เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 23 สิงหาคม 2025, 03:53:49
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ห้องนั่งเล่น
| | |-+  ตะลึง ! ฟอร์มาลินในปลาทับทิม จากคนเลี้ยงถึงคนกิน
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน ตะลึง ! ฟอร์มาลินในปลาทับทิม จากคนเลี้ยงถึงคนกิน  (อ่าน 1158 ครั้ง)
inAus
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: วันที่ 22 กันยายน 2011, 08:17:12 »

ตะลึง ! ฟอร์มาลินในปลาทับทิม จากคนเลี้ยงถึงคนกิน

"ผู้เลี้ยงปลา"ยอมรับว่าใช้ "สารฟอร์มาลิน "แช่ปลาก่อนจับขาย" แม่ทองบ่อ เกษตรกรผู้เลี้ยงปลานิล บ้านท่องบ่อ อ.โกสุม จ. มหาสารคาม ชาวนาผู้ผันตัวเองมาเลี้ยงปลากระชังในลำน้ำแม่ชี เมื่อปี 2549 บอกว่า เธอจะใช้ฟอร์มาลินน็อคปลาใกล้ตายก่อนนำออกขาย
ตอนที่ 1   " สารฟอร์มาลิน-เชื้อดื้อยา" ปลาที่ผู้บริโภคเลือกไม่ได้

"ผู้เลี้ยงปลา"ยอมรับว่าใช้ "สารฟอร์มาลิน "แช่ปลาก่อนจับขาย"

แม่ทองบ่อ  เกษตรกรผู้เลี้ยงปลานิล บ้านท่องบ่อ อ.โกสุม  จ. มหาสารคาม ชาวนาผู้ผันตัวเองมาเลี้ยงปลากระชังในลำน้ำแม่ชี เมื่อปี 2549  บอกว่า เธอจะใช้ฟอร์มาลินน็อคปลาใกล้ตายก่อนนำออกขาย

การใช้ฟอร์มาลินน็อคปลาก่อนจับขาย เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้เลี้ยงปลากระชังทั้งหมู่บ้านใช้  เมื่อเห็นว่าปลามีอาการป่วย   โดยจะนำพลาสติกมาห่อกระชังปลาและนำฟอร์มาลีนมาคลุกเคล้าปลาในกระชัง เพื่อฆ่าเชื้อไม่ให้ปลาตายก่อนจับ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยยืดอายุปลาไม่ให้ตายได้นานขึ้น  และทำให้ขายได้ราคาดีกว่าปลาที่ตายแล้ว

" ฉันใช้ฟอร์มาลินอุ้มปลาเพื่อฆ่าเชื้อโรค" เบญจา  จันทร์ติ้ว  เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาทับทิม  ในแม่น้ำ

เบญจา  จันทร์ติ้ว  เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาทับทิม  ในแม่น้ำท่าจีน อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี  บอกเช่นกันว่า เกษตรกรเกือบทุกรายที่เลี้ยงปลาทับทิมลุ่มแม่น้ำท่าจีน ใช้สารฟอร์มาลินในการอุ้มปลาเพื่อไม่ให้ปลาตาย  โดยเซลล์บริษัทขายอาหารปลาได้แนะนำให้พวกเขาอุ้มปลาด้วยฟอร์มาลินเพื่อไม่ให้ปลาตาย  ซึ่งมีค่าใช้จ่ายกระชังละ 500 บาท

"ผมเห็นชาวบ้านแช่ปลาด้วยฟอร์มมาลินแล้วจับขึ้นมาขายเลย  รู้สึกไม่สบายใจ " อุบล  อยู่หว้า ตัวแทนเครือข่ายเกษตรกรทางเลือกยืนยันว่าการใช้ฟอร์มาลิน  กลายเป็นเรื่องปกติที่ผู้เลี้ยงทำก่อนจับปลาขาย

