เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 26 เมษายน 2024, 16:13:52
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ศาสนา กิจกรรมทางวัด (ผู้ดูแล: ap.41, ลุงหนาน)
| | |-+  หากบุญกรรมมีจริง......(ไม่ได้ออกตัวแรงขนาดนั้นนะครับ) ขอรบกวนถามครูบาอาจารย์และท่านสมาชิกคร
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน หากบุญกรรมมีจริง......(ไม่ได้ออกตัวแรงขนาดนั้นนะครับ) ขอรบกวนถามครูบาอาจารย์และท่านสมาชิกคร  (อ่าน 2478 ครั้ง)
ลุงใจ
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 85


« เมื่อ: วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2012, 20:51:26 »

ยังมีบางอย่างที่ยังคิดไม่ตกครับ คือหากบุญกรรมมีจริง สวรรค์นรกก็มีจริง แล้วเราจำเป็นหรือไม่ครับ ที่ หากเราล่วงลับไปแล้วควรจะไปขึ้นสวรรค์ (อย่างที่เราท่านแทบทุกคนรวมทั้งตัวผมอยากไป) เหตุเพราะได้รับผลบุญที่เราได้ทำไว้ แต่เราก็ยังมีกรรมที่จะต้องได้รับหลังจากล่วงลับจากสวรรค์แล้ว น่าจะส่งผลให้เราไปตกอยู่ในอบาย ได้เช่นกัน(คิดเองล้วนๆนะครับ)
ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว เรายังจำเป็นหรือไม่ที่หลังจากล่วงลับต้องอยากที่จะไปสวรรค์ หรือค่อยให้ผลบุญกรรมเขาจัดลำดับให้เอง(คำถามนี้จะหนักเกินไปไม๊น้าาาาาาา ยิงฟันยิ้ม)
ครูบาอาจารย์หรือท่านสมาชิกคิดเห็นอย่างไรบ้างครับ
IP : บันทึกการเข้า
สาวนุ้ยผลัดถิ่น
เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณและคนที่คุณรัก
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 719


เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณและคนที่คุณรัก


« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2012, 21:54:48 »

เคยฟังพระองค์นึงท่นเทศน์ไว้ว่า เราจะไปต่างจังหวัดครั้งนึง เราเตรียมของใช้มากมาย เก็บของใส่กระเป๋าซะใบเบ้อเร่อ ทั้งที่ไปไม่ถึงปี แต่นี้เราไปโลกหน้า เราเตรียมอะไรไปบ้าง (มันน่าคิดน่ะ เราทำดีเพื่อโลกหน้าจะได้สบาย หรือ ทำชั่วเพื่อโลกหน้าจะไปรับกรรม) ยังไงเสียทุกวันนี้ก็หมั่นทำความดีน่ะไม่ได้หวังในโลกหน้า หวังโลกนี้เลย เพราะกรรมคือการกระทำ เมื่อเราทำกรรมดีแล้ว นั้นหมายถึงกระทำสิ่งที่ดี เราก็สบายใจ ไม่ใช่เพียงแต่เราที่ดีด้วยนะ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ญาติพี่น้องก็ดีไปด้วย มีคนๆนึงถามท่าน ว.วชิรเมธีว่า อนุสาวรีย์ของพ่อกับแม่อยู่ที่ไหน ท่านบอกว่าอยู่ที่เรา ได้ยินก็คิดได้ทันที เออ จริงด้วยแฮะ บางครั้งเราดื้อ หรือ ทำความเดือดร้อนให้ใคร เค้าจะด่าว่ ไอ้ลูกพ่อแม่ไม่สั้งสอน ถ้าทำดีละก็ แหม พ่อแม่เค้าดีเนอะ สอนลูกเค้ามีดี อนุสาวรีย์นี้ก็มีแต่คนสรรเสริญ

ตอบซะยาวเลย สุดท้ายมีคำพูดอยู่ประโยคนึงจำไม่ได้แล้วว่า พระ หรือ บุคคลใดเป็นคนกล่าว รู้เพียงว่าประโยคนี้ ทำให้ ข้าพเจ้าพบกับความสุขที่แท้จริงของชีวิต

ท่านได้กล่าวไว้ว่า ชีวิตคนเราก็เหมือนกับมาทำงาน ยังไงเสียเราก็มีวันได้เลิกงาน เมื่อเลิกงานเราก็หมดภาระหน้าที่ นี้แล้ว
IP : บันทึกการเข้า

ร้านรังนกทอง จ.เชียงราย จำหน่าย เครื่องดื่มรังนก และรังนกนางแอ่น มีทั้งแบบรังเต็ม รังที่คัดสะอาดพร้อมปรุง http://blog.chiangraifocus.com/?id=1156
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2012, 23:20:46 »

เอาแบบจริงจัง หรือเล่าสู่กันฟังละ....

