
-_-@บ่าวเจียงฮาย@
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 483



« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2012, 23:17:46 »

เอฟเฟคส์ภาพสุดยอด ยิ้ม ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

คนที่ทะเลาะกันด้วยเรื่องศาสนา
     ก็เหมือนกับชายสองคน
      ทะเลาะกันเรื่องผู้หญิง
   แต่ไม่มีใครรักเธอจริงสักคน
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2012, 08:16:57 »

เอฟเฟคส์ภาพสุดยอด ยิ้ม ยิ้ม
ต้นตำหรับเทคโนโลยีเขาทำกันนี่นา
IP : บันทึกการเข้า
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 01 มีนาคม 2012, 12:14:27 »

มาดูเรื่องไกล้ตัวเราบ้างดีกว่า
วิวัฒนาการของมนุษย์
แนะนำให้รู้จัก...ลูซี่(Lucy)
ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส (Australopithecus afarensis)

 ลูซี่(Lucy)เป็น ซากฟอสซิล ของออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส (Australopithecus afarensis) มีชีวิตอยู่ในช่วง 3-3.9 ล้านปีก่อน ซากฟอสซิล ของลูซี่ ที่สมบูรณ์เกือบ 40% ให้ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับ บรรพบุรุษของมนุษย์ ในสมัยนั้น
ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิสมีความสูงประมาณ 107-152 cm โดยเพศชาย มีขนาด ร่างกาย ใหญ่กว่าเพศหญิงมาก (sexual dimorphism ลักษณะแบบนี้ ยังพบได้ในกอริลล่า)
ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส มีช่วงแขนที่ยาว เกือบจะเท่ากับ ชิมแปนซี มีมือที่ ไม่สามารถกำได้แบบพวกเรา ฟอสซิลกระดูกเชิงกราน และเข่าที่พบ มีลักษณะ เหมือนมนุษย์ปัจจุบัน แสดงว่าสามารถเดิน 2 ขาได้
มีการค้นพบ รอยเท้าเดิน 2 ขา แบบมนุษย์ ปรากฎอยู่บน หินภูเขาไฟ อายุ 3ล้าน 6 แสนปี ที่เลโตลิ (Laetoli) ประเทศแทนซาเนีย ทวีปแอฟริกา เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่า บรรพบุรุษของมนุษย์ สามารถเดิน 2 ขาได้ เป็นเวลา อย่างน้อย 3ล้าน 6 แสนปี มาแล้ว จากช่วงอายุ เป็นไปได้มากว่า เป็นรอยเท้าของ ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส
ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส มีขนาดสมอง พอๆกับลิงชิมแปนซี หน้าตาก็คล้ายๆชิมแปนซี ยกเว้นฟันที่ มีลักษณะ อยู่กึ่งกลาง ระหว่างชิมแปนซี กับมนุษย์ปัจจุบัน ลักษณะเขี้ยวที่สั้นคาดว่า อฟาร์เอนซิส อาจไม่จำเป็นต้องใช้ เขี้ยวต่อสู้กับเพศชายด้วยกัน เพื่อครองความเป็นใหญ่ ในฝูง (ยังคงพบได้ในกอริลล่า)


เปรียบเทียบลักษณะกระโหลกและฟัน ของ ลิงชิมแปนซี(ซ้าย) A.afarensis(กลาง) และมนุษย์ปัจจุบัน(ขวา)