ขณะที่ ปองพล  สารสมัคร  ผู้บริโภค ที่มักจะเลือกทำอาหารด้วยเมนูปลาบอกว่า รู้สึกกลัวเมื่อทราบว่า ผู้เลี้ยงปลาใช้สารฟอร์มาลินในการเลี้ยงปลา เขาบอกว่าหลังจากนี้หากต้องเลือกซื้อปลา คงต้องเลือกปลาที่ได้รับการรับรองความปลอดภัยไม่มีสารตกค้าง เพราะที่ผ่านมาเขาคิดว่า ปลาคืออาหารจานสุขภาพ

เช่นเดียวกับ  นิตยา  สดวัฒนา  แม่บ้านรายหนึ่งบอกว่าเธอไม่เคยรู้ว่ากระบวนการเลี้ยงปลา ต้องใช้สารฟอร์มาลิน และเป็นสารชนิดเดียวกับการดองศพ ข้อมูลเหล่านี้ทำให้เธอกลัวปัญหาสารตกค้างมาก  จนไม่แน่ใจว่าเธอควรบริโภคปลาต่อไปหรือไม่



ใช้ฟอร์มาลินไม่ผิดกฎหมาย

แม้จะเป็นข้อมูลที่น่าตกใจสำหรับผู้บริโภค  แต่ในทางสัตว์บาลแล้วการใช้สารฟอร์มาลินในการเลี้ยงปลาสามารถทำได้ และเป็นสารเคมีที่อนุญาตให้ใช้ได้ตามกฎหมาย  โดย"  อดิศร์  กฤษณวงษ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส  บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร บอกว่า   สารฟอร์มาลินเป็นสารที่กรมประมงอนุญาตให้ใช้ได้ตามกฎหมาย และเกษตรกรมักจะนำมาใช้เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำความสะอาดกระชังปลา ไม่ได้มีอันตรายเพราะเป็นสารที่ระเหยเร็ว

ขณะที่หน่วยงานอนุญาตการขึ้นทะเบียนยาอย่าง วินิต  อัศวกิจวิรี  ผู้อำนวยการกองควบคุมยา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)  ยืนยันเช่นกันว่า การใช้ฟอร์มาลินในการฆ่าเชื้อโรคของเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาไม่ได้น่าห่วง  เพราะสารฟอร์มาลินระเหยง่ายไม่มีปัญหาการตกค้างมากนัก ยกเว้นเพียงการแช่ปลาหมึกในระยะเวลานาน

"การที่เกษตรกรแช่ปลาทับทิมด้วยฟอร์มาลิน คงแช่ได้ไม่นานเพราะถ้านานไป สารฟอร์มาลินจะเข้าไปฆ่าเนื้อปลาและทำให้เนื้อปลาตาย  ขายไม่ได้"    วินิตบอกว่า   การแช่ปลาก่อนขายของเกษตรกร  น่าจะเป็นเรื่องการฆ่าเชื้อที่ทำในระยะเวลาสั้น จึงไม่น่าจะมีปัญหาสารตกค้างจนสร้างปัญหาให้กับผู้บริโภค

แต่ที่น่าเป็นห่วงมากกว่าคือการใช้ยาปฏิชีวนะอื่นอีกหลายตัว  ประกอบด้วย

คลอแรมเฟนิคอล
ไนโทรฟิวราโซน
ไนโทรฟิวแรนโทอิน
ฟิวราโซลิโดน
ฟิวแรลทาโดน
มาลาไคต์ กรีน   รวมทั้งวิตามินหลายชนิด  ทั้งวิตามินซี วิตามินรวม
แม้จะอนุญาตให้ใช้ได้  แต่หากใช้ไม่ถูกวิธีหรือใช้ในปริมาณที่มากเกินไปก็สร้างปัญหาตกค้างในเนื้อปลาและทำให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยาในคนได้ด้วย

วินิต บอกว่า มียาปฏิชีวนะยาที่ใช้กับปลาน้ำจืดทั้งหมด 282 ตำรับ มีทั้งยาเดี่ยว 253 ตำรับ และยาผสมอีก 29 ตำรับ ส่วนฟอร์มาลิน ก็อนุญาตให้ใช้ในปลาได้เช่นกัน เพราะเป็นยาช่วยฆ่าเชื้อ และเป็นสารระเหยง่ายไม่ตกค้าง ไม่มีปัญหามากนัก

