เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 05 พฤศจิกายน 2025, 03:22:16
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ห้องนั่งเล่น
| | |-+  บะหมี่น้ำหนึ่งชาม‏
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน บะหมี่น้ำหนึ่งชาม‏  (อ่าน 789 ครั้ง)
Love Never Dies.
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,820


ตีกันกูป่วย แต่ถ้ากินเหล้า บอกกูด้วย ถึงป่วยกูก็จะไป


« เมื่อ: วันที่ 07 พฤศจิกายน 2011, 23:13:59 »

 

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีที่แล้ว วันที่ 31 ธันวาคม 2528

ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ที่ร้านบะหมี่ " ฮอกไก " บนถนนซัปโปโร

การกินบะหมี่โซบะในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้นเป็นประเพณีของชาวญี่ปุ่น

ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ร้านบะหมี่ขายดีในวันสิ้นปี "ร้านฮอกไก" นี้ก็เช่นกัน ในวันนี้คน

แน่นร้านแทบทั้งวัน จนกระทั่งถึงเวลา 22.00 น. คนก็เริ่มน้อยลง โดยปกติแล้วบน

ถนนสายนี้คนจะแน่นขนัดไปจนถึงเช้าตรู่

แต่วันนี้ทุกคนจะต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปต้อนรับปีใหม่กัน ดังนั้นถนนสายนี้จึงปิดร้าน

เร็วกว่าปกติ เถ้าแก่ของร้าน "ฮอกไก" เป็นคนซื่อ และเถ้าแก่เนี้ยก็เป็นคนอัธยาศัยใจ

คอดี ในคืนวันส่งท้ายปีเก่า พอลูกค้าคนสุดท้ายกลับไปในขณะเถ้าแก่เนี้ยก็จะปิดร้าน

ประตูร้านก็ถูกเปิดออกอย่างเบา ๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งพาเด็กชายสองคน

คนหนึ่งประมาณ 6 ขวบกับอีกคนหนึ่งประมาณ 10 ขวบเข้ามาในร้าน

เด็กชายทั้งสองคนสวมชุดกีฬาใหม่เอี่ยมเหมือนกันทั้งสองคน

ส่วนหญิงคนนั้นสวมโอเวอร์โค้ทลายสก๊อตเก่า ๆ เชย ๆ

"เชิญนั่งครับ" เถ้าแก่ร้องทักทายออกมา

หญิงคนนั้นเอ่ยปากอย่างขลาดกลัวว่า

"ขอบะหมี่น้ำสักชามได้ไหมค๊ะ"

เด็กชายสองคนที่อยู่ข้างหลังสบตากันอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก

"ได้ค่ะ ได้ค่ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะค่ะ เชิญนั่งก่อนค่ะ"

เถ้าแก่เนี้ยพาพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะเบอร์สองชิดกำแพง

แล้วตะโกนบอกไปทางห้องครัวว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"

บะหมี่หนึ่งชามมีบะหมี่แค่หนึ่งก้อน เถ้าแก่คิดแล้วก็ใส่บะหมี่

เพิ่มไปอีกครึ่งก้อน ต้มบะหมี่ได้ชามเบ้อเริ่ม

ทั้งเถ้าแก่เนี้ยและสามแม่ลูกต่างก็ไม่รู้เรื่อง

สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย

กินพลางพูดพลาง

"ทานเถอะครับ" ลูกคนพี่พูด

"แม่ทานหน่อยสิครับ"ลูกคนน้องพูดไปก็คีบบะหมี่ให้แม่กิน

ไม่นานก็กินบะหมี่หมดชาม จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน

แล้วทั้งสามคนก็ชมว่า

"ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) บะหมี่อร่อยมากค่ะ(ครับ)"

พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อยแล้วลาจากไป

"ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"

ทั้งเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยต่างก็กล่าวขอบคุณ

ทำงานไปวันแล้ววันเล่ายุ่งตั้งแต่เช้าจรดเย็น และแล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี

วันที่ 31 ธันวาคมก็เวียนมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง ในวันส่งท้ายปีเก่า