คาดว่าออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส น่าจะสืบเชื้อสายมาจาก ออสตราโลพิเธคคัส แอนาเมนซิส และน่าจะเป็น บรรพบุรุษของ มนุษย์ สปีชีส์ถัดมาเกือบทั้งหมด
ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส มีชีวิตอยู่ ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลง ของภูมิอากาศบนโลก สภาพพื้นที่ แห้งแล้งมากขึ้นเรื่อยๆ ผืนป่าลดลด กลายเป็นทุ่งหญ้า อาหารของลิงใหญ่ตามต้นไม้ในป่า เริ่มขาดแคลน ความสามารถเดิน 2 ขา ของ ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส เป็นประโยชน์ ในการไปหากินตามทุ่งหญ้า และการย้ายจากป่าหนึ่ง ไปอีกป่าหนึ่ง
ช่วงนี้เองที่คาดว่า ทำให้เกิด วิวัฒนาการของมนุษย์ ความสามารถในการเดิน 2 ขา มือที่ว่างสามารถหยิบจับ อาหาร และการใช้เครื่องมือ มีการพัฒนาการของสมอง สามารถวิวัฒนาการเข้าสู่ ความเป็นมนุษย์ ในที่สุด แต่คงไม่สามารถ เกิดขึ้นได้ทั้งหมด ในช่วงเวลาสั้นๆ ในช่วงชีวิตของ ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส

รายละเอียดการค้นพบ ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส (Australopithcus afarensis)
 ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส (Australopithcus afarensis) ค้นพบโดย โดนัลด์ โจฮานสัน (Donald Johanson) และผู้ร่วมงาน ที่ประเทศเอธิโอเปีย ทวีปแอฟริกา (site:Hardar) เมื่อปี 1974 ช่วงเวลาประมาณ 20 ปี หลังจากนั้น ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส ก็เป็นสปีชีส์ เก่าแก่ที่สุดของ บรรพบุรุษของมนุษย์ ที่เรารู้จัก (จนกระทั่งมีการค้นพบ A.anamensis และ A.ramidus ซึ่งเก่าแก่ยิ่งกว่า)

ในช่วงปี'70s มีการตามหาซากฟอสซิล ที่แสดงรอยต่อ ของวิวัฒนาการ จากลิงใหญ่ มาสู่มนุษย์ โดยคาดว่าน่าจะเกิดขึ้น ที่ทวีปแอฟริกา ทีมงานของโดนัลด์ โจฮานสัน ซึ่งขุดค้นอยู่ที่ ฮาร์ดาร์ ในเดือนตุลาคม ปี1974 ได้ค้นพบฟอสซิล ที่สมบูรณ์ถึง 40% มีลักษณะรูปร่างแบบลิงใหญ่ แต่พบกระดูกเชิงกราน และเข่า ซึ่งแสดงถึง ความสามารถ เดิน 2 ขา ได้อย่างมนุษย์ปัจจุบัน เขาตั้งชื่อซากฟอสซิลนั้นว่า ลูซี่ (Lucy) มาจากเพลง Lucy in the sky with daimonds ของ The Beatles ซึ่งเปิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในค่ายพักช่วงนั้น เขาเรียกชื่อสปีชีส์ ว่า ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส (Australopithcus afarensis) จึงนับเป็นการเริ่ม บทใหม่ที่สำคัญ ในการศึกษาวิวัฒนาการของมนุษย์

 ฟอสซอลของลูซี่ บริเวณใบหน้าขาดหายไป และซากฟอสซิลของ ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส ที่พบก็มีขนาดโครงร่างที่แตกต่างกัน บ้างใหญ่บ้างเล็ก มีหลายคนถกเถียงกันว่า น่าจะเป็นฟอสซิล ของอย่างน้อย 2 สปีชีส์ หรือเป็นขนาด ที่แตกต่างกัน ระหว่างเพศชาย และหญิง
ดังนั้นงานต่อไปของ โดนัลด์ โจฮานสัน ก็คือต้องหา ฟอสซิล กระโหลกศรีษะ ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ของ ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส อันจะเป็นส่วนสำคัญที่บอก รายละเอียดของสปีชีส์ เขาทำได้สำเร็จในปี 1992 ทำให้เราทราบ ลักษณะใบหน้าของ ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส และฟอสซิลกระโหลก ของ ทั้ง 2 เพศที่มีขนาดโครงร่าง ชายใหญ่กว่าหญิง ก็บอกถึงลักษณะ Sexual Dimorphism ซึ่งพบได้ใน ลิงใหญ่ และ บรรพบุรุษของมนุษย์ยุคแรกๆวิวัฒนาการของมนุษย์
สายพันธุ์มนุษย์ ที่เพิ่งค้นพบล่าสุด
ออสตราโลพิเธคคัส การี (Australopithecus garhi)