แต่ปัญหาที่น่าห่วงคือ เชื้อดื้อจากการใช้ยาปฏิชีวนะที่มากเกินไป  เพราะเมื่อสัตว์เริ่มมีอาการป่วยเกษตรกรมักคิดจำเป็นต้องเพิ่มปริมาณยาเพื่อให้อยู่รอด ซึ่งกระบวนการดังกล่าวอาจจะมีสารเคมีตกค้างในเนื้อปลาได้และส่งต่อมาถึงผู้บริโภคได้

แม้จะมีการควบคุมระยะเวลาการใช้ยาโดยยาทุกชนิดต้องหยุดใช้ก่อนจะจับปลาไปขาย14 วัน แต่ ก็มักจะพบว่า เกษตรกรฝ่าฝืนข้อห้ามดังกล่าว  เพราะห่วงว่า สุดท้ายแล้วปลาตาย พวกเขาก็จะขายปลาไม่ได้ราคา
"เรามักจะพบเกษตรกรไม่ทำตามคำแนะนำในการใช้สารเคมี บางครั้งซื้อยามาใช้เอง หรือบางครั้งมักจะใช้ตามเซลล์ขายยาที่แนะให้นำสูตรใหม่มาเข้า  ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับเกษตรกรรายย่อยมากกว่าฟาร์มขนาดใหญ่ ที่ได้มาตรฐาน " วินิตบอก
IP : บันทึกการเข้า
>_อนัตตา_<
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,365



« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 22 กันยายน 2011, 08:27:33 »

น่ากลัวอ่ะเจ้า ยิ่งตัวเองชอบกินปลาอยู่เจ้า อึ่ยยยย ร้องไห้
IP : บันทึกการเข้า
inAus
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 22 กันยายน 2011, 08:43:12 »

หวั่นเชื้อดื้อยาในคน

ปัญหาการดื้อยาจากการใช้ยาไม่เหมาะสมของเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์น้ำ จึงน่าเป็นห่วงไม่น้อย และมักจะกลายเป็นหัวข้อถกเถียงในวงวิชาการ  ที่เกรงว่าเชื้อดื้อยาที่เกิดขึ้นจากสัตว์  มีความเป็นไปได้ที่จะแพร่กระจายมายังมนุษย์

"ที่เราเป็นห่วงคือเชื้อดื้อยาที่ทำปฏิกิริยาในตัวสัตว์แล้วกลายพันธุ์  แพร่เชื้อดื้อยาลงสู่แหล่งน้ำ ทำให้คนและสัตว์อื่นๆที่บริโภคน้ำเข้าไปแล้วเกิดเชื้อดื้อยา เป็นสายพันธุ์ดื้อยาแบบใหม่ขึ้นมา  ทำให้การรักษาโรคในคนทำได้ยากขึ้น"

วินิต บอกว่าในอนาคต อย.จะทำฉลากยาในสัตว์น้ำให้มีความละเอียดมากขึ้น เพื่อควบคุมการใช้ยาผิดประเภท หรือมีการใช้ยามากเกินไป เพราะที่ผ่านมาเราจะเข้มงวดเฉพาะอาหารที่ส่งออก  แต่สำหรับในประเทศ  คงต้องมีการควบคุมการใช้ยามากขึ้น เพื่อให้อาหารปลอดภัย

"สิ่งที่เราพยายามทำคือทำฉลากให้ชัดเจน มีข้อความที่ละเอียด ต้องใช่ยาจำนวนเท่าไหร่ และหยุดใช้เมื่อไหร่  พร้อมกับประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่น กรมประมง กรมปศุสัตว์ เพื่อเข้าไปให้ความรู้กับเกษตรกร   เพราะอำนาจของอย.ไม่สามารถเข้าไปสุ่มตรวจในฟาร์มเลี้ยงได้"

ไม่เพียงการใช้สารฟอร์มาลินและยาปฏิชีวนะในการเลี้ยงปลาเท่านั้น  แม่ทองบ่อบอกว่าเธอฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคเห็บระฆังให้กับปลาถึง 2 รอบ  เพื่อป้องกันความเสี่ยงไม่ให้ปลาตาย จากโรคระบาดปลา
วัคซีนฉีดปลาปัญหาใหม่

