เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 20 เมษายน 2024, 22:38:49
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ศาสนา กิจกรรมทางวัด (ผู้ดูแล: ap.41, ลุงหนาน)
| | |-+  บำบัดโรค ด้วยบทสวด
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] 2 พิมพ์
ผู้เขียน บำบัดโรค ด้วยบทสวด  (อ่าน 6407 ครั้ง)
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« เมื่อ: วันที่ 30 สิงหาคม 2011, 00:11:31 »





เชื่อหรือไม่ ว่าหากเราสวดมนต์(ไม่ว่าศาสนาใดก็ตาม) เพื่อให้ใครสักคนหายป่วย แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลก แต่พลังแห่งบทสวดนั้นจะเดินทางไปเยียวยาความเจ็บป่วยของเขาได้ ฮืม เพราะการสวดมนต์บำบัดทำให้เกิดทั้งคลื่นเสียงที่สามารถเดินทางลึกเข้าไปในสมอง และคลื่นไฟฟ้าที่ส่งกระจายไปในชั้นบรรยากาศไกลๆได้

การสวดมนต์บำบัด คือ หลักการหนึ่งของ Vibrational Therapy หรือ Vibrational Medicine คือ การใช้คุณสมบัติของคลื่นบางคลื่นมาบำบัดความเจ็บป่วย ซึ่งมีหลากหลายวิธี อาทิ เก้าอี้ไฟฟ้า เครื่องนวดต่างๆ ก็เป็นVibrational Therapy เช่นกัน แต่เป็นคลื่นไฟฟ้าเชิงฟิสิกส์ ที่เกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต ต่างจาก สวดมนต์บำบัดซึ่งเป็นคลื่นที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต
ดังนั้นมาดูพลังแห่งการสวดมนต์บำบัดกัน ว่าคืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร ฮืม


คลื่นแห่งการเยียวยา

การสวดมนต์ใช้หลักการทำให้เกิดคลื่นเสียงที่มีความสม่ำเสมอ เพื่อเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้เกิดการเยียวยา ซึ่งหากคลื่นเสียงที่มากระทบดังแบบไร้ระเบียบ คือประกอบด้วยเสียงที่มีความถี่ต่างๆกัน ก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อการบำบัดกลไกดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อหูของเราได้ยินเสียง บทสวด ก็จะส่งสัญญาณต่อไปยังศูนย์การได้ยินที่อยู่บริเวณสมองกลีบขมับ ก่อนส่งไปบริเวณก้านสมอง ซึ่งเมื่อได้รับคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาที ก็จะหลั่งสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์มากมาย

เสียงสวดมนต์ด้วยสมาธิ เป็นยา :ให้ผลกับร่างกายเอนกอนันต์

รองศาสตราจารย์ ดร.สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี หัวหน้าภาควิชาการพยาบาลสาธารสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายเพิ่มเติมดังนี้

“สมองของเราเมื่อได้รับการกระตุ้นด้วยคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาทีขึ้นไป จะทำให้เซลล์ประสาทของระบบประสาทสมองสังเคราะห์สารสื่อประสาทหลายๆชนิด

บริเวณก้านสมองจะหลั่งสารสื่อประสาทชื่อ ซีโรโทนิน (serotonin) เพิ่มขึ้น ซึ่ง มีฤทธิ์คล้ายยานอนหลับ ช่วยการเรียนรู้ ลดความเครียด ลดอาการซึมเศร้า ลดระดับน้ำตาลในเลือด และเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทอื่นๆ เช่น เมลาโทนิน ซึ่งเปรียบคล้ายกับยาอายุวัฒนะ เพราะจะช่วยยึดอายุการทำงานของเซลล์ประสาท เซลล์ร่างกาย ให้ชีวิตยืนยาวขึ้น และยังมีคุณสมบัติช่วยให้นอนหลับ เพิ่มภูมิต้านทาน ทำให้เซลล์สดชื่นขึ้น รวมถึง โดปามีน มีฤทธิ์ลดความก้าวร้าวและอาการพาร์กินสัน
นอกจากนี้ปริมาณของซีโรโทนินมีความสัมพันธ์ต่อการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาทอื่นๆ เช่น อะเซทิลโคลีน ช่วยในกระบวนการเรียนรู้และความจำ ช่วยขยายเส้นเลือด ทำให้ความดันลดลง และยังช่วยลดปริมาณ อาร์กินิน วาโซเปรสซิน ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมความก้าวร้าว ความสมดุลของน้ำ และซีโรโทนินยังเข้าไปลดปริมาณของสารเคมีชนิดหนึ่งที่เป็นตัวกระตุ้นของการทำงานของต่อมหมวกไตให้ลดลง ส่งผลให้ระบบประสาทส่วนกลางทำงานน้อยลง ร่างกายจึงรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง และไม่เครียด ภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น

