เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 26 เมษายน 2024, 02:20:00
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ศาสนา กิจกรรมทางวัด (ผู้ดูแล: ap.41, ลุงหนาน)
| | |-+  *** ทำบุญกับในหลวงไปนิพพานเร็ว โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน***
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน *** ทำบุญกับในหลวงไปนิพพานเร็ว โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน***  (อ่าน 8544 ครั้ง)
ClassicHome
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: วันที่ 14 ธันวาคม 2011, 01:00:06 »



หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) เทศน์เรื่อง " โดยเสด็จพระราชกุศล "

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ที่เป็นลูกศิษย์หรือไม่ใช่ลูกศิษย์ก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้ป่วยมาก มีอาหารเพลียเป็นพิเศษ นั่งที่ไหนก็อยากจะหลับ พอดีเป็นวันพระแรม ๘ ค่ำ เดือน ๙ จะลงศาลาก็ลงไม่ไหว เทศน์ก็เทศน์ไม่ไหว จะเดินก็เดินไม่ไหวความตายมันคลานเข้ามาใกล้เต็มทีชีวิตเป็นของไม่เที่ยงแต่ความตายเป็นของเที่ยง ที่พระพุทธเจ้าเทศน์กับเปสการีท่องอยู่ทุกวัน จำอยู่ทุกวัน มีความรู้สึกว่า ไม่ช้านักชีวิตนี้มันก็ต้องตาย ถ้าความตายมันเข้ามาถึงบรรดาท่านทั้งหลายสิ่งที่ต้องการนั่นก็คือพระนิพพาน ใครเขาจะหาว่า บ้า ๆ บวม ๆ ก็ตามใจ บางท่านก็บอกว่า พระนิพพานมีสภาพสูญ ตามตำราต่าง ๆ ก็บอกว่ามีสภาพสูญแต่ทว่าเมื่อปี ๒๕๐๐ ปีนั้นป่วยมาก ต้องเข้าโรงพยาบาลวันแรก มีการอืดเสียดหนัก ตอนหัวค่ำ วันที่สอง ก็มีการอืดเสียดหนักตอนหัวค่ำ พอวันที่สาม จึงสั่งจ่าพยาบาล ให้ไขเตียงให้นั่ง ได้เตรียมตัวว่าวันนี้ถ้าจะตายก็ขอตายด้วยกำลังสมาธิและวิปัสสนาญาณ เวลา ๑ทุ่มก็เริ่มทำสมาธิ คิดว่าประมาณ ๒ ทุ่มอาการอืดเสียดมันมาอีก มันมา ๒ ทุ่มทุกวัน ๒ วันมาแล้ว แต่ว่าวันนี้แปลก คำว่าวันนี้หมายถึงวันนั้นนะ วันนั้นแปลก แทนที่จะมีอาการอืดเสียดกลับมีใจปลอดโปร่งสบายมาก มีอารมณ์เป็นสุข มีอารมณ์แช่มชื่นปลอดโปร่งปลดปล่อยทุกอย่าง การป่วยคราวนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัทเป็นการป่วยที่แปลกที่สุด พอร่างกายเข้าถึงโรงพยาบาลอารมณ์ก็วางทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ไม่มีอะไรต้องการ ทรัพย์สินต่าง ๆ ทั้งหมดไม่นึกถึง ญาติพี่น้อง ผู้ที่คบหาสมาคมไม่นึกถึง ไม่นึกถึงอะไรทั้งหมด จิตมีอารมณ์เฉยสบาย คิดอยู่อย่างเดียวว่า แม้ร่างกายสักครู่หนึ่งมันก็อาจจะตาย ถ้ามันตายเวลานี้ก็เป็นเรื่องของมัน ไม่เสียดายร่างกาย อารมณ์ใจเป็นสุขใครไปใครมา ก็คุยกันตามปรกติ บางคนเขาคิดว่าไม่ป่วย แต่ความจริงมันเดินไม่ค่อยไหว แต่ว่าเวลานั้นปรากฏว่าเวลา ๒ ทุ่มตรง เป็นเวลาที่อาการอืดเสียดมันจะมา แต่แทนที่มันจะมา กลับกลายเป็นท้าวสหัมบดีพรหมท่านมา

ท่านมาในลักษณะร่างกายของท่านเต็มอัตรา แต่งตัวสวยมากทรวดทรงสวย แสงสว่างมากทั่วจักรวาล ท่านมาถึงท่านก็ยืนบอกว่า คุณ .. พระพุทธเจ้า ทรงรับสั่งให้เข้าไปเฝ้า ก็ถามว่า พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ท่านบอกว่าพระพุทธเจ้า อยู่ที่นิพพาน ท่านให้คุณไปพบท่าน ก็บอกท่านว่า นิพพานอยู่ที่ไหนอาตมาก็ไม่ทราบ ถ้างั้นท่านพาไปก็แล้วกันอาตมาจะตามไป ท่านก็ออกหน้าไป แทนที่ท่านจะพาไปสวรรค์ ไปพรหมโลกก่อน ท่านพาไปดูนรก ตั้งแต่โลกันต์ ตั้งแต่โลกันต์มหานรก แล้วก็อเวจี แล้วก็เรื่อยมาถึงขุมที่ ๑ เรื่อยขึ้นมาตามลำดับถึงแดนเปรต อสุรกาย แดนสัตว์เดียรฉาน จนกระทั่งมาถึงแดนมนุษย์ ถึงแดนเทวดา ถึงแดนพรหม พอถึงพรหมชั้นที่ ๑๖ ก็ปรากฏว่า ถึงวิมานของท่าน ท่านก็บอกว่าหน้าที่ของผมที่จะพามา มีแค่นี้ ต่อไปจากนี้ เป็นแดนของนิพพานก็เป็นหน้าที่ของท่านแต่ผู้เดียว


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 14 ธันวาคม 2011, 01:31:59 โดย ClassicHome » IP : บันทึกการเข้า
ClassicHome
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 14 ธันวาคม 2011, 01:02:47 »



ตอนนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เป็นเรื่องแปลกขณะที่ท่านพาไปตั้งแต่โลกันต์นรกขึ้นไปกำลังมันดีมาก เรี่ยวแรงดีไม่รู้สึกเหนื่อย เดินชมด้วยความเพลิดเพลิน พอมองเห็นนรก ก็นึกในใจว่า แต่ละขุมเราไม่มา พอมาถึงแดนมนุษย์ ก็คิดว่าแดนมนุษย์นี่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากมากมีความวุ่นวายมาก เราไม่มา ไปถึงแดนสวรรค์ ไปถึงแดนพรหม ก็นึกว่าท่านทั้งหลายมีความสุข แต่ความสุขของท่านไม่นาน ไม่ช้าก็จุติ เราไม่มา แต่ไอ้การคิดว่าไม่มานี่ก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน ต่อไปท่านก็บอกว่า นี่ทางไปนิพพาน ท่านชี้ให้ดูเป็นทางที่ราบเรียบเหมือนแก้วผสมทอง แพรวพราวเป็นระยับ ก็ถามว่าทำไมท่านไม่พาไป ท่านบอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของผม เป็นหน้าที่ของท่านจะต้องไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเอง ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน นิพพาน เขาบอกว่าเป็นแดนสูญ แต่ท่านสหัมบดีพรหมกลับบอกว่า เป็นแดนนิพพาน ก็แปลกใจ ก็ตั้งใจเดินไปพอพ้นเขตพรหมชั้นที่ ๑๖ บรรดาท่านพุทธบริษัท ร่างกายมันอ่อนเพลียมาก เหมือนคนรื้อไข้ เดินโผเผซวนเซใกล้จะล้ม แต่ก็ต้องพยายามไปเพราะถือว่า คำสั่งต้องเป็นคำสั่ง เรื่องนี้ถือมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเดินไปสักครู่หนึ่ง ก็ไปพบบริเวณวัดวัดหนึ่ง มีกำแพงเหมือนกำแพงแก้วผสมทอง สวยงามมากมีวิมานอยู่หน้าประตูใหญ่สี่วิมาน ที่สี่วิมาน มีพระอรหันต์ ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่านิพพานมีอยู่ คิดว่าเป็นพรหม ท่านพระอรหันต์ ๔ องค์ ท่านก็ลุกขึ้นมายกมือไหว้ ก็นึกว่าพรหมไหว้ก็รับไหว้ท่าน ถามท่านว่าที่นี่ วัดอะไร ท่านก็เลยบอกว่าเป็นเรื่องของท่านจะพึงรู้เอง ก็เดินหลีกท่านไปเข้าไปภายใน ไปเดินรอบ ๆ บริเวณร่างกายมันก็จะล้ม เห็นสวยสดงดงาม ดูพื้นก็พื้นเป็นทองผสมแก้ว กำแพงก็เหมือนทองผสมแก้วมีกุฏิสามหลัง หลังหนึ่งใหญ่ยาวมากคล้ายกับวิหาร ๑๐๐ เมตร อีก ๒ หลัง ด้านหน้าเหมือนกับมณฑปหลวงพ่อปานกับพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ก็ตั้งอยู่ชิดกันไม่ห่างกันแบบนั้น เป็นบริเวณกว้าง อีกด้านหนึ่งก็มีหอระฆัง หอระฆังก็เป็นแ ก้วผสมทองเหมือนกันหมด ระยิบระยับ สวยสดงดงาม บอกไม่ถูก มันเพลิดเพลินเจริญใจมาก เดินไปปรากฏว่า ในบริเวณนั้นไม่มีใครเลย คนสักคนหนึ่งก็ไม่มีพอเดินไปถึงหอระฆังก็เพลียต้องล้มกายลงนอนบนพื้นของหอระฆัง คิดว่าไปไม่ไหว นอนตรงนี้แหละ

ร่างกายที่อยู่ข้างล่างมันจะเป็นจะตายก็เรื่องของมัน เป็นอันว่าพอนอนหันหน้าไปทางด้านทิศตะวันออก ก็พอดีเห็นพระองค์หนึ่งเดินมาท่านแต่งกายเหมือนพระธรรมดาแต่ว่ามีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ สว่างมาก สวยสดงดงามมาก เหมือนกับพระจันทร์ทรงกลด ภาพนี้เคยเห็นเป็นปกติก็ทราบว่านั่นคือพระพุทธเจ้า ก็ทราบว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมา ก็เห็นท่านมาทางกำแพงไม่เข้าทางประตู ก็คิดว่าท่านจะต้องโดดข้ามกำแพง แต่ความจริงเมื่อถึงแล้วท่านไม่ต้องโดด กำแพงมันขาดออกแล้วหดเข้าไปเป็นช่องให้ท่านให้ท่านเดินเข้ามา พอท่านผ่านมาแล้วกำแพงก็ติดตามเดิม พอมาถึงท่านก็นั่งใกล้ ๆ พอท่านนั่งก็เลยลุกจากที่ที่นอน มานั่งข้างล่างกราบท่าน ท่านถามว่าอยากจะมานิพพานไหม ก็ตอบว่า นิพพานมีสภาพสูญ ท่านถามว่าที่นี่ เขาเรียกอะไร? ตอบว่า ไม่ทราบ ท่านถามถึงเทวดาทุกชั้น พรหมทุกชั้น รู้จักไหม ก็ตอบว่า ผ่านมาหมดแล้วเมื่อเลยพรหมชั้นที่ ๑๖ เขาเรียกอะไร ก็บอกว่า ตำราไม่มีท่านก็เลยบอกว่า ที่นี่เรียกว่านิพพาน

