เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 04 สิงหาคม 2025, 12:16:54
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ตลาดกลางซื้อขายสินค้าออนไลน์
| |-+  พระเครื่อง-วัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง ความเชื่อ ลี้ลับ (ผู้ดูแล: NOtis, micky13)
| | |-+  พระวัดป่ากรรมฐานของเชียงรายอีกท่านหนึ่ง หลวงพ่อทวี
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน พระวัดป่ากรรมฐานของเชียงรายอีกท่านหนึ่ง หลวงพ่อทวี  (อ่าน 870 ครั้ง)
Mahasaykikung
เศรษฐกิจพอเพียง
สมาชิกลงทะเบียน
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 465



« เมื่อ: วันที่ 03 มกราคม 2012, 17:21:29 »

หลวงพ่อทวี  จิตฺตคุตฺโต

 
พระอริยสงฆ์แห่งภาคเหนือ  สุดยอดแดนสยาม

อ่านเพิ่มเติม
http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=130516.0
 
       อัตโนประวัติ

ชาติภูมิ

    หลวงพ่อทวี  ถือกำเนิดที่บ้านสูบ  ต.น้ำสรวย  อ. เมือง  จ. เลย  บิดาชื่อ นายดี  สุรสิงห์  มารดาชื่อ นางบัวผัน  มะลิเวิน  มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน  8 คน คือ
    1.  นายทวี (พี่คนโต)                       2.  เด็กหญิงบัวลี (เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก)                3.  เด็กหญิงจันทร์ศรี (เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก)    
    4.  นางบุญมี                                  5.  เด็กหญิงกองหลี (เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก)            6.  เด็กหญิงคำแปลง (เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก)
    7.  นางจำปี                                   8.  นางหนูจร (เสียชีวิตแล้ว)
    สรุปแล้วยังมีชีวิตอยู่  3  คน        