ดังนั้น จุดสำคัญจึงอยู่ที่ร่างกายจะสามารถสร้างสารสื่อประสาทได้หรือไม่ อาจารย์สมพรเสริมว่า

“หลักการสำคัญอยู่ที่หากมีสิ่งเร้า หลายๆประเภทเข้ามารบกวนกระบวนการทำงานของคลื่นสมองพร้อม ๆ กัน ทำให้สัญญาณคลื่นสมองเปลี่ยนไป การหลั่งสารสื่อประสาทจะสับสน ไม่มีผลในการเยียวยา สิ่งเร้านี้มาจากหลายส่วน ทั้งตัวเอง เช่น บางคนปากสวดมนต์ แต่คิดฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่น ก็ไม่ได้ประโยชน์ และการเกิดเสียงดังอื่นๆ เข้ามารบกวนขณะสวดมนต์ เพราะประสาทสัมผัสของมนุษย์รับรู้ได้ไวและอ่อนไหวมาก เรามีตัวประสาทรับสัญญาณมากมาย เรารับสิ่งเร้าได้ทั้งจากทางปาก ตา หู จมูก การเคลื่อนไหว และใจ เหล่านี้ทำให้สัญญาณคลื่นสมองสับสนและเปลี่ยนไป ร่างกายก็จะสร้างซีโรโทนินได้ไม่มากพอ”

และไม่ใช่เฉพาะสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์เท่านั้นที่เราจะได้จากการสวดมนต์ แต่การสวดมนต์ยังทำให้อวัยวะต่างๆได้รับการกระตุ้น คล้ายกับการนวดตัวเองจากการเปล่งเสียงสวดมนต์

สวดมนต์กระตุ้นอวัยวะ

อาจารย์เสถียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต อธิบายหลักการนี้ว่า
“เวลาเราสวดมนต์นานๆ คำแต่ละคำจะสร้างความสั่นสะเทือนไม่เท่ากันตามฐานที่เกิดของเสียงหรือตาม วิธีเปล่งเสียง แม้ว่าเสียงจะออกมาจากปากเหมือนกัน แต่ว่าเสียงบางเสียงออกมาจากริมฝีปาก บางเสียงออกมาจากปุ่มเหงือก บางเสียงออกมาจากไรฟัน บางเสียงออกมาจากคอ ดังนั้น ถ้าเราสวดมนต์ถูกต้องตามฐานกรณ์จึงเกิดพลังของการสั่น” และเมื่อเกิดพลังของการสั่น

การสั่นนี้จะเข้าไปเยียวยาอาการป่วยได้อย่างไร? อาจารย์เสถียรพงษ์อธิบายต่อว่า

“เวลา เราสวดมนต์ เสียงสวดจะไปช่วยกระตุ้นต่อมต่างๆ ซึ่งจะช่วยปราบเชื้อโรคบางชนิด เช่นการวิจัยของฝรั่ง พบว่า อักษร เอ บี ซี ดี จะช่วยกระตุ้นระบบน้ำย่อย ส่วนบทสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา เสียงอักขระแต่ละตัวมีคำหนักเบาไม่เท่ากัน บางตัวสั่นสะเทือนมาก บางตัวสั่นสะเทือนน้อย ทำให้ต่อมต่างๆในร่างกายถูกกระตุ้น เมื่อต่อมที่ฝ่อถูกกระตุ้นบ่อยๆเข้า ก็คงคืนสภาพ อาการป่วยก็จะดีขึ้น”


นอกจากนี้ยังมีบทความที่อธิบายเกี่ยวกับการฝึกเปล่งเสียงเพื่อรักษาโรคจากเสียงต่างๆ เช่น

โอม กระตุ้น หน้าผาก, ฮัม กระตุ้น คอ, ยัม กระตุ้น หัวใจ, ราม กระตุ้น ลิ่นปี่, วัม กระตุ้น สะดือ, ลัม กระตุ้น ก้นกบ เป็นต้น

แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้น การสวดมนต์ให้ประโยชน์ทางใจที่มีคุณค่ากับผู้สวด

รองศาสตราจารย์จุฑาทิพย์ อุมะวิชนี ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สรุปว่ามี 2 ข้อคือ

1.การสวดมนต์เป็นเครื่องช่วยให้เกิดสมาธิ โดยต้องสวดเสียงดัง ให้หูได้ยินเสียงตัวเอง และจิตใจต้องจดจ่ออยู่กับเสียงสวด เมื่อใจไม่ฟุ้งไปที่อื่น ใจอยู่กับเสียงเดียว จึงเกิดสมาธิ