เรื่องนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าต้องการอ่านละเอียด รู้รายละเอียด ก็ขอให้ดู หนังสือประวัติหลวงพ่อปานก็แล้วกันนะที่นี่มีเวลาน้อย นี่หมดเวลาไปตั้ง ๑๐ นาทีกว่าแล้ว ก็ขอย้อนหลัง ว่านิพพานพบมาตั้งแต่สมัยนั้น และตั้งแต่วันนั้น มาจนถึงวันนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท จิตใจไม่เคยพลาดพระนิพพาน ไปนิพพานทุกวัน ถ้าถามว่าไปวันละกี่ชั่วโมงก็บอกว่าไปทุกวัน วันละหลายครั้ง ตามวาระที่จะพึงมี ที่นี้ก็มานั่งคุยกันก่อน ที่มาพูดก็เพราะว่าพูดถึงเรื่องนิพพาน

เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๓๕ วันนั้นก็นอนนึกถึง สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ว่าท่านมีอายุ ๖๐ ปี ใคร ๆ เขาก็ทำบุญกันก็อยากจะบอกบุญ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ว่านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ให้ทุกคนตั้งใจบำเพ็ญกุศล ร่วมโดยเสด็จพระราชกุศลกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทั้งนี้เพราะท่านทำประโยชน์แก่ประเทศชาติ แก่คนทั่วไป ทั้งคนและสัตว์ ให้มีความสุข เช่น มีการอนุรักษ์สัตว์ ปล่อยปลาให้เป็นอิสรภาพ สร้างสถานที่ รวมความทุกอย่างที่ท่านทราบอยู่แล้วว่าทั้งสองพระองค์นี่ทำบุญกว้างขวางมาก ยากที่คนอื่นจะพึงทำได้ อย่างพวกเราอย่างเก่งก็ซื้อปลามาปล่อย ในบ่อบ้าง ในสระบ้าง ถ้าจะปล่อยในแม่น้ำก็กลัวคนจะกิน นี่ท่านทำทุกอย่าง ก็คิดว่าอยากจะให้ทุกคนทำตามท่าน แต่ก็มาสะดุดใจอยู่นิดหนึ่งว่าการปล่อยปลาให้ลงไปในแม่น้ำ ถ้าบังเอิญ คนเขาจับปลากิน เราจะบาปไหมที่คิดว่า เราจะบาปไหม เพราะว่าเราปล่อยลงไปเขาก็จับกิน ต่อมาก็ตั้งใจคิดว่า เราตอบเองไม่ได้ ต้องอาศัยพระ พระตอบเป็นของแน่นอนมาก จึงรวบรวมกำลังใจ ไปที่เทวสภา พอไปถึงก็ขอบคุณบรรดาเทวดานางฟ้าและพรหมทั้งหลายที่ท่านช่วยเหลืองานทุกอย่าง งานทุกประเภทท่านช่วย ก็ไปไหว้ท่านที่มีพระคุณต่าง ๆ มีบิดามารดาในอดีตเป็นต้น หลังจากนั้นแล้ว เทวดานางฟ้า กับพรหม ก็กราบ แต่ความจริงไม่ได้กราบอาตมา ท่านกราบแล้วท่านมองหน้าเลยศีรษะอาตมาขึ้นไป อาตมาก็หันไปดูข้างหลัง เห็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐมมาประทับอยู่บนแท่นสำหรับเทศน์ ไม่ทราบว่าท่านมาเมื่อไร จึงหันไปกราบท่าน หลังจากนั้นท่านก็เทศน์ว่า บรรดาท่านทั้งหลายที่เป็นเทวดาก็ดีที่เป็นนางฟ้าก็ดี เป็นพรหมก็ดี ที่อยู่ในที่นี้ทั้งหมด จงอย่าประมาทในชีวิต คิดว่าตนเองจะไม่จุติ จงอย่าคิดว่าความเป็นทิพย์ทั้งหมดนี่จะเป็นสมบัติของเราตลอดกาลตลอดสมัย ทั้งนี้ก็เพราะว่าทุกคนส่วนใหญ่มีความสุข แต่ว่าหลายท่านสร้างบุญกุศลต่อ แต่เทวดานางฟ้าใหม่ ๆ ยังเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์ ลืมความเป็น ลืมความตาย เพราะเป็นมนุษย์มันเป็นทุกข์ พอเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าอยู่ในสวรรค์ เป็นพรหมมีความสุข ก็เลยเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์ ทุกองค์จงอย่าลืมว่าทุกท่านมีบาปกันคนละเยอะ ๆ ทำบาปมากกว่าบุญ บาปยังติดกายท่านอยู่ พอท่านพูดเท่านี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็เห็นบาปดำขึ้นมาถึงหน้าอกถึงยอดอกทุกองค์ ถ้าท่านทั้งหลายจะต้องจุติจากที่นี่ จะต้องลงไปชำระหนี้บาป นั่นคือจะต้องลงนรกที่เป็นแดนที่มีทุกข์หนัก

IP : บันทึกการเข้า
ClassicHome
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 14 ธันวาคม 2011, 01:05:15 »

ท่านก็ชี้มือไปที่นรก เห็นนรกสว่างไสวมาก มีไฟแดงฉานมีการถูกลงโทษต่าง ๆ แต่ละขุม ท่านก็อธิบายว่า แต่ละขุมลงโทษอะไรบ้าง ทำบาปอะไรลงขุมไหน แต่ละขุมไม่มีความสุข ไฟลุกโชติช่วง พื้นก็เป็นพื้นเหล็ก เหล็กก็แดงสุกเหมือนที่เขาตีมีด สัตว์นรกก็เหยียบย่ำไปบนเหล็ก และมีไฟแดงฉาน และถูกค้อนทุบบ้าง ถูกหอกแทงบ้าง ถูกดาบฟันบ้าง อย่างนี้เป็นปกติ เมื่อสิ้นบาปจากขุมนี้แล้วก็ไปขุมต่อไป เพราะบาปแต่ละคนมีมาก บรรดาเทวดานางฟ้าและพรหมทั้งหมดเห็นก็หน้าซีด รู้สึกถึงบาปที่ตัวทำไว้สมัยที่เป็นมนุษย์ และทำไว้หลาย ๆ ชาติสะสม ตัวเองบาปหนัก ท่านถามว่า เทวดานางฟ้า และพรหม กลัวไหม ทุกองค์ก็บอกว่า กลัว ท่านบอกว่า กลัวก็เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ต่อนี้ไป ถ้าปฏิบัติได้ ทุกองค์จะไม่มีโทษของบาป บาปจะไม่สามารถลงโทษได้ คือจงคิดไว้เสมอว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ก่อนจะตายเราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เวลานี้เรามาครึ่งทางของพระนิพพานแล้ว จากมนุษย์นับเป็นจุดแรก มาถึงสวรรค์ถือว่าเป็นกลางทาง โน่นพระนิพพาน ท่านชี้มือขึ้นไปให้ดู เห็นพระนิพพานแจ่มใสมาก เป็นของใกล้ ๆ เป็นของไม่ไกล อย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อาจจะขัดกับความเห็นของบุคคลบางคนกับตำรา อาตมาก็ถือว่า ถ้าพระพุทธเจ้าเทศน์ ต้องจริงเพราะฟังเทศน์มาหลายสิบปีแล้ว ไม่มีอะไรไม่จริง ท่านบอกทุกอย่าง จริงทั้งหมด ถ้าเราไม่เชื่ออุปทานทุกองค์ก็บอกว่าอยากจะไปนิพพาน มันพ้นทุกข์ จะไม่มีการเคลื่อนไหว ไปนิพพานแล้วไม่ไปไหน อยู่ที่นั่น ท่านก็เลยบอกตั้งใจตามนี้นะ

คิดว่าชีวิตนี้มันต้องตาย ถ้าเราจะตายเราจะไม่ยอมไปอบายภูมิ เราจะมีพระนิพพานเป็นที่ไป เราจะเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยความจริงใจ และมีศีล ๕ บริสุทธิ์ และตัดความโง่ออกจากใจคืออวิชชา คือว่าไม่อยากเป็นมนุษย์ต่อไป ไม่อยากเป็นเทวดานางฟ้าเป็นพรหมต่อไป ต้องการพระนิพพานจุดเดียว เอาจิตจับไว้เฉพาะนิพพาน ตั้งใจไว้อย่างยิ่งว่าถ้าร่างกายนี้มันพังเมื่อไร ความเป็นทิพย์สลายตัวเมื่อไร เราจะไปนิพพานเมื่อนั้น เพียงเท่านี้ เทวดากับพรหมทั้งหลาย ก็มีสภาพแจ่มใส มีธรรมปีติ แสงสว่างมากกว่าเดิมกว่าเทวดากับพรหมมาก แล้วท่านหันมาถามว่า ฤๅษี มีความสงสัยอะไรบ้าง เมื่อสองสามวันที่แล้วมาคิดอะไร ถามฉันก็ได้นะถ้าสงสัย ก็ตอบท่านว่า มีความรู้สึกว่าอยากจะบอกบุญให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายที่ตั้งใจบำเพ็ญธรรมให้มีบารมีเข้มข้นใกล้พระนิพพานขึ้นมา ให้มาพระนิพพานเร็ว ๆ เพราะทุกคนตั้งใจดี บุญอย่างอื่นก็ทำกันแล้วทั้งหมด ขาดอยู่อย่างหนึ่งคือ โดยเสด็จพระราชกุศล แต่การโดยเสด็จพระราชกุศลนี้ ก็มีอยู่ว่า บางส่วนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ก็ไปปล่อยปลา