 
ชีวิตเมื่อเยาว์วัย

    หลวงพ่อทวี  เกิดเมื่อ  วันจันทร์ ที่  8 เมษายน  พ.ศ. 2483  ปีมะโรง  พอเกิดมาก็ร้องไห้อยู่ตลอดเวลา   คุณแม่ได้พูดให้ฟังว่า  ก่อนที่จะตั้งครรภ์  เด็กชายทวี   ได้ฝันเห็นคนแก่คนหนึ่งเอา     ช้างดอมาให้ (ช้างดอ  คือช้างตัวผู้ที่ไม่มีงา ) แล้วพูดว่า   “อีนางเอย พ่อจะให้ช้างตัวนี้แก่เจ้าเน้อ  ให้เจ้าจงรักษาเอา” นี่คือ ผู้หญิงทั้งหลาย  เมื่อแต่งงานแล้ว  เวลาจะได้ลูกคือความฝัน ที่จะเป็นมงคลหรือไม่เป็นมงคล  คือลูกที่เกิดมาในครอบครัวนั้น แม่พูดให้ฟังว่า  เราเกิดมาแล้วมีแต่ร้องไห้อยู่ทุกเวลา  แม่ก็ได้อุ้มเราไปหาหมอที่ไหนๆ  ก็ไม่หายจากการร้องไห้  แม่จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า “ลูกชายคนนี้จะให้บวชอยู่ในบวรพุทธศาสนา” พอตั้งจิตอธิษฐานจบลง  เด็กชายทวีก็หยุดร้องไห้ทันที  ในคืนนั้นแม่ก็ได้ฝันเห็นลูกชายคนนี้ว่า ไดนั่งอยู่ในป่าขมิ้นเหลืองอร่ามเลย  ลูกหยุดร้องไห้ตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา  
    นี่แหละลูกเอ๋ย  ที่แม่ได้เลี้ยงลูกมา  เวลาลูกร้องไห้ แม่ก็ต้องร้องไห้  เวลาลูกหัวเราะ  แม่ก็ต้องหัวเราะสนุกสนานไปกับลูกด้วย  อันนี้คนเราเกิดมากับพ่อแม่  เราเป็นผู้มีพ่อแม่คนเดียวเท่านั้น  เราเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่  ก็ควรให้รู้จักกตัญญูกตเวทิตาธรรมต่อพ่อแม่  อย่าไปดุดันดื้อรั้นต่อพ่อแม่
ให้กลัวต่อบาปกรรมจะมาถึงเรา  ถ้าเราทำกับพ่อแม่ไว้อย่างไร เราก็จะได้รับอย่างนั้น  อันนี้แหละ พวกเราที่เกิดมาเป็นลูกของพ่อแม่  เมื่อยังเด็กอยู่นั้นว่าเป็นอย่างไรก็ไม่รู้  ท่านซักผ้าขี้ตีผ้าเยี่ยว  ลูกเจ็บไข้ได้ป่วยแม่ก็ต้องกินยา เมื่อลูกป่วยไข้แม่ก็ต้องป่วยไข้ไปด้วย  เมื่อลูกป่วยไข้ ยังกินยาไม่เป็น ยาก็ต้องผ่านทางน้ำนมของแม่
    ทีนี้เราจะได้ดูผลกรรมของเราที่ได้เกิดมาในภพนี้หรือชาตินี้  เรามีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว  พอเราเกิดมาได้อยู่ประมาณ 6-7 ขวบ พ่อก็ได้เอาไปฝากไว้กับครูที่โรงเรียน พ่อก็ได้ไปทำทางจากจังหวัดเลยไปที่ด่านซ้าย  ในยุคสมัยสงครามญี่ปุ่นในสมัยนั้น  ทางหน่วยราชการก็ยังไม่มีเครื่องจักรกลอันใดเลย  ใช้แต่ชาวบ้านเป็นกำลัง ก่อนผู้เป็นพ่อจะไปทำงานนั้น  พ่อก็จะขุดหลุมเพาะไว้ให้ลูกและภรรยา  เด็กชายทวี (หลวงพ่อทวี)   เป็นผู้มีความว่องไว ไม่ได้เป็นคนอืดอาด  เพราะมีจิตใจระวองระแวง (ระแวดระวัง) อยู่เป็นนิจ  เมื่อมีเครื่องบินมาแต่ละครั้งแม่ก็จะเรียกให้วิ่งลงหลุมเพาะทันที  มีเด็กหญิงคนหนึ่งที่อยู่บ้านใกล้กัน  เป็นคนอืดอาดมาก  เวลานอนกลางคืนเรียกไม่ค่อยจะตื่น  เวลาเครื่องบินมาแต่ละครั้ง  แม่ก็ดึงขามาลากไว้ที่ประตู  แม่ก็วิ่งลงหลุมเพาะ  พอแม่กลับมาก็ยังนอนเฉยอยู่ทีเดียว  พอต่อมา  พ่อที่ไปทำทางก็ได้ไปติดไข้ป่า  ทำงานกับเขาไม่ได้ ก็ได้ลักหนีมา (แอบหนีมา) เจ้าหน้าที่เขาก็ตามจับไปติดคุกอยู่ 6 เดือน  พอพ้นจากคุกมาแล้วก็ป่วยหนัก จนถึงแก่ความตาย  ต่อมาแม่ก็ได้มีพ่อใหม่อีกคนหนึ่ง  ที่บ้านตาดช่อ  อ.เชียงคาน  จ.เลย  ชื่อนายแก่น บุดดา    