การฉีดวัคซีนป้องกันเห็บระฆัง 2 ครั้ง เมื่อปลามีขนาด 10 ตัวต่อกิโลกรัม โดยวัคซีน1ขวดฉีดปลาได้ 800-1000 ตัว ส่วนการฉีดวัคซีนครั้งที่สอง  ห่างกันประมาณ 14-20 วัน โดยในช่วงที่ฉีดวัคซีนต้องใช้ยาสลบที่ชื่อ "ไทสัน"ก่อน

"ปลาที่ฉีดวัคซีนทำให้มีอัตรารอดมากขึ้น"แม่ทองบ่อ บอกเช่นเดียวกับ เบญจา ซึ่งก็มั่นใจที่จะใช้วัคซีนฉีดปลา เพื่อป้องกันโรคแม้ว่าต้องจ่ายค่าลูกปลาเพิ่ม จากตัวละบาทเป็น 8 -10บาทก็ตาม

"การฉีดวัคซีนปลาผิดกฎหมาย"  อดิศร์  บอกในฐานะที่ซีพีเป็นผู้ขายอาหารและลูกปลา เขายืนยันว่า บริษัทของเขาไม่ได้ใช้วัคซีนเพราะผิดกฎหมายและยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก อย.

การฉีดวัคซีนลูกปลาเพื่อป้องเห็บระฆังจึงเป็นคำถามถึงความปลอดภัย แม้ วินิต เองก็รู้สึกตกใจถึงข้อมูลการใช้วัคซีนในปลาของเกษตรกร โดยเขาระบุว่า อย. ไม่เคยขึ้นทะเบียนการใช้วัคซีนในปลาและยังไม่มีการอนุญาตให้ใช้  อีกทั้งไม่มีข้อมูลการการใช้วัคซีนดังกล่าวเลย  ซึ่งในเรื่องนี้เขาพร้อมจะส่งทีมลงไปตรวจสอบ

"การใช้วัคซีนปลาไม่ได้อนุญาตให้ใช้   แต่คิดว่าหากมีการใช้วัคซีนอาจจะดีกว่า ถ้าทำให้การใช้ยาปฏิชีวนะลดลง  ปัญหาใหม่คือทำให้เชื้อดื้อยา ถ้าวัคซีนไม่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันแล้วป้องกันโรคได้จริงปัญหาเชื้อดื้อยาก็จะตามมา "

ปริมาณสารเคมี  สารฟอร์มาลิน และยาปฏิชีวนะรวมไปถึงการใช้วัคซีนในปลาทับทิมและปลานิล แม้จะได้รับการยืนยันจากเกษตรกร ว่าเขาใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ แต่สำหรับผู้บริโภคอย่าง ปองพล เขารู้สึกไม่สบายใจจนกว่าจะได้รับการรับรองจากหน่วยงานอย่างอย.ว่า ปลาที่ขายในตลาดไม่มีสารเคมีตกค้าง สามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย

ขณะที่การตรวจสอบข้อมูล ของกองควบคุมอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กลับไปไม่ถึง โดยไม่เคยมีการสุ่มตรวจปลาทับทิมและปลานิลในตลาด

ที่ผ่านมา สิ่งที่ อย.เก็บตัวอย่างอาหารสุ่มตรวจการปนเปื้อน  มีเพียง เนื้อหมู เครื่องใน และกุ้ง จำนวน 1,175 ตัวอย่าง ซึ่งพบตัวอย่างไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน 139 ตัวอย่าง หรือคิดเป็นร้อยละ 11.83   ส่วนปลาสดและเนื้อปลา โดยเฉพาะในส่วนของปลาทับทิมนั้น  อย. ยังไม่เคยมีการเก็บตัวอย่างสุ่มตรวจ

"จะเน้นไปที่กุ้ง เนื่องจากเคยเป็นสินค้าที่เป็นปัญหาและถูกสั่งห้ามนำเข้าจากสหภาพยุโรป เนื่องจากตรวจพบการใช้สารเคมีจำพวกยาปฏิชีวนะเกินมาตรฐาน ดังนั้นจึงค่อนข้างเข้มงวดในการสุ่มตรวจ"