ถ้าปล่อยปลาที่ตั้งใจให้คนกินมันจะบาปไหม ท่านก็บอกว่า อย่าเพิ่งตัดสินใจตามนั่นซี มันอยู่ที่เจตนาของผู้ปล่อยถ้าผู้ปล่อยคิดว่า ปลาทั้งหมดนี่ เราต้องการให้คนมาจับไปกิน ถ้าใครเขาจับไปกินเมื่อไรเราก็ต้องบาปตามเขา แต่ถ้าปล่อยไว้เพื่ออนุรักษ์ของที่มีอยู่เคยมีอยู่แล้วมันหมดไป อย่างปลานี่เป็นเครื่องประดับของน้ำ น้ำที่ไหนถึงแม้จะใสสะอาดก็ตาม แต่ถ้าไม่มีปลา มันก็ไม่มีความชุ่มชื่นใจ เราเห็นแต่น้ำใสความชื่นใจจริง ถ้ามีปลาว่ายมาเราจะรู้สึกว่ามันเป็นความสุขมาก จิตใจเราจะสบายมาก เพราะว่าปลาเป็นเครื่องประดับของน้ำ ถ้าผู้ปล่อยมีความรู้สึกว่า ๑ เราเลี้ยงปลาให้ปลามีชีวิต นี่เป็นบุญ ประการที่ ๒ เวลาปล่อยปล่อยต้องการให้ปลาเป็นอิสรภาพ อยู่ในที่คับแคบย่อมไม่มีความสุข ถ้าอยู่ในที่กว้างจะมีความสุขมาก ถ้าเป็นอิสระ หากินสบาย จะไปไหนมาไหนก็ไปได้ตามอัธยาศัย นี่เป็นบุญ การปล่อยปลาเขาถือว่าเป็นบุญมาก แต่ถ้าไปนึกว่าปลานี้จงเป็นเหยื่อของคนอย่างนี้บาป มันอยู่ที่เจตนา เข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ดี ไม่คิดว่าเป็นอาหารของคนต้องการแต่เพียงว่าอนุรักษ์ให้ปลามันมีอยู่ในแม่น้ำ แม่น้ำสายนี้เคยมีปลา แต่เวลานี้มันไม่มีปลา ก็ปล่อยปลาลงไป ให้ปลามันเป็นอิสรภาพ ในเมื่อเราทำบุญกับท่าน ปลาทั้งหลายเป็นอิสรภาพฉันใด เราก็จะมีอิสรภาพจากนรกฉันนั้น คือไม่ต้องลงนรก ประการที่ ๓ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถสงเคราะห์คนทั่วประเทศ จะทรงมีความยากลำบากอย่างไรก็ตามทีเสด็จตามเสมอ ไปด้วยกันเสมอ ช่วยทุกอย่างให้คนมีอาชีพ คือช่วยอย่างถาวร ให้คนมีอาชีพดีขึ้น ไม่ใช่ให้กินหมด อย่างนี้ทุกคนที่ได้รับการช่วยเหลือจะมีความสุขขึ้น ก็มีภาพหลายภาพที่เขาแสดงทางโทรทัศน์ ว่าเมื่อก่อนนี้มีความยากจนเข็ญใจ ไม่มีอะไรจะกิน แต่เวลานี้ ได้อาศัยพระมหากรุณาธิคุณของท่าน กระทั่งมีกินมีใช้มีรายได้ปีละ เป็นหมื่น ๆ บาท เงินหมื่นบาทแม้จะไม่มากแต่ก็มากสำหรับคนจน คนที่ไม่เคยมี

IP : บันทึกการเข้า
ClassicHome
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 14 ธันวาคม 2011, 01:07:13 »

รวมความว่า ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ดี ทำ ถ้าร่วมกับท่าน จะมีเงินมากหรือมีเงินน้อยก็ตามไม่สำคัญ หลาย ๆ คนรวมกัน ก็มากขึ้นมาเองจะเป็นเหตุให้มีบารมีใกล้พระนิพพานยิ่งขึ้นจะมีบารมีเต็มเร็วและสามารถจะไปพระนิพพานได้โดยง่าย ตรงนี้สิบรรดาท่านพุทธบริษัท จับใจเหลือเกิน เพราะที่พูดกันนั้นก็มองเห็นนิพพานอยู่แจ๋ว ๆ เพราะนิพพานเป็นแดนที่มีความสุข เทวดานางฟ้าและพรหมทั้งหมดก็สนับสนุน ท่านสหัมบดีพรหมท่านเข้ามาใกล้ ท่านบอกว่าคุณลงไปบอกบุญเขาได้เลยนะ การบอกบุญมี ๒ อย่าง คือ


๑. ให้เขาทำคนละเล็กคนละน้อยคิดเป็นเวลาถึงสิ้นปี ถึงวันที่ ๑๒ สิงหาคมของทุกปี จะให้ตัวแทนไปถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ องค์ละเท่า ๆ กัน จะเป็นเงินมากหรือน้อยก็เหมือนกัน เราเป็นคนจน เราไม่สามารถจะหาเงิน ๑๐ ล้าน หลายร้อยล้านมาได้ แต่ถ้าทุกคนร่วมกันก็สามารถจะเป็นเงินมากขึ้นมาได้ ถ้าใครเขาตั้งใจจะถวายด้วยตนเองด้วยกำลังศรัทธาก็ไปคอยท่านที่บริเวณโบสถ์วัดพระแก้วเข้าไปแล้วที่นั่น พอท่านเสด็จเข้าไป ก็ชูมือขึ้น ไม่ต้องชูสูง ยกสตางค์ ยกแบงก์ ให้ท่านเห็น ท่านก็รับ ท่านไม่ถือพระองค์ ทั้ง ๒ องค์นี้เป็นกษัตริย์ผู้ทรงธรรมจริง ๆ ก็เป็นอันว่าพระพุทธเจ้าก็ยอมรับ



ท่านว่า เออ ฤาษี ที่ท่านสหัมบดีพรหมแนะนำน่ะ ถูกต้องแล้ว ก็เป็นอันตัดสินใจว่า วันเฉลิมพระชนม์พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถ้าหากว่า มีโอกาส จะพึงมี ท่านจะโปรดจะให้ตัวแทนจัดเงินส่วนใดส่วนหนึ่งที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย บริจาคมาทั้งหมด ไปถวายพระบาทาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระบรมราชินีนาถที่ใกล้ ๆ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ


หลังจากนั้นก็ทุกปี จะค่อย ๆ รวมกันเป็นเดือน ๆ เดือนหนึ่งเข้าซอยสายลมครั้งหนึ่งก็บอกบุญครั้งหนึ่ง ถ้าญาติโยมไม่มีโอกาสมาซอยสายลม จะส่งมาทางไปรษณีย์ก็ได้ มารวมกันได้ ได้เท่าไรก็จะประกาศให้ทราบทีหลัง แล้วจะตั้งตัวแทนไปถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราจะได้ใกล้พระนิพพานกันยิ่งขึ้น


บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท คำแนะนำนี้ เป็นคำแนะนำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย เป็นคำแนะนำของท่านสหัมบดีพรหมด้วย ช่วยแนะนำให้พวกเรามีบุญบารมีใกล้พระนิพพานยิ่งขึ้น มีบารมีเต็ม หวังว่าคงไม่เป็นที่ขัดใจของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาหมดแล้วขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ผู้อ่าน และผู้ฟังทุกท่าน สวัสดี

IP : บันทึกการเข้า
ClassicHome
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 14 ธันวาคม 2011, 01:11:51 »

โดยเสด็จพระราชกุศล .. ๒

อานิสงส์ โดยเสด็จพระราชกุศล




ท่านสาธุชนทั้งหลาย สำหรับเทปตอนนี้ก็ขอย้อนไปถึงเรื่อง โดยเสด็จพระราชกุศลต่อ เพราะเมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๓๕ พูดไปไม่ทันจบก็พอดีหมดเวลาพูด วันนี้เป็นวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๕ ขอพูดต่อ

ตอนนั้นไปหยุดอยู่ตรงที่ว่า พระองค์ทรงสงเคราะห์บรรดาประชาชนทั้งหลายให้มีความเป็นอยู่เป็นสุข นั่นก็หมายความว่าไม่ใช่ให้กินอิ่มอย่างเดียว ไม่ให้กินหมดไป ให้กินหมดไปก็ให้ด้วย ให้ก่อตั้งฐานะก็ให้ด้วย ให้ตั้งตัวได้แม้จะมีที่เพียงปีละ ๒ ไร่ ก็สามารถดำรงตนได้ มีฐานะ มีรายได้เป็นหมื่นบาท การให้อย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นให้ที่มีการทรงตัว คณะพวกเราเองไม่สามารถจะทำได้ แต่ในเมื่อเราทำไม่ได้ ท่านทำได้ เราก็เอาเงินของเราซึ่งมีส่วนเล็กน้อยไปรวมกับท่าน ถ้าทุกคนเห็นว่าเงินส่วนเล็กน้อยที่มีอยู่กับตนไม่สามรถจะทำได้ ทุกคนต่างช่วยกันต่างรวมตัวกันเข้าไป เงินจำนวนนี้ก็จะเป็นเงินจำนวนมาก จะช่วยส่งเสริมทุนของท่านที่มีอยู่แล้วและได้มาจากที่อื่น ก็จะเป็นเงินมากขึ้น ก็จะสามารถช่วยคนได้มากขึ้น

ทีนี้ว่ากันถึงการช่วย ไอ้นี่เรื่องของพระพูดก็ต้องพูดถึงอานิสงส์ อานิสงส์ในการช่วยคน ช่วยสัตว์ จะมีผลเป็นอย่างไร อย่าลืมว่า สัตว์ คือ ปลาเป็นต้น ปลาเป็นเครื่องประดับของแม่น้ำ น้ำใสที่ไหนถ้าไม่มีปลาก็ไม่สดชื่น ถ้าน้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา ปลาแหวกว่ายมาในกระแสน้ำ เราก็จะมีความชื่นใจ ข้อนี้ฉันใดความสดชื่นที่มีอยู่เพราะอาศัยความเมตตาของเราเป็นส่วนผสมปลาจึงมีชีวิตอยู่ด้วยความเป็นสุข

และประการต่อไปการช่วยคน ในเมื่อช่วยให้เขาอิ่ม สมเด็จพระบรมราชินีนาถเสด็จไปทางภาคอีสาน ทรงช่วยสงเคราะห์มอบเงินให้เป็นบางส่วนแก่คนที่ยากจนแล้วก็ช่วยสงเคราะห์แนะนำในเรื่องของอาชีพให้มีการทรงตัวได้ อย่างนี้ทำเป็นกลุ่ม คือคนส่วนใหญ่ ในศัพท์ภาษาพระเขาเรียกว่า สังฆทาน คำว่า สังฆะ แปลว่าหมู่ ให้คนที่เป็นหมู่ใหญ่ หมู่เล็ก เป็นหมู่หลาย ๆ คน ก็รวมความว่า ถ้าคนส่วนมากเขามีความสุข คนส่วนมากมีฐานะดี ดีพอสมควร เขากินอิ่ม เขานอนหลับ เราก็ถือว่าเงินของเรามีส่วนทำให้คนทั้งหลายเหล่านั้นกินอิ่ม และนอนหลับ เขามีความสุขกายสุขใจ เราก็มีความสุขกายสุขใจไปด้วยเพราะเรามีส่วนช่วยเขา ถึงแม้จะเป็นเงินเล็กน้อย บาท สองบาท สามบาท ก็ตามที ถ้าช่วยกันมากคนก็เป็นเงินหลายบาท บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย คนทั้งหลายเหล่านั้นเขาไม่ใช่นักบาปอย่างเดียว คนส่วนใหญ่เป็นนักบุญที่นับถือพระพุทธศาสนา ถ้าเขานำทรัพย์ทั้งหลายเหล่านั้นไปถวายพระ เช่น หุงข้าวใส่บาตร มีต้มมีแกง หรือว่านำปัจจัยบางส่วนไปถวายพระ ก็ชื่อว่าเป็นสังฆทานโดยตรง คำว่าสังฆทานนี่มีอานิสงส์มาก ตามที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า ครั้งหนึ่งสมเด็จพระพุทธกัสสป ท่านเทศน์ว่า
IP : บันทึกการเข้า
ClassicHome
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 14 ธันวาคม 2011, 01:14:53 »