2.ถ้าเข้าใจความหมายของบทสวดนั้นๆ จะทำให้เรามีความเลื่อมใสศรัทธา เพราะบทสวดของทุกศาสนาเป็นเรื่องของความดีงาม จิตใจก็จะสะอาดขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น เป็นการยกระดับจิตใจของผู้สวด

เมื่อร่างกายที่รับสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์และการกระตุ้นระบบอวัยวะต่างๆ ให้ทำงานเป็นปกติ เท่ากับว่าเราได้ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ย่อมทำให้ภูมิชีวิตดีขึ้นเป็นลำดับ ความป่วยก็จะดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยในต่างประเทศที่อาจารย์สมพร สรุปให้ฟังว่า


การสวดมนต์ช่วยบำบัดอาการป่วยและโรคร้าย ดังต่อไปนี้>

1. หัวใจ 2. ความดันโลหิตสูง 3. เบาหวาน 4. มะเร็ง 5. อัลไซเมอร์ 6. ซึมเศร้า 7. ไมเกรน 8. ออทิสติก 9. ย้ำคิดย้ำทำ 10. โรคอ้วน 11. นอนไม่หลับ 12.พาร์กินสัน



สวดมนต์อย่างไร? ให้หายจากโรค

สวดมนต์บำบัดมีวิธีการและจุดประสงค์ที่หลากหลาย สรุปออกมาได้ 3 แบบ


1.การสวดมนต์ด้วยตัวเอง

เป็นการเหนี่ยวนำตัวเอง จึงเป็นที่มาของคำว่า Prayer Therapy ถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะหากใครสักคนคิดที่จะสวดมนต์ นั่นหมายความว่าเขากำลังมีความปรารถนาดีต่อตนเอง วิธีการที่อาจารย์สมพรแนะนำคือ

-ควรสวดด้วยตัวเอง และไม่ควรสวดมนต์หลังกินอาหารทันที ควรทิ้งช่วงให้ร่างกายเริ่มผ่อนคลาย อาจเป็นเวลาก่อนเข้านอน

- หาสถานที่ที่สงบเงียบ

-สวดบทสั้น ๆ 3-4 พยางค์ โดยใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีขึ้นไป จะทำให้ร่างกายได้หลั่งสารซีโรโทนิน แต่หากสวดมนต์ด้วยบทยาวๆ จะได้ความผ่อนคลายและความศรัทธา

-ขณะสวดมนต์ให้หลับตา สวดให้เกิดเสียงดังเพื่อให้ตัวเองได้ยิน


2.การฟังผู้อื่นสวดมนต์

เป็นการเหนี่ยวนำโดยคลื่นเสียงจากผู้อื่น เช่น การฟังเสียงพระสวดมนต์ เสียงผู้นำสวดในศาสนาต่างๆ หากผู้สวดมีสมาธิ เสียงสวดนั้นจะนุ่ม ทุ้ม ทำให้เกิดคลื่นที่ช่วยเยียวยา(healing)ผู้ฟัง แต่หากผู้สวดไม่มีสมาธิ ไม่มีความเมตตา เสียงสวดที่เกิดขึ้นอาจเป็นคลื่นขึ้นๆลงๆ นอกจากจะไม่ช่วยเยียวยาอาการป่วย อาจทำให้เสียสุขภาพได้


3.การสวดมนต์ให้ผู้อื่น

ปรากฏการณ์มากมายที่เราเห็นในสังคม เมื่อใครสักคนเจ็บป่วย เรามักสวดมนต์อธิษฐานขอให้ความเจ็บป่วยของเขาหายไป บางครั้งอยู่ห่างกันคนละซีกโลก เสียงสวดมนต์เหล่านี้จะมีผลทำให้สุขภาพเขาดีขึ้นจริงหรือไม่ อาจารย์สมพรอธิบายดังนี้

คลื่นสวดมนต์ เป็นคลื่นบวก เพราะเกิดจากจิตใจที่ดีงาม ปรารถนาดีต่อผู้ป่วย และเมื่อเราคิดจะส่งสัญญาณนี้ออกไปสู่ที่ไกลๆ มันจะเดินทางไปในรูปของคลื่นไฟฟ้า ซึ่งมนุษย์มีเซลล์สมองที่สามารถส่งสัญญาณคลื่นไฟฟ้าและสารเคมีได้ถึง สิบยกกำลังสิบ คลื่นนี้จึงเดินทางไปได้ไกลๆ