 
จิตใจโน้มน้าวไปสู่ธรรมตั้งแต่วัยเด็ก

    ตอนนี้อายุของเราได้ 8 ขวบ  จึงได้เข้าเกณฑ์อยู่ในโรงเรียน การเรียนก็ได้เอาใจใส่ต่อการเล่าเรียน  การไปโรงเรียนก็ไปไม่ขาด การสอบก็ได้ที่ 2 ที่ 3 มาโดยตลอด  ผู้ที่เป็นอาจารย์เขาก็รักเรามาก  พร้อมทั้งให้เราเป็นหัวหน้าหมู่นำร้องเพลงชาติและไหว้พระในตอนเช้า  มีการสอบตกอยู่ 2  ปีเพราะว่าตอนนั้นป่วยเป็นไข้ เมื่อเรียนจบชั้น ป.4 แล้ว กำลังรอฟังข้อสอบอยู่นั้นก็คิดที่อยากจะบวช  ก็มีพวกคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกพี่สาวของพ่อ  กำลังคุยกันเล่นตอนหัวค่ำ  ผู้เป็นพ่อก็คอยฟังอยู่  ผู้เป็นแม่กำลังทำอาหารอยู่ยังไม่เสร็จ ตัวเราเองก็ได้พูดเปรยๆขึ้นว่า  “เมื่อเราสอบไล่ได้แล้ว เรามาพากันไปบวชเณรบ่ เราคิดอยากจะบวชเหลือเกิน” ผู้เป็นพ่อได้ยินดังนั้นก็พูดขึ้นว่า “ถ้าพวกโตอยากจะบวชก็จะเอาไปบวช ให้ไปอยู่กับอาที่บ้านโพนนาซ่าวนั่นถ้าสอบไล่ได้  ถ้าสอบไม่ได้ก็ต้องเรียนต่อ” เมื่อเราพูดว่าอยากจะบวชนั้น  พอตอนกลางคืนมา  ก็ฝันเห็นพระองค์หนึ่งมาอยู่ทางทิศตะวันตกของบ้านนั้น  เป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ  กิริยามารยาทน่าเลื่อมใส  ความคิดที่อยากจะบวชนั้นยิ่งทวีคูณขึ้น  ที่ท่านอยู่นั้นมีกระต๊อบอยู่ที่หัวทางเดินจงกรม มีหนังสือพระไตรปิฎกอยู่ 3 เล่ม พระองค์นั่นท่านไปบิณฑบาตที่ป่า  เรามองดูที่บาตรนั้นก็มีแต่ใบไม้ผลไม้เต็มบาตร  แล้วก็มีกลิ่นหอม  คิดอยากจะทานกับท่าน  ที่พระองค์นั้นท่านไปบิณฑบาต  วันธรรมดาจะไปที่ป่า  ถ้าเป็นวันพระจะไปที่หมู่บ้าน  พอตื่นเช้ามาก็ได้พูดกับพ่อว่า “เมื่อคืนผมได้ฝันเห็นพระองค์หนึ่งได้มาอยู่ที่ป่าตรงนั้นนะพ่อ” พ่อก็เลยว่าให้สอบไล่ได้เสียก่อน  จะเอาไปบวชอยู่กับอาโน่นแหละ  พอต่อมาไม่นาน  พ่อเลี้ยงก็มาตายเสียอีก  แม่ก็ได้ย้ายครอบครัวมาอยู่ที่เดิมคือ  ที่บ้านสูบอีก  ก็ได้ทำนาทำไร่อยู่กินกับตายาย

  
พบหลวงปู่คำดี  ปภาโส

    พออายุได้ 17 ปี ในปี พ.ศ. 2500 นั้น แม่และคุณตา กับญาติพี่น้องด้วยกันหลายคน  ได้ยินข่าวว่ามีพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาอยู่ที่ถ้ำผาปู่  บ้านนาอ้อ  ซึ่งเป็นบ้านเกิดของยายกับแม่นั่นเอง ยายเป็นคนบ้านนาอ้อ  ต. นาอ้อ  อ.เมือง  จ.เลย  พ่อของเด็กชายทวีเป็นคนบ้านฟากเลย  ต. ในเมือง  จ.เลย  ชื่อนายดี  สุรสิงห์  แม่กับคุณตาและญาติก็ได้ไปที่ถ้ำผาปู่  ได้ฟังเทศน์ของหลวงปู่คำดี ปภา-โส  แล้วก็ได้ซาบซึ้งในธรรมะของหลวงปู่คำดี  ก็ได้มาที่บ้าน พากันหาที่จะสร้างวัดขึ้นมา  พอได้ที่แล้วก็พากันสร้างกุฏิชั่วคราวขึ้นมา แล้วก็ได้พากันไปนิมนต์หลวงปู่คำดีมาที่บ้าน  ตอนนี้แม่ก็ได้ให้เราไปปฏิบัติหลวงปู่คำดี  เป็นคนรับใช้ท่านเมื่อเราเห็นปฏิปทาข้อประพฤติปฏิบัติของหลวงปู่คำดีแล้ว ก็ยิ่งคิดอยากจะบวชอย่างแก่กล้าเลยทีเดียว