บุคคลใดให้ทานด้วยตนเอง ไม่ชักชวนคนอื่น ตายแล้วจากชาตินี้ เกิดไปชาติใหม่จะเป็นคนมีความร่ำรวยมาก แต่ไม่มีพวกพ้อง บุคคลใดไม่ทำบุญด้วยตนเอง แต่ชอบชวนคนอื่นอย่างพวกทายก พวกทายกน่ะส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำบุญนักแต่ที่ท่านทำบุญมากก็มีนะ ไม่ใช่ทุกคน ชอบบอกบุญกับชาวบ้าน ให้เขาทำบุญกัน แต่ตัวเองไม่ทำ ถ้าอย่างนี้ตายจากชาตินี้ไปแล้วเกิดชาติใหม่จะเป็นคนจน แต่ว่ามีพรรคพวกมาก พออาศัยได้ บุคคลใดทำบุญด้วยตนเองด้วย ชักชวนบุคคลอื่นด้วย ทำบุญร่วมกันตายแล้วจากชาตินี้ไปเกิดชาติใหม่ จะเป็นคนร่ำรวยด้วย จะมีพรรคพวกมากด้วย บุคคลใดไม่ทำบุญไม่ให้ทานเลย แล้วก็ไม่ชวนใครให้ทานด้วย ตายจากชาตินี้ไปจะยากจนเข็ญใจ และไร้พวกสนับสนุน ไร้คนสงเคราะห์

ตัวอย่างในธรรมบท คือ อานันทเศรษฐี อานันทเศรษฐีคนนี้เกิดในสมัยพระพุทธเจ้า คือ ในขณะที่พระพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว เขาก็มีลูก แล้วลูกก็เป็นหนุ่มแล้วชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่ อานันทเศรษฐีคนนี้มีทรัพย์ประมาณ ๘๐ โกฏิ แต่จิตใจของเขามีความรู้สึกว่า สมบัติทั้งหลายที่ได้มาทั้งหมด ปู่ย่าตาทวดของเขา พ่อแม่ของเขาเป็นคนหามา ไม่ใช่ชาวบ้านให้มา เมื่อคิดอย่างนี้เขาก็สอนลูกชายของเขาว่าเงินทั้งหมดประมาณ ๔๐ โกฏิ หรือ ๘๐ โกฏินี่จงอย่าทำการจ่าย อย่าให้แก่ใครทั้งหมด หมายความว่าไม่มีการให้ทาน ทรัพย์สมบัติทั้งหลายจงอย่าใช้ อย่าให้ แต่ทว่าจงหาทรัพย์มาใหม่ ให้มันมากขึ้น เพราะทรัพย์ทั้งหลายที่เราได้มา ไม่มีใครให้เรา ปู่ยาตาทวดสะสมไว้ทำเสริมขึ้น ลูกชายเขาจะปฏิบัติตามหรือไม่ อันนี้ไม่ทราบทางบาลีไม่ได้บอกไว้ แต่ทว่าตัวเขาเองไม่ทำแน่นอน แม้แต่องค์สมเด็จพรชินวร คือพระพุทธเจ้า เดินบิณฑบาตผ่านบ้านเขาไม่รู้กี่ครั้ง เขาก็ไม่เคยแม้แต่ใส่บาตร เหนียวขนาดนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท หลังจากนั้นไม่ช้านัก ชีวิตที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง เขาก็ตายจากความเป็นคนอาศัยที่ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ หมายความว่า เขาไม่ได้ทำบาป เขาไม่ได้ฆ่าสัตว์ เขาไม่ได้ลักทรัพย์ เขาไม่ได้ประพฤติผิดในกาม เขาไม่พูดมุสาวาท เขาไม่ดื่มสุราและเมรัย แต่เขาไม่ให้ทาน ความดีไม่ปรากฏ ก็หมายความว่าศีลทั้งหมดเขาไม่ได้รักษา ถึงแม้จะปฏิบัติได้อย่างนั้นก็เป็นการปฏิบัติแบบโดดเดี่ยว ไม่ตั้งใจรักษาศีล ไม่ตั้งใจให้ทาน กรรมทั้งหลายที่นำเขาไปสวรรค์ก็ดี ไปนรกก็ดี จึงไม่มี มีอย่างเดียวที่เขาต้องเกิดเป็นคนใหม่ เมื่อชีวิตออกจากร่างแล้วก็ไปสู่สถานที่แห่งหนึ่ง นั่นคือกลุ่มคนขอทาน

กลุ่มคนขอทานมีหญิงอยู่ด้วย เขาเข้าสู่ครรภ์ของหญิงคนขอทานนั้น แต่ผลของการไม่ให้ทานของเขาปรากฏทันทีในเมื่อเด็กเข้าปฏิสนธิในครรภ์ของมารดา ปรากฏว่า คณะขอทานทั้งหมด ที่เคยขอทานร่วมกัน ไปไหนก็ไปร่วมกัน วันนั้นทั้งวันไม่ได้อะไรเลย มาวันที่ ๒ ก็เป็นอย่างนั้น วันที่ ๓ ก็เป็นอย่างนั้น ขอทานที่เป็นกลุ่มเป็นหมู่ก็ต้องมีหัวหน้า หัวหน้าขอทานจึงมาปรึกษากันว่า คนกาลกิณีคงจะเกิดขึ้นกับเราแล้ว คงจะมีปรากฏในหมู่ของเราแล้ว เราเคยขอทาน เราเคยได้เคยเหลือใช้เหลือสอย แต่ ๓ วันนี่ไม่ได้อะไรเลย เขาจึงแบ่งคนขอทานออกเป็น ๒ พวก แยกสถานที่กันขอทาน พวกไหนที่แม่ของเด็กอยู่ในครรภ์ไปด้วยพวกนั้นไม่ได้ของ เขาจึงพยายามแบ่ง แบ่ง แบ่ง ในที่สุดแบ่งเป็นบุคคล ไปรายละคน ไม่รวมกัน ทุกคนเขาได้หมด แต่แม่ของเด็กไม่ได้เขาจึงทราบว่า เด็กในครรภ์เป็นเด็กกาลกิณี การจะทุบจะตีแม่ จะไล่แม่ก็เป็นของไม่ถูกเพราะแม่ไม่ได้บอกให้เขามาเกิด จึงให้แม่ของเด็กอยู่ในสถานที่อย่างเดียว ขอทานทั้งหมดหามาเลี้ยงให้ สงเคราะห์ ต่อมาเมื่อเด็กในครรภ์คลอดแล้ว วันไหนไปขอทานถ้าแม่เอาลูกไปด้วยวันนั้นไม่มีคนให้ทาน ถ้าวันไหนไม่ได้เอาลูกไปด้วยวันนั้นมีคนให้ทาน แต่เด็กที่เกิดมาท่านพุทธบริษัท อาศัยที่เขาขาดความดีตามพระบาลีบอกว่า เหมือนปีศาจคลุกฝุ่น ไอ้คำว่าปีศาจก็แย่อยู่แล้ว แถมคลุกฝุ่นอีกด้วย ต่อมา บางครั้งแม่ จึงให้เด็กไปขอทาน ก็ขอไม่ได้ จึงให้ลูกอยู่บ้าน ตัวไปขอทานแต่ผู้เดียว ต่อเมื่อโตขึ้นแล้ว อายุประมาณ 6-7 ปี เห็นจะได้ บาลีไม่ได้บอก แม่จึงเอาภาชนะเก่า ๆ สำหรับขอทานใส่มือให้ ว่าเจ้าจงไปตามยถากรรมของเจ้าแม่เลี้ยงเจ้าไม่ได้ เจ้ามาจากที่ไหนก็จงไปที่นั่น

อาศัยที่เขาตายจากความเป็นคนแล้วเกิดเป็นคน ก็เหมือนกับ
คนหลับแล้วตื่น ก็ย่อมนึกขึ้นมาได้ว่า บ้านของเราอยู่เมืองโน้นเราเคยเป็นมหาเศรษฐี ชื่อว่าอานันทเศรษฐี เรามีทรัพย์สมบัติ ๘๐ โกฏิ เรามีทรัพย์สินต่าง ๆ ฝังใต้ดินที่ลูกชายยังไม่รู้มีอยู่ เขาจึงตั้งใจเดินตรงไปยังบ้านของเขา นี่เขานึกออก อย่าลืมนะบรรดาท่านพุทธบริษัท คนที่นอนหลับแล้วตื่นขึ้นมานี่มันนึกอะไรออกหมด อย่างคนตายจากคนเกิดเป็นคนก็นึกชาติก่อนออกเหมือนคนตื่นจากหลับซึ่งมันก็เป็นของไม่หนักอย่างที่ไม่ใช่ของอัศจรรย์ เขาตั้งใจไปบ้านเขา เขาเดินไปทั้งกลางวันและกลางคืน ก็พอดีตอนเช้า สายนิดหน่อย ไม่สายมากนักประมาณโมงเช้า เขาก็ไปถึงบ้านของเขา เขาตั้งใจจะเข้าบ้าน แต่นายประตูไม่ยอมให้เข้า เขาก็จะเข้านายประตูก็ไม่ยอมให้เข้า นายประตูก็ผลักมา ผลักไล่ไสส่งเขาก็ไม่ยอมไป เขาบอกว่าบ้านนี้เป็นบ้านของกู นายประตูจะเชื่อได้อย่างไรในเมื่อเขาเป็นเด็กและรูปร่างเหมือนปีศาจคลุกฝุ่น เขาบอกว่าเขาชื่อ อานันทเศรษฐี นายประตูก็บอกว่า อานันทเศรษฐีตายไปแล้ว แกไม่ใช่แน่ ก็เป็นอันว่าเข้าไม่ได้
IP : บันทึกการเข้า
ClassicHome
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 14 ธันวาคม 2011, 01:16:25 »

ก็พอดีพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระอานนท์เดินไปบิณฑบาตพอดี เมื่อเห็นอย่างนี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสกับพระอานนท์ว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอเห็นอานันทเศรษฐีไหม พระอานนท์มองดูก็ไม่เห็น พระอานนท์ท่านรู้จัก พระพุทธเจ้าก็บอกว่า เด็กคนนั้นอย่างไรเล่า คืออานันทเศรษฐี เขาตายจากความเป็นคน เขามาเกิดเป็นคน เป็นลูกขอทานอาศัยที่ไม่เคยแบ่งปันทรัพย์สินให้กับใครเลย เขาจึงเป็นเด็กรูปร่างเหมือนปีศาจคลุกฝุ่นเพราะขาดเมตตา ไอ้รูปร่างนี้จะสวยหรือไม่สวยอยู่ที่เมตตาบารมี ถ้าเมตตาบารมีมากก็สวยมาก เมตตาบารมีน้อยก็สวยน้อย ในเมื่อเขาขาดเมตตาบารมีเขาจึงมีรูปร่างเหมือนปีศาจคลุกฝุ่น พระพุทธเจ้าจึงบอกกับนายประตูว่า หยุดก่อน อย่าเพิ่งไล่เด็ก ให้เด็กยืนเฉย ๆ ก่อน แล้วก็บอกกับนายประตูว่า เธอบอกลูกชายมหาเศรษฐีลงมานี่ซิ เขาก็ไปตามลงมา เมื่อท่านเศรษฐีหนุ่มลงมาแล้ว พระพุทธเจ้าก็บอกว่า โภ ปุริสะ ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ชายคนนี้เด็กคนนี้คือบิดาของเจ้า คืออานันทเศรษฐี เขาฟังพระพุทธเจ้าพูดเขาก็งง เขาบอกว่า พ่อผมตายไปแล้วขอรับ พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า นั่นน่ะซิ พ่อของเธอตายไปแล้ว จึงเป็นลูกขอทานเพราะขาดการให้ทานการกุศล คนก็ไม่ให้ พระก็ไม่ให้ สัตว์ก็ไม่ให้ หมาก็ไม่เลี้ยง แมวก็ไม่เลี้ยง ไม่เลี้ยงทั้งหมดมันเปลืองทรัพย์สิน ผลที่เขาจะพึงได้รับก็คือ ขาดความเมตตาปรานีเมื่อเข้าท้องแม่ แม่ไปขอทานก็ไม่ได้ กลุ่มคนก็ไม่ได้ ตอนนี้มาเติบใหญ่แล้วแม่ไม่เลี้ยงไล่ส่งกลับ เขาก็ระลึกชาติได้ ๑ ชาติ ก็ตั้งใจจะมาบ้าน ลูกชายเขาฟังก็งง