ออสตราโลพิเธคคัส การี(Australopithcus garhi) เป็นสายพันธุ์มนุษย์ ที่เพิ่งค้นพบล่าสุด มีชีวิตอยู่บนโลก เมื่อประมาณ 2ล้าน 5แสนปีก่อน เป็นบรรพบุรุษ ของมนุษย์ พวกแรก ที่เริ่มมีขายาวแบบมนุษย์ และเริ่มใช้ เครื่องมือทำจากหิน ตัดเนื้อสัตว์เป็นอาหาร
 

การที่ออสตราโลพิเธคคัส การี มีสัดส่วนของขา ยาวขึ้นแบบมนุษย์ แต่ยังคงมี สัดส่วนของแขน ยาวแบบลิง ทำให้เราสันนิษฐานได้ว่า วิวัฒนาการในส่วนแขนและขา ของมนุษย์ น่าจะเป็นไปในอย่างน้อย 2ขั้นตอน คือ
ขั้นตอนหนึ่ง เมื่อเริ่มเดิน 2ขา มีวิวัฒนาการของขา ยาวขึ้นแบบมนุษย์
ขั้นตอนถัดไป เมื่อลดการปีนป่ายตามต้นไม้ลง มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วน ของความยาวแขน
 

เนื่องจากขุดพบ เครื่องมือหินเก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยค้นพบ และฟอสซิล กระดูกสัตว์ถูกขูด และทุบด้วยเครื่องมือหิน ที่ชั้นหินอายุ 2ล้าน 5แสนปี ใกล้บริเวณ ที่พบฟอสซิล ของ ออสตราโลพิเธคคัส การี
จึงคาดว่าออสตราโลพิเธคคัส การี น่าจะเป็นพวกแรก ในสายวิวัฒนาการ ของมนุษย์ ที่สามารถใช้เครื่องมือหิน ทุบกระดูกสัตว์ เพื่อกินไขกระดูกภายใน นับเป็นหลักฐาน เก่าแก่ที่สุด แสดงถึงการเปลี่ยนพฤติกรรม การกินของ บรรพบุรุษมนุษย์ เมื่อ 2ล้าน 5แสนปีก่อน
ไขกระดูกเป็นโปรตีน ที่มีคุณค่าทางอาหารสูง ช่วยให้สมอง พัฒนาและใหญ่ขึ้น จนสามารถ วิวัฒนาการเป็นบรรพบุรุษ ของมนุษย์ในยุคต่อๆมา
ออสตราโลพิเธคคัส การี มีสมองเล็กเพียง 450cc (สมองมนุษย์ปัจจุบัน มีขนาด ~1400cc) มีฟันที่ค่อนข้างใหญ่ โดยเฉพาะฟันกราม คาดว่าขนาดร่างกาย น่าจะใหญ่กว่า ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส (คะเนจากขนาด ของกระโหลก ศีรษะ)
สิ่งแวดล้อมในบริเวณที่พบ ออสตราโลพิเธคคัส การี ในสมัยนั้น มีลักษณะเป็นขอบของทุ่งหญ้ากว้าง ริมทะเลสาบน้ำจืดตื้นๆ

เป็นไปได้ว่า ออสตราโลพิเธคคัส การี สืบเชื้อสายมาจาก ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส (3-3.9 ล้านปีก่อน) และวิวัฒนาการต่อไปเป็น มนุษย์ ในจีนัสโฮโม

รายละเอียดการค้นพบ ออสตราโลพิเธคคัส การี
(Australopithcus garhi)