  
สู่เพศพรหมจรรย์

    อยู่มาวันหนึ่ง  เราได้ช่องได้โอกาสแล้ว  ก็ได้พูดกับหลวงปู่คำดีว่า “กระผมอยากจะบวชหลายๆ  หลวงปู่ทำอย่างไรกระผมจึงจะได้บวช”  แล้วก็เล่าเรื่องที่เราฝันเห็นในคราวนั้นให้หลวงปู่ฟัง  หลวงปู่คำดีท่านก็พูดออกมาเปรยๆ ว่า....   เด็กคนนี้มีอุปนิสัยในพระพุทธศาสนา  หลวงปู่คำดีก็ได้พูดกับเราว่า “ถ้าเธออยากจะบวชจริงๆ  ก็ให้ไปขออนุญาตจากแม่เสียก่อน  เมื่อแม่อนุญาตให้แล้วก็จึงมาบวช”  ตัวเราก็ได้มาปรึกษาแม่ดู  แม่ก็อนุญาตให้บวช  แล้วได้มีหมู่พวกได้ไปเข้านาคในคราวนั้นมีอยู่ด้วยกัน 6 คน คือ 1. นายทวี  2. นายเหมือน  3. นายเปลี่ยน  4.นายคำ  5. นายปุ่น  6. นายบัวล้น  ที่ได้บวชกันจริงๆมี 5 คนเท่านั้น  คนที่ 6  ทนต่อการอดข้าวแลงไม่ได้  ( ข้าวแลง หมายถึง ข้าวเย็น )  ได้หนีมาก่อน  เมื่อเราได้บวชเป็นเณรแล้วเราเองก็ได้ตั้งอกตั้งใจทำความพากเพียร  ประพฤติปฏิบัติโดยไม่ลดละหมั่นไปอบรมศึกษากับหลวงปู่คำดีอยู่เป็นเนืองนิตย์  และเราก็ได้เป็นเณรปฏิบัติรับใช้อยู่กับหลวงปู่คำดีอยู่ตลอด  ตอนที่เราบวชเป็นเณร  หลวงปู่คำดีท่านได้อยู่ถ้ำสูงบนรอยพระบาทนั้น  ส่วนตัวเราเองก็ได้อยู่กุฏิใต้รอยพระบาท  มีอยู่วันหนึ่งหลวงปู่คำดี ท่านได้ชวนเราไปเที่ยวบนหลังเขาถ้ำผาปู่นั้น  หลวงปู่ท่านได้สัญญากับเราว่า ใครจะขึ้นไปบนหลังเขานั้นได้ก่อนกัน  เมื่อสัญญาแล้ว ท่านก็ยื่นมือเอาย่ามจากเรา แล้วท่านก็ไปทางหนึ่ง  ผลสุดท้ายหลวงปู่ท่านไปถึงบนหลังเขาก่อนเราเป็นครึ่งชั่วโมง  เราเป็นเด็กยังสู้คนแก่ไม่ได้  พอเราไปถึงหลวงปู่แล้ว  พอเราหายเหนื่อยแล้วท่านก็อบรมธรรมะแก่เราว่า... “ทวีเอ๋ย....เมื่อเราได้เข้ามาบวชแล้ว  ให้เราตั้งอกตั้งใจศึกษา แล้วเรียนธรรมวินัยให้ได้  ให้มันคล่อง  แล้วก็ปฏิบัติ นั่งสมาธิภาวนาไปด้วย เพื่อทำจิตของเราให้เข้มแข็ง  ต่อสู้กับกิเลส  เพราะเรามันเด็กอยู่  ราคะตัณหาก็ยังไม่แก่กล้า  การประพฤติปฏิบัติก็จะไปง่ายและรวดเร็ว  ให้ดูกาย กรรมฐาน 5 ที่สอนเอาไว้นั้น  ให้หมั่นทำหมั่นพิจารณา ให้แยบคายว่า  ผม  ขน  เล็ก  ฟัน  หนัง  เนื้อ  พิจารณามันลงไปจนถึงมุตตัง  น้ำมูตนั้นว่ามันเป็นของไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันเป็นธาตุ เป็นอนัตตาอย่างไร  มันเป็นของปฏิกูล  มันเกิดมาจากอะไร  เพราะอาการสามสิบสองมันไม่ได้เกิดขึ้นมาจากเพ็ชรจากพลอยแก้วแหวนเงินทอง  เกิดมาจากกองปฏิกูลนับตั้งแต่  กลละ  อัมพุฌชะ  ขะนะ  เปสิ  ปัญจะสาขา  คือกามธาตุทั้งนั้น  เมื่อเราพิจารณาอยู่อย่างนี้บ่อยๆ  จิตมันจะคลายความกำหนัดยินดี  ออกจากมันมาเรื่อยๆ เพราะจิตของเรามัน  หลงอยู่กับร่างกายนี้  ว่าเป็นเขาเป็นเราอยู่  เพราะขาดจากการพิจารณา มัวเพลิดเพลินจิตใจไปทางอื่น” หลวงปู่เทศน์ให้ฟังอยู่ประมาณชั่วโมงกว่าๆ แล้วก็ค่อยเดินไปตามสันเขากลับมาถึงวัดเวลาบ่ายสามโมงพอดี  จะขอรวบรัดตัดตอนไว้ก่อน  เพราะว่าเขียนไปให้หมดก็จะมากเกินไป