เขาก็เชื่อเหมือนกัน พระพุทธเจ้าพูด แต่ไม่แน่ใจ ก็พ่อเขาตายไปประมาณ ๖ - ๗ ปี ทำไมเด็กคนนี้จะมาเป็นพ่อเขาล่ะ ในที่สุดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ตรัสว่า อานันทเศรษฐี เด็กก็หันมา ถามว่า ท่านยังจำได้ไหมว่าทรัพย์สินส่วนใดที่ฝังไว้ใต้ดินที่ลูกชายของเธอไม่รู้ มีไหม? อานันทเศรษฐีเด็กก็บอกว่า มี ถ้าอย่างนั้นจงนำคนไปขุด ก็เลยบอกลูกชายของเขาให้สั่งคนรับใช้ให้นำจอบนำเสียมไป เขาก็เดินนำหน้า เขาชี้ตรงนี้ตุ่มเงิน พ่อฝังไว้ ๑ ตุ่ม เขาก็ขุดได้ตุ่มเงินจริง ๆ ไปชี้ตรงนี้ตุ่มทอง พ่อฝังไว้ ๑ ตุ่ม เขาขุดก็พบจริง ๆ ที่ตรงนี้เป็นที่ฝังเพชรนิลจินดาเครื่องประดับ เขาขุดลงไปก็ได้ลูกชายก็เลยยอมรับว่าคนนี้เป็นพ่อจริงและรับเลี้ยงไว้แต่อาศัยพระพุทธเจ้า นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย การไม่ให้ทานมีอานิสงส์อย่างนี้ แต่การให้ทานจริง ๆ มีอานิสงส์ใหญ่ ดูตัวอย่างท่านเมณฑกเศรษฐี จะขอนำเรื่องโบราณมาพูดให้ฟัง แต่ประเดี๋ยวก่อนเว้นไว้ก่อน การให้ทานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถทำอย่างนี้เป็นการตลอดกาลตลอดสมัย เขาจะมีชีวิตอยู่ ทรงตัวอยู่ได้และทรัพย์สมบัติส่วนใดที่เขานำไปถวายพระจัดเป็นสัมฆทาน เรียกว่า สังฆทานทั่วประเทศ เป็นสังฆทานตลอดกาล เขาทำบุญเมื่อไรเราก็ได้เมื่อนั้น นี่เป็นทานใหญ่นะ

IP : บันทึกการเข้า
ClassicHome
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 14 ธันวาคม 2011, 01:19:01 »



ทีนี้ ก็มาดูกฏของกรรมของคนที่จนแต่ให้ทานเป็น ขอนำเรื่องสมัยโบราณที่ท่านคุยกัน จะหาตามบาลีก็ไม่พบ ถ้าตามบาลี อาตมาก็ไม่ค่อยได้หานัก ไม่มีตำราค้นคว้า บาลีก็ไม่ค่อยจะรู้พอรู้บ้างเล็กน้อยท่านนั้นเอง เอาตามคนเก่า ๆ ที่ท่านเทศน์ ท่านบอกว่า

มีครอบครัวหนึ่ง สองคนตายายเป็นคนแก่ทั้งคู่ ยากจนมาก บ้านอยู่ใกล้วัด แต่ทว่าไม่มีโอกาสจะทำบุญ ความจริงบ้านติดรั้ววัดแต่ไม่มีโอกาสทำบุญเพราะยากจน ไม่ใช่ขึ้เหนียวอย่างอานันทเศรษฐี เป็นเพราะไม่มีของจะทำบุญ ตอนเช้าเป็นคนจนเขาก็ต้องไปทำงานรับจ้างเมื่อได้เงินมาบ้างก็ซื้อกิน อาบน้ำอาบท่าแล้วก็เข้านอน ตอนเช้าก็ต้องไป ได้เงินรับจ้างมันก็เล็กน้อย ไม่เหลือ กินวันก็หมด จะหาเช้ากินค่ำ หาค่ำกินเช้า ต่อมาเขาสร้างวัดกันก็อยากจะช่วยเขาสร้างแต่วันว่างก็ไม่มี ต้องรับจ้างเขากิน ก็น่าเห็นใจนะบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเขามีศรัทธา มาตอนท้ายที่สุดเขาสร้างวัดเสร็จเขาก็สร้างส้วม เขาขุดหลุมเพื่อให้พระถ่ายอุจจาระลงหลุม ตอนนั้นเวลากลางคืนปรากฏว่า ๒ ตายายมาปรึกษากันว่าวัดเขาสร้างข้างบ้านเรา แต่เราไม่มีโอกาสที่จะช่วยทำวัดแม้แต่งานการก็ไม่สามารถจะช่วยทำ เราไม่มีโอกาสทำบุญเลย แต่เวลานี้เรามีทองคำอยู่แผ่นหนึ่ง เป็นทองทำเปลว มันบางเท่าปีกริ้น ตามบาลีว่าอย่างนั้น ทองคำเปลว ตั้งใจจะทำบุญ จะทำบุญแบบไหนดี จะไปปิดที่พระก็มองไม่ค่อยเห็นพระพุทธรูป เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ๒ คนตายายปรึกษากัน เราเอาทองนี้ไปปิดก้นหลุมที่พระถ่ายอุจจาระเป็นการบูชาพระรัตนตรัย ตัดสินใจแล้วตอนกลางคืนก็ไปตามนั้น แล้วกลับมารับจ้างทำงานต่อไป รวมความว่า วันนั้นเขาได้ทำบุญเขามีความปลี้มใจมาก ต่อมาไม่ช้าไม่นานนัก คน ๒ คน ก็ต้องตาย

ตายแล้วก็ไปเกิดใหม่บนสวรรค์ ชั้นดาวดึงสเทวโลก ที่ชาวบ้านเขาลือว่า ตายแล้วสูญ พระพุทธเจ้าท่านบอกไม่สูญ นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัส หลังจากนั้นมาเมื่อหมดอายุจากความเป็นเทวดา ก็มาเกิดเป็นลูกในตระกูลเศรษฐี อย่าลืมว่าทองคำเปลวแผ่นเดียวนะบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เอาไปปิดก้นส้วม แล้วก็ตายจากคนไปเกิดเป็นเทวดาเป็นนางฟ้า ตายจากเทวดานางฟ้ามาเกิดเป็นคนในตระกูลของมหาเศรษฐี สามีก็มาเป็นสามี ภรรยาก็มาเป็นภรรยา ตอนนี้อาศัยที่จิตใจของท่านทั้งสองเป็นนักบุญมาแต่ชาติก่อนแต่ว่าไม่มีโอกาสทำบุญ เมื่อเวลาถึงปีทำนาได้ข้าวมาก ท่านจะเก็บไว้กินเพื่อ ๓ ปี โดยคิดว่า เผื่อว่าทำนาจะไม่ได้อีก ไอ้คนรับใช้ในบ้านก็มาก ตัวเองก็ต้องกินต้องใช้ ต้องเก็บไว้กิน สมมติปีกิน ๑ เกวียน ปีหนึ่งทำข้าวได้เก็บไว้ ๓ เกวียน เก็บไว้เผื่อว่าปีหน้าปีโน้นมันไม่ได้ข้าวจะได้มีกินกัน บังเอิญ ในครั้งนั้นข้าวยากหมากแพง ฝนแล้งไม่ตกต้องตามฤดูกาลเขาทำนากันไม่ได้ บ้านทุกบ้านอด ท่านทำอย่างไร บ้านอื่นเขาอด แต่บ้านท่านมีกิน จิตใจท่านก็ทนไม่ไหว ก็แจกข้าวเท่าที่มีอยู่ ใครไม่มีข้าวมาเอาข้าว ใครไม่มีข้าวมาเอาข้าว แจกไป แจกไป แจกจนหมด หมดยุ้งหมดฉาง ทีแรกก็กันไว้เพื่อกินก่อน แต่เมื่อมีคนมาขอข้าวก็มีความสงสาร ให้จนหมด ก็จึงไปนำข้าวผสมกับดินเหนียวที่ยาฉางยายุ้งไว้มาขยำกับน้ำ บอกทาสกรรมกรทั้งหลาย ว่าทุกคนเป็นอิสระหมดความเป็นทาส ต่างคนต่างไปเถอะหากินตามสบายใจ อยู่กับฉันอดตายแน่ ไม่มีจะกินแล้ว แต่ก็มีทาสอยู่คนหนึ่งชื่อ นายบุญ ไม่ยอมไป ว่าเจ้านายอยู่ที่ไหนผมจะอยู่ที่นั่น เมื่อตายก็ตายด้วยกัน อดก็อดด้วยกัน

ในวันหนึ่ง ตามธรรมดา มหาเศรษฐีต้องเฝ้าพระมหากษัตริย์อย่างขุนนางทั้งหลาย วันหนึ่งเมื่อเข้าไปในวังพระมหากษัตริย์แล้ว ไอ้ข้าวน่ะมันเหลืออีกวันเดียว มันจะต้องกิน กลับมาจากเฝ้าพระมหากษัตริย์ก็ถามภรรยาว่า ข้าวมีไหม ภรรยาบอกว่า มี แต่ถ้าหุงกินได้วันนี้วันเดียวหมด ถ้าต้มกินได้ ๒ วันหมด หมดแล้วก็หมดเลย ท่านมหาเศรษฐีก็ตัดสินใจว่า เอางี้ก็แล้วกัน ในเมื่อมันจะตายเพราะอด ก็ให้มันตายไปเถอะ วันนี้เรากินให้อิ่ม หุงก็แล้วกัน เมื่อหุงข้าวเสร็จก็ปรากฏว่าตั้งใจจะกิน วันนั้นบังเอิญพระปัจเจกพุทธเจ้าออกจากนิโรธสมาบัติ ที่ภูเขาคันธมาส ท่านก็ทราบว่าถ้ามาที่บ้านนี้จะได้ข้าวฉัน จึงเหาะมาจากเขาคันธมาสแล้วลงเดินมายืนรับบาตร ท่านมหาเศรษฐีเห็นเข้าก็คิดในใจว่า อาศัยเรามีข้าวอยู่อิ่มเดียว ถ้าจะกินก็ตาย ไม่กินก็ตาย กินวันนี้พรุ่งนี้ตาย ทำบุญดีกว่า ก็เลยทำบุญทั้งหมด ขอเล่าลัด ๆ เวลาจะหมดอยู่แล้ว ในเมื่อทำบุญไปหมดแล้ว ใส่บาตรหมดแล้วก็อธิษฐานว่า