ร้านบะหมี่ "ฮอกไก" ก็ยังคงขายดีและดูเหมือนจะขายดีกว่าปีที่ผ่านมา

สองตายายยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้าขาย และแล้ววันที่วุ่นวายก็จบสิ้นลง

22.00น.กว่า ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้านอยู่นั้น

ประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ ผู้ที่เข้ามาก็คือหญิงวัยกลางคนกับเด็กชายสองคน

พอเห็นเสื้อโอเวอร์โค้ทที่เก่า และเชย

เถ้าแก่เนี้ยก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นลูกค้าคนสุดท้ายในวันส่งท้ายปีเก่าของปีที่แล้วนั่นเอง

"ขอบะหมี่น้ำหนึ่งชามได้มั๊ยคะ"

"ได้ค่ะ ได้ค่ะ เชิญนั่งตามสบายนะคะ"

เถ้าแก่เนี้ยนำพวกเขาไปนั่งที่เดิมที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้ว โต๊ะเบอร์สอง

ตะโกนไปพลางว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม" เถ้าแก่รับคำพลาง

จุดเตาที่เพิ่งจะดับไปพลาง "ได้ครับ บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"

เถ้าแก่เนี้ยแอบไปพูดที่ข้างหูของเถ้าแก่ว่า

"นี่ตาแก่ ต้มบะหมี่ให้พวกเขาสามชามไม่ได้หรือ"

"ไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้พวกเขาอายและไม่สบายใจได้รู้มั๊ย"

สามีตอบพลาง แล้วโยนบะหมี่อีกครึ่งก้อนลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดพล่าน

เดินไปยืนข้างภรรยาแล้วก็ยิ้ม ภรรยาก็พูดขึ้นว่า

"เห็นเธอซื่อ ๆ ทึ่ม ๆ ไม่นึกเลยว่าจิตใจก็ดีเหมือนกันนะ"

ฝ่ายสามีเดินไปตักบะหมี่ชามใหญ่ที่กลิ่นหอมชวนกินชามนั้นแล้วให้ภรรยายกไปให้สาม

แม่ลูก สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่ กินไปพลางคุยไปพลาง

เสียงคุยของสามแม่ลูกดังถึงหูของตายาย

"หอมจังเลย…ยอดไปเลย…อร่อยจริง ๆ "

"ปีนี้สามารถกินบะหมี่ของร้านฮอกไกได้ นับว่าไม่เลวทีเดียว"

"ถ้าปีหน้าสามารถมากินได้อีกก็ดีนะสิ"

กินเสร็จก็จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน

แล้วสามแม่ลูกก็เดินออกจากร้านฮอกไกไป

"ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"

มองตามหลังสามแม่ลูกจนลับหายไป

สองตายายก็ยกเรื่องสามแม่ลูกมาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกไปได้ระยะหนึ่ง

ในวันสิ้นปีของสามปีมานี้ กิจการของร้านฮอกไกดีมาก

สองตายายต่างก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกัน แต่พอเลย 21.00น.ไปแล้ว

สองตายายก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา พอถึง 22.00น.

พนักงานในร้านต่างก็รับอั้งเปาแล้วก็แยกย้ายกันกลับไป

พอคนกลับไปหมดแล้วเจ้าของร้านทั้งสองก็ช่วยกันเอาป้ายราคาบะหมี่ในร้านที่เขียน

ไว้ว่า "บะหมี่ชามละสองร้อยเยน" ที่แขวนไว้ตามผนังทั้งหมดพลิกกลับหลัง

แล้วช่วยกันเขียนใหม่ว่า "บะหมี่ชามละร้อยห้าสิบเยน"

30นาทีก่อนเถ้าแก่เนี้ยก็เอาป้าย "จองแล้ว"

ไปวางไว้บนโต๊ะเบอร์สอง

เหมือนกับว่าจะมีเจตนารอแขกที่ลูกค้าออกจากร้านไปหมดแล้วถึงจะมาอย่างนั้นแหละ

22.30น. ในที่สุดสามแม่ลูกก็ปรากฎตัวขึ้น พี่ชายสวมเครื่องแบบมัธยมของรัฐแห่งหนึ่ง

น้องชายสวมเสื้อแจ๊คเก็ทที่พี่ชายสวมเมื่อปีก่อนดูหลวมและไม่พอดีตัว

เด็กทั้งสองคนโตขึ้นมาก

ส่วนผู้เป็นแม่ก็ยังคงสวมเสื้อโค้ทลายสก๊อตที่ทั้งเก่าและเชยแถมสีซีดตัวเดิม

"เชิญค่ะ เชิญค่ะ"