  
ตอบแทนคุณผู้บังเกิดเกล้า

    เมื่อออกพรรษาแล้ว ประมาณเดือนธันวา – มกรา ก็มีญาติคนหนึ่งมาพูดให้ฟังว่า  แม่ของเณรนั้นเดี๋ยวนี้มันทุกข์  พวกน้องๆ เขาด่าเขาว่าเอาจนน้ำตาไหลอยู่ไม่ขาด  เวลาทำไร่ทานานั้นเบื้องต้นมันก็ดี แต่เมื่อมีหมากมีผลแล้วก็เป็นอีกอย่างหนึ่งอยากจะขอให้เณรนั้นออกไปช่วยแม่เสียก่อนเถิด  ในตอนนี้จิตใจของเราเกิดความว้าวุ่นขึ้นมาแล้ว  ทั้งจิตใจหนึ่งก็ไม่อยากจะลาสิกขา เพราะจิตใจยังดูดดื่มอยู่ในธรรมของพระศาสนาอยู่มาก  ส่วนแม่ก็เป็นทุกข์จริงๆ ก็ได้นำเอาเรื่องนี้ไปพูดกับหลวงปู่คำดี  หลวงปู่คำดีท่านก็ช่วยเมตตาเรามาก ท่านพูดออกมาว่า  ถ้าเณรสิกขาลาเพศไปเสียก่อนก็ได้ พอถึงเวลาอยากจะกลับมาอีกก็ได้  เมื่อท่านพูดอย่างนี้แล้วตัวเราก็ลาสิกขาออกไปเลี้ยงดูแม่  อายุของเราตอนนั้นย่างเข้า 18 ปี แล้ว ก็มีจิตมานะขึ้นมาว่า.... เราเองก็เป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง  อวัยวะของเราก็มีครบทุกส่วน  ดูไม่มีสิ่งใดได้บกพร่องไป เขาก็คนเราก็คนเหมือนกัน  จะไปขอกินน้ำย้อยศอกเขาทำไมวา  ตัวเราเองก็ได้ตั้งอกตั้งใจทำงานเลี้ยงแม่และน้องจนน้ำตาของแม่เหือดแห้ง ไปทีนี้บุคคลที่เขาอิจฉาแม่นั้น  กลับกลายเป็นคนทุกข์ยาก  จนไปกว่าเราเสียอีก  เขาก็ได้มาพึ่งพาอาศัยเรา  เราเองก็ไม่ว่าอะไร เพราะว่าเราเองเป็นคนชนะเขาแล้ว