เจ้าหน้าที่กองควบคุมอาหาร รายหนึ่งบอกว่า ปลาทับทิมส่วนใหญ่เป็นปลาที่รับประทานภายในประเทศและเพิ่งได้รับความนิยมบริโภคในช่วงหลัง จึงยังไม่ได้มีการเฝ้าระวัง ซึ่งหลังจากนี้คงต้องจะมีการเก็บตัวอย่างสุ่มตรวจเพิ่มเติม

ทั้งนี้  กระทรวงสาธารณสุขได้มีประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 268 เรื่องมาตรฐานอาหารที่มีการปนเปื้อนสารเคมีบางชนิด  โดยกำหนดให้อาหารทุกชนิดมีมาตรฐานที่ต้องไม่ตรวจพบการปนเปื้อนสารเคมี (จากเดิมที่กำหนดไว้เฉพาะกุ้งเท่านั้น) ดังนี้ 1.คลอแรมเฟนิคอล 2.ไนโทรฟิวราโซน 3.ไนโทรฟิวแรนโทอิน 4.ฟิวราโซลิโดน 5.ฟิวแรลทาโดน และ 6.มาลาไคต์ กรีน  ซึ่งหากตรวจพบจะถูกดำเนินการข้อหาอาหารไม่ปลอดภัยและผิดมาตรฐาน

อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่กองควบคุมอาหารรายนี้ระบุด้วยว่า การควบคุมมาตรฐานอาหารสดนั้นทำได้ยาก  เพราะเรื่องนี้ต้องดูแลตั้งแต่ต้นทางคือผู้ผลิต เกษตรกร   ซึ่งหน่วยงานที่ดำเนินการเรื่องนี้คือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมปศุสัตว์ การมาควบคุมที่หลังทำได้ยาก เพราะเป็นจุดที่อยู่ปลายเหตุแล้ว

กระบวนการเลี้ยงที่ใช้สารเคมีจำนวนมาก ขณะที่หน่วยงานตรวจสอบความปลอดภัยอาหารอย่าง อย .ยังไม่ดำเนินการ   คงทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากไม่มีทางเลือก และอาจรวมไปถึงร้านอาหารและผู้ค้าคนกลางด้วย  ในยุคที่กระแสความห่วงใยสิ่งแวดล้อม  และจำนวนผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพมีมากขึ้นทุกที  แต่การณ์กลับเป็นว่า  ร้านอาหารและตลาดจำหน่ายปลา  เหลือแต่เพียงปลาเลี้ยงกระชังไม่กี่ชนิดให้บังคับเลือก  ความหลากหลายของปลาธรรมชาติสารพัดชนิดที่หายสูญไป  กับกลไกการตลาดและวงจรการผลิต  ที่ไม่ได้ทำให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น  คงเป็นคำถามใหญ่ยิ่ง  ที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและสังคมจะต้องหาคำตอบ...
IP : บันทึกการเข้า
torpat_jaoka
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 22 กันยายน 2011, 08:53:47 »

บ่กิ๋นละเฮ้ย กลั๋วแต้
IP : บันทึกการเข้า
aommii
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 359


อนาคต กำหนดเอง!!


« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 22 กันยายน 2011, 09:03:06 »

อั๋ยหย๊ะ...ยิ่งชอบๆกินอยู่ แสดงว่าครั้งต่อๆไป ไปตลาดไปเลือกซื้อปลาทับทิมที่สียังสดก็ไม่น่าไว้ใจสิเนี่ย

...สงสัยต้องหันมากินปาหลิมหนองบ้านเฮาเหี๋ยหละก้าหนิ *-*
IP : บันทึกการเข้า

ไม่คล้าน ไม่จน ..
inAus
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 22 กันยายน 2011, 16:18:21 »

ใครจะทานปลา ควรรับประทานปลาท้องถิ่นดีกว่าครับ บ้านเราน้ำมีปลา นามีข้าว ไม่เสี่ยงกับสารตกค้างในร่างกายครับ
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!