เถ้าแก่เนี้ยกล่าวทักทายอย่างมีน้ำใจ

มองใบหน้าอันยิ้มแย้มและท่าทางต้อนรับอย่างเต็มที่ของเถ้าแก่เนี้ย

ทำให้ผู้เป็นแม่นั้นเปล่งคำพูดออกมาอย่างงกงกเงิ่นเงิ่นว่า

"รบกวนช่วยทำบะหมี่น้ำให้สักสองชามได้ไหมค่ะ" "ได้ค่ะ เชิญนั่งทางนี้ค่ะ"

เถ้าแก่เนี้ยนำแม่ลูกไปนั่งยังโต๊ะเบอร์สอง

แล้วรีบเอาป้าย"จองแล้ว"ออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แล้วตะโกนบอกไปทางครัวว่า

"บะหมี่น้ำสองชาม"

"ได้ครับ บะหมี่น้ำสองชามได้เดี๋ยวนี้แหละครับ"

เถ้าแก่พลางตอบ พลางโยนบะหมี่ลงไปในหม้อน้ำสามก้อน

สามแม่ลูกกินไปพูดไป

ดูแล้วเหมือนมีความสุขกันมาก

สองสามีภรรยาที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่ได้รับรู้ถึงความสุขที่พวกเขาได้รับกัน

ในใจก็พลอยเบิกบานไปด้วย

"ลูกรัก วันนี้แม่ต้องขอบคุณลูก ๆ เป็นอย่างมาก"

"ขอบคุณ ?"

"ทำไมครับ"

"เรื่องเป็นอย่างนี้

คือคุณพ่อของลูกที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปได้ทำให้คนอีกแปดคนได้รับบาดเจ็บ และทางบริษัทประกันก็ไม่รับผิดชอบในส่วนนั้น

ในช่วงหลายปีมานี่ทำให้เราต้องจ่ายเงินเดือนละห้าหมื่นเยนทุกเดือน"

"เอ๊ะ เรื่องนี้เราก็ทราบกันอยู่แล้วนี่ครับ"

ผู้เป็นพี่ตอบ

ส่วนเถ้าแก่เนี้ยได้แต่ตั้งใจฟังอย่างเงียบ ๆ

อยู่หลังโต๊ะทำอาหาร

"แต่เดิมนั้นเเราต้องชำระหนี้ไปจนถึงปีหน้าเดือนมีนาคม

แต่ตอนนี้เราได้ชำระหนี้ไปหมดแล้ว"

"จริง ๆ หรือครับ แม่"

"จริงสิจ๊ะ

นี่เป็นเพราะว่าพี่ชายของลูกขยันไปส่งหนังสือพิมพ์

ส่วนตัวลูกเองก็ช่วยแม่ซื้อกับข้าวทำอาหาร

ทำให้แม่ไปทำงานได้อย่างเต็มที่

ทางบริษัทจึงได้ให้เงินเบี้ยขยันพร้อมทั้งเงินโบนัสพิเศษอื่นๆ อีก

จึงทำให้วันนี้สามารถชำระในส่วนที่เหลือได้หมด"

"ว้าว แม่ครับ พี่ครับ อย่างนี้ก็วิเศษสิครับ

แต่ว่าต่อไปขอให้ผมได้ช่วยทำอาหารต่อไปเถอะนะครับ"

"ผมก็จะส่งหนังสือพิมพ์ต่อนะครับ ไอ้น้องชาย

เราต้องร่วมแรงร่วมใจกันสู้หน่อยแล้วนะ"

"ขอบใจลูกทั้งสองมาก ขอบใจจริง ๆ "