ธรรมใดที่พระผู้เป็นเจ้าเห็นแล้ว ขอให้ผมเห็นธรรมนั้นด้วยเถิด แล้วอธิษฐาน ในเกิดเป็นผัวเป็นเมียเป็นลูกเป็นเต้ากันใหม่ ย่อ ๆ นะ เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าไปแล้ว ท่านมหาเศรษฐีก็หิว ถามภรรยาว่า ยาย ไอ้ข้าวติดก้นหม้อ มีบ้างไหม เอาน้ำคลุก ๆ มาให้ฉันกินหน่อยก็ได้พอชื่นใจ ยายเข้าไปในครัวก็แปลกใจ เห็นข้าวสุกเต็มหม้อ แกงเต็มหม้อ เรียกทุกคนมากิน กินเท่าไรก็ไม่ยอมยุบ ในที่สุดก็เรียกชาวบ้านใกล้เคียงมา ตักข้าวสุกแจกให้ ตักแกงแจกให้ เท่าไรก็ไม่ยอมยุบ ก็แจกกันหลายตำบล ต่างคนต่างมารับ ก็แจกกันอย่างหนัก ไม่ยอมหมด เมื่อตายจากคนไปเกิดเป็นเทวดาลงมา มาใหม่คราวนี้มาเกิดเป็นลูกชาวนา พอเด็กเข้าครรภ์ เช้าพ่อตื่นมาแต่เช้า หน่อไม้รอบบ้านกลายเป็นทองคำทั้งหมด พอลูกออกมาก็มีแพะทองคำหลายร้อยตัวตัวเท่าช้างสารอ้าปากมีสายไหมในปาก ต้องการเงินดึงออกมาเป็นเงินไหล ต้องการทองทองจะไหล ต้องการเพชรเพชรจะไหล ก็เป็นมหาเศรษฐีใหญ่ เพราะการให้ทาน

บรรดาญาติโยม พุทธบริษัททุกท่าน กฏของกรรมก็เล่าเพียงเท่านี้เพราะเวลาหมดขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแต่มหาชนทั้งหลายที่รับฟังทุกท่าน

สวัสดี
IP : บันทึกการเข้า
ClassicHome
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 14 ธันวาคม 2011, 01:21:15 »

โดยเสด็จพระราชกุศล .. ๓

เรื่องอื่น ๆ ผสม


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๕ ก็มาคุยกันเรื่องกฎของกรรม ไอ้คำว่า กรรมนี่บรรดาท่านทั้งหลาย แปลว่า ทำ มันมี ๒ อย่าง กรรมดีกับกรรมชั่ว ถ้าเราทำกรรมชั่วก็มีผลเป็นทุกข์ ทำกรรมดีก็มีผลเป็นสุข มีบางท่านบอกว่า ตายแล้วมีสภาพสูญ ไอ้เรื่องนี้อาตมาก็ไม่เถียงเพราะเถียงไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ก็สุดแล้วแต่ใครจะมีความเห็น แต่ว่าพระพุทธเจ้า บอกว่า ไม่สูญ

อย่างในเรื่องทศชาติ พระพุทธเจ้าบอกว่าตรัสมาแล้ว ๑๐ ชาติ คือ เกิดมาแล้ว ๑๐ ชาติ ถอยหลังไปหลายร้อยชาติ หลายพันชาติ หลายแสนชาติ ท่านก็เกิดมาเรื่อย ๆ ก็เป็นคนกันเรื่อย ตายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ตาย พระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าตายแล้วมีสภาพไม่สูญ มันต้องเป็นไปตามกฎของกรรม ทำกรรมดี กรรมดีให้ผลไปเป็นสุข ทำกรรมชั่ว กรรมชั่วให้ผลไปเป็นทุกข์ มีคนมาแย้ง ท่านจดหมายมาบ้าง ท่านมาพูดบ้าง ว่าคณาจารย์บางท่านว่าตายแล้วสูญ ก็บอกว่า ช่างเขาเถอะ อย่าไปคิดว่าท่านผิดหรือท่านถูก ใครคิดอย่างไรก็เป็นไปตามนั้น อาตมาก็ขอคิดตามพระพุทธเจ้าเพราะเป็นสาวกของท่าน บวชมาในพระพุทธศาสนาเราเชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง พระพุทธเจ้ามีความรู้จริง สงเคราะห์คนได้จริง เราเชื่อ ในเมื่อเราเชื่อแล้วเราก็ใช้ปัญญาดูว่าตายแล้วเกิดหรือไม่เกิด ลองศึกษาธรรมวินัย ทีแรกก็ศึกษาเฉพาะหนังสือก่อนก็สงสัย สงสัยตอนหนึ่งที่มีความสงสัยอยู่มาก ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกันหมดว่า สัพพะ ปาปัสสะ อกรนัง จงแนะนำให้คนเว้นจากความชั่วทุกอย่าง กุสลสูป สัมปทา จงแนะนำให้คนทำแต่ความดี สจิตตะ ปริโยทปันนัง ทำจิตใจให้ผ่องใสจากกิเลส เอตัง พุทธา น สาสนัง พระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกันหมด ในตำราเรียนเขาบอกว่า นิพพานสูญ ถ้านิพพานสูญจริง ๆ พระพุทธเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกัน ว่าองค์ก่อนตรัสอะไรไว้บ้าง อย่างยกตัวอย่างท่านบอกว่า พระพุทธกัสสปตรัสอย่างนี้ คนทำบุญถ้าไม่ชักชวนคนอื่น ตายแล้วไปเกิดใหม่จะมีอานิสงส์มาก รวยมากแต่ไม่มีพวกพ้อง แต่คนที่ไม่ทำบุญด้วยตนเองแต่ดีแต่ชักชวนเขา อย่างทายก ตายแล้วเป็นคนจนมีพวกพ้องมาก คนที่ทำบุญเองด้วยชักชวนคนอื่นด้วย ตายแล้วก็มีทรัพย์มาก รวยแล้วก็มีพวกพ้องมาก ถ้าไม่ชักชวนเขาด้วยไม่ทำบุญเองด้วย อย่างอานันทเศรษฐี ตายแล้วเป็นคนจนด้วยและหาพวกพ้องไม่ได้ ขาดคนเมตตาปรานี



เป็นอันว่า พระพุทธเจ้ายืนยันอย่างนี้ อาตมาก็คิดว่าถ้าเราจะเรียนแต่หนังสืออย่างเดียวก็คงจะมีผลน้อย ไม่หมดความสงสัยต้องการค้นคว้าพระพุทธศาสนาต่อไปจะหันเข้าหาทางปฏิบัติ คือ ปฏิบัติน่ะปฏิบัติมาแล้ว แต่เอาแบบจริงจังกัน หลักสูตรพระพุทธศาสนามีเท่าไร มี ๔ อย่าง คือ
๑. สุกขวิปัสสโก
๒. เตวิชโช
๓. ฉฬภิญโญ
๔. ปฏิสัมภิทัปปัตโต

ค่อย ๆ ปฏิบัติมาทุกอย่าง ตั้งแต่สุกขวิปัสสโกขึ้นมา ถึงเตวิชโช ฉฬภิญโญ ถึงปฏิสัมภิทัปปัตโต ก็ทำได้อย่างเป็ด คำว่าเป็ด หมายความว่า ไก่เดินได้เป็ดก็เดินได้ ไก่ร้องได้เป็ดร้องได้ ปลาว่ายน้ำได้เป็ดก็ว่ายน้ำได้ นกบินได้เป็ดก็บินได้ แต่บินได้ไม่สูง ไม่เท่าเขา ถึงกระไรก็ดียังพอมีเค้า เมื่ออยากจะเดินก็เดินได้ อยากจะพูดก็พูดได้ อยากจะว่ายน้ำก็ว่ายน้ำได้ อยากจะดำน้ำก็ดำน้ำได้ เป็ดดำน้ำได้แต่ไม่หมดตัวก็ยังดีกว่าคนที่ดำน้ำไม่ได้เลย ก็รวมความว่า ตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อตรวจสอบคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผลที่ได้รับคือว่า ตามพระสูตรก็ดี ตามชาดกก็ดี ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้จริงทุกอย่าง ตายแล้วมีสภาพไม่สูญและแถมตัวเองก็เกิดมาตายเสียด้วย ตายเสียหลายครั้ง ถ้าอยากจะทราบประวัติความเป็นจริงในการตายให้ดูหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ในหนังสือประวัติหลวงพ่อปานมีอยู่แต่เป็นส่วนย่อ ในหนังสือมโนมยิทธิและประวัติของข้าพเจ้าอันนี้จะรู้ว่าตายหลายครั้ง เมื่อตายทีไร ปรากฏว่ามีภพเป็นที่ไปทุกที มันมีสภาพไม่สูญ มันจะสูญอยู่ตัวเดียวคือร่างกาย ร่างกายมันจะเน่า มันจะเปื่อย อาศัยตายแล้วเกิดไวจึงไม่เน่าไม่เปื่อย ทีนี้เราก็มาคุยกันต่อไป เรื่องกฎของกรรม
IP : บันทึกการเข้า
ClassicHome
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 14 ธันวาคม 2011, 01:27:11 »



วันนี้ก็จะคุยเรื่อง โพธิราชกุมาร โพธิราชกุมาร นี่คำว่ากุมารนี่ยังไม่เป็นกษัตริย์ หมายความว่า เป็นลูกของกษัตริย์ แต่เป็นคนมีนิสัยเสีย ตรงนี้จะทิ้งไว้ก่อน เธอมีเมีย มีเมียมาตั้งหลายปีแต่ไม่มีลูก ก็อยากจะมีลูกมันก็ไม่มี วันหนึ่งทราบว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาใกล้ ๆ สถานที่นั้นจึงส่งคนไปนิมนต์พระพุทธเจ้า เมื่อคนนิมนต์ พระพุทธเจ้าทรงรับแล้ว ก็สั่งให้ปูผ้าตั้งแต่พระราชฐาน คือ วัง ตั้งแต่วังที่อยู่มาถึงหน้าประตูวัง ปูผ้าขาว คิดในใจว่าถ้าเราจะมีลูกขอให้พระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์เดินบนผ้าขาว ถ้าเราจะไม่มีลูกก็ขอให้พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์จงไม่เดินบนผ้าขาวที่ปูไป ตอนเช้าองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ จงเผดียงสงฆ์ คือ จงนิมนต์พระ ประกาศให้พระทราบว่าวันนี้ตถาคตจะไปฉันพร้อมกับพระที่วังของโพธิราชกุมาร เมื่อพระพร้อมแล้ว พระอานนท์ ก็นำ พระพุทธเจ้าก็นำทางมา พอมาถึงประตูวัง พระพุทธเจ้าบอกว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอจงให้เขารื้อผ้าขาวเสีย ตถาคตจะไม่เดินบนผ้าขาว พระอานนท์ก็บอกเจ้าหน้าที่ให้รื้อผ้าขาวออก เพราะว่าพระพุทธเจ้าจะไม่เดินบนผ้าขาว เมื่อเขารื้อผ้าขาวแล้วพระองค์ก็เสด็จเข้าไป เข้าไป โพธิราชกุมารก็ถวายภัตตาหาร พอถวายนมัสการเสร็จตามพิธีกรรม