ช่วงก่อนปี 1999 เราทราบเพียงว่า ออสตราโลพิเธคคัส อฟาร์เอนซิส (A.afarensis สปีชีส์ของลูซี่ สูญพันธุ์ไปเมื่อ 3ล้านปีก่อน) วิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์ ในจีนัสโฮโม (ซึ่งเคยเชื่อว่าเป็นพวกแรก ที่รู้จักใช้เครื่องมือหิน)
ซากฟอสซิล ส่วนใหญ่ พบที่แอฟริกาตะวันออก ฟอสซิลของมนุษย์ ชิ้นที่มีอายุ 2-3 ล้านปีพบค่อนข้างน้อย ที่พบส่วนใหญ่ ก็ไม่สามารถ กำหนดอายุได้แน่ชัด และมักพบเฉพาะ ในบริเวณแอฟริกาใต้

ในปี 1996 ทิม ดี. ไวท์ (Tim D. White) และทีมงาน (University of California at Berkeley) ขุดค้นอยู่ที่เอธิโอเปีย บริเวณแอฟริกา ตะวันออก ได้ค้นพบฟอสซิล กระดูกแขน และขา อายุ 2.5ล้านปี กระดูกต้นขายาวกว่าของ A.afarensis แสดงว่าสัดส่วนของขา เริ่มยาวออก ตั้งแต่กว่า 1ล้านปี ก่อนที่แขนจะสั้นลง จนเป็นสัดส่วนของแขนขา แบบมนุษย์ปัจจุบัน แต่เนื่องจาก ซากฟอสซิล ที่ไม่สมบูรณ์ เขาไม่สามารถจำแนก สปีชีส์ของมนุษย์ในยุคนั้นได้

นอกจากนี้ เขายังพบ ฟอสซิลอายุ 2.5ล้านปี จากบริเวณใกล้เคียง เป็นกระดูกสัตว์มีรอยขูด ที่เกิดได้จาก เครื่องมือหินเท่านั้น และนักสำรวจ อีกชุด (the Royal Institute of Natural Science in Belgium) ได้พบเครื่องมือหินอายุ 2.5ล้านปี จากจุดที่ ห่างออกไปเล็กน้อย แม้จะไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า ใครเป็นผู้ที่ใช้ เครื่องมือหินเหล่านี้ แต่ก็เป็น หลักฐานเก่าแก่ที่สุด ว่ามีการใช้เครื่องมือ หินตั้งแต่ 2.5ล้านปีก่อน

ต่อมาในปี 1997 Yohannes Haile-Selassie (University of California at Berkeley) พบฟอสซิล กระโหลกศีรษะอายุ 2.5ล้านปี จากพื้นที่ใกล้เคียง เนื่องจากมันแตก เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และติดแน่น ด้วยคาร์บอเนต การทำความสะอาด ต้องใช้เวลานานหลายเดือน
Berhane Asfaw และทีมงาน ได้ศึกษาซากฟอสซิลอย่างละเอียด แล้วเขาก็พบสิ่งที่น่าประหลาดใจคือ ฟันของซากฟอสซิล โดยเฉพาะฟันกราม มีขนาดใหญ่กว่า ของA.afarensis แต่ใบหน้ายื่น และ ส่วนที่คลุมสมองเล็ก กว่ามนุษย์ในจีนัสโฮโม เป็นลักษณะผสม ที่ไม่เคยได้พบ ในมนุษย์สายพันธุ์ใด มาก่อน เขาเรียกชื่อสปีชีส์ใหม่นี้ว่า ออสตราโลพิเธคคัส การี (Australopithcus garhi) มาจาก garhi ในภาษาอฟาร์ แปลว่าประหลาดใจ (surprise) ประกาศลงในวารสาร Science ฉบับเดือนเมษายน ปี1999
IP : บันทึกการเข้า
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 02 มีนาคม 2012, 10:34:15 »