"แม่ครับผมกับน้องก็มีความลับจะบอกกับแม่เหมือนกันครับ

คือในวันอาทิตย์วันหนึ่งของเดือนพฤศจิกายนโรงเรียนของน้อง

ได้แจ้งให้ผู้ปกครองไปเยี่ยมชมนักเรียนในห้องเรียนในวันพบผู้ปกครอง

คุณครูของน้องยังได้แนบจดหมายมาอีกหนึ่งฉบับว่า

เรียงความของน้องได้ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของฮอกไกโด

เพื่อไปแข่งขันเรียงความทั่วประเทศ นี่ผมได้ยินมาจากเพื่อน ๆ

ของน้องนะครับผมถึงทราบ ดังนั้นในวันนั้นผมจึงไปเป็นตัวแทนแม่

ไปร่วมในงานวันพบผู้ปกครองของน้อง"

"จริงหรือลูก แล้วต่อมาล่ะ"

"หัวข้อที่คุณครูให้เรียงความคือ ความปรารถนาของข้าพเจ้า"

น้องได้เอาเรื่องของบะหมี่น้ำหนึ่งชามมาเขียนเป็นเรียงความ

แล้วยังได้อ่านต่อหน้าทุกคนด้วย"

"เรียงความเขียนว่า…หลังจากที่คุณพ่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้ว

ได้ทิ้งหนี้สินให้เรามากมาย เพื่อที่จะชำระหนี้ คุณแม่ต้องทำงานดึกดื่นหาม

รุ่งหามค่ำทุกวัน แม้แต่เรื่องของผมที่ต้องไปส่งหนังสือพิมพ์

น้องก็ยังเอาไปเขียนเลย…"

"ยังมีอีก น้องยังเขียนถึงในคืนวันที่ 31 ธันวาคม

พวกเราสามคนแม่ลูกได้มาล้อมวงกันกินบะหมี่น้ำ

อร่อยมาก…สามคนกินบะหมี่น้ำแค่ชามเดียว

คุณตาคุณยายเจ้าของร้านยังกล่าวขอบคุณพวกเราอีก

แล้วยังอวยพรวันปีใหม่ให้พวกเราอีก

เสียงเหล่านั้นเหมือนกับว่าให้กำลังใจให้เข้มแข็งที่จะยืนหยัดมีชีวิตอยู่ต่อไป

พยายามปลดเปลื้องหนี้สินทั้งหลายของคุณพ่อให้หมดให้เร็วที่สุด…"

"ด้วยเหตุนี้น้องจึงได้ตัดสินใจว่าโตขึ้นน้องจะเปิดกิจการร้านบะหมี่

แล้วจะต้องเป็นเจ้าของร้านบะหมี่ยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย

แล้วยังจะให้กำลังใจแก่ลูกค้าทุกคน…ขอให้มีความสุขครับ…ขอบคุณครับ…"

สองตายายเจ้าของร้านบะหมี่ที่ยืนฟังอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่จู่ ๆ

ก็หายตัวไป

พวกเขาไม่ได้หายไปไหนเลยเพียงแต่คุกเข่ากันอยู่ใต้โต๊ะ

ในมือถือปลายผ้าขนหนูกันคนละข้าง

พยายามซับน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุดเหมือนทำนบพังนั้นอย่างไม่ลดละ

"พอน้องอ่านเรียงความจบ คุณครูก็พูดว่า

"วันนี้พี่ชายได้มาเป็นตัวแทนของคุณแม่ ดังนั้นขอเชิญพี่ชายขึ้นมากล่าวอะไรสักหน่อยค่ะ "

"จริงหรือลูก แล้วลูกทำอย่างไรหล่ะ"

"ก็มันกระทันหันเกินไป ตอนแรก ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

ผมจึงพูดว่า…ขอบคุณทุกคนที่เอาใจใส่น้องผมเป็นอย่างดี

น้องผมต้องไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวกลับมาหุงหาอาหารทุกวัน

ดังนั้นในเวลาที่เพื่อน ๆ ทุกคนมีกิจกรรมกันในตอนเย็นก็มักจะ

อยู่ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ได้เพราะต้องรีบกลับบ้าน

เมื่อเป็นอย่างนี้คงจะทำให้ทุกคนวุ่นวายกันพอสมควร"