บางทีพ่อกำลังป่วยหนักอยู่ที่นี่ แต่ลูกอยู่ต่างประเทศ ก็สามารถรับคลื่นนี้ได้และรู้ว่ามีใครกำลังไม่สบาย ที่เราเรียกว่า ลางสังหรณ์หรือสัมผัสที่หก

“การ รับรู้ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้รับผู้ส่งด้วย ถ้าคนไหนรับสัญญาณคลื่นแห่งบทสวดมนต์ได้จึงได้ผล เหมือนเราเปิดวิทยุ ถ้าคนฟังปิดหูก็จะไม่ได้ยิน ดังนั้นถ้าต่างฝ่ายต่างเปิดรับคลื่นบวกที่เราส่งไปผู้ป่วยก็จะได้รับ และทำให้อาการป่วยดีขึ้นได้ ไม่ใช่เรื่องของความมหัศจรรย์ แต่เป็นหลักธรรมชาติทั่วไป"



เลือกสวดมนต์อย่างไร? ถึงจะดี

แล้วบทสวดที่เลือกควรใช้บทไหนดี อาจารย์สมพรแนะนำว่า

“น่าแปลกที่บทสวดในศาสนาส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีจังหวะขึ้นๆ ลงๆ เหมือนจังหวะเพลง จะมีโทนเสียงแค่ไม้เอกไม้โทเท่านั้น สักสามสี่พยางค์ มาสวดซ้ำไปมาได้ทั้งนั้น พระพุทธศาสนา มีบทสวดมากมายหลายบท ให้เลือกใช้ตามความชอบ ยกตัวอย่างเช่น อิติปิโส หรือนะโมตัสสะ นะโมพุทธายะ หรือสัพเพสัตตา ฯลฯ เลือกท่อนใดท่อนหนึ่งแล้วสวดวนไปวนมา หรือโพชฌงค์ 7 ที่หลายคนนิยมสวดให้ตัวเองหรือคนไข้หายป่วย

“ข้อ ที่น่าสังเกตคือ บทสวดโพชฌงค์ 7 จะมีความแตกต่างจากบทสวดอื่นๆคือ คลื่นเสียงของบทสวดจะมีแค่เสียงสระ มีแค่สองจังหวะ คลื่นเสียงจากบทสวดจึงทำให้เกิดคลื่นที่เยียวยาได้ดีที่สุด”

อยากให้ตัวเองและผู้อื่นมีสุขภาพกายใจเป็นสุขและยังน้อมนำกุศลจิต

เริ่มจากการสวดมนต์เป็นประจำด้วยสมาธิ


จาก นิตยสารชีวจิต ฉบับแรกของเดือนมกราคม 2551
เรื่องVibrational Therapy : สวดมนต์บำบัด โดย: ชมนาด


* 1_display.jpg (41.15 KB, 425x296 - ดู 645 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
แชทซาโนย่า กอยุ่ง~*-.
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,309


*..ปรับปรุงระบบ..*


« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 30 สิงหาคม 2011, 00:21:19 »


ขอบคุณมากค่ะ  ยิ้มเท่ห์
IP : บันทึกการเข้า

ஐ.¸¸.·´¯`¸¸.·•.¸¸.•´´¯`•(^)•♥ คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างในกำลังพัง คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย [ว.วชิรเมธี]ஐ.¸¸.·´¯`¸¸.·
Yim sri
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,753



« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 30 สิงหาคม 2011, 00:23:33 »

ตามมาอ่านสาระดีดี เรื่องดีดี ของท่านพี่P ค่ะ ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า

ธ สถิตย์ในใจตราบนิรันดร์กาล
sweets
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 30 สิงหาคม 2011, 14:34:57 »

 ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ
ขอบคุณสำหรับสาระดีๆค่ะ
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 31 สิงหาคม 2011, 16:02:32 »

  ยิ้มเท่ห์
IP : บันทึกการเข้า
Beebie13
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 04 กันยายน 2011, 10:32:48 »

 ยิ้มเท่ห์ ยิ้มเท่ห์ ยิ้มเท่ห์
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 04 กันยายน 2011, 13:41:03 »