  
กลับสู่เพศพรหมจรรย์อีกครั้ง

    พออยู่ต่อมาอายุได้ประมาณ  22 ปีแล้วมีคืนหนึ่ง  ตอนนั้นเราเองได้ไปนอนอยู่ที่ไร่  ได้ฝันเห็นพระอริยเจ้าพระองค์หนึ่งได้เสด็จลงมาที่กลางไร่นั้น  เราก็ได้เข้าไปกราบไว้  แล้วจะขอรับบริขารจากท่าน  เพื่อที่จะนิมนต์ท่านขึ้นไปที่กระต๊อบในไร่นั้น  ท่านก็พูดออกมาว่า.. “เธอจะบวชไหม  ถ้าเธอไม่บวชเราก็จะไม่ให้รับบริขารนี้เป็นอันขาด” เราก็ตัดสินใจไปว่า  “กระผมจะบวชขอรับ” พอนั้นท่านก็ยื่นบาตรและบริขารให้เรา แล้วท่านก็กลับกลายหายตัวไปเลย ตั้งแต่นั้นมาเราก็ปริวิตกคิดแต่อยากจะบวช  ดูน้องสาวก็ใหญ่โตพอเลี้ยงแม่ได้แล้ว  เขาก็มีสามีแล้ว ต่อนั้นมาประมาณสักอาทิตย์ผู้เป็นป้าก็อยากให้เรามีครอบครัว  มีแม่ของหญิงสาวและพี่ชายใหญ่ของหญิงสาวมาติดต่อกับป้าของเรา  เขาอยากจะเอาไปเป็นลูกเขยของเขา  ป้าจึงได้พูดกับแม่ของเราว่า “วันนี้ให้บักเซียง (เณรที่สึกแล้วเรียกเซียง ) มันไปหาป้าแหน่เด๊อ จะพูดอะไรให้มันฟังสักอย่าง”  เมื่อเรากลับจากไร่ถึงบ้านได้ทานข้าวเย็นเสร็จแล้วเตรียมตัวจะไปเที่ยวสาว ( ไปจีบสาว )  แม่ก็เลยบอกว่า “บักเซียง จะไปที่ไหนก็ให้ไปหาป้ามึงเสียก่อนเน้อ  ป้ามึงจะพูดอะไรก็ไม่รู้ แม่ถามแล้วแต่ป้าไม่บอก”  เมื่อเราไปหาป้าแล้วป้าก็พูดว่า “ป้าจะหาสาวให้  โตจะเอาบ่”  ตัวเราก็ย้อนถามออกไปว่า  “ใครเล่าป้า”  ป้าก็บอกว่าคนนั้นๆ  เพราะว่าเขาอยากได้โตเอง  ทุกสิ่งเขาจะไม่ให้ยุ่งยากอะไรหรอกนะ  ทรัพย์สมบัติเขาก็ยกให้โตเองหมดทุกอย่าง  ผู้สาวที่โตได้ไปพูดนั้นป้าก็ไม่อยากจะให้เอาหรอกนะ  ป้าไม่เห็นดีด้วย  ตัวเราเองก็นั่งคิดตรึกตรองดู   สักพักหนึ่งก็เลยพูดออกมาว่า “ให้ไปถามแม่ดูเสียก่อน  ท่านจะว่าอย่างไร” ต่อจากนั้นเราก็ไปเที่ยวสาวตามเคย  จนดึกประมาณห้าทุ่มถึงหกทุ่มจึงกลับบ้าน  พอตื่นเช้ามาก็เลยพูดกับแม่ว่า ป้าจะหาสาวให้จะให้เอาบ่ ว่าคนนั้นๆ แม่ก็ถามเราว่า  โตรักเขาบ่  ถ้าโตรักเขาจะเอาก็เอา เราเองก็ตอบว่า ก็รักเขาอยู่เหมือนกัน  แต่ว่ามันคือจะทุกข์แท้จะเอาเมียนะ  ลูกอยากจะบวชนะแม่  แม่ก็เลยพูดว่า ดีแล้วลูกเอ๋ย  แม่ก็ดีใจด้วยถ้าลูกบวชให้แม่ตอนที่ลูกบวชเณรนั้นแม่ก็ดีใจอยู่ดอกนะแต่ยังไม่อิ่มพอ  ถ้าหากว่าลูกได้บวชให้แม่ๆ ก็จะได้ไม่เสียใจ  เพราะว่าการมีลูกมีเมียนั้นแม่ก็จะไม่ได้อาศัยลูก  ถ้าหากว่าลูกได้บวชเป็นพระอยู่ไปได้ตลอด แม่ก็จะได้อาศัยลูกไปจนถึงวันแม่ตายนั่นแหละ  การมีลูกมีเมียนั้น  จะนอนตื่นสายก็ไม่ได้  ต้องตื่นดึกลุกแต่เช้า  หลังตากฟ้าหน้าตากฝน  ฝนตกแดดออกก็ไม่ได้อยู่  มันไม่เหมือนอยู่กับแม่นะ อยู่กับแม่จะตื่นเวลาไหนก็ตื่น  แม่ก็ได้พูดถึงเรื่องตัวเราเกิดมาตั้งแต่เล็กว่า  แม่ได้ลูกคนนี้มาก็แสนยากลำบากจริงๆ  ลูกเกิดมาก็มีแต่ร้องไห้  เมื่อแม่ยังเป็นสาวอยู่  แม่ไม่เคยรู้จักหมออยู่  พอได้ลูกมาแล้ว  ลูกร้องไห้  ยามดึกดื่นเที่ยงคืนก็ต้องอุ้มลูกไปหาหมอ  ลูกร้องไห้แม่ก็ต้องร้องไห้  ลูกหัวแม่ก็ได้หัว      ( ลูกหัวเราะแม่ก็ได้หัวเราะ )  แม่จึงได้บนบานศาลกล่าวเอาไว้ว่า  ลูกชายคนนี้  เมื่อใหญ่โตขึ้นมาแล้วจะให้บวชในพระพุทธศาสนา  ไม่ให้มีลูกมีเมียจะเป็นเศรษฐีกฎุมภีอย่างไรก็ไม่เอา  พอจบคำบนบานศาลกล่าวคำนี้ลง  ลูกจึงได้หยุดการร้องไห้ตั้งแต่นั้นมา  เมื่อแม่ท่านพูดอย่างนี้ให้เราฟังแล้ว  จิตใจของเรายิ่งอ่อนลงๆ  ป้า..ก็เลยไม่ไปบอกให้รู้  สาวก็ไม่ไปหา  ตัวเราเองก็ได้คิดถึงคราวได้พูดกับพระอริยเจ้าตอนที่อยู่ที่ไร่นั่นแล้ว  แล้วก็คิดถึงหมู่พวกที่มีเมียแล้ว  เราก็ได้ไปเยาะเย้ยเขาตอนที่เมียเขาคลอดลูกนั้น  เขาได้เอาผ้าถุงของเมียและผ้าอ้อมของลูกไปซัก  เพื่อนเขาจองกรรมเอาไว้   เขาก็จะมาเย้ยเราอีก เพราะว่าในสมัยนั้น  การคลอดลูกจะต้องคลอดที่บ้านใครบ้านมัน  ไม่ได้คลอดที่โรงพยาบาลเหมือนทุกวันนี้  ในปีนั้นมี  พระอาจารย์จันทร์ดา  กสฺสโป  ไปจำพรรษาที่บ้านนั้น  พอออกพรรษาหมดเขตกฐินแล้ว  ท่านก็ได้ออกธุดงค์ไปที่ขอนแก่น แล้วเราเองก็ได้ติดตามท่านมาบวชที่วัดศรีจันทร์จังหวัดขอนแก่น  การบวชของหลวงพ่อทวี  จิตฺตคุตฺโต  ในวันที่  3  มกราคม  2505  ที่วัดศรีจันทร์  จ.ขอนแก่น  พระอุปัชฌาย์คือ  พระวินัย  สุนทรเมธี  พระกรรมวาจาจารย์  พระครูศรีธรรมาลังการ  พระอนุสาวนาจารย์  พระมหาศรี  ต้นสังกัดอยู่ที่วัดป่าวิเวกธรรมเหล่างา  ต.พลับ  อ.เมืองขอนแก่น  จ.ขอนแก่น  
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 03 มกราคม 2012, 17:28:34 โดย มหาเซกิคุง » IP : บันทึกการเข้า

