วันนั้นทั้งวัน พวกเราไม่ได้ไปไหน รอฟังข่าวอย่างใจจดใจ่อ
เวลานั้นบนภูหนาวมาก ถ้ายืีนห่างกันเกิน ๕ เมตร แทบจะมองไม่เห็นกันเลย และนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตอีกครั้งที่ได้เจอหมอกหนาแบบนี้ ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดเลยว่า อากาศจะหนาวเย็นสักเพียงไหน ซึ่งยังโชคดีสำหรับเราที่ได้เสื้อคลุมของป่าไม้ใส่อยู่
ช่วงสายพวกลูกหาบก็นำกระเป๋าเดินทางมาส่ง บางคนเสื้อผ้าข้างในก็เปียกหมด เพราะไม่กันน้ำ แต่ของเราเสื้อผ้าข้างในไม่โดนฝน
ช่วงเที่ยงวันนั้น ก็มีการประกาศอีกครั้งว่าพบร่างของทั้ง๓ คนแล้ว ในสภาพที่ยังจับมือกันอยู่ คาดว่าจะลากจูงกันมา คราวนี้พวกเราก็ปล่อยโฮกันหมดทุกคน เพราะทั้งสงสารทั้งเสียใจ ทั้งเสียดาย ทั้งสลด ทั้งอัดอั้นตันใจ เพราะทุกคนเจอสภาพเหตุการณ์ที่เลวร้ายเหมือนกัน เพียงแต่พี่ทั้งสามโชคร้ายกว่า และจะไ้ด้มีการนำร่างชองพี่ทั้งสามกลับทางฮอ เพื่อนำมาบำเพ็ญกุศลที่กรุงเทพฯ
ดังนั้นกำหนดการที่จะเดินเที่ยวในภูกระดึงจึงต้องระงับไป เพราะทุกคนหมดกำลังใจ
ได้แต่นั่งปรับทุกข์ ปรึกษาหารือกันว่า ต่อไปจะทำกันยังไงดี ไม่รู้ว่าทางบ้านจะรู้ข่าวหรือยังว่าลูกหลานมาเจออุบัติเหตุแบบนี้
แต่ในทีมของเราได้ตกลงกันว่าไหนๆก็อุตส่าห์มาถึงภูกระดึงขอเดินเที่ยวใกล้ๆก็พอ เพื่อให้ได้สัมผัส บรรยากาศบนยอดภู ก่อนที่จะเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น
ในคืนวันนั้น บ้านที่พวกเราผู้หญิงพักกันอยู่ พากันหนาวสั่น เพราะผ้าห่มหนาไม่พอ
จึงบอกให้เราในฐานะที่เด็กที่สุด (น่ารักที่สุด)

ไปขอเหล้า จากห้องผู้ชายมากิน
พอได้เหล้ามา(จำได้ว่าเป็นเชี่ยงชุน) ทุกคนก็ซดกันคนละอีก สองอึก เพื่อให้ร่างกายร้อน
คลายจากหนาว ได้ และเป็นครั้งแรกอีกเหมือนกันที่กินเหล้าเชี่ยงชุนจนหน้าร้อน แดงวูบวาบ วูบวาบ และคราวนี้ทั้งห้องก็ตกในสภาพเงียบกริบ เพราะเมาจนหลับไม่เว้นเรา