การเวียนว่ายตายเกิดและกฎแห่งกรรม แม้จะมีจริงเป็นจริง
โดยปราศจากข้อสงสัย และเป็นที่รับรองของพระพุทธองค์
ดังปรากฏในหลักปฏิจจสมุปบาทแล้วก็ตาม แต่พุทธศาสนิกชน
อีกจำนวนมากก็ยังเคลือบแคลงว่าจะมีจริงเป็นจริงหรือไม่
บางคนถึงกับไม่เชื่อ โดยอ้างว่าเป็นเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้
ตามหลักวิทยาศาสตร์  เข้าทำนองว่า กุ้ง หอย ปู ปลา ซึ่งเป็น
สัตว์น้ำ อาศัยอยู่แต่ในน้ำ  ไม่มีโอกาสขึ้นบนบก ย่อมคิดว่า
โลกทั้งโลกมีแต่สรรพสิ่งที่เห็นในน้ำเท่านั้น  จึงไม่ยอมรับว่า
แท้จริงยังมีสิ่งต่างๆ อีกมากมายที่อยู่บนบก และในอากาศ

หากกุ้ง หรือ ปลา ตัวใดตัวหนึ่ง ไปบอกกับพรรคพวกของมันว่า
โลกนี้ยังมีเครื่องบิน  มีโทรทัศน์  มีรถยนต์ ฯลฯ บรรดากุ้ง ปลา
ทั้งหลายที่อยู่ในน้ำก็คงไม่เชื่อ  เพราะมันไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้
และไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยกระบวนการทางความรู้ที่มันมีอยู่

ดังนั้น  ความจริงกับความเชื่อของมนุษย์นั้นก็เช่นกัน
สิ่งที่มนุษย์เชื่อ อาจจะมีจริงหรือไม่มีจริงก็ได้ และสิ่งที่มีอยู่จริง
มนุษย์อาจจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้

การอาศัยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มาเป็นเครื่องตัดสินความจริง
ที่มีอยู่เป็นอยู่ทั้งหมด จึงมิใช่เรื่องที่น่าจะถูกต้องนัก เพราะ
วิทยาศาสตร์อยู่ในกระบวนการที่จะต้องพัฒนาอีกมาก สิ่งที่
วิทยาศาสตร์ค้นพบและพิสูจน์ได้ในปัจจุบันเป็นเพียงส่วนน้อยนิด
ของสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ในสากลจักรวาล

โดยเฉพาะเรื่องจิตวิญญาณ เป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์และวิทยาการ
ทางการแพทย์ยังเข้าไม่ถึงแก่น

ดังนั้น ปรากฎการณ์ทางจิตวิญญาณ จึงเป็นเรื่องเร้นลับสำหรับ
มนุษย์ และเป็นเรื่องที่คนบางคนยอมรับได้ แต่คนอีกบางส่วน
ไม่ยอมรับ ซึ่งขึ้นอู่กับทิฎฐิของแต่ละคน

สำหรับคนที่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดและกฎแห่งกรรม
ก็นับว่าเป็นกุศล  เพราะผู้ที่มีความเชื่อเป็นสัมมาทิฎฐิแล้ว
คงจะระมัดระวังการใช้ชีวิตของตน โดยลดในสิ่งที่เป็นบาป
และสร้างเสริมสิ่งที่เป็นบุญ เพื่อความสุขความเจริญงอกงาม
ของชีวิต  ทั้งในปัจจุบันและอนาคตอันยาวไกล

จาก “ชมรมกัลยาณธรรม” ยิ้ม


* 889.gif (18.57 KB, 80x80 - ดู 574 ครั้ง.)

* 039 (1).jpg (35.64 KB, 550x413 - ดู 1106 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 19 ตุลาคม 2011, 22:23:47 โดย ๋๋P » IP : บันทึกการเข้า
Pinky
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 129



« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 05 ตุลาคม 2011, 21:48:26 »

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดี ๆ คะ่
IP : บันทึกการเข้า
Alony
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 649


^_____^


« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 18 ตุลาคม 2011, 22:02:51 »



จะเริ่มสวดมนต์ แผ่เมตตาก่อนนอนทุกคืนต่อไปนี้ ยิ้ม ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

" ฉันจะมองแต่ข้อดีของผู้คน เพราะตัวฉันเองก็ไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบ ฉันจึงไม่บังคับที่จะตรวจสอบข้อผิดพลาดของผู้อื่น " ( Mahatma Gandhi )
AserityShop
มีของก็ขาย ไม่มีก็ไม่ขาย ก็แค่นั้นครับ
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,700


¬AserityShop¬


« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 18 ตุลาคม 2011, 22:35:36 »

ขอบคุณข้อมูลดีๆครับ ผมจะฟังเพลงบทสวดทุกวันก่อนนอนทุกวันครับ แหะๆ   ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

ซื้อขายมั่นใจ 100% เช็คประวัติได้ เป็นคนง่ายๆไม่ซับซ้อน (^_^)
ติดต่อ Tel: 099-2494781,0643273958
ไลน์:aserityshop

งดคุยเล่นในเวลาราชการ หลัง 22.00 น.งดติดต่อทุกกรณี
Alony
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 649