Mahasaykikung
เศรษฐกิจพอเพียง
สมาชิกลงทะเบียน
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 465



« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 03 มกราคม 2012, 17:23:18 »

1
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 03 มกราคม 2012, 17:27:49 โดย มหาเซกิคุง » IP : บันทึกการเข้า

Mahasaykikung
เศรษฐกิจพอเพียง
สมาชิกลงทะเบียน
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 465



« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 03 มกราคม 2012, 17:24:06 »

2
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 03 มกราคม 2012, 17:27:39 โดย มหาเซกิคุง » IP : บันทึกการเข้า

Mahasaykikung
เศรษฐกิจพอเพียง
สมาชิกลงทะเบียน
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 465



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 03 มกราคม 2012, 17:25:05 »

ผิดห้องครับโทษทีครับ ว่าจะพิพม์ที่ห้องศาสนากลับมาโผ่ที่นี่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 03 มกราคม 2012, 17:32:37 โดย มหาเซกิคุง » IP : บันทึกการเข้า

K.COMPUTER อ.พาน
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 272



« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 03 มกราคม 2012, 17:27:46 »

 ฮืม ฮืม ฮืม งงๆๆ
IP : บันทึกการเข้า

ไม่ดื่มเหล้า  ไม่สูบบุหรี่  เป็นคนดี  มีรถขับ  โทรศัทพ์ถ่ายรูปได้
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!