เอาอีกดอก.....
ง่ายๆงามๆ
กำเนิดของดาวฤกษ์

เนบิวลา

          ดวงดาวเกิดจากการรวมตัวของก๊าซและฝุ่นในอวกาศ (Interstellar medium) มวลจะมีแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน ตาม “กฎความโน้มถ่วงแห่งเอกภพ” (The Law of Universal) ของนิวตันที่มีสูตรว่า F = G (m1m2/r2) เมื่อกลุ่มก๊าซและฝุ่นรวมตัวกันในอวกาศ เรียกว่า “เนบิวลา” (Nebula) หรือ “หมอกเพลิง” เนบิวลาเป็นกลุ่มก๊าซขนาดใหญ่หลายปีแสง แต่เบาบางมาก องค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นไฮโดรเจน ซึ่งเป็นธาตุตั้งต้นของทุกสรรพสิ่งในจักรวาล
          เนบิวลามีอุณหภูมิต่ำ เนื่องจากไม่มีแหล่งกำเนิดความร้อน ในบริเวณที่ก๊าซมีความหนาแน่นสูง อะตอมจะยึดติดกันเป็นโมเลกุล ทำให้เกิดแรงโน้มถ่วงดูดก๊าซจากบริเวณโดยรอบมารวมกันอีก ณ จุดนี้อุณหภูมิภายในเนบิวลาประมาณ 10 K เมื่อมวลเพิ่มขึ้น พลังงานศักย์โน้มถ่วงของแต่ละโมเลกุลที่ตกเข้ามายังศูนย์กลางของกลุ่มก๊าซ เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานความร้อน แผ่รังสีอินฟราเรดออกมา
          เมื่อกลุ่มก๊าซมีความหนาแน่นสูงขึ้น ความร้อนภายในไม่สามารถแผ่ออกมาได้ อุณหภูมิภายในแกนกลางจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว มวลของก๊าซที่มีแรงโน้มถ่วงสูงสามารถเอาชนะแรงดันซึ่งเกิดจากการขยายตัวของก๊าซร้อน กลุ่มก๊าซจึงยุบตัวเข้าสู่ศูนย์กลางกำเนิดเป็นดาวฤกษ์ เมื่อดาวสเปกตรัม O ที่เกิดใหม่แผ่รังสีอัลตราไวโอเล็ตออกมา กลุ่มก๊าซเหล่านี้จะดูดกลืนพลังงานไว้แล้วแผ่รังสีในช่วงคลื่น H-alpha ออกมา เราจึงมองเห็นเป็น “เนบิวลาสว่าง” (Diffuse Nebula) สีแดง ได้แก่ เนบิวลาสว่างใหญ่ในกลุ่มดาวนายพราน (ภาพที่ 1 ก) เราจะเห็นได้ว่า ใจกลางของเนบิวลาสว่าง มักมีดาวเกิดใหม่อยู่ภายในหลายร้อยดวง

   
ก เนบิวลาสว่างในกลุ่มดาวนายพราน
 ข เนบิวลาสะท้อนแสงในกระจุดดาวลูกไก่ ค เนบิวลามืดรูปหัวม้ากลุ่มดาวนายพราน
ภาพที่ 1 เนบิวลาประเภทต่างๆ

          เนื่องจากกลุ่มก๊าซและฝุ่นในเนบิวลามีอยู่หนาแน่น บางครั้งอนุภาคขนาดใหญ่ก็จะเป็นสิ่งกีดขวาง
การแผ่รังสี ทำให้เกิดการกระเจิงของแสง (Scattering) ปรากฏเป็นเนบิวลาสีฟ้า เช่นเดียวกับสีของท้องฟ้าบนโลกของเรา เราเรียกเนบิวลาประเภทนี้ว่า “เนบิวลาสะท้อนแสง” (Reflection Nebula) ตัวอย่างเช่น เนบิวลาในกระจุกดาวลูกไก่ (ภาพที่ 1 ข) เนบิวลาทริฟิดในกลุ่มดาวคนยิงธนู อย่างไรก็ตามภายในเนบิวลา บางส่วนก็ยังมีกลุ่มก๊าซซึ่งมีอุณหภูมิต่ำกว่า แผ่รังสีอินฟราเรดซึ่งมองไม่เห็น มันจะบังเนบิวลาสว่างซึ่งอยู่ด้านหลัง เราเรียกเนบิวลาเหล่านี้ว่า “เนบิวลามืด” (Dark Nebula) เช่น เนบิวลารูปหัวม้าในกลุ่มดาวนายพราน (ภาพที่ 1 ค)