เอาแบบเล่าสู่กันฟังก่อนแล้วกัน
"แล้วเราจำเป็นหรือไม่ครับ ที่ หากเราล่วงลับไปแล้วควรจะไปขึ้นสวรรค์
(อย่างที่เราท่านแทบทุกคนรวมทั้งตัวผมอยากไป) เหตุเพราะได้รับผลบุญที่เราได้ทำไว้ แต่เราก็ยังมีกรรมที่จะต้องได้รับหลังจากล่วงลับจากสวรรค์แล้ว น่าจะส่งผลให้เราไปตกอยู่ในอบาย ได้เช่นกัน(คิดเองล้วนๆนะครับ)ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว เรายังจำเป็นหรือไม่ที่หลังจากล่วงลับต้องอยากที่จะไปสวรรค์ หรือค่อยให้ผลบุญกรรมเขาจัดลำดับให้เอง"


เราไม่จำเป็นต้องอยากหรอกครับเดี๋ยวเขาจัดสรรค์ของเขาเอง เปรียบการทำบุญเหมือนกับ

การได้ดื่มน้ำสะอาด ซึ่งพอเราได้ดื่มแล้วเราจะไปห้ามว่า อย่าสดชื่นน่ะ อย่าอิ่มน่ะ คงเป็นไป

ไม่ได้ การทำบุญก็เช่นกันเมื่อเราได้ทำเต็มที่แล้ว บริสุทธิ์ บริบูรณ์แล้ว เราจะไปห้ามว่าฉัน

ไม่อยากไปสวรรค์อย่าส่งฉันไปเลย ก็คงเป็นไปไม่ได้พอถึงเวลาเขาก็จัดส่งเราไปเอง(ยก

เว้นผู้ที่ทรงฌาญซึ่งส่วนมากก็ไม่อยากไปสวรรค์เพราะเสียเวลาและจะเลือกมาเกิดเป็น

มนุษย์ต่อเพื่อปฏิบัติกิจให้เสร็จ หรือไปจุติที่ชั้นพรหม ชั้นสุทธาวาสหรือรอเหตุการณ์ให้

พร้อมเช่นอัครสาวกทั้งหลายที่ได้รับพุทธพยากรณ์เรียบร้อยแล้วถึงแม้บารมีจะเต็มก็ต้องรอ

มาเกิดกับพระพุทธเจ้าองค์นั้นๆเท่านั้น) ส่วนเราๆท่านๆทั้งหลาย ไม่ต้องเป็นกังวลเพราะเรา

คงไม่ทรงฌาญขนาดนั้นรีบทำบุญทำกุศลให้มากเข้าไว้น่ะดีแล้ว เพราะอยากไรเสียสวรรค์

ย่อมดีกว่านรกแน่นอน อย่าไปวัดดวงหลังจากตายเลย เพราะเมื่อถึงตอนนั้นมันจะมีทาง

เลือกให้ท่านแค่ 2 ทางคือ ก้มหน้ารับกรรม หรือ เสวยผลบุญอย่างเป็นสุข

"กัมมุนา วัตตะติ โลโก = สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"


* นรก.jpg (14 KB, 216x233 - ดู 246 ครั้ง.)

* heaven.jpg (60.42 KB, 465x334 - ดู 250 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2012, 01:10:19 โดย เมฆพัตร » IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2012, 00:06:50 »

ยกตัวอย่าง เอาแบบชัดๆเลย ก็พระพุทธเจ้า ตอนที่ยังเป็นเจ้าชายสิทธัตทะ

เพราะอะไรถึงต้องรอตั้งนานกว่าจะเสด็จออกผนวญ

1.ทำมัยเสด็จพ่อถึงต้องสร้างวังสามฤดูให้ เพราะกลัวเสด็จออกบวช หรือเพราะบุญเก่ามี

เยอะมากจึงต้องมีวังให้เลือกประทับทั้ง 3 ฤดู

2.ทำมัยต้องรอให้ราหุลประสูติก่อนค่อยออกบวช เพราะอยากเห็นหน้าลูกก่อน หรือเพราะ

ราหุลกุมารเมื่ออดีตชาติตอนเสวยชาติเป็นพญานาคอธิษฐานจิตไว้

3.ทำมัยเมื่อทรงออกบวชแล้วไม่บรรลุธรรมทันที ซ้ำร้ายยังทรมารตนอีก เป็นเพราะพระองค์

ไม่มีปัญญาชาญ(ผู้ที่ทำสมาธิถึงขั้นอุปจาระสมาธิได้ตั้งแต่ 7 ขวบนี้นะไม่มีปัญญา ผมไม่