^_____^


« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 18 ตุลาคม 2011, 22:44:45 »

ขอบคุณข้อมูลดีๆครับ ผมจะฟังเพลงบทสวดทุกวันก่อนนอนทุกวันครับ แหะๆ   ยิ้ม




ฟังเพลงแผ่เมตตาไปก่อนก็ได้นะ ฮี่ๆ

เอามาฝากจ้ะ ยิ้ม



IP : บันทึกการเข้า

" ฉันจะมองแต่ข้อดีของผู้คน เพราะตัวฉันเองก็ไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบ ฉันจึงไม่บังคับที่จะตรวจสอบข้อผิดพลาดของผู้อื่น " ( Mahatma Gandhi )
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 19 ตุลาคม 2011, 22:15:22 »

Professor John Lorber of Sheffield University เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน
กะโหลกศีรษะมนุษย์ เขาได้เก็บข้อมูลและค้นคว้าเรื่องเกี่ยวกับสมองของคน

วันหนึ่งเขาได้เจอ นักศึกษาชายคนหนึ่ง ในสายตาคนอื่นเขาดูเป็นปรกติ
แต่ โปรเฟสเซ่อร์ มองปราดเดียวก็ รู้ว่ามีบางอย่างผิดปรกติกับกะโหลกศีรษะ
ของนักเรียนคนนี้
 
เขาได้เข้าไปพูดคุยและพบว่า นักศึกษาคนนี้เป็นนักเรียนที่เรียนเก่งมาก
เขาได้เกียรตินิยมอันดับ1 สาขาคณิตศาสตร์ เขาขอให้นักศึกษามาเป็น
ตัวอย่างในงานวิจัย

เขานำเด็กคนนี้ไปทำ ซีทีสแกนสมอง และพบว่านักศึกษาคนนี้ไม่มี “สมอง!!!! "
ในกะโหลกศีรษะของเขามีแค่เนื้อเยื่อเส้นบางๆขนาด1 มม!! แล้วที่เหลือ
เป็นของเหลว!!!

เป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์อึ้ง!! เป็นไปได้ยังไง? คนไม่มีสมองจะคิดได้ ?
คิดได้เก่งจนเรียนได้เกียรตินิยมอันดับ 1? และมีไอคิวถึง 126
วิทยาศาสตร์ยอมรับไม่ได้!!

ตอนแรกงานวิจัยเรื่องนี้ถูกเก็บไว้(เหมือนงานวิจัยอีกหลายตัว) เพราะมัน
เป็นการท้าทายวิทยาศาสตร์มาก แต่สุดท้าย professor John Lorber
ได้ตัดสินใจลงตีพิมพ์ ใน the Gaurdian วิทยาศาสตร์ไม่กล้าที่จะยอมรับว่า
 ความคิดของคนเราไม่ได้ใช้สมองสั่ง!!


แต่ พุทธศาสนาได้บอกไว้ตั้งแต่เมื่อ 2500 กว่าปีว่า จิตใจ หรือ ความคิด
หรือปัญญา (mind) นั้นคือผู้คิด!! ไม่ใช่สมอง (brain) พุทธศาสนาบอกว่า
กายหรือขันธ์5 ไม่สำคัญเท่ากับ "จิต (mind) "


เวลาเรามี ความสุขมากๆ ปลื้มใจสุดๆ เรารู้สึกมันได้ หรือเวลาเราเสียใจ
 ร้องไห้อย่างขมขืน เรารู้สึกได้ว่ามันทุกข์จริงๆ แต่ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหน
ทำเครื่องมือที่จะวัด ว่าความสุข หรือทุกข์ของเรา มันมีค่าเท่าใด? วิทยาศาตร์วัดไม่ได้!!


หลายคนที่อยู่ในโคม่า สมองตาย แต่จริงๆแล้วเขายังรับรู้ได้ ใน พุทธศาสนา
“ความตาย ของร่างกาย”จึงไม่ใช่ จุดจบของชีวิต เพราะ จิต mind ยังจะคงอยู่ต่อไปเรื่อยๆ และด้วยจิตตัวนี้ที่คิดดี หรือ คิดชั่ว จะพาเราไปเกิดในที่ดีและที่ไม่ดี
ท่านจึงบอกว่าให้เรารักษา จิต mind ของเราให้ดีเสมอ....

http://watbuakkhrok.com/articles-10.html


* 3-1.jpg (49.54 KB, 550x563 - ดู 952 ครั้ง.)