ภาพที่ 2 โปรโตสตาร์ซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มก๊าซภายในเนบิวลานกอินทรี

โปรโตสตาร์

          เหตุเกิดในเนบิวลา (ภาพที่ 2) เมื่อมวลของกลุ่มก๊าซรวมตัวกันมากขึ้นจนแรงโน้มถ่วงมาก พอที่จะเอาชนะแรงดันซึ่งเกิดจากการขยายตัวของก๊าซร้อน กลุ่มก๊าซจะยุบตัวลงอย่างต่อเนื่องและหมุนรอบตัวตามกฎอนุรักษ์โมเมนตัมเชิงมุม (Angular Momentum) เป็นจานรวมมวล แกนกลางของกลุ่มก๊าซเรียกว่า “โปรโตสตาร์” (Protostar) เมื่อแกนกลางของโปรโตสตาร์มีอุณหภูมิสูงถึงระดับล้านเคลวิน โปรโตสตาร์จะปล่อยอนุภาคพลังงานสูงคล้ายลมสุริยะเรียกว่า “Protostellar Wind” เมื่อโปรโตสตาร์ยุบตัวต่อไป กระแสอนุภาคพลังงานสูงจะมีความรุนแรงมาก จนปรากฏเป็นลำพุ่งขึ้นจากรวมมวลในแนวแกนหมุนรอบตัวเองของโปรโตสตาร์ (ภาพที่ 3)


ภาพที่ 3 โปรโตสตาร์

          การยุบตัวของโปรโตสตาร์ดำเนินต่อไป จนกระทั่งแกนของโปรโตสตาร์มีอุณหภูมิสูงถึง 10 ล้านเคลวิน ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันจุดตัวเอง ไฮโดรเจนหลอมรวมเป็นฮีเลียม ก๊าซที่แกนกลางร้อนจนมีความดันสูงพอที่จะต้านทานแรงโน้มถ่วงของดาว การยุบตัวของดาวยุติลง ความสมดุลระหว่างแรงโน้มถ่วงและแรงดันของก๊าซร้อน รักษาขนาดของดาวให้คงรูปร่างทรงกลม ณ จุดนี้เราถือว่า “ดาวฤกษ์” ได้ถือกำเนิดขี้นแล้ว ตลอดช่วงชีวิตของดาวจะมีกลไกอัตโนมัติควบคุมปฏิกิริยาฟิวชันภายในแก่นดาว หากอัตราการเกิดปฏิกิริยาฟิวชันสูงเกินไป ก๊าซร้อนที่แก่นกลางจะดันดาวให้ขยายตัวออก ทำให้อุณภูมิลดลง และอัตราการเกิดฟิวชันก็จะลดลงด้วย ในทางกลับกันหากอัตราการเกิดฟิวชันต่ำเกินไป ก๊าซที่แกนกลางเย็นตัวลง เนื้อสารของดาวจะยุบตัวกดทับทำให้อุณหภูมิกลับสูงขึ้น เพิ่มอัตราการเกิดฟิวชันคืนสู่ระดับปกติ ขนาดของดาวฤกษ์จะยุบพองเล็กน้อยตลอดเวลา ตามกลไกการควบคุมโดยธรรมชาติ