"เมื่อครู่นี้ตอนที่ได้ยินน้องอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชาม

ผมรู้สึกอายมาก แต่พอได้เห็นน้องยืดอกอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่

น้ำหนึ่งชามด้วยเสียงอันดังนั้นจนจบ ถึงได้รู้สึกว่าความรู้สึกอายเมื่อ

สักครู่นี้ถึงจะเรียกว่าเป็นความอายจริงๆ "

"หลายปีมานี้ ความกล้าของคุณแม่ที่จะสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามนั้นเพื่อกิน

กันสามคนนั้นผมกับน้องจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด ผมและน้องจะต้องขยัน

และดูแลแม่เป็นอย่างดี และผมขอฝากน้องของผมให้ทุกคนช่วยดูแลด้วยครับ"

สามแม่ลูกกุมมือกันเงียบ ๆ ตบไหล่ กินบะหมี่หมดอย่างมีความสุขกว่าทุก ๆ ปี

จ่ายเงินไปสามร้อยเยนกล่าวขอบคุณค้อมตัวลงเคารพและเดินออกจากร้านไป

มองตามหลังสามแม่ลูกไป เจ้าของร้านจึงได้รู้สึกว่าปีนี้ได้ผ่านไปแล้วจริง ๆ

พร้อมกับกล่าวว่า "ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"

และแล้วก็ผ่านไปอีกปีหนึ่ง

พอถึงเวลา21.00น.ทางร้านฮอกไกก็วางป้าย"โต๊ะจอง"ไว้บนโต๊ะเบอร์สองและเฝ้ารอคอย

การมาเยือนของสามแม่ลูกเช่นเคย

แต่ในปีนั้นสามคนแม่ลูกไม่ได้มาปรากฏตัวที่ร้านเลย

ปีที่สอง ปีที่สาม

โต๊ะเบอร์สองก็ยังคงว่างอยู่เช่นเดิม

สามแม่ลูกไม่ได้มาที่ร้านฮอกไกอีกเลย

กิจการของร้านฮอกไกดีมาก

เรียกว่าดีวันดีคืนเลยทีเดียว

ภายในร้านมีการตกแต่งใหม่

โต๊ะเก้าอี้ก็มีการเปลี่ยนใหม่

จะมีก็แต่โต๊ะเบอร์สองที่เก็บรักษาไว้เหมือนเดิม

"นี่มันเรื่องอะไรกัน"

ลูกค้าหลายคนต่างก็ถามด้วยความกังขา

เถ้าแก่เนี้ยก็เลยเล่าเรื่องบะหมี่หนึ่งชามให้แก่ลูกค้าฟัง

โต๊ะเก่าตัวนั้นวางอยู่กลางร้านเหมือนกับว่าเป็นการให้กำลังใจตัวเองอย่างหนึ่ง

และก้อไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งลูกค้าทั้งสามอาจจะกลับมาอีก

พวกเขาหวังว่าจะใช้โต๊ะเก่าตัวนั้นในการต้อนรับลูกค้าทั้งสามของเขา

โต๊ะเบอร์สองตัวนั้นเปลี่ยนเป็นชื่อว่า "โต๊ะแห่งความสุข"