* 264160jtlxjsfw1f.gif (3.32 KB, 50x50 - ดู 490 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 19 ตุลาคม 2011, 22:17:59 โดย ๋๋P » IP : บันทึกการเข้า
Toy88
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,730


โลกจะสงบสุขถ้าทุกคนมอบความรักให้แก่กัน


« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 21 ตุลาคม 2011, 04:52:31 »

เป็นสิ่งที่ดีมากๆ ครับ อย่างน้อยๆก็ทำให้จิตสงบไม่ฟุ้งซ่าน ยามเกิดภัยพิบัติ
หายารักษาโรคไม่ได้ บทสวดก็เป็นยารักษาโรคภัย ไข้เจ็บดีที่สุดครับ เจ๋ง
IP : บันทึกการเข้า

เหนือฟ้ายังมีฟ้่า เหนือคนยังมีคน
 แต่ไม่มีอะไรเหนือกฎแห่งกรรม
Ck 401
"....เมื่อเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา ก็ไม่มีอะไรมาทำให้ทุกข์ได้อีก...."
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,267


...งานหนักไม่เคยฆ่าคน...


« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 22 ตุลาคม 2011, 12:41:25 »

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

"....คณะเรา ไม่ยอมให้ด้อยถอยลง ต่ำเราต้องค้ำชูให้สูงจรุงศรี....."
....เมื่อเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา  ก็ไม่มีอะไรมาทำให้ทุกข์ได้อีก...."
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #14 เมื่อ: วันที่ 01 มกราคม 2012, 20:33:34 »

สวัสดีปีใหม่ครับ  ยิ้มกว้างๆ

ทำไม.....ต้องทำบุญ
 
เพราะบุญเป็นพลังงานที่มีพลังดึงดูดความเจริญมาสู่ชีวิต
เป็นต้นเหตุแห่งความสุข ความสำเร็จในชีวิต
ถ้ามีบุญน้อย.....อุปสรรคในชีวิตก็มาก
ถ้ามีบุญมาก.....อุปสรรคในชีวิตก็น้อย
ถ้าบุญอ่อนกำลังลงหรือหมดบุญ
บาปที่เคยทำไว้ ก็จะได้โอกาสส่งผล
ทำให้ชีวิตมีอุปสรรคต่าง ๆ นานา
เช่นเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีความสุข หมดอำนาจวาสนา
เสียชื่อเสียงเกียรติยศ แม้คนที่รักกันก็หมดรัก
แม้ทรัพย์ที่มีน้อยนิดก็ยังรักษาไว้ไม่ได้เลย

คำสอนพ่อ.......



ลูกเอ๋ย...ยามที่พ่อแม่ของเจ้ามีอายุมากขึ้น ย่อมมีโรคภัยไข้เจ็บ
มาเบียดเบียน ความแข็งแรงของร่างกายที่เคยมีก็ลดลง ใจน้อย
โกรธง่าย ความจำก็เสื่อม ขี้หลงขี้ลืม จิตใจก็หมดความสุขสดชื่น

ถึงแม้พวกเจ้าจะคอยเอาใจใส่ดูแลใกล้ชิดสักเพียงใดก็ตาม
... ก็ไม่อาจช่วยให้พ่อแม่ของเจ้ามีความสุขได้เต็มที่ เพราะพวกเจ้าทุกคน
ต่างก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เจ้าช่วยท่านให้ได้รับความสุข
เพียงการให้กินอยู่หลับนอน อันเป็นความสุขทางกายเท่านั้น

แต่จิตใจของท่าน หาได้ร่าเริงสดชื่นผ่องใสไม่ เจ้าจงจำไว้ว่า
การให้ความสุขแก่พ่อแม่อย่างแท้จริงก็คือ การให้ธรรมะ
ด้วยการสอนหลักธรรมง่ายๆ ให้พ่อแม่ของเจ้า พาท่านไปทำบุญทำทาน

สอนท่านให้รู้จักการปฏิบัติบูชา สวดมนต์ ภาวนา แผ่เมตตา
ธรรมะจะอยู่ในจิตใจของพ่อแม่เจ้าทุกภพทุกชาติ ถือว่า
เป็นการทดแทนพระคุณที่สูงสุด เจ้าจงจำไว้นะลูกเอ๋ย.....

