ขอบคุณครับ ถ้าไปหาข้อมูลที่ไหน ถ้าผมว่างผมขอไปด้วยได้ไหมครับ ชอบแต่ไม่ค่อยมีความรู้ 0858633395
คนไม่รู้ไม่ใช่ปัญหา แต่คนที่ไม่สนใจจะรู้นี่สิครับน่าห่วงขอบคุณครับที่ให้เบอร์มือถือมา
ข้อมูลประวัติศาตร์เราสามารถหาได้จากทุกที่รอบตัวเราครับ
แต่ส่วนใหญ่ถ้าเป็นเอกสาร ผมมักจะได้มาจากห้องสมุดในมหาวิทยาลัยครับ
ถ้าคุณโชคดีอยู่ในเมืองเชียงราย ขอแนะนำคุณล้อล้านนาครับ
ท่านผู้นี้มีความรู้สามารถถ่ายทอดให้คุณโชคดีได้ (ยังไงก็ลองถามคุณล้อล้านนาดูนะครับ)
ส่วนผมเองก็อยากจะถ่ายทอดความรู้ให้ แต่ติดตรงที่ว่าต้องไปๆมาๆระหว่างเชียงใหม่กับเชียงราย
ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่เชียงใหม่เสียมากกว่า เพราะมีภาระกิจที่ต้องทำ ขาดลาไม่ได้
วันหยุดจึงจะได้กลับเชียงรายสักครั้ง
เอาเป็นว่าอยากรู้อะไรก็ถามเข้ามาได้ครับ
ส่วนเรื่องหาข้อมูล ความจริงก็อยากพาคุณโชคดีไปค้นหนังสือ เอกสาร ตำราโบราณอยู่หรอกนะครับ
แต่มันก็ไม่สะดวกอย่างว่า
สำคัญในตอนนี้ คือ หาจุดที่คุณโชคดีสนใจดีกว่า ลองถามตัวเองนะครับว่าทำไมเราถึงอยากรู้ประวัติศาสตร์ล้านนา
แล้วเราอยากรู้เรื่องอะไรมากเป็นพิเศษ ชอบเรื่องอะไรเป็นพิเศษ
นักประวัติศาตร์เขามีหลายสายน่ะครับ
มีทั้งพวกที่ชอบแนวการเมือง พวกแนวเศรษฐกิจ พวกนิยมสถาปัตยกรรม พวกประวัติศาสตร์ศิลป์
พวกที่สนใจวัฒนธรรม พวกประวัติศาสตร์อาหารการกิน พวกผสมหลากหลายแนวก็มี ผมจะแนะนำหนังสือให้อ่านเป็นพื้นก่อนนะครับ
เป็นหนังสือที่กล่าวถึงประวัติศาสตร์และความเปลี่ยนแปลงในล้านนาอย่างกว้างๆ
เหมาะสำหรับปูพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ล้านนา ก่อนที่เราจะเจาะลึกลงไปในรายละเอียด เป็นเรื่องๆไป
หนังสือที่ว่าเอาไปเล่มเดียวก่อน ชื่อว่า "ประวัติศาสตร์ล้านนา" ของ ศ.สรัสวดี อ๋องสกุล
อาจารย์แกออกจะไฮเปอร์หน่อยๆ แต่ผลงานใช้ได้ทีเดียว ดูหน้าปกตามรูปที่แนบมาครับ (รูปข้างล่าง)
เป็นรูปเจ้าอุบลวรรณา เจ้านายผู้มีบทบาทสำคัญทางการค้าในเชียงใหม่เมื่อกว่า 100 ปีก่อน
เป็นหน้าปกฉบับพิมพ์ครั้งที่ 4 หากไปเจอฉบับครั้งที่ 1-3 หน้าปกจะไม่ใช่แบบนี้
ในเล่ม 4 นี้ จะพิเศษกว่าเล่มอื่น คือ มีการเพิ่มข้อมูลประวัติศาสตร์ล้านนา หลัง พ.ศ.2475-ปัจจุบันเข้าไปด้วย
ที่ห้องสมุด ร.ร.สามัคคีฯ มี 1 เล่มครับ แต่เป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 ไม่ทราบว่าตอนนี้มีเล่มใหม่มาเพิ่มหรือยัง
เพราะไม่ได้เข้าไปเป็น 10 ปีแล้ว
บางทีอาจจะมีวางขายตามแผงหนังสือ เราอาจโชคดีได้ยืนอ่านฟรี ร้านนายอินทร์อาจจะมีก็ได้
แต่ในเน็ตมีขายแน่นอน (ไม่ได้โฆษณานะครับ)
อย่างที่เคยบอกไปว่าข้อมูลมีหลัก 2 อย่าง
ข้อมูลลายลักษณ์อักษร เราสามารถไปค้นในห้องสมุดหรือที่ต่างๆได้
แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือ ข้อมูลจากการสัมภาษณ์
สิ่งที่คนอื่นรู้แต่เราไม่รู้ นั่นก็ถือว่าเป็นความรู้ครับ
ถามดะ ถ้าอันไหนเราไม่รู้ คุณโชคดีก็ลองหัดไว้นะครับ
นอกจากจะอ่านเอกสารแล้ว เราต้องคุยกับคนอื่นๆด้วยครับเรื่องหาข้อมูล ไม่ต้องไปซีเรียสครับ
คำถามนั้นสำคัญกว่าคำตอบ (ไอน์สไตน์บอกมา)
คำถามนั้นจะมีคำตอบหรือไม่ ค่อยว่ากันทีหลัง เพราะถ้าเราไม่รู้ ก็ต้องมีคนอื่นที่รู้ละน่า (ค่อยไปถามเอา)
คุณโชคดีลองเริ่มจากตัวเองก่อนนะครับ ค่อยๆฝึกกระบวนการคิด โดยการลองตั้งคำถามกับสิ่งรอบตัว เช่น
- ทำไมหน้า ร.ร.สามัคคีฯ กับ ร.ร.เทศบาล 1 ศรีเกิด ถึงมีคูน้ำ แล้วทั้งสองแห่งเกี่ยวข้องกันหรือไม่ อย่างไร
- พญามังรายเป็นกษัตริย์ ดังนั้น ลูกหลานของท่านก็ต้องได้ครองบัลลังค์ต่อ แล้วลูกหลานของท่านชื่ออะไร อยู่ที่ไหนล่ะ
- ทำไมคนยองถึงมาอาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงรายเยอะจัง เพราะอะไรนะ
- ทำไมเราถึงใช้นามสกุล XXX นะ แล้วทำไมต้องตั้งนามสกุลว่า XXX ด้วย
- ทวดเราเป็นคนที่ไหนนะ เป็นคนเชียงรายหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่แล้วท่านเป็นคนที่ไหน แล้วทำไมท่านต้องมาอยู่ที่เชียงราย
- ทำไมคนตระกูล XXX ถึงทรงอิทธิพลในเมืองเชียงราย
- ทำไมชาวนาส่วนใหญ่จึงปลูกข้าวขาย แล้วพวกเขาเริ่มปลูกข้าวขายตั้งแต่เมื่อไหร่ สมัยไหน อะไรเป็นปัจจัย แล้วในอนาคตจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร ถ้ายังทำการเกษตรในลักษณะเดิมต่อไป
- ทำไมหมู่บ้านนี้จึงมีชื่อว่า XXXอ้อ เรื่องที่สำคัญที่สุด คือ เราไม่ควรแยกการศึกษาประวัติศาสตร์ออกจากชีวิตประจำวันครับ
ไม่ได้หมายความว่าให้หมกมุ่นนะครับ
แค่ทำเหมือนมันเป็นเรื่องปกติในชีวิต เหมือนเรากินข้าว เข้าห้องน้ำนั่นแหละ สบายๆ
แรกๆอาจะไม่เข้าใจว่าต้องทำยังไง หลังๆไปพอรู้อะไรมากขึ้น มันจะเก็ตเองครับ
ประมาณว่า ถ้าเราไปเจอเหตุการณ์อะไรหรือสิ่งใดๆ มันจะปิ๊งเข้ามาในสมองครับ
เช่น เวลาเราดูทีวีแล้วเห็นคนแย่งกันขึ้นรถกลับชนบทช่วงปีใหม่
ถ้าเป็นคนปกติ (ยังไม่บ้า) ก็จะคิดแค่ว่า สาเหตุมาจากคนพวกนี้ไปทำงานที่กรุงเทพฯ แต่พอดีคนมันเยอะ เลยมีรถไม่พอ
แต่ถ้าหากเราบ้าประวัติศาสตร์ เราจะคิดอีกแบบ ประมาณว่า
ทำไมรถไม่พอ ---> เพราะคนมันเยอะ
ทำไมคนมันเยอะ ---> เพราะคนแห่ไปทำงานกรุงเทพฯ
ทำไมต้องกรุงเทพฯ ---> เพราะกรุงเทพฯเป็นเมืองหลวง เป็นศูนย์กลางทุกๆอย่าง
ทำไมกรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางทุกๆอย่าง ---> เพราะนโยบายการการพัฒนาประเทศตั้งแต่สมัย บลาๆๆๆ
ทำไม... (ต่อไปเรื่องๆจนกว่าจะหมดแรง)ความจริงมันไม่จำเป็นต้องคืดมากเรื่องพวกนี้ก็ได้ แต่ก็นะ... อย่างน้อยเราก็จะได้มองโลกที่กว้างและลึกขึ้นกว่าเดิมครับ