ลูกค้าต่างก็พูดต่อๆ กันไป

มีนักเรียนหลายคนอยากเห็นโต๊ะตัวนี้ถึงขนาดที่ว่านั่งรถมาจากที่ไกลแสนไกลมากิน

บะหมี่ และเจาะจงที่จะนั่งโต๊ะตัวนี้

ผ่านวันที่ 31 ธันวาคม ไปอีกหลาย ๆ ปี

พอถึงวันสิ้นปีหลังจากปิดร้านแล้ว เจ้าของร้านค้าในระแวกใกล้เคียงร้านฮอกไก

ก็มักจะมารวมตัวฉลองโดยการกินบะหมี่ที่ร้านฮอกไก

กินไปพลาง

ก็รอเสียงระฆังส่งท้ายวันสิ้นปีเก่าไปพลาง

แล้วทุกคนก็ไปวัดเพื่อไหว้พระด้วยกัน

เป็นธรรมเนียมมา 5-6 ปีแล้ว

ในวันนี้พอเลย 21.30น.ไปแล้ว

เจ้าของร้านขายปลามาถึงก่อนพร้อมทั้งนำซาซิมิมาด้วย

ต่อจากนั้นก็มีคนมาเรื่อยๆ เป็นระยะ บ้างก็เอาเหล้ามา

บ้างก็เอาอาหารกับแกล้มมา

ปกติแล้วก็จะรวมตัวกันได้ประมาณ 30-40 คน

ต่างก็คึกคักกันมาก

ทุกคนที่มานั้นต่างก็รู้ตำนานเกี่ยวกับโต๊ะเบอร์สอง

ทุกคนก็พยายามไม่เอ่ยถึงมันแต่ในใจต่างก็คิดกันว่า

วันนี้"โต๊ะจอง"ตัวนั้นไม่มีคนที่พวกเขาเฝ้ารอมานั่ง

มันคงจะว่างเปล่าเพื่อส่งท้ายปีเก่าอีกเช่นเดิม

พวกเขาบ้างก็กินเหล้า บ้างก็กินบะหมี่ บ้างก็เข้า ๆ

ออก ๆ

พอเตรียมกับข้าวกับแกล้ม ต่างก็กินกันไปคุยกันไป

พูดเรื่องการค้าบ้าง

คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ แม้แต่น้ำทะเลขึ้นลง

ในระยะนี้บ้านไหนมีเด็กเกิดใหม่

ก็นำมาพูดคุยในวงสนทนา คุยมันทุก ๆ เรื่อง

จนเหมือนกับว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน

เวลาผ่านไปจนถึง 22.30น.

ทันใดนั้นเองประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ

ทุกคนในร้านหยุดพูดคุยกัน

สายตาทุกคู่มองตรงไปยังประตูร้าน

ชายหนุ่มสองคนยืนสง่าในชุดสูทสากล

พาดโอเวอร์โค้ทไว้บนแขน

พอเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใครทุกคนก็รู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง

และเริ่มสนทนากันต่อไปอย่างคึกคัก

ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะพูดว่า

"ขอโทษค่ะ ที่นั่งเต็มหมดแล้วค่ะ"

เพื่อปฏิเสธลูกค้าที่ไม่ได้รับเชิญอยู่นั้น

ก็มีหญิงคนหนึ่งสวมชุดกิโมโนเดินเข้ามายืนระหว่างกลางของชายหนุ่มทั้งสองคน

ทุกคนในร้านแทบจะหยุดหายใจเมื่อได้ยินคุณนายผู้นั้นพูดว่า

"เอ้อ…รบกวน…รบกวนช่วยทำบะหมี่ให้สามชามได้ไหมคะ"

ทันทีที่เถ้าแก่เนี้ยได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที

เวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว

ภาพของสามแม่ลูกในความทรงจำ

กับภาพของสามแม่ลูกตรงหน้า

เธอพยายามจะนำทั้งสองภาพมาวางซ้อนกัน

เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ที่โต๊ะทำบะหมี่

ชี้นิ้วไปยังทั้งสามแม่ลูก "พวกคุณ .. พวกคุณ"

เขาพูดได้เพียงแค่นั้น

คำพูดทุกคำจุกอยู่ที่คอ

 

 

 

ชายหนุ่มหนึ่งในสองคนเห็นท่าทีของเถ้าแก่เนี้ยที่ทำอะไรไม่ถูกก็เลยพูดกับ

เถ้าแก่เนี้ยว่า

"พวกเราสามคนแม่ลูกที่เมื่อสิบสี่ปีก่อนในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่มา

สั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามทานกันสามคนไงครับ

และพวกเราก็ได้รับกำลังใจจากบะหมี่น้ำชามนั้น

พวกเราจึงได้สามารถยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้"

"หลังจากนั้นก็อพยพครอบครัวไปอาศัยอยู่กับยายที่อำเภอชิกะ

ปีนี้ผมสอบผ่านได้เป็นนายแพทย์แล้ว

ตอนนี้ผมเป็นแพทย์ฝึกหัดแผนกกุมารเวชที่โรงพยาบาลเกียวโต

ปีหน้าเดือนเมษายนก็จะย้ายมาประจำโรงพยาบาลกลางของซัปโปโรแล้ว"