เชื่อ) หรือเป็นเพราะกรรมเก่ามาสนอง

4.ทำมัยพระพุทธเจ้าเมื่อบรรลุเป้นพระพุทธเจ้าแล้วเมื่อทรงกระหายน้ำแล้ว ใช้ให้พระ

อานนท์ไปตักน้ำในลำธารถึงต้องไปตั้กตั้ง 3 ครั้งจึงถึงได้น้ำมา

5.ทำมัยพระพุทธเจ้า เมื่อปรินิพพานถึงต้องนิพพานด้วยโรคอาหารเป็นพิษ เป็นเพราะไม่

รู้จักเลือกอาหารหรือว่าเพราะผลกรรม

และอีกหลายๆเหตุการณ์ในพุทะประวัติลองหาข้อมูลดู  อัครสาวกท่านอื่นก็มี

เช่น พระโมคคัลลานะที่ต้องละสังขารด้วยการถูกโจรรุมทำลาย พระองค์คุลีมารที่ต้องเป็น

ฆาตกรฆ่าคนก่อนมาเป็นพระอรหันต์  พระราหุลทำมัยถึงต้องเกิดมาเป็นลูกเจ้าชายสิทธัต

ถะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2012, 07:39:02 โดย เมฆพัตร » IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2012, 00:27:14 »


ซึ่งเรื่องของ บุญ บาป นี้ จัดอยู่ในเรื่องของ วิบากกรรม คือการให้ผลของกรรม

ซึ่งกรรมวิบากนี้ ก็จัดอยู่ในเรื่องของ อจินไตย ก็คือเรื่องที่ไม่ควรคิด สำหรับบุคคลทั่วไป

เป็นเรื่องเหนือความเข้าใจของบุคคลทั่วไป ใครที่ไปคิดไปสงสัยก็จะทำให้เครียดและเสีย

สติได้
อจินไตยมี 4 อย่างคือ
1.พุทธวิสัย=สงสัยในความรู้ความสามารถของพระพุทธเจ้า
2.ฌานวิสัย=สงสัยในเรื่องอิทธิปาฏิหารของฌาญ 
3.กรรมวิสัย=วิบากกรรม สงสัยในเรื่องการให้ผลของกรรม ทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดี
4.โลกวิสัย=สงสัยในเรื่องของโลก โลกนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร จักรวาลเกิดขึ้นได้อย่างไร

ซึ่งเรื่องเรานี้ถ้าหากเราเป็นบุคคลทั่วไปแล้วไปสงสัยย่อมเกิดคำถามต่างๆตามมาได้คำตอบ

สำหรับหนึ่งคำถาม ก็จะเกิดคำถามขึ้นมาอีก 10 คำถาม เอาเฉพาะเรื่องง่ายๆ ที่ไม่ต้องได้

ฌานอะไรก็คือเรื่อง ผีมีจริงไหม เท่านี้ก็เถียงกันจนโลกจะแตกอยู่แล้ว แต่สำหรับผู้ปฏิบัติ

แล้ว คำถามเหล่านี้เหมือนคำถามเด็กอมมือ เพราะมือปฏิบัติ ย่อมรู้เห็นได้เฉพาะตน


IP : บันทึกการเข้า
ลุงใจ
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 85


« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2012, 07:59:49 »

ขอบคุณมากๆครับ ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
เวียงเก่า
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 280



« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2012, 08:46:28 »

ทุกสิ่งอย่างอาศัยเหตุเกิด เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม มันก็จะเกิด ถึงแม้ว่าเราจะอยากให้มันเกิดหรือไม่ก็ตาม สวรรค์ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา แต่การดับกิเลสในใจ เพื่อหยุดวงจรของการเิกิดตายที่ไม่มีสิ้นสุด(วัฏสงสาร) คือเป้าหมายหลักของพระพุทธศาสนา  ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

ผลมันไม่ออกมาตามที่คาดหวัง จะมานั่งเสียใจไปทำไม เมื่อได้พยายามทำเหตุให้ดีที่สุดแล้ว
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2012, 12:50:24 »

