ต่ออีกหน่อยนะคะ ใกล้จบแ้ล้ว
วันรุ่งขึ้นพวกเราก็เดินทางกลับ ช่วงเิดินลงภู เป็นทางเดินที่เรียบง่าย ไม่เหมือนช่วงขาขึ้นที่ต้องปีนหินใหญ่ๆหลายครั้ง แสดงว่าพวกเราหลงทางกัน ซึ่งก็เป็นอีกอย่างที่น่าคิดว่า ถ้าเราไม่หลงทาง อาจมีผู้เสียชีวิตมากกว่า ๓ ก็ได้
ตอนนั่งรถจากตีนภูไปสถานีรถไฟ จำได้ว่านั่งรถบรรทุก เราไ้ด้นั่งหน้าริมทางลง(รถบรรทุกตอนนั้นไม่มีประตู) ยังมีฝนปรอยๆและลมหนาวเย็นพัดปะทะใบหน้า ตลอด
ระหว่างที่รอรถไฟ พวกเราก็ได้อ่านหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวเรื่องภูถล่ม
มี พาดหัวข่าวตัวโป้งใหญ่ว่า
ภูกระดึงถล่ิม นิสิตจุฬาฯตายยับสูญหายนับสิบ
ทำให้หลายคนวิตกว่าญาติพี่น้องที่อ่านข่าวจะตกใจกันขนาดไหน
พอรถไฟมาถึงหัวลำโพง มีนักข่าวมารอทำข่าวที่สถานี และมีทั้งพ่อแม่ญาติพี่น้องทุกคนมารอรับลูกหลานของตัวเอง พอเจอหน้าต่างก็ร้องไห้กันระงม ดีใจที่รอดกลับมา
แต่สำหรับเรามองหาพ่อแม่พี่น้องไม่เจอใครสักคน หรือว่ายังมาไม่ถึง หรือว่ายังหาไม่เจอ
นั่งรอที่สถานีรถไฟ จนใครๆก็เดินทางกลับกันหมด ก่อนกลับทุกคนก้เป็นห่วงถามว่าจะกลับยังไง ไม่มีใครมารับเหรอ เราก็บอกว่าเดี๋ยงคงมา รุ่นพี่วิศวะจะนั่งรอเป็นเพื่อน เราก็บอกว่าไม่เป็นไรบ้านอยู่แค่นี้เอง ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวคงมารับเราแน่นอน
และเราก็นั่งรออยู่ที่ตรงนั้นจนทุกคนกลับหมด เลยนั่งรถแท็กซี่กลับบ้านด้วยอาการที่เซ็งสุดขีด และยิ่งเสียใจมากขึ้น เมื่อกลับไปถึงบ้าน เห็นทุกคนกำลังนั่งกินข้าวกันอย่างพร้อมเพรียงกัน เห็นแล้วน้ำตาเกือบไหล ทุกคนก็ทักว่า อ้าว มาแล้วเหรอ เลยถามด้วยความน้อยใจ รู้ข่าวหรือเปล่าว่าภูถล่ม แล้วไม่ห่วงเราเลยหรือไง คนอื่นเขามีแต่พ่อแม่พี่น้องไปรับกัน ทำไมถึงไม่มีใครไปรับเราสักคน
คำตอบที่ได้คือ รู้ว่ามีภูถล่ม แต่คิดว่าเราคงเอาตัวรอดได้ ถึงไม่ไปรับก็กลับบ้านได้อยู่แล้ว ทำให้เราปล่อยโฮ สะอึกสะอื้นทิ้งกระเป๋าเดินทาง วิ่งไปร้องไห้ที่ชั้นบน เสียใจขนาด สักพักพี่สาวก็ตามมาปลอบใจ บอกว่าทกคนก็เป็นห่วง แต่คิดว่าเราคงไ่ม่ถึงฆาตง่ายๆ ตามดวงแล้ว ไม่น่าจะอายุสั้น(น่าจะมีอายุยืนยาว จนได้มาเจอพวกพ้องนักกลอนไง

)
ซึ่งมันก็คงเป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ แม้ว่าเราได้เจออะไรที่สาหัสสากรรจ์ แต่ยังรอดมาได้จนบัดนี้ (รักพี่รักน้องจริงๆwah ให้ดิ้นตาย

ที่ฝึกให้เราสู้โลก อดทน มาได้ขนาดนี้)