เมื่อถวายภัตตาหารเสร็จ ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะโมทนา เขาจึงเข้าไปกราบพระพุทธเจ้าว่า ทำไมพระองค์ไม่เสด็จไปบนผ้าขาว พระพุทธเจ้าก็ถามว่าก่อนที่จะปูผ้าขาวน่ะเธอคิดอย่างไร โพธิราชกุมารก็ตอบว่า ข้าพระพุทธเจ้าคิดว่าถ้าข้าพระพุทธเจ้าจะมีลูกขอให้พระองค์กับพระเดินบนผ้าขาว ถ้าจะไม่มีลูกก็จะไม่เดินบนผ้าขาว พระพุทธเจ้าก็ว่า เพราะเธอจะไม่มีลูก ตถาคตจึงไม่เดิน เขาก็ถามว่าเพราะอะไรเป็นเหตุ พระพุทธเจ้าบอกว่า ในสมัยชาติก่อน เธอเป็นคนเห็นแก่ตัว เป็นพ่อค้าสำเภา ต่อไปเรือแตกก็ขึ้นไปบนเกาะ ไม่มีอาหารจะกินก็เห็นรังนกรังหนึ่ง มันมีไข่ก็กินไข่ กินไข่หมดก็ยังหิวอยู่ ต่อไปก็กินลูกนก ต่อไปก็กินพ่อนกกับแม่นก พระพุทธเจ้าตรัสว่า โพธิราชกุมาร อาศัยที่เธอไม่เว้นทั้ง ๓ กาล คือ กินไข่ด้วย กินลูกนกด้วย กินพ่อนกแม่นกด้วย ในชาตินี้ทั้งชาติเธอจะไม่มีลูก ถ้าเธอกินแต่เฉพาะไข่นก ไม่กินลูกนกกับพ่อนกแม่นก ในสมัยที่เป็นหนุ่มเป็นสาวรุ่น ๆ เธอจะไม่มีลูก ถ้าย่างเข้ายี่สิบปีเศษจะมีลูก ถ้าเธอกินลูกนกแต่ไม่กินพ่อนกแม่นก อายุ ๓๐ ปีเศษ จึงจะมีลูก ที่เธอกินทั้งไข่ ทั้งลูกนก ทั้งพ่อนกแม่นก ชาตินี้ทั้งชาติเธอไม่มีลูก ในปฐมวัยก็ไม่มีลูก ในมัชฌิมวัยก็ไม่มีลูก ตอนแก่ก็ไม่มีลูก หาลูกไม่ได้ หลังจากนั้นสมเด็จพระจอมไตร ก็ตรัสโมทนา

เป็นอันว่า โพธิราชกุมาร นี่ท่านทั้งหลาย เป็นคนที่ใจเหี้ยม มีอารมณ์อิจฉาริษยาคน ขาดความเมตตาปรานี ดูตัวอย่างชาติก่อน แม้แต่นกเธอก็ไม่เว้น กินไข่ไม่เป็นไร ยังกินลูกนกด้วย กินพ่อนกแม่นกด้วย ฉันใด นิสัยนี่มันละไม่ได้ มาชาตินี้ก็เช่นเดียวกันเธอก็ยังมีนิสัยเลวตามนั้น หมายความว่า หลังจากนั้นมา โพธิราชกุมาร ก็ตั้งใจจะสร้างปราสาทสักหลังหนึ่ง ถ้ามองดูจากที่ไกลจะเห็นว่าเหมือนลอยอยู่ในอากาศ จึงหาช่างมา ได้แล้วช่างก็ลงมือทำงาน เธอก็ปรึกษากับเพื่อนว่า ถ้าปราสาทนี้เสร็จเราจะฆ่าช่างเสีย พอดีเพื่อนที่เป็นเจ้าด้วยกันทราบความก็มาบอกกับนายช่าง บอกว่าถ้าโพธิราชมาถามจงอย่าบอกว่าเสร็จนะ ถ้าบอกว่าเสร็จเมื่อไรเธอตายเมื่อนั้น ทั้งนี้เพราะโพธิราชเป็นคนเห็นแก่ตัว อยากจะดีอยากจะเด่นกว่าคนอื่น ถ้าเธอสร้างปราสาทหลังนี้เสร็จมองจากที่ไกลจะเห็นว่าดูเหมือนลอยอยู่ในอากาศ ก็เกรงว่าเธอจะไปสร้างให้คนอื่นอีก นายช่างก็รับทราบ ต่อมาโพธิราชกุมารก็ไปถามเรื่อย ๆ ว่าช่างเสร็จหรือยัง ช่างเสร็จหรือยัง บอกว่ายังไม่เสร็จ ต่อมาเมื่ออาคารเสร็จเรียบร้อยแล้ว นายช่างก็คิดว่า ถ้าเราบอกว่าเสร็จ เราก็ตาย จะหาอุบายใหม่ จะทำหงส์ยนต์ จึงบอกกับโพธิราชกุมารว่า ต่อนี้ไปต้องการไม้เบา ๆ ขอให้คนหาไม้แห้ง ๆ และเบา ๆ มาให้ และการทำอย่างนี้เป็นการทำที่ละเอียดอย่างยิ่งขออย่าให้มีคนเข้ามานอกจากข้าพุทธเจ้าจะบอกต้องการใคร พระองค์เองก็อย่าเสด็จเข้ามา เพราะเกี่ยวกับการใช้สมองมาก ต้องคิดมาก ถ้าพลาดนิดเดียวจะไม่สำเร็จ ถ้าเขาถามว่าจะทำอะไร บอกว่า จะนำหงส์เกาะไว้บนหลังคาเป็นพิเศษ ซึ่งจะไม่มีใครทำได้เลย

โพธิราชกุมาร ก็ชอบใจ สั่งให้เจ้าหน้าที่หาไม้แห้ง ๆ เบา ๆ มาให้ เขาก็พยายามทำหงส์ยนต์ หงส์ยนต์ก็ไม่เหมือนเครื่องบินเครื่องบินมีเครื่องยนต์ นี่เป็นไม้ ทำเครื่องยนต์ไม่ได้ ต้องชักโยก พอโยกไปโยกมา ปีกก็จะกระพือบินไปในอากาศ เมื่อทำเสร็จ เขาก็บอกโพธิราชกุมารว่า จวนจะเสร็จแล้ว แต่ยังไม่เสร็จ ต่อนี้ไปก็มีความสำคัญ ขอให้ครอบครัวของข้าพุทธเจ้านำของกินของใช้มาด้วย เข้ามาในนี้เฉพาะครอบครัว คนอื่นเข้ามาไม่ได้ เพราะมีงานที่จำเป็นจะต้องช่วยกันเพราะลูกเต้าก็เป็นช่าง งานละเอียดมากทำคนเดียวไม่ไหว ในเมื่อครอบครัวเข้ามาแล้ว นำอาหารเสบียงกรังเข้ามาเสร็จเตรียมหนี ก็ให้เข้าไปนั่งอยู่ในห้องหงส์ยนต์หนีออกไปในอากาศ หงส์บินไปในอากาศไปลงที่หิมวันตประเทศ ในหิมวันตประเทศเวลานั้นมีคนเป็นกลุ่ม ๆ อยู่มีหัวหน้ากลุ่ม แต่ทว่าไม่มีกษัตริย์เห็นนายช่างมีบุญมาก สามารถนั่งหงส์ยนต์ได้ ทำหงส์ยนต์ได้เหาะไปในอากาศแล้วก็ลงมา ก็คิดว่าคนนี้มีบุญมากก็ยกย่องให้เป็นกษัตริย์ ในหิมวันตประเทศ


IP : บันทึกการเข้า
ClassicHome
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 14 ธันวาคม 2011, 01:28:49 »

นี่ละบรรดาพุทธบริษัท คำว่า นิสัยน่ะมันทิ้งไม่ได้ กิเลสสามารถละได้แต่นิสัยละไม่ได้ นิสัยโพธิราชกุมารเมื่อสมัยชาติก่อนเป็นคนมีนิสัยเลวฉันใด เห็นแก่ตัว กินไข่นก กินลูกนก กินพ่อนกแม่นก ชาตินี้ก็เช่นเดียวกัน ให้นายช่างทำงานแล้วก็จะฆ่าช่างเกรงว่าจะไปทำให้แก่คนอื่น บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายขึ้นชื่อว่า กฏของกรรม เวลายังเหลืออยู่ก็พูดถึงกฎของกรรมต่อไป จะมาคุยกันถึงเรื่องของคนขอทาน คือ สุปปพุทธกุฏฐิ สมัยชาติก่อนเป็นอย่างไรปล่อยไว้ก่อนนะเอาชาตินี้ก็แล้วกัน ชาตินี้เธอเกิดมาเป็นขอทานด้วยเป็นโรคเรื้อนด้วย วันหนึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นนิสัยของสุปปพุทธกุฏฐิว่าจะเป็นโสดาบัน ก็ทราบว่าเธอจะไปขอทานตามเส้นทางนั้น จึงเสด็จไปประทับอยู่ระหว่างทาง มีคนไปเฝ้ามาก พระองค์ทรงเทศน์ เวลานั้นก็เป็นเวลาพอดีที่สุปปพุทธกุฏฐิไปเพื่อจะขอทานพอดี เห็นองค์สมเด็จพระชินสีห์เทศน์ ก็นั่งอยู่ห่าง ๆ คน สมเด็จพระทศพลก็ทรงบันดาลให้เสียงของพระองค์ฟังชัด เมื่อฟังเทศน์จบ เธอก็เป็นพระโสดาบัน