ภาพที่ 4 แผนภาพ H-R แสดงวิวัฒนาการของกำเนิดดาว

          โปรโตสตาร์ที่มวลตั้งต้นเท่ากับดวงอาทิตย์ เมื่อจุดนิวเคลียร์ฟิวชันจะเกิดเป็นดาว G สีเหลือง โปรโตสตาร์ที่มีมวลมากกว่าสองเท่าของดวงอาทิตย์ขึ้นไป จะเกิดเป็นดาว O ดาว B หรือดาว A สีขาวออกน้ำเงิน ส่วนโปรโตสตาร์ที่มีมวลน้อยกว่าดวงอาทิตย์จะเกิดเป็นดาว K หรือดาว M ซึ่งมีสีส้มแดง ดูแผนภาพ H-R ในภาพที่ 4 ประกอบ

          อย่างไรก็ตาม โปรโตสตาร์ไม่ทุกดวงที่จะประสบความสำเร็จในการจุดฟิวชันเป็นดาวฤกษ์ กลุ่มก๊าซที่มีมวลน้อยกว่าดวงอาทิตย์ 0.08 เท่า มวลไม่มากพอที่จะสร้างแรงกดดันให้อุณหภูมิสูงพอที่จะจุดฟิวชัน โปรโตสตาร์จึงยุบตัวลงกลายเป็นดาวแคระห์น้ำตาล (Brown Dwarf) ซึ่งมีลักษณะคล้ายดาวพฤหัสบดี ในทางกลับกันกลุ่มก๊าซที่มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ 100 เท่า อุณหภูมิที่เกิดขึ้นจากแรงกดดันจะมีอุณหภูมิสูงมากเกินไป จนอัตราการเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันสูงเกินกว่าจะรักษาสมดุลไว้ได้ ดาวจะระเบิดในทันที ดังนั้นดาวฤกษ์ทุกดวงจึงมีมวลอยู่ระหว่าง 0.08 ถึง 100 เท่า ของดวงอาทิตย์

กระจุกดาวเปิด

          ดาวฤกษ์มิได้เกิดขึ้นทีละดวงโดดๆ เนบิวลาเปรียบเสมือนรังของดาว กลุ่มก๊าซขนาดหลายปีแสงให้กำเนิดดาวจำนวนหลายร้อยดวง ในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน หลังจากดาวเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันแล้ว ลมดารา (Stellar Winds) ซึ่งเป็นกระแสอนุภาคพลังงานสูงลักษณะคล้ายลมสุริยะ พัดกวาดก๊าซในเนบิวลาให้สลายตัวไป เผยให้เห็นดวงดาวนับร้อยที่อยู่ภายในเรียกว่า “กระจุกดาวเปิด” (Open Cluster) เราจะพบว่า ใจกลางของเนบิวลาทุกชนิดจะมีกระจุกดาวเปิดอยู่ภายในเสมอ เช่น เนบิวลานายพราน และหากเราถ่ายรูปกระจุกดาวลูกไก่ซึ่งถือกำเนิดมาได้หนึ่งร้อยล้านปีแล้ว (ภาพที่ 1 ข) ก็จะเห็นกลุ่มก๊าซจางๆ ห่อหุ้มดาวแต่ละดวง แต่กระจุกดาวที่มีอายุแก่กว่านั้น เช่น กระจุกดาวหน้าวัว (Hyades) ซึ่งเรียงตัวเป็นรูปตัว V ในกลุ่มดาววัว ก็จะไม่มีเนบิวลาปรากฏให้เห็นแล้ว ดังภาพที่ 5


ภาพที่ 5 กระจุกดาวหน้าวัว

          ชีวิตของดาวเฉกเช่นชีวิตของคน แม้ว่าจะเป็นพี่น้องคลานตามกันมา แต่ละคนก็มีวิถีชีวิตเป็นของตัวเอง ดวงอาทิตย์ของเราถือกำเนิดพร้อมๆ กับกระจุดดาวร่วมเนบิวลาหลายร้อยดวง แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป 4,600 ล้านปี ดาวแต่ละดวงก็แยกย้ายกันโคจรไปตามกาแล็กซีทางช้างเผือก บางดวงที่มีมวลมากเผาผลาญเชื้อเพลิงอย่างรวดเร็วก็แตกดับสูญไปแล้ว ดวงอาทิตย์ของเราโคจรรอบทางช้างเผือกมาแล้วไม่น้อยกว่า 15 รอบ
IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 02 มีนาคม 2012, 12:34:21 »

