เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 29 กรกฎาคม 2025, 18:05:57
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  แพทย์เตือน! ฉีดกลูตาฯ เสี่ยงบอด-มะเร็งผิว
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน แพทย์เตือน! ฉีดกลูตาฯ เสี่ยงบอด-มะเร็งผิว  (อ่าน 481 ครั้ง)
[T][o][d]SaPhon
My name's Todsaphon
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,064

พื้นที่ส่วนบุคคล


« เมื่อ: วันที่ 13 ธันวาคม 2011, 16:25:22 »

แพทย์เตือน! ฉีดกลูตาฯ เสี่ยงบอด-มะเร็งผิว

ฮิตเกาหลีฉีดกลูตาฯ เสี่ยงบอด-มะเร็งผิว (ไทยโพสต์)


           "แพทย์ผิวหนัง" เตือนวัยรุ่น กะเทย นิยมฉีดกลูตาไธโอนบ่อย ๆ หวังผิวขาวสวย-หล่อเหมือนดาราเกาหลี มีสิทธิ์ตาบอด หรือเป็นมะเร็งผิวหนังได้ เผยปกติใช้สารนี้กับผู้ป่วยโรคตับอักเสบ เพราะมีคุณสมบัติขับสารพิษในร่างกาย แต่ไม่ได้ให้ใช้กับคนปกติ แนะให้ออกกำลังกาย กินผักผลไม้ที่มีรสไม่หวานมาก ดื่มน้ำสะอาด และใช้ครีมบำรุงผิวที่มีสารกันแดด จะช่วยบำรุงผิวให้สวยงามตามธรรมชาติ 

           เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2554 นพ.จิโรจ สินธวานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ปัจจุบันพบวัยรุ่นไทยทั้งชาย-หญิง และเพศที่สามอายุประมาณ 14 ปี นิยมฉีดผิวด้วยกลูตาไธโอนเพื่อทำให้ผิวขาวเหมือนดาราเกาหลีกันมากขึ้น แม้ที่ผ่านมาจะมีคำเตือนจากแพทย์ผิวหนังถึงอันตรายจากการใช้สารดังกล่าวก็ตาม ซึ่งเป็นเรื่องที่มีอันตรายต่อตัวเอง  โดยเฉพาะผลในอนาคตที่อาจจะเกิดตามมา เพราะโดยทั่วไปเม็ดสีผิวของคนเราต่างกัน

           นพ.จิโรจกล่าวต่อว่า โดยทั่วไปวงการแพทย์จะใช้กลูตาไธโอนรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาตับอักเสบ เนื่องจากกลูตาไธโอนเป็นสารโปรตีนเบื้องต้น ช่วยเพิ่มการทำงานของตับในการฟอกพิษ ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ซึ่งเมื่อเซลล์ตับมีการฟอกสารพิษแล้ว เนื้อเยื่อก็อาจมีการบาดเจ็บ สึกหรอ ดังนั้นตัวสารดังกล่าวก็จะเป็นตัวช่วยในการซ่อมแซมฟื้นฟูสภาพของเนื้อเยื่อตับและช่วยให้มีภูมิต้านทานดีขึ้นด้วย การใช้ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้เชี่ยวชาญ และใช้ยาเป็นช่วงๆ ไม่ใช้ติดต่อกัน กรณีของการนำกลูตาไธโอนไปฉีดเพื่อให้ผิวขาวนั้นถือว่าเป็นการประยุกต์ใช้ขึ้นมาเอง เนื่องจากคุณสมบัติรองของกลูตาไธโอนสามารถยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว หรือที่เรียกว่า เมลานิน (Melanin) จึงมีการนำสารชนิดนี้ไปใช้ในการดูแลผิว

           "กลูตาไธโอนที่ฉีดให้บริการวัยรุ่นเป็นของลอกเลียนแบบที่ผลิตในประเทศอื่นๆ โดยพิมพ์ว่าผลิตในอิตาลีเช่นเดียวกันกับที่วงการแพทย์นำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคตับ จึงเกิดปัญหาความบริสุทธิ์ของยา ดังนั้นจึงต้องมีการเฝ้าระวังวัยรุ่นไทยจะได้รับผลกระทบจากกระแสการฉีดสารดังกล่าว" นพ.จิโรจ กล่าว และว่า การใช้สารเพื่อทำให้ผิวขาวจะมีผลเพียงชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น เมื่อสารหมดฤทธิ์ผิวก็จะกลับมามีสีเหมือนเดิมอีก ดังนั้นหากวัยรุ่นหรือประชาชนต้องการให้มีผิวพรรณดี ขอให้ดูแลรักษาร่างกายให้สะอาด กินอาหารที่มีประโยชน์ เพิ่มการกินผักและผลไม้ที่รสไม่หวานมาก ให้ได้วันละครึ่งกิโลกรัม  ออกกำลังกายทุกวันอย่างน้อยวันละ 30 นาที และดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ  8 แก้ว และถ้ามีความต้องการดูแลผิวให้สุขภาพดีด้วยสามารถใช้ครีมบำรุงที่ผสมสารกันแดด เพราะแสงแดดก็เป็นตัวการทำลายผิวได้

           นพ.จิโรจกล่าวต่ออีกว่า ประเด็นที่น่าวิตกก็คือปริมาณการฉีดเข้าร่างกายที่เกินขนาด 2-3 เท่าตัว ซึ่งจะทำให้เกิดผลเสียกับสุขภาพ คือจะทำให้เม็ดสีผิวลดลง ซึ่งเม็ดสีผิวของคนเราสร้างมาจากเซลล์สร้างเม็ดสี (เมลาโนไซท์) ในผิวหนัง มีประโยชน์เหมือนแผ่นกรองแสง ทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระ หากใช้ไปมาก ๆ  และใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้เม็ดสีผิวลดลง ภูมิต้านทานของผิวจะลดลง  เกิดการระคายเคืองแพ้แสงแดดได้ง่ายขึ้น เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหน้าได้  นอกจากนี้ยังอาจเกิดผลกระทบต่อจอตาโดยตรง ซึ่งมีหน้าที่รับแสงในการมองเห็น ทำให้จอประสาทตาอักเสบได้ง่าย และหากเกิดการอักเสบบ่อย ๆ อาจถึงขั้นตาบอดได้

           ทั้งนี้ หน่วยงานด้านสาธารณสุขไม่ว่าจะเป็น สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แพทยสภา ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ ยังไม่รับรองความปลอดภัยของการฉีดกลูตาไธโอนเพื่อทำให้ผิวขาวแต่อย่างใด เนื่องจากต้องคำนึงถึงผลเสียในระยะยาวที่ยังไม่มีการประเมินได้ชัดเจน ส่วนกลูตาไธโอนชนิดใช้รับประทานนั้น ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ขึ้นทะเบียนรับรอง โดยอนุญาตให้ใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งมีผลต่อสุขภาพน้อยกว่า แต่หากกินนาน ๆ ก็อาจรบกวนการทำงานของไตได้เช่นกัน


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
IP : บันทึกการเข้า
recycle.j
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 331


www.legend95.com


« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 13 ธันวาคม 2011, 16:28:31 »

อันตรายจริงๆ
IP : บันทึกการเข้า

หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!