เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 19 เมษายน 2024, 22:40:44
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ศาสนา กิจกรรมทางวัด (ผู้ดูแล: ap.41, ลุงหนาน)
| | |-+  ทำบุญ
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน ทำบุญ  (อ่าน 1414 ครั้ง)
@ไอ้อ้วน@
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,031


2 มือ ที่ดูเหมือนจะบอบบาง


« เมื่อ: วันที่ 03 กรกฎาคม 2011, 17:51:36 »

คิดว่าทำบุญแบบไหนที่ได้บุญเยอะที่สุด และทำบุญแบบไหนที่ไม่ได้บุญมั้งคะ
IP : บันทึกการเข้า

สมองดี แกมโกง แต่เลือกที่จะเดินทางผิดเอง ก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เป็นไป
ลุงหนาน
ผู้ดูแลบอร์ด
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 249



« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 03 กรกฎาคม 2011, 20:36:29 »

หากจะถามว่า การทำบุญอะไรได้บุญมาก คงต้องแยกเป็นขั้นๆ ไป เพราะการทำความดีเป็นบ่อเกิดของบุญ คนเราพูดภาษาชาวบ้านว่า การทำบุญ  ความจริงต้องกล่าวว่า การทำความดี แต่ละวิธีเป้นบ่อเกิดของบุญ ไม่ไช่ทำบุญแล้วได้บุญ ยกตัวอย่างเช่น การให้ทาน..ก็เป็นบ่อเกิดของบุญ  การรักษาศีล เป็นบ่อเกิดของบุญ ซึ่งเป็นบุญที่มากกว่าการให้ทาน การเจริญภาวนา หรือกรรมฐาน ก็เป็นบ่อเกิดของบุญ คือบุญที่ยิ่งใหญ่ มากว่า การให้ทานและรักษาศีล สรุปก็คือ การรักษาจิตของตนให้ดีงาม รู้จักเสียสละ รู้จักให้อภัย รู้จักปล่อยวาง รู้จักทำจิตของตนให้บริสุทธิ์ นั้นคือยอดของบุญ ที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย
ส่วนการทำบุญที่ไม่ได้บุญ คือทำอะไรก็ตามที่สร้างความเดือดร้อน และเบียดเบียนตนและผู้อื่นไม่ได้บุญแน่นอน
IP : บันทึกการเข้า

อย่ายึดมั่นกับสิ่งใดๆ เพราะอะไรๆ ก็ไม่แน่นอน
ClanNad
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 41



« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 03 กรกฎาคม 2011, 21:13:43 »

หากจะถามว่า การทำบุญอะไรได้บุญมาก คงต้องแยกเป็นขั้นๆ ไป เพราะการทำความดีเป็นบ่อเกิดของบุญ คนเราพูดภาษาชาวบ้านว่า การทำบุญ  ความจริงต้องกล่าวว่า การทำความดี แต่ละวิธีเป้นบ่อเกิดของบุญ ไม่ไช่ทำบุญแล้วได้บุญ ยกตัวอย่างเช่น การให้ทาน..ก็เป็นบ่อเกิดของบุญ  การรักษาศีล เป็นบ่อเกิดของบุญ ซึ่งเป็นบุญที่มากกว่าการให้ทาน การเจริญภาวนา หรือกรรมฐาน ก็เป็นบ่อเกิดของบุญ คือบุญที่ยิ่งใหญ่ มากว่า การให้ทานและรักษาศีล สรุปก็คือ การรักษาจิตของตนให้ดีงาม รู้จักเสียสละ รู้จักให้อภัย รู้จักปล่อยวาง รู้จักทำจิตของตนให้บริสุทธิ์ นั้นคือยอดของบุญ ที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย
ส่วนการทำบุญที่ไม่ได้บุญ คือทำอะไรก็ตามที่สร้างความเดือดร้อน และเบียดเบียนตนและผู้อื่นไม่ได้บุญแน่นอน

+1 ครับ แนะนำ จขกท. ไปดูเรื่อง ทาน ศีล ภาวนา นะครับ ตรงกับคำถามของท่านเลย
IP : บันทึกการเข้า
@ไอ้อ้วน@
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,031


