หน้าด้าน อ้างมวยไทยเป็นศิลปะการต่อสู้ของเกาหลีใต้ อ้างสืบทอดมาจากอียิปต์
ลุ่มผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจำนวนมาก ในเว็บไซต์ pantip.com ออกมาโวยลั่นหลังจากที่มีภาพศิลปะการต่อสู้ที่เรียกว่า Kyuk too ki เผยแพร่ใน youtube พร้อมทั้งระบุว่าศิลปะการต่อสู้ชนิดนี้เป็น Korean kickboxing และมีการสืบทอดจากประเทศอียิปต์ ก่อนที่จะผ่านมายังประเทศเกาหลีใต้
นอกจากนี้ คลิปดังกล่าว ได้ระบุว่า Kyuk too ki สามารถใช้อวัยวะทุกส่วนในการต้อสู้ได้ทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น กำปั้น, ข้อศอก, ล็อคคอตีเข่า, เตะ, การจับล็อค, การทุ่มแบบยูโด และ การรัดคอ
ซึ่งมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับมวยไทยมากเป็นพิเศษ แต่สิ่งที่เพิ่มเติมจากมวยไทย คือ Kyuk too ki สามารถทุ่มแบบยูโด และ การล็อคคอพร้อมกดลูกกระเดือก นอกจากนี้ Kyuk too ki ยังมีผ้าประเจียดผูกที่ต้นแขนเหมือนกับมวยไทย อีกด้วย
คลิปดังกล่าว ได้ระบุว่า ต้นกำเนิดของศิลปะ Kyuk too ki เป็นที่รู้จักกันดีในประเทศอียิปต์ และ นักรบอียิปต์โบราณจะใช้ศิลปะการต่อสู้ดังกล่าวในสงคราม
นอกจากนี้ ยังมีการบันทึกไว้ว่าการต่อสู้ชนิดนี้จะต้องมีการพันผ้าบนมือเปล่าและต่อสู้ บนเวทีที่ถูกกำหนดไว้คล้ายกับเวทีมวยในปัจจุบัน ก่อนที่จะเผยแพร่มายังประเทศเกาหลีใต้ ก่อนที่จะมีการจัดตั้งเป็นสมาคม kyuk too ki ในปี 1970
ด้าน “เสี่ยตังค์” ปิยะรัตน์ วชิรรัตนวงศ์ โปรโมเตอร์มวยไทยคนดังทายาทของ “เสี่ยเน้า” วิรัตน์ วชิรรัตนวงศ์ ได้ให้สัมภาษณ์ว่าตนเองไม่เคยรู้ว่าทางเกาหลีใต้ มีการจัดการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ที่เหมือนกับมวยไทยชนิดนี้มาก่อน
แต่ทางโปรโมเตอร์ สามารถจัดแข่งขันในประเทศได้ ไม่ผิดแต่อย่างใด แต่ถ้าเป็นระดับนานาชาติอาจต้องมีการพูดคุยกันอีกครั้ง
ตน เองมองว่าการนำศิลปะแม่ไม้มวยไทย ไปประยุกต์เป็นของตนเอง เป็นเรื่องที่ทำได้ เพราะก่อนหน้านี้การแข่งขัน K-1 ที่ประเทศญี่ปุ่น ก็เคยนำมวยไทย ไปใช้ในการแข่งขันเหมือนกัน
แต่ได้ห้ามการใช้ศอกออกไปเท่านั้น ซึ่งสามารถทำได้ แต่เป็นการเสียมารยาท ที่นำศิลปะมวยไทยมาเปลี่ยนชื่อและเพิ่มรูปแบบเข้าไป
นอกจากนี้ ทายาทโปรโมเตอร์มวยชื่อดังได้ เผยว่า หากเกิดเหตุการณ์การลอกเลียนศิลปะจริง ตนเชื่อว่าในอนาคตก็จะมีประเทศอื่นๆ นำเอามวยไทย มาประยุกต์ ดัดแปลง และอ้างว่าเป็นศิลปะประจำชาติ
ต้อง ขอวิงวอนให้รัฐบาล ใส่ใจกับศิลปะวัฒนธรรมไทยให้มากกว่านี้ เพราะศิลปะมวยไทย เป็นมรดกตกทอดซึ่งเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษมาถึงลูกหลานสมควรที่จะสืบสาน ต่อไป
เพราะทางภาคเอกชนคงไม่สามารถจัดการอะไรได้มากนัก ต้องขึ้นกับภาครัฐ ว่าจะจัดการอย่างไร ตนเองพร้อมที่จะสนับสนุนด้านข้อมูลและการช่วยเหลือต่างๆ เต็มที่
ที่มา
www.sanook.com
หน้าหลักเว็บไซต์
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."
ผู้เขียน