ละดาว เพนโดวร่า ลอครับ ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 02 มีนาคม 2012, 18:05:30 »

ละดาว เพนโดวร่า ลอครับ ยิงฟันยิ้ม
ชู่ววววว....เอาดาวโป๊ไปดูก่อนมั๊ยน้อง
IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #14 เมื่อ: วันที่ 02 มีนาคม 2012, 20:32:37 »

ละดาว เพนโดวร่า ลอครับ ยิงฟันยิ้ม
ชู่ววววว....เอาดาวโป๊ไปดูก่อนมั๊ยน้อง
ใครกันครับน้อง....เพนโดวร่าเป็นหนึ่งในดวงจันทร์ของดาวพฤหัสที่นักวิทยาศาสตร์คาดว่าจะมีน้ำและมีสิ่งมีชีวิต(คาดว่า)แต่ข้อมูลยังน้อยอยู่ครับคุณลุง.........อิ อิ ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« ตอบ #15 เมื่อ: วันที่ 02 มีนาคม 2012, 22:02:33 »

ละดาว เพนโดวร่า ลอครับ ยิงฟันยิ้ม
ชู่ววววว....เอาดาวโป๊ไปดูก่อนมั๊ยน้อง
ใครกันครับน้อง....เพนโดวร่าเป็นหนึ่งในดวงจันทร์ของดาวพฤหัสที่นักวิทยาศาสตร์คาดว่าจะมีน้ำและมีสิ่งมีชีวิต(คาดว่า)แต่ข้อมูลยังน้อยอยู่ครับคุณลุง.........อิ อิ ยิงฟันยิ้ม
แสดงว่าไม่เคยไปเดินจตุจักร เวลาเราเดินผ่าน จะถามว่า "โป๊ มั๊ยน้อง"
IP : บันทึกการเข้า
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« ตอบ #16 เมื่อ: วันที่ 02 มีนาคม 2012, 22:08:53 »

ละดาว เพนโดวร่า ลอครับ ยิงฟันยิ้ม
ชู่ววววว....เอาดาวโป๊ไปดูก่อนมั๊ยน้อง
ใครกันครับน้อง....เพนโดวร่าเป็นหนึ่งในดวงจันทร์ของดาวพฤหัสที่นักวิทยาศาสตร์คาดว่าจะมีน้ำและมีสิ่งมีชีวิต(คาดว่า)แต่ข้อมูลยังน้อยอยู่ครับคุณลุง.........อิ อิ ยิงฟันยิ้ม
แต่เดี๋ยวนี้ย้ายจากจตุจักรมาที่พันทิพย์แล้วครับ
IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #17 เมื่อ: วันที่ 02 มีนาคม 2012, 22:09:26 »

ครับๆ หาววววววววว ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« ตอบ #18 เมื่อ: วันที่ 02 มีนาคม 2012, 22:12:24 »

ครับๆ หาววววววววว ยิ้ม
เดี๋ยวๆๆๆจารีบไปไหนล่ะคร๊าบ
IP : บันทึกการเข้า
ยินดีครับ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,814


ติดต่อได้ตลอดเวลาครับ


« ตอบ #19 เมื่อ: วันที่ 02 มีนาคม 2012, 22:18:09 »

ได้ความรู้ ไปเล่าให้น้องๆฟัง ที่ดาว KARAOKE 555+
IP : บันทึกการเข้า

คลิกลิ้งติดต่องาน https://www.facebook.com/profile.php?id=100054820356981
หน้า: [1] 2 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!