สกลฯ+นครฯ ถือว่าเป็นแอ่งอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่แห่งนึง
ผมจะมาเล่าตำนานพระธาตุ 3 องค์ ให้ท่านได้อ่านกัน ผมได้ยินได้ฟังมาจาปู่ผมเอง จริงเท็จประการใดก็ฟังหูไว้หู
แต่ก่อนพระอรหันต์หลายองค์ ประชุมกันแล้วว่าจะนำพระอุรังคธาตุ (อัฐิส่วนหน้าอก)มาประดิษฐานอยู่ทางทิศนี้
ก็ให้มีการสร้างพระธาตุเพื่อบรรจุขึ้น แต่ก็ตกลงกันไม่ได้ ว่าจะสร้างกันขึ้นที่เมืองใด ระหว่าง 2 เมืองนี้ของ 2 เจ้าเมือง
ระหว่าง 2 เจ้าเมืองก็อยากสร้างขึ้นที่เมืองของตน ก็ได้เกิดการแข่งขันกันสร้างพระธาตุขึ้น แห่งหนึ่งที่ภูกำพร้า และอีกแห่งนึ่งก็เป็นเนินหรือภูเหมือนกัน
โดยมีเงื่ออนไขว่าให้เสร็จก่อนวันเพ็ญเดือน 3 ก็ได้เริ่มการสร้าง โดยกุสโลบายของแต่ละเจ้าเมืองมีดังนี้
เมืองหนองหานหลวงได้ใช้กำลังชายสร้าง เพราะมีผู้ชายมากกว่า ส่วนเมืองศรีโครตบูรณ์ได้ใช้กำลังผู้หญิงสร้าง
และให้ทำการ
"ปะนม" (ปล่อยนม) สร้าง ทางเจ้าเมืองหนองหานหลวงก็ได้ส่งผู้ชายไปดูลาดลาวตลอดว่าสร้างถึงไหนแล้ว
แต่ไปกี่ชุดกี่ชุดก็ไม่ได้กลับมา (สงสัยติดใจของดี

) กลับไปสร้างช่วยเค้าอีก ทำให้พระธาตุสร้างไม่เสร็จก่อนวันเพ็ญเดือน 3
และไม้ได้บรรจุสิ่งดังกล่าว และตอนนี้ก็กลายเป็น
พระธาตุนารายณ์เจงเวง อยู่หลังตลาดบ้านธาตุ สกลนคร ตั้งมา ณ ปัจุบัน
ส่วนอีกพระธาตุก็ได้เรียกว่า
พระธาตุปะนม และได้บรรจุสิ่งดังกล่าว และเพี้ยนมาว่า
พระธาตุพนม ณ ปัจจุบัน
ทำให้เจ้าเมืองหนองหานหลวงเสียพระทัยมาก แต่พระอรหันต์ก็ได้ทำการประชุมรอยเท้าในแผ่นหินให้
ทางเจ้าเมืองก็ได้สร้างพระธาตุครอบ กลายเป็น
พระธาตุเชิงชุม (ประชุมรอยเท้าพระอรหันต์มากที่สุด) ในปัจจุบัน
ซึ่งถ้าใครได้ไปก็อย่าลืมไปดูไปนมัสการแล้วกัน เค้าจะมีงานใหญ่ทุกปี ทั้ง 2 พระธาตุ ยกเว้นพระธาตุนารายณ์เจงเวง แต่ก็มีอยู่
เมืองนครพนมได้ตั้งขึ้นตามชื่อนี้ก็สมัย รัชกาลที่ 1 เอง แปลว่า "เมืองภูเขา" เพราะมีเขาล้อมรอบ แต่จะเป็นอีกฝั่งของน้ำโขง
เห็นมั้ยเค้ามีประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่กว่าการกินเนื้อหมาเยอะ กรุณาอย่าได้เอาไปเป็นประเด็น ถึงจะกินหมา แต่ไม่ได้ปาก...หนา.