พระพุทธเจ้าก็เสด็จกลับ คนอื่นก็กลับ สุปปพุทธกุฏฐิก็กลับ สุปปพุทธน่ะเป็นชื่อ กุฏฐิ แปลว่า โรคเรื้อน ขอท่านที่มีโรคเรื้อนขอได้โปรดทราบว่าเวลาพูดนี่ไม่มีหนังสือมาหรอกนะเอาแค่ความจำ เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วเธอก็มีความคิดว่า วันนี้เธอฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า เราเป็นพระโสดาบัน ถ้าพระพุทธเจ้าทรงทราบว่าคนอย่างเรา ๑เป็นขอทานด้วย ๑เป็นโรคเรื้อนด้วย ได้เป็นพระโสดาบัน พระพุทธเจ้าคงจะดีใจมาก ก็ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะไปกราบทูลให้ทรงทราบว่าตนเองเป็นพระโสดาบัน ขณะที่ออกจากบ้าน จากที่อยู่ ขอทานนี่ที่อยู่ไม่ใหญ่โตนักก็เดินไป ระหว่างทางพระอินทร์อยากจะลองใจ จะลองดูว่า สุปปพุทธกุฏฐิ นี่จะเป็นพระโสดาบันจริงหรือไม่ ก็ลองลงมาขวางหน้าในภาพของพระอินทร์ชัดไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จึงถามว่า สุปปะขี้เรื้อน ถามว่า สุปปพุทธกุฏฐิ เธอจะไปไหน เธอก็บอกว่าฉันจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระอินทร์ถามว่า เธอจะไปเฝ้าทำไม สุปปพุทธกุฏฐิก็บอกว่า จะไปกราบทูลให้ทรงทราบว่าเมื่อวานฉันได้ฟังเทศน์จากท่าน เวลานี้ฉันได้พระโสดาบันแล้ว และองค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงทราบจะได้ดีใจว่าคนเป็นโรคเรื้อนด้วย เป็นขอทานด้วย ฟังเทศน์แล้วเป็นพระโสดาบัน พระอินทร์อยากจะลองใจก็ถามว่า สุปปพุทธกุฏฐิ เธอน่ะเป็นพระโสดาบันแน่รึ เขาก็ตอบว่าแน่ ถ้าแน่หรือไม่แน่ลองอย่างนี้ก็แล้วกันนะ เวลานี้เธอเป็นขอทาน มีความยากจนมาก เช้าก็ต้องไปขอทาน เย็นก็กลับ เช้าก็ต้องไปขอทาน เย็นก็กลับ ประการที่ ๒ เธอก็เป็นโรคเรื้อน คันทั้งตัวเจ็บทั้งตัว เป็นที่รังเกียจของคน ถ้าเธอพูดตามฉันพูด พูดเฉย ๆ ก็ได้โดยไม่ต้องตั้งใจ สุปปพุทธกุฏฐิก็ถามว่าจะให้พูดอย่างไร

พระอินทร์ก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก่อน ถ้าเธอพูดตามฉันพูดจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ได้ ไม่บังคับ เมื่อพูดจบฉันจะบันดาลให้โรคเรื้อนเธอหาย มีร่างกายสวย และจะบันดาลทรัพย์ให้หล่นมาจากอากาศ เธอจะเป็นมหาเศรษฐีในวันนี้ สุปปพุทธกุฏฐิก็ดีใจถามว่า จะให้พูดอย่างไร พระอินทร์ก็บอกว่า พูดเฉย ๆ นะ
๑. พระพุทธเจ้า ไม่ใช่พระพุทธเจ้า
๒. พระธรรม ไม่ใช่พระธรรม
๓. พระสงฆ์ ไม่ใช่พระสงฆ์
IP : บันทึกการเข้า
ClassicHome
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 14 ธันวาคม 2011, 01:31:26 »



เอาแค่นี้แหละ พูดเฉย ๆ ไม่ตั้งใจก็ได้ สุปปพุทธฟังแล้วก็ไม่พอใจ เพราะพระโสดาบันยังมีความโกรธ ก็ชี้หน้าว่า พระอินทร์ถ่อยจงถอยไป ทำไมจึงมาแนะนำถ้อยคำจังไรแบบนี้ ตามธรรมดาพระโสดาบันนี่เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์จริง ไม่สงสัยและมีศีล ๕ บริสุทธิ์ จงถอยไป ท่านบอกว่าเราคนจน เราจนแต่เพียงโลกีย์ทรัพย์ แต่อริยทรัพย์ของเรามีมาก ถึงแม้ว่าเราจะเป็นโรคเรื้อนก็ไม่มีความหมาย ร่างกายไม่มีความหมาย ต่อไปเราจะมีความสุข มีสวรรค์เป็นที่ไป เมื่อพระอินทร์ลองแบบนี้แล้วฟังแบบนี้แล้วก็มีความมั่นใจว่า สุปปพุทธกุฏฐิเป็นพระโสดาบันแน่ ท่านก็หายไป สุปปพุทธกุฏฐิก็ตั้งใจจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่ไปไม่ทันถึง บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเพราะว่า สุปปุทธกุฏฐิ ผู้ที่สร้างกรรมชั่วไว้มาก ๑๐๐ ชาติที่ผ่านมา ใน ๑๐๐ ชาติที่ผ่านมา สุปปพุทธกุฏฐิเป็นลูกมหาเศรษฐีพร้อมกันเพื่อนอีก ๓ คน นำหญิงโสเภณีเข้าไปในป่า จ้างเธอว่าถ้าเธอบริการฉันตลอดวัน ฉันจะให้เงินเธอหนึ่งพัน กหาปนะ คำว่า กหาปนะในสมัยนั้นเท่ากับ ๔ บาท หรือหนึ่งตำลึง หนึ่งพันกหาปนะเท่ากับสี่พันตำลึง ถ้าเทียบกับเงินสมัยนี้ก็เป็นล้าน หญิงนั้นก็ยอม เธอเป็นโสเภณีอยู่แล้ว ในเมื่อจะได้สตางค์มาก ๆ เธอก็ยอม ในเมื่อกิจการสำเร็จก็ถึงตอนเย็น คนสี่คนก็มาปรึกษากันว่าในที่นี้ไม่มีใคร ในป่าชัฏ เงินที่เราให้หญิงโสเภณีนี้ หนึ่งพันกหาปนะเราจะเอาคืนมา และเครื่องประดับที่ให้เธอและที่เธอมีอยู่ เราก็จะเอา แล้วต่างคนต่างช่วยกันฆ่าเธอให้ตาย การปรึกษานี้หญิงคนนั้นได้ยิน จึงมีความคิดว่าชาย ๔ คนนี่เลวมาก ให้เราบริการความสุขของเธอสิ้นเวลาตลอดวันและยังให้เงินพันกหาปนะจะเอาคืนด้วย จะเอาเครื่องประดับคืนด้วย และจะฆ่าเราให้ตาย ถ้าเธอฆ่าเรา เราจะรู้กฎของกรรมที่ทำกับเธอ ฉะนั้นเมื่อเขาตกลงกันเสร็จ เขาจึงลงมือฆ่าหญิงโสเภณีคนนั้น

ขณะที่เขากำลังฆ่าอยู่ หญิงโสเภณี มีความรู้สึกว่า ถ้ายักษิณีมีจริง ขอเราจงไปเกิดเป็นนางยักษิณี แล้วฆ่าชายทั้ง ๔ คนนี้ทุกชาติที่เกิดเป็นอันว่า สุปปพุทธกุฏฐิไปเฝ้าพระพุทธเจ้าคราวนั้นก็ไม่ทันจะถึงถูกนางยักษิณีแปลงเป็นวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตาย เมื่อเขาตายไปแล้วข่าวก็ไปถึงองค์สมเด็จพระประทีปแก้วและพระสงฆ์ทั้งหลาย พระสงฆ์ก็กราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ อยากทราบว่า ผลของการที่สุปปพุทธกุฏฐิเป็นพระโสดาบันเป็นอย่างไรพระพุทธเจ้าข้าเมื่อตายไปแล้ว พระพุทธเจ้าก็ตอบว่า อาศัยที่เขาเป็นพระโสดาบัน เวลานี้เขาไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า ๑ พันเป็นบริวาร พระก็ถามว่า เพราะกรรมอะไรเขาจึงเป็นโรคเรื้อน พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า เพราะอาศัยที่เขาเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งท่านเป็นโรคเรื้อน ก็ถ่มน้ำลาย แสดงความรังเกียจ เขาจึงเป็นโรคเรื้อนตลอด ๑๐๐ ชาติ เขาถูกนางยักษิณีฆ่าอย่างนี้สิ้น ๑๐๐ ชาติแล้วนะ ทุกชาติที่เขาเกิดมานางยักษิณีก็แปลงเป็นวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตายทั้ง ๑๐๐ ชาติที่ผ่านมา

พระถามต่อว่า อาศัยกฎของกรรมเดิมของเขาที่ทำไว้เขาจะพ้นกฎของกรรมไหม พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ในเมื่อเขาเป็นพระโสดาบัน กรรมใด ๆ ที่จะให้ผลในอุบายภูมิย่อมไม่มีอีก หมายความว่า นางยักษิณีก็ฆ่าสุปปพุทธกุฏฐิกับเพื่อนได้ ๑๐๐ ชาติ จากชาตินี้ไปแล้วก็หมดกันเป็นอันว่า เขาเป็นพระโสดาบันแล้วก็พ้น นี่แหละบรรดาญาติโยมพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย เสียงก็ไม่ดี มันเหนื่อยมาก ยังไม่สบาย แต่ว่าชื่อว่ากฎของกรรมนิดหน่อยอย่าเพิ่งคิดว่าเล็กน้อย มันย่อมให้ผลทุกอย่าง กรรมดีก็ให้ผลดี เขาเป็นพระโสดาบันเขาเป็นเทวดา กรรมชั่วที่ทำมาก็ถูกนางยักษิณีขวิดแปลงเป็นวันแม่ลูกอ่อนขวิดตาย ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกันเวลานี้เรากำลังจะทำกรรมดี คือ สนับสนุนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ร่วมทานกับท่าน ท่านทำที่ไหนเราไปไม่ได้ก็ฝากเงินไปกับท่าน กรรมทั้งหลายที่เป็นกรรมดีทั้งหมดจะปรากฏกับเราต่อไปในภายหน้า

ท่านทั้งหลาย เวลาหมดแล้วขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี



อนุโมทนาที่มา http://board.palungjit.com/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 14 ธันวาคม 2011, 01:33:57 โดย ClassicHome » IP : บันทึกการเข้า
nantong
ปั๋น กั๋นฮู้ แล้วก่อยเอาไปกึ๊ดอ่าน กั๋น แหมกำ อาจมีผิดถูก ฯ
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,579



« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 21 พฤศจิกายน 2012, 20:46:49 »




สาธุ ๆ ๆ อนุโมทามิ  บุญใด ที่ข้าพ์พึงมี  พึงได้ จากการได้มาอ่าน มาศึกษานี้ ฯ 
จงมีแด่ ผู้ตั้งกระทู้ ผู้เกี่ยวข้อง ญาติธรรม ญาติ  มิตร มนุษย์  อมนุษย์ ผู้ต้องการในส่วนบุญกุศลอานิสงส์  แห่ง  ธรรมทาน  นี้ด้วยเถิด  พระเจ้าข้า ฯ



หาก มีเทพยดา มารับรู้  มา อนุโมทนา  ด้วย กับ ข้าพเจ้า ๆ ก็ขอท่านจง นำเอาบุญกุศล นี้ ไปบอกกล่าว แก่ ผู้ที่ยังไม่ทราบ ไม่รู้  ได้ร่วมอนุโมทนา  สาธุการ  ด้วย ต่อ ๆกันไป โดยทั่วกัน  เทอญ

ข้าพเจ้า  ก็ ขอมอบคุณงาม  ความดีใด  ๆ ของข้าพเจ้า ให้เทพยดา ที่ทำหน้าที่ช่วยบอกข่าวบุญ นี้ ได้มีได้รับอานิสงส์ ผลบุญ ดั่ง ที่ข้าพเจ้า จักพึงได้รับด้วย.....
 


ไหว้สา  ครับ




IP : บันทึกการเข้า

หนานขี้อู้หำยาน : นายจิราวัฒน์  โสรัจพงศ์เกษม / หนานธง   อีเมล : k e n g k a b h e n g @ g m a i l . c o m    มือถือ  081 777  51 76
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!