"วันนี้พวกเราก็เลยแวะมาที่โรงพยาบาลเพื่อทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัว

แล้วเลยไปไหว้สุสานของคุณพ่อ

และน้องชายที่ครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝันว่าจะเป็นเจ้าของกิจการร้านบะหมี่นั้น

ขณะนี้ได้ทำงานในธนาคารเกียวโต

ได้เสนอความคิดที่เลิศเลออย่างหนึ่งก็คือ

ปีนี้ในวันส่งท้ายปีเก่า

พวกเราสามคนแม่ลูกจะมาเยี่ยมคารวะเจ้าของร้านบะหมี่ฮอกไกที่ซัปโปโร

และทานบะหมี่น้ำสามชามของร้านฮอกไกด้วย"

สองตายายฟังไปพลาง พยักหน้าไปพลางด้วยน้ำตาคลอเบ้า

เถ้าแก่ร้านขายผักที่นั่งอยู่ตรงหน้าประตู

พยายามใช้แรงอย่างเต็มที่ที่จะกลืนบะหมี่คำที่คาอยู่ในปากลงไปในคอ

แล้วลุกขึ้นยืนพูดว่า "อ้าว…เถ้าแก่… เป็นอะไรไปหล่ะ

อุตสาห์เตรียมการมาตลอดสิบปีเพื่อเฝ้าคอยวันนี้

"โต๊ะจอง"

ตัวนั้นไงที่พวกเถ้าแก่จองให้ลูกค้าที่จะมาตอนหลังสิบโมงของคืนวันสิ้นปีไง

รีบๆ ต้อนรับพวกเขาสิ เร็วเข้า"

ในที่สุดเถ้าแก่เนี้ยก็ได้สติ

ตบไหล่ของเถ้าแก่ร้านขายผัก แล้วพูดว่า

"ยินดีต้อนรับค่ะ…เชิญนั่งข้างในค่ะ…นี่ตาเฒ่า…บะหมี่น้ำสามชามโต๊ะสอง"

เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ก็รีบปาดน้ำตาแล้วรับคำว่า

"ครับ..บะหมี่น้ำสามชาม"

หากดูกันตามจริงแล้ว

สิ่งที่เถ้าแก่ร้านบะหมี่ทั้งสองได้ให้ไปมันไม่ได้มีค่ามากมายอะไรเลย

มันเป็นแค่เพียงบะหมี่ไม่กี่ก้อน

คำพูดที่จริงใจและให้กำลังใจเพียงไม่กี่คำ

รวมทั้งคำอวยพรว่า "ขอบคุณค่ะ(ครับ)

สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"ก็เท่านั้นเอง

แต่มันกลับให้ผู้ที่ถูกความจริงอันโหดร้ายบีบให้จมอยู่ในสถานการณ์

คับขับได้สามารถกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

นิทานเรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า ---

อย่าพยายามมองข้ามตัวเอง

ตัวเราเองสามารถมีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ได้

บางทีมันอาจจะเป็นแค่เพียงความใส่ใจความห่วงใยอันจริงใจ

ของคุณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ก็สามารถนำพาเอาแสงสว่างอันเจิดจรัสอย่างไม่มีขีดจำกัดมาสู่โลกได้