2 มือ ที่ดูเหมือนจะบอบบาง


« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 03 กรกฎาคม 2011, 22:50:36 »

หากจะถามว่า การทำบุญอะไรได้บุญมาก คงต้องแยกเป็นขั้นๆ ไป เพราะการทำความดีเป็นบ่อเกิดของบุญ คนเราพูดภาษาชาวบ้านว่า การทำบุญ  ความจริงต้องกล่าวว่า การทำความดี แต่ละวิธีเป้นบ่อเกิดของบุญ ไม่ไช่ทำบุญแล้วได้บุญ ยกตัวอย่างเช่น การให้ทาน..ก็เป็นบ่อเกิดของบุญ  การรักษาศีล เป็นบ่อเกิดของบุญ ซึ่งเป็นบุญที่มากกว่าการให้ทาน การเจริญภาวนา หรือกรรมฐาน ก็เป็นบ่อเกิดของบุญ คือบุญที่ยิ่งใหญ่ มากว่า การให้ทานและรักษาศีล สรุปก็คือ การรักษาจิตของตนให้ดีงาม รู้จักเสียสละ รู้จักให้อภัย รู้จักปล่อยวาง รู้จักทำจิตของตนให้บริสุทธิ์ นั้นคือยอดของบุญ ที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย
ส่วนการทำบุญที่ไม่ได้บุญ คือทำอะไรก็ตามที่สร้างความเดือดร้อน และเบียดเบียนตนและผู้อื่นไม่ได้บุญแน่นอน

+1 ครับ แนะนำ จขกท. ไปดูเรื่อง ทาน ศีล ภาวนา นะครับ ตรงกับคำถามของท่านเลย
คือไม่ได้มาหาคำตอบ แค่อยากรู้ความคิดเห็นของคนทั่วไปเท่านั้น
IP : บันทึกการเข้า

สมองดี แกมโกง แต่เลือกที่จะเดินทางผิดเอง ก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เป็นไป
ลุงหนาน
ผู้ดูแลบอร์ด
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 249



« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 04 กรกฎาคม 2011, 15:03:25 »

อานิสงส์ถวายสัพพทาน
[/b]

...... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทานของสัปบุรุษเหล่านี้ ๘ อย่าง คือ

๑. ให้ของที่สะอาด
๒. ให้ของประณีต
๓. ให้ถูกกาล
๔. ให้ของที่สมควร
๕. เลือกให้
๖. ให้เสมอ ๆ
๗. กำลังให้ยังจิตให้เลื่อมใส
๘. ครั้นให้แล้วปลื้มใจ สัปปุริสทาน ๘ อย่างนี้ประเสริฐยิ่งนักหนา

ในกาลครั้งนั้น องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าก็สถิตสำราญอยู่ในป่าเชตวันอันเป็นอารามของนายอนาถปิณฑิกมหาเศรษฐีอยู่ในที่ใกล้ ๆ นครสาวัตถี ในกาลครั้งนั้นมีพระยาองค์หนึ่ง ชื่อ มหานามะ ก็เอา ประธูปประทีปคันธรสของหอม แล้วพาหมู่บริวารทั้งหลายเข้าไปสู่ที่เฝ้าพระสัพพัญญูเจ้า แล้วก็นั่งในที่ควรแห่งหนึ่ง จึงทูลถามพระสัพพัญญูเจ้าว่า “ภนฺเต ภควา” ข้าแต่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าบุคคลผู้ใดเลื่อมใสศรัทธา มาก่อสร้างสัพพาทานหลาย ๆ ชนิด ก็จักมีอานิสงส์ดังรือพระเจ้าข้า “ภควา” อันว่าองค์

