“มาเลย์” ซื้อเกลี้ยง-ไก่สหฟาร์มเชียงราย-เซ็นออเดอร์ล่วงหน้า 7 ปีโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 กุมภาพันธ์ 2555 15:11 น.
เชียงราย - สหฟาร์มทุ่มหมื่นล้าน ขยายการลงทุนตั้งโรงงานไก่ครบวงจรชายแดนเชียงราย วางเป้าผลิตไก่เพิ่ม 2 แสนตัวต่อปี หวังส่งเข้าตลาดจีนตอนใต้ผ่านลำน้ำโขง-ถนน R3a ทั้งที่เพิ่งตั้งศาลพระพรหม-ขึ้นเสาเอกอาคารรับซื้อข้าวโพดอาหารสัตว์ กลับขายเกลี้ยงแล้ว เผยมาเลย์เซ็นซื้อหมดล่วงหน้า 7 ปี
วันนี้ (6 ก.พ.) ดร.ปัญญา โชติเทวัญ ประธานบริษัทในเครือสหฟาร์ม ซึ่งประกอบกิจการไก่ครบวงจร ได้เป็นประธานในพิธีตั้งศาลพระพรหม และขึ้นเสาเอกอาคารรับซื้อข้าวโพด ณ หน่วยรับซื้อข้าวโพดแห่งใหม่ของบริษัท เลขที่ 289 บ้านแม่เงิน ม.2 ต.แม่เงิน อ.เชียงแสน จ.เชียงราย บนเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ โดยมีผู้ไปร่วมในพิธีเป็นจำนวนมาก เช่น นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าฯเชียงราย นายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ (คสศ.) หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ นายชวลิต สุธรรมวงศ์ ประธานหอการค้า จ.เชียงราย ดร.สิชา สิงห์สมบุญ ประธานบริษัท เอเอซี กรีน ซิตี้ ลาว จำกัด ดร.ดับดุล อาเซน อธิบดีกรมปศุสัตว์ประเทศมาเลเซีย ฯลฯ
ดร.ปัญญา กล่าวว่า ตนเป็นอดีตพยาบาลทหารเรือ และเริ่มออกมาลงทุนด้วยการเล่นแชร์กับเพื่อนด้วยเงินทุนแค่ 5,000 บาท แต่ก็ขาดทุนยับเยิน เพราะหวังกำไรอย่างเดียว ดังนั้น จึงได้เพียรพยายามใช้หลักการไม่หวังกำไรเป็นหลัก บากบั่นจนสามารถตั้งเครือสหฟาร์มได้ด้วยอุดมการณ์ในการพัฒนาสังคม กระทั่งปัจจุบันมีพนักงานในเครือสหฟาร์มแล้วประมาณ 30,000 คน ทำการผลิตเพื่อส่งออกไก่แช่แข็ง ไก่ปรุงสุก มากเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย โดยไก่แช่แข็งมากกว่าอันดับ 2 ถึง 180% และไก่ปรุงสุกมากกว่าอันดับ 2 ถึง 58%
ต่อมาทาง ดร.สิชา ได้หารือเพื่อให้เข้าไปลงทุนที่ชายแดนไทย-สปป.ลาว ด้าน จ.เชียงราย เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชนในพื้นที่และเป็นแหล่งวัตถุดิบโดยเฉพาะข้าวโพดแหล่งใหญ่อันดับ 6 ของประเทศ รวมทั้งมีตลาดส่งออกไปยังประเทศต่างๆ โดยเฉพาะจีนตอนใต้ได้ จึงตัดสินใจเข้ามาลงทุน
ดร.ปัญญา กล่าวอีกว่า ปัจจุบันโลกเกิดภาวะขาดแคลนอาหารอย่างหนัก เพราะมีอัตราการเกิดมากเฉลี่ยชั่วโมงละ 9,000 คน ทำให้ประชากรโลกที่มีประมาณ 7,000 ล้านคน คงจะเพิ่มเป็น 10,000 ล้านคน ในอนาคตอันใกล้ ขณะที่โลกเกิดภัยธรรมชาติ ภาวะเรือนกระจก จนทำให้เกิดฝนตกทั่วโลกและน้ำท่วมได้ทำลายแหล่งอาหาร พลังงานเชื้อเพลิงก็ลดลง จึงคาดว่าวิกฤตอาหารจะมีมากขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้า
ดร.ปัญญา บอกว่า สิ่งทียืนยันข้อมูลนี้ได้คือ การที่บริษัทเพิ่งก่อตั้งโรงงานที่เชียงราย โดยตั้งเป้าผลิตไก่ให้ได้วันละ 200,000 ตัว ปรากฏว่ามาเลเซีย ได้เซ็นสัญญาสั่งซื้อล่วงหน้า 7 ปีไปหมดแล้ว แต่บริษัทก็มีสินค้าส่วนหนึ่งส่งไปจำหน่ายยังจีนตอนใต้ผ่านทางเรือแม่น้ำโขง รถยนต์ทางถน R3a ไทย-สปป.ลาว-คุนหมิง จีนตอนใต้ และจำหน่ายในพื้นที่