"ธรรมโอสถ".โอวาทของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)


* 00032_26.gif (31.58 KB, 128x128 - ดู 406 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 01 มกราคม 2012, 20:39:15 โดย ๋๋P » IP : บันทึกการเข้า
>_อนัตตา_<
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,367



« ตอบ #15 เมื่อ: วันที่ 02 มกราคม 2012, 19:48:38 »

สาธุ _/\_  ยิ้มกว้างๆ ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #16 เมื่อ: วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2012, 00:34:38 »

การสวดมนต์เป็นการสวดธรรมะของพระพุทธเจ้า
จึงอยากให้เริ่มสวดมนต์กันทุกวัน
 
เพราะการสวดมนต์จะได้กุศล ก่อให้เกิดคลื่นเสียงแห่งกุศล
ทำให้จิตมีสมาธิ ไม่ขุ่นมัว

คลื่นเสียงของการสวดมนต์จะทำให้โมเลกุลของน้ำในร่างกายเรียงตัว
ทำให้ผู้ที่สวดมนต์เป็นประจำจะมีเลือดลมดี ผิวพรรณดี หน้าตาแจ่มใส

(ท่านแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต)


* bg6.jpg (25.03 KB, 500x601 - ดู 364 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
punkpond
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #17 เมื่อ: วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2012, 13:15:09 »

ขอบคุณทุกท่านที่มอบสิ่งดีๆ ให้ได้อ่านกันครับ
IP : บันทึกการเข้า
พลายชุมพล
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,631


« ตอบ #18 เมื่อ: วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2012, 05:41:36 »

 ;Dขอบคุณดีครับ ชอบมากๆโดยเฉพาะสวดบูชาเจ้าแม่กวนอิม
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #19 เมื่อ: วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2012, 13:19:41 »

สมัยที่ท่านพระอาจารย์มั่นพักอยู่บนดอยปะหร่องกับพระอาจารย์มณู
ตอนเช้าเที่ยวบิณฑบาตร ให้พรชาวบ้าน ..พอให้พรเสร็จ"สุขัง พะลัง"จบ
ท่านได้สอนให้ชาวบ้านกล่าว "สาธุ" พร้อมกันด้วยเสียงสูง..

ท่านเล่าเป็นเชิงตลกว่า.."มือทั้งสองข้างของเขาชูขึ้นข้างบน เหมือนบั้งไฟจะขึ้นสู่ท้องฟ้า ว่างั้น"


วันหนึ่งท่านนั่งพักในส่วนที่ทำเป็นที่พักกลางวัน มีเทพพวกหนึ่งมาจากเขาจิตรกูฏ อยู่ไหนไม่รู้ เราก็ไม่รู้จัก.

มาถามท่านว่า...

"เสียงสาธุ สาธุ สาธุอะไร? สะเทือยสะท้านทุกวัน พวกเทพทั้งหลายได้ฟังมีความสุขไปตามๆกัน"

ท่านมาพิจารณาว่า.เสียงอะไรที่ไหน?.. จึงระลึกได้ว่า เสียงสาธุการของชาวบ้านตอนถวายทานนั่นเอง.

พอรับทราบแล้วพวกทวยเทพก็กล่าวว่า "เขาก็สาธุการด้วย" แล้วทำประทักษิณเวียนขวาลา
กลับ... ส่วนมากพวกทวยเทพเขาจะทำอย่างนั้น.

ท่านเลยมาพิจารณาต่อว่า..

พุทธมนต์นั้นใครสวดก็ตาม จะเป็นกิจวัตรของพระสงฆ์เช้า-เย็น หรือชาวพุทธทุกคนสวดพุทธคุณ
หรือระลึกในใจ มีอานุภาพแผ่ไปได้หมื่นจักรวาล

พูดสวดออกเสียงพอฟังได้ มีอานุภาพแผ่ไปได้แสนจักรวาล

สวดมนต์เช้าเย็นธรรมดา มีอานุภาพแผ่ไปได้แสนโกฏิจักรวาล

สวดเต็มเสียงสุดกู่ มีอานุภาพแผ่ไปได้อนันต์จักรวาล


แม้สัตว์ที่อาศัยอยู่ในสามภพและที่สุดอเวจีมหานรก ยังได้รับความสุขเมื่อแว่วเสียงพุทธมนต์ผ่านลงไปถึง
ชั่วขณะหนึ่งครู่หนึ่ง (ชั่วช้างพับหูงูแลบลิ้น) ดีกว่าหาความสุขไม่ได้เลยตลอดกาล.

นี้คืออานิสงค์ของพระพุทธมนต์ ท่านอาจารย์ว่าอย่างนี้. (ท่านอาจารย์= หลวงปู่มั่น ภูริฑตฺโต)

*จากหนังสือรำลึกวันวาน...โดย..ท่านพระอาจารย์ทองคำ จารุวณฺโณ

.......................................

ใครไม่มาสาธุใส่กระทู้นี้ ระวังจะไม่ได้ความสุขเน้ออออออ....


* zz5f9f9718e670z1.jpg (75.22 KB, 473x246 - ดู 544 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!