ด้วยเหตุนี้ความหวังความใฝ่ฝันที่แรงกล้าของพวกเรา …

เพื่อนพ้องทั้งหลาย …

อย่ามัวเห็นแก่ตัวกันหรือเสียดายมันอยู่เลย

หวังว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไป

พวกเราจะสามารถมอบหัวใจแห่งความรักและความเมตตาที่เราอัดเก็บ

ไว้ในใจมาเป็นเวลานานแสนนานนั้นมอบให้กับคนอื่นด้วยความเต็มใจ

จุดประกายแห่งความสว่างแก่โลก

ถึงแม้จะเป็นแสงเพียงริบหรี่เท่านั้น

แต่สำหรับคืนอันหนาวเหน็บอันเย็นยะเยือกของฤดูหนาว

มันเป็นประกายแห่งความอบอุ่นและแสงสว่างอันสุกสกาวจริงๆ

ไงจ๊ะ…อ่านบทความนี้จบแล้วรู้สึกเมื่อยตาบ้างหรือเปล่า

บริหารสายตาหน่อย

กรอกตาซ้ายไปมา เสร็จแล้วก็หันมากรอกตาขวา

หลังจากนั้นก็กรอกตาทั้งสองข้างพร้อม ๆ กัน

หากทำแล้วลูกตากระเด็นออกมานอกเบ้าแล้วล่ะก้อไม่ต้องมาหาฉันนะจ๊ะ

ไปหาหมอเถอะ…

เรื่องนี้ตอนที่เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่น

ทำให้คนญี่ปุ่นรู้สึกประทับใจมานับไม่ถ้วนแล้ว

ดังนั้นจึงมีคนพูดกันว่า

"ใครที่อ่านนิทานเรื่องแล้ว

ไม่มีใครเลยที่จะไม่หลั่งน้ำตาให้"

ถึงแม้คำพูดนี้ออกจะเกินจริงไปบ้าง

แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ได้อ่านนิทานเรื่องนี้แล้ว

รู้สึกประทับใจจริง ๆ

จนน้ำตาร่วง และน้ำตาที่ร่วงรินเหล่านั้น

มันไม่ใช่น้ำตาจากความรันทดใจ

แต่เป็นน้ำตาที่หลั่งให้แก่ความประทับใจต่อความห่วงใยอย่างจริงใจ

และน้ำใจไมตรีอันกว้างขวางที่มอบให้แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-
IP : บันทึกการเข้า

ดื่มเหล้ากับสหายรู้ใจ พันไห่ก็ไม่เมา เช้าวันรุ่งขึ้น "เสี่ยวเอ้อ ข้ามาอยู่ที่นี้ได้ยังไง"
Love Never Dies.
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,820


ตีกันกูป่วย แต่ถ้ากินเหล้า บอกกูด้วย ถึงป่วยกูก็จะไป


« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 08 พฤศจิกายน 2011, 00:06:26 »

ซึ้งๆๆ
IP : บันทึกการเข้า

ดื่มเหล้ากับสหายรู้ใจ พันไห่ก็ไม่เมา เช้าวันรุ่งขึ้น "เสี่ยวเอ้อ ข้ามาอยู่ที่นี้ได้ยังไง"
loveearth
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 258



« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 10 พฤศจิกายน 2011, 10:25:24 »

ขอบคุณและประทับใจมาก..ขอบคุณจริงๆ
IP : บันทึกการเข้า
poupoushop.com
~..Rose Apple..~
สมาชิกลงทะเบียน
มัธยม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 719


แม่ค้า-คนเชียงใหม่.


« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 10 พฤศจิกายน 2011, 12:20:44 »

ชอบบทความแนวนี้  วันหลังเอามาให้อ่านอีกนะคะ  ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า

ชุดผ้าปูที่นอนราคาถูก http://poupoushop.com
ร้านLine https://shop.line.me/@poupoushop
blue dragon
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 924


..แดดสุดท้าย..


« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 10 พฤศจิกายน 2011, 13:20:52 »

ประทับใจมากครับ..ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ครับผม
IP : บันทึกการเข้า

กั๋นว่าจะมัด บ่ต้องมัดด้วยป๋อ กำปากกำคอ มัดกั๋นก็ได้
https://www.facebook.com/skyline.blue.9
Love Never Dies.
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,820


ตีกันกูป่วย แต่ถ้ากินเหล้า บอกกูด้วย ถึงป่วยกูก็จะไป


« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 11 พฤศจิกายน 2011, 10:05:42 »

ดัน ขึ้น มา ให้ อ่าน ครับ
IP : บันทึกการเข้า

ดื่มเหล้ากับสหายรู้ใจ พันไห่ก็ไม่เมา เช้าวันรุ่งขึ้น "เสี่ยวเอ้อ ข้ามาอยู่ที่นี้ได้ยังไง"
OneManShow
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 11 พฤศจิกายน 2011, 15:08:34 »


        ซึ้งจริงๆ    ดันๆๆๆ
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!