“แต่ก็เรียกได้ว่า ตอนนี้ผลิตไม่พอต่อความต้องการของตลาด”
ขณะที่ ดร.มนูญศรี โชติเทวัญ ประธานคณะบริหารกลุ่มบริษัท สหฟาร์ม จำกัด กล่าวว่า ในปีแรกนี้บริษัทจะลงทุนประมาณ 10,000 ล้านบาท ในพื้นที่เชียงราย โดยที่บ้านแม่เงิน จะเป็นไซโลรับซื้อข้าวโพด และผลิตเป็นอาหารสัตว์ คาดว่า จะทำให้เงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาทต่อเดือน จากนั้นจะขยายไปตั้งโรงงานแปรรูปไก่แช่แข็ง ฟาร์มเลี้ยงไก่ที่บ้านครึ่งใต้ ต.ครึ่ง อ.เชียงของ โดยใช้พื้นที่อีกประมาณ 10,000 ไร่ จากปัจจุบันได้รวบรวมที่ดินได้แล้วประมาณ 5,000 ไร่
สำหรับการจ้างงานได้รับทราบว่า เชียงราย มีการจ้างงานขั้นต่ำวันละ 170 บาท แต่ทางบริษัทจะให้ไม่ต่ำกว่าวันละ 250 บาทแน่นอน และหากเป็นแรงงานฝีมือดีเหมือนเพชรบูรณ์หรือลพบุรี ก็จะเพิ่มเป็น 300 บาท ซึ่งการรับคนงานในพื้นที่ จะต้องส่งไปฝึกงานที่เพชรบูรณ์ หรือลพบุรีก่อน
นายวรวรรณ พรโรจนากูรโชติเทวัญ กรรมการผู้จัดการบริษัทสหฟาร์ม จำกัด กล่าวว่าบริษัทก่อตั้งตั้งแต่ปี 2512 ปัจจุบันย่างเข้าสู่ปีที่ 44 โดยทำธุรกิจผลิตไก่สดแช่แข็ง ไก่สุกและไข่ไก่ โดยมีไก่ฟักประมาณ 365 ล้านตัว ผลิตไข่ได้ได้ 456 ฟองต่อปี และผลิตไก่ ได้ 350 ล้านตัวต่อปี หรือวันละ 1 ล้านตัว แต่เมื่อโรงงานเชียงรายแล้วเสร็จ ยอดการผลิตจะเพิ่มเป็น 1.2 ล้านตัวต่อปี
บริษัทต้องใช้วัตถุดิบเป็นอาหารสัตว์จำหน่ายมหาศาล โดยต้องใช้ข้าวโพดถึง 1.2 ล้านตัน ปัจจุบันมีโรงงานผลิตครบวงจรดังกล่าวที่ใกล้เคียงกับเชียงราย ที่ลพบุรี และ เพชรบูรณ์ ดังนั้นจึงมีการก่อตั้งโรงงานผลิตอาหารสัตว์ที่บ้านแม่เงินดังกล่าวด้วย
ทั้งนี้ บริษัทยืนยันจะรับซื้อข้าวโพดจากเกษตรกรในราคามาตรฐานเดียวกับที่เพชรบูรณ์ คือ กิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 10 บาท ภายใต้มาตรฐานความชื้นสากล และรายได้ส่วนหนึ่งหักเพื่อสังคม ซึ่งจะทำให้เกษตรกรชาวเชียงรายมีทางเลือกมากขึ้น นอกจากนี้ ข้าวโพดใน สปป.ลาว ซึ่งเคยส่งออกไปยังเวียดนามและจีน เมื่อได้พบแหล่งรับซื้อใหญ่ในประเทศไทย ก็สามารถร่วมมือกันในการซื้อขาย ซึ่งคาดว่าน่าจะมีความร่วมมือแนบแน่นภายใน 3 ปีนี้
ดร.ดับดุล อาเซน กล่าวว่า ตนรู้สึกยินดีต่อการลงทุนของสหฟาร์มอย่างยิ่ง และขอเป็นหุ้นส่วนในความสำเร็จในครั้งนี้ด้วย โดยยืนยันว่า ประเทศมาเลเซียจะรับซื้อไก่ของสหฟาร์มที่ผลิตได้ทั้งหมดตลอดไป เพื่อนำกลับไปยังประเทศมาเลเซีย
นายพัฒนา กล่าวว่า ภาคธุรกิจเชียงรายได้ผลักดันให้เกิดการลงทุนที่ จ.เชียงราย มานานตั้งแต่ปี 2535 เป็นเวลาร่วม 20 ปีแล้ว แต่ที่ผ่านมายังไม่พบการลงทุนที่ชัดเจนหรือใหญ่โตเช่นนี้ ดังนั้น เมื่อกลุ่มทุนไทยเข้าไปลงทุน กลุ่มทุนท้องถิ่นที่เป็นเอสเอ็มอี จึงมีความยินดีและพร้อมจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพราะเป็นการต่อยอดทางธุรกิจและสร้างรายได้ให้แก่คนในพื้นที่
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000016635