ทุกสิ่งอย่างอาศัยเหตุเกิด เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม มันก็จะเกิด ถึงแม้ว่าเราจะอยากให้มันเกิดหรือไม่ก็ตาม สวรรค์ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา แต่การดับกิเลสในใจ เพื่อหยุดวงจรของการเิกิดตายที่ไม่มีสิ้นสุด(วัฏสงสาร) คือเป้าหมายหลักของพระพุทธศาสนา  ยิ้ม
่ใชเลยครับ  ผู้ที่ฝึกปฎิบัติมาตรงย่อมรู้และเห็นจริง ส่วนผู้ที่ไม่เคยฝึกปฏิบัติอาจไม่เชื่อ
เพราะไม่รู้ไม่เห็นจริง หรือรู้เห็นไม่จริง ที่เขาเรียก ปัจจัตตัง เรื่องเฉพาะตน เข้าถึงก็ได้
เข้าไม่ได้ ก็อาจไม่เชื่อ ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับบุญกรรมของแต่ละคนที่สะสมสมมา

หลวงปู่สอนว่า.....

การแก้กรรมคือการแก้ที่ความหลงผิด
การแก้กรรมคือการเลิกทำความชั่ว

ดังนั้นการแก้กรรมจึงไม่ใช่สำเร็จที่การสะเดาะเคราะห์หรือทำพิธีจากเกจิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2012, 22:57:35 โดย ๋๋P » IP : บันทึกการเข้า
iiล้วiiต่น้oj
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 143



« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2012, 14:14:29 »

จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติปาฏิกังขา

จิตเศร้าหมอง มีทุคติเป็นที่หวังได้

จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติปาฏิกังขา

จิตไม่เศร้าหมอง มีสุคติเป็นที่หวังได้
IP : บันทึกการเข้า
Fabreguz
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 93


« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2012, 19:49:08 »

สำหรับผม เมื่อก่อนอาจจะคิดถึงสวรรค์ ครับ แต่เมื่อคิดว่า เทวดา ก็มีอายุขัย พอหมดแล้วก็ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด ผมจึงเปลี่ยนความคิดใหม่ เป็น ตั้งจิตถึง พระนิพพาน คือ ให้หลุดจากวงโคจร การเวียนว่ายตายเกิด การเกิดบ่อยๆเป็นทุกข์ ใช่ไหมครับ เราไม่รู้ว่า เราตายแล้วจะไปเกิดเป็นอะไร เราทำกรรมมามากมายทั้งดีทั้งชั่ว อาจจะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต เทวดา หรือ มนุษย์อีก  ดังนั้นเราควรปฏิบัติตน เพื่อมุ่งสู่พระนิพพาน คือหนทางพ้นทุกข์ที่แท้จริง  พระธรรมไม่มีทางโกหกหรอกครับ สัจธรรม คือ เรื่องจริง นรก สวรรค์ นิพพาน บาป บุญ ไม่ใช่กฏ ทฤษฏีที่ใครแต่งขึ้นว่ามันมี แต่สิ่งเหล่านี้มีอยู่แล้วเองตามธรรมชาติ เหมือนกับ น้ำ อากาศเรามองไม่เห็นแต่เราก็รู้ว่าเราหายใจเอาอากาศเข้าไป เหมือน หัวใจ เรามองไม่เห็นแต่เราเอามือสัมผัสเราก็รู้ว่ามันเต้นอยู่มันมีอยู่ในอก เราจริง...  สิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้าคือผู้ค้นพบว่ามีอยู่จริงและนำมาเผยแพร่ เพื่อสอนให้คน หาทางออก จากการเวียนว่ายตายเกิดเหล่านี้...  หนทางหลุดพ้นเราต้องปฏิบัติตนอย่างน้อยให้บรรลุพระโสดาบัน คือพระอริยบุคคลขั้นต้น  พระอริยบุคคลหมายถึง ผู้ที่จะไม่ลงอบายภูมิอีกแล้ว คือ สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย นรก ภพภูมิเหล่านี้ พระอริยบุคคลจะไม่ลงไปเกิดอีกต่อไป  ส่วนพระอรหันต์คือพระอริยบุคคลขั้นสูงสุด คือผู้ที่ตัดกิเลส โลภ โกรธ หลง ได้สิ้น จะไม่มาเกิดอีกต่อไป  ทีนี้ ว่ากันต่อที่ การปฏิบัติตนให้ถึงพระโสดาบัน คือพระอริยบุคคลขั้นต้น พระโสดาบันจะมาเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ ตามคำสอนในพระไตรปิฏก หรืออาจจะ 3 ชาติ 2 ชาติ 1 ชาติ ตามบารมีหรือการละกิเลส  พระโสดาบัน จะเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่ามีจริงและสูงสุด จะไม่ถือศาสดาอื่นพิธีกรรมนอกศาสนา ถือศีลปฏิบัติของลัทธิแปลกๆ ไม่สนใจดวง  คือนับถือพระรัตนตรัยสูงสุดและไม่ลังเลสงสัยใดๆอีกต่อไป เชื่อว่า นรก สวรรค์ นิพพาน บาป บุญ มีจริง..  พระโสดาบัน จะไม่ถือตัวตน ว่าใครสูงกว่าต่ำกว่า มีอิทธิฤทธิ์สูงกว่า สวยกว่าหล่อกว่าต่ำกว่าดำกว่าขาวกว่า ศัตรู ไม่มี ถือว่าทุกคนเท่าเทียมกันหมดชาย หญิง ประเทศใดๆ คนใดๆ เพราะไม่ยึดติดกับร่างกายสังขารนี้ ที่เมื่อตายก็เน่าเปื่อยกันทุกคน จิตก็ต้องไปหาที่อยู่ใหม่..  พระโสดาบันจะถือศีล 5 บริสุทธิ์ตลอดชีวิต แม้มีเหตุให้ต้องทำผิด ก็จะไม่ทำผิดแม้จะฆ่าให้ตาย ถ้ามีเหตุให้ทำก็จะยอมรับอย่างเปิดเผยแก้ไขและไม่ทำในเหตุที่ผิดอีกต่อไป........ สรุปคือ ถือศีล 5 ให้บริสุทธิ์ เคารพพระรัตนตรัยสูงสุดไม่ลังเลสงสัย ไม่ยึดถือตัวตน ปฏิบัติวิปัสนากรรมฐาน เช่นเดินจงกลม นั่งสมาธิ เพื่อละ สักกายยฐิถิ คือความยึดถือว่านี่คือร่างกายเรา ร่างกายเขา..........
............ พระโสดาบัน ยังมีความโกรธอยู่แต่น้อยมากและจะไม่ทำร้ายคนอื่น  พระโสดาบันยังอยากรวยอยู่แต่จะไม่คดโกงไม่ขโมย ทำอาชีพอย่างสุจริต
IP : บันทึกการเข้า
saluman
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 46


« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2012, 23:06:19 »

ทั้งหมดที่สงสัยเพราะไม่เคยศึกษาคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า(แท้ๆ) เลยเกิดความลังเลสงสัยเพราะเราห่างจากพระองค์2600ปี ตํ่ากว่าโสดาบัน จิตใจก้อเบาเหมือนขนนก..ลมผัดไปทางใหนก้อไป  เสียดายๆๆๆ ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
@เชียงแสน
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ ป.ตรี
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,359


..ทุกลมหายใจคือการเปลี่ยนแปลง..


« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 07 มีนาคม 2012, 10:02:38 »


ซึ่งเรื่องของ บุญ บาป นี้ จัดอยู่ในเรื่องของ วิบากกรรม คือการให้ผลของกรรม

ซึ่งกรรมวิบากนี้ ก็จัดอยู่ในเรื่องของ อจินไตย ก็คือเรื่องที่ไม่ควรคิด สำหรับบุคคลทั่วไป

เป็นเรื่องเหนือความเข้าใจของบุคคลทั่วไป ใครที่ไปคิดไปสงสัยก็จะทำให้เครียดและเสีย

สติได้
อจินไตยมี 4 อย่างคือ
1.พุทธวิสัย=สงสัยในความรู้ความสามารถของพระพุทธเจ้า
2.ฌานวิสัย=สงสัยในเรื่องอิทธิปาฏิหารของฌาญ 
3.กรรมวิสัย=วิบากกรรม สงสัยในเรื่องการให้ผลของกรรม ทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดี
4.โลกวิสัย=สงสัยในเรื่องของโลก โลกนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร จักรวาลเกิดขึ้นได้อย่างไร

ซึ่งเรื่องเรานี้ถ้าหากเราเป็นบุคคลทั่วไปแล้วไปสงสัยย่อมเกิดคำถามต่างๆตามมาได้คำตอบ

สำหรับหนึ่งคำถาม ก็จะเกิดคำถามขึ้นมาอีก 10 คำถาม เอาเฉพาะเรื่องง่ายๆ ที่ไม่ต้องได้

ฌานอะไรก็คือเรื่อง ผีมีจริงไหม เท่านี้ก็เถียงกันจนโลกจะแตกอยู่แล้ว แต่สำหรับผู้ปฏิบัติ

แล้ว คำถามเหล่านี้เหมือนคำถามเด็กอมมือ เพราะมือปฏิบัติ ย่อมรู้เห็นได้เฉพาะตน




...ถูกต้องครับ อจินไตย 4...
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!