สินค้าเกษตรขึ้นราคายกแผงธ.ค.นี้ ตลาดส่งออกฉลุย5กลุ่ม"ข้าว-มัน-ไก่-กุ้ง-ปาล์ม"
................................สินค้าเกษตรได้เฮหลังน้ำลด ดีเดย์ธันวาคมนี้ราคาขายตบเท้าปรับสูงขึ้นทั้ง 7 ชนิด "ข้าว-มัน-ไก่-กุ้ง-ข้าวโพด-ปาล์มน้ำมัน" ลุ้น "อ้อย" ตกขบวนอยู่ชนิดเดียว
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร และศูนย์วิจัยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกันรายงานว่า ได้วิเคราะห์แนวโน้มราคาสินค้าเกษตรสำคัญ ช่วงเดือนธันวาคมนี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า สินค้า 8 ชนิด และจะเพิ่ม 7 ชนิด ลดลงเพียงชนิดเดียว ประกอบด้วยสินค้าเกษตรที่ราคาจะสูงขึ้น ได้แก่ ชนิดแรก ข้าวเปลือกรับจำนำ หลังจากผลผลิตเสียหายจากอุทกภัยน้ำท่วมกว่า 10 ล้านไร่ แต่ทาง ธ.ก.ส.ได้ออกใบประทวนให้เกษตรกรผู้นำข้าวเปลือกมาจำนำกับธนาคารแล้วกว่า 1.19 แสนราย รวมทั้งประเทศมีปริมาณข้าวรวม 868,316 ตัน แบ่งเป็นข้าวเจ้า 6.9 แสนตัน ข้าวปทุมธานี 4,426 ตัน ข้าวหอมจังหวัด 6,813 ตัน จากจุดรับจำนำทั้งสิ้น 542 แห่ง
รวมทั้งยังจะส่งผลดีต่อการส่งออกข้าวโดยรวมระหว่างมกราคม-พฤศจิกายน 2554 ทำได้ถึง 9.98 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมาถึง 30.48% เมื่อเทียบกับคู่แข่งเวียดนามส่งออกได้เพียง 6.55 ล้านตัน
ชนิดที่ 2 ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จะเพิ่มขึ้นจากผลผลิตเสียหายจนปริมาณสินค้าเหลือน้อยลงกว่าความต้องการของผู้ใช้ หลังจากราคาขายเฉลี่ยเมื่อเดือนพฤศจิกายนทำได้ถึงกิโลกรัมละ 8.29 บาท เพิ่มขึ้น 9.98% ปัจจัยหลักมาจากพื้นที่เพาะปลูกเสียหาย เส้นทางขนส่งมีปัญหา และพ่อค้าจาก สปป.ลาว กัมพูชา มีผลผลิตน้อยลง
ชนิดที่ 3 มันสำปะหลัง จะเพิ่มขึ้นจากผลผลิตเข้าสู่ตลาดลดลง หลังจากราคาขายเฉลี่ยเมื่อเดือนพฤศจิกายนทำได้กิโลกรัมละ 2.28 บาท เพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ 26.67% สาเหตุมาจาก มีสินค้าป้อนเข้าโรงงานน้อย และเกษตรกรบางส่วนชะลอดูราคาเพราะมีความหวังให้รัฐบาลจะแทรกแซงตลาดช่วงลานมันเปิด ส่วนพื้นที่เพาะปลูกน้ำท่วมไปก่อนหน้านี้ 1.77 แสนไร่ ผลผลิตหายไป 5.64 แสนตัน
ชนิดที่ 4 ปาล์มน้ำมัน ราคาจะยังคงเพิ่มต่อเนื่อง ตามรายงานของกรมวิชาการเกษตรระบุว่า ขณะนี้พื้นที่แถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยเริ่มปลูกปาล์มได้ถึง 1 แสนไร่ ผนวกกับความต้องการอนาคตเพิ่มขึ้น และในตลาดโลกปริมาณส่งออกลง เช่น อินโดนีเซีย กันไว้ใช้บริโภคในประเทศ 15% ส่วนผู้นำอย่างปากีสถานกลับต้องการเพิ่มขึ้นจากอินโดนีเซียถึง 35% แต่ทำไม่ได้จึงต้องหันนำเข้าจากประเทศอื่น
ชนิดที่ 5 ยางพารา จะเพิ่มด้วยเช่นกัน ซึ่งอยู่ระหว่างรอมาตรการแทรกแซงจากภาครัฐเข้าซื้อจากเกษตรกร โดยภาพรวมเมื่อเดือนพฤศจิกายนขายเฉลี่ยกิโลกรัมละ 89.1 บาท ลดลง 21.6% เป็นผลมาจากเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและยุโรปถดถอย ผู้ใช้ลดความต้องการลง แต่ทางสภาความร่วมมือด้านยางพาราระหว่างประเทศ (ITRC) มีไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก เดินหน้าออกแถลงการณ์แทรกแซงราคาต่อไปเพื่อให้สอดคล้องกับฤดูกาลผลิต
ชนิดที่ 6 ไก่เนื้อ จะเพิ่มจากความต้องการบริโภคในกรุงเทพฯและปริมณฑลมากขึ้นหลังน้ำท่วมลดลง หลังจากเมื่อเดือนพฤศจิกายนขายเฉลี่ยกิโลกรัมละ 46.05 บาท เพิ่มขึ้น 1.03%
ชนิดที่ 7 กุ้งแวนนาไม ผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพราะพื้นที่เสียหายไป 4.9 หมื่นไร่ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ราคาขยับสูงถึงกิโลกรัมละ 140 บาท เพิ่ม 5.38% สถานการณ์ช่วงปลายปีนี้เป็นต้นไปตลาดต่างประเทศต้องการสั่งเพิ่มเพื่อไปใช้ในเทศกาล ต่าง ๆ รวมทั้งอินโดนีเซีย ผู้ส่งออกรายใหญ่ยังไม่ฟื้นจากโรคไวรัสกล้ามเนื้อขุ่น จึงเป็นโอกาสของไทยที่จะส่งออกเพิ่มขึ้น
และสินค้าเกษตรมีแนวโน้มราคาช่วงธันวาคมนี้ลดลงชนิดเดียวคือ อ้อย โรงงานน้ำตาลทรายดิบในตลาดนิวยอร์กจะลดลง ต่อเนื่องจากสถานการณ์ราคาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2554 ที่จะส่งมอบเดือนมีนาคม 2555 น้ำตาลดิบในตลาดโลกขายกิโลกรัมละ 16 บาท ลดลงจากเดือนที่ผ่านมาถึง 15.48% หลังจากเจอกระแสของบราซิลประกาศในอีก 12 เดือนข้างหน้า จะมีปริมาณน้ำตาลเกินดุล 7-8 ล้านตัน มีผลต่อราคาน้ำตาลทรายดิบในตลาดล่วงหน้าฉุดราคาต่ำลง
ที่มา
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1323396595&grpid=00&catid=&subcatid=
หน้าหลักเว็บไซต์
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."
ผู้เขียน