... สมเด็จพระศาสดาจารย์เจ้าจึงเทศนาว่า
ดูกรมหาบพิตร นรชนหญิงชายทั้งหลายมีใจเลื่อมใสศรัทธามาก่อสร้าง
สัพพาทานหลาย ๆ ชนิดเป็นต้นว่า
สร้างพระพุทธรูปก็จักได้อานิสงส์ ๙ กัลป
สร้างพระไตรปิฏกธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็ได้อานิสงส์ ๑๐ กัลป
ผู้ใดได้บวชตนเป็นสามเณร ก็จักได้อานิสงส์ ๑๒ กัลป
ผู้ไดได้บวชตนเป็นพระภิกษุ ก็จักได้ อานิสงส์ ๒๔ กัลป
ผู้ใดได้สร้างพระธาตุเจดีย์ก็จักได้อานิสงส์ ๘๐ กัลป
ผู้ใดได้ปลูกไม้ศรีมหาโพธิ์ ก็จักได้อานิสงส์ ๙ กัลป
ผู้ใดให้โภชะนังยังข้าวน้ำ โภชนะอาหารให้เป็นทานแก่ภิกษุสามเณร ก็จักได้บริวารแสนหนึ่ง
ผู้ใดได้สร้างเจดีย์ทรายก็จักได้อานิสงส์ ๖๐ กัลป
ผู้ใดสร้างกุฏีให้เป็นทานก็จักได้อานิสงส์ ๔๐ กัลป
ผู้ใดสร้างอุโบสถให้เป็น ทานก็จักได้อานิสงส์ ๔๐ กัลป
ผู้ใดสร้างกฐินให้เป็นทานก็จักได้อานิสงส์ ๘๐ กัลป
ผู้ใดสร้างอารามให้เป็นทานก็จักได้อานิสงส์ ๔๐กัลป
ผู้ใดสร้างพัทธสีมาให้เป็นทานก็จักได้อานิสงส์ ๑๐๐ กัลป
ผู้ใดได้บวชบุรุษผู้อื่นให้เป็นพระภิกษุก็จักได้อานิสงส์ ๘ กัลป
บวชบุตรตนเองให้เป็นภิกษุ ก็จะได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ภรรยาบวชสามีของตนให้เป็นสามเณร ก็จักได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ภรรยาบวชสามีของตนให้เป็นพระภิกษุ ก็จักได้อานิสงส์ ๓๒ กัลป
สามีบวชภรรยาให้เป็นภิกษุณี ก็จักได้อานิสงส์ ๖๔ กัลป
ผู้ใดได้สร้างพระเจดีย์ธาตุข้าวเปลือกให้เป็นทาน ก็จักได้อานิสงส์ ๓๑ กัลป
ผู้ใดสร้างพระเจดีย์ธาตุข้าวสารให้เป็นทานได้อานิสงส์ ๔๒ กัลป
ผู้ใดได้สร้างพระเจดีย์ธาตุเหลือให้เป็นทาน ก็จักได้อานิสงส์ ๖๔ กัลป
ผู้ใดสร้างรั้วล้อมอาราม ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดปัดกวาดขยะมูลฝอยถอนเสียจากเขตอารามได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดสร้างศาลาสะพานบ่อน้ำให้เป็นทานได้อานิสงส์ ๓๐ กัลป
ผู้ใดได้ถวายดอกไม้ธูปเทียนได้อานิสงส์ ๘ กัลป
ผู้ใดได้สร้างอัฏฐให้เป็นทานได้อานิสงส์ ๓๖ กัลป
ผู้ใดได้ถวายจีวรเถราภิเษก ได้อานิสงส์ ๓๒ กัลป
ผู้ใดถวายผ้าป่าได้อานิสงส์ ๔๐ กัลป
ผู้ใดให้ฝาผนังและเพดานเป็นทานได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดสร้างธงฝ้าย ธงผึ้ง ธงชัย ธงชาย ธงเหล็ก บูชาพระรัตนตรัย ได้อานิสงส์ ๖๔ กัลป
ผู้ใดสร้างขันหมากเบ็งบูชาระรัตนตรัย ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดถวายซึ่งข้าวพันก้อนบูชาพระรัตนตรัยได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดถวายผ้าอาบน้ำฝน และผ้าจำนำพรรษา ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดสร้างปราสาทดอกผึ้งให้เป็นทาน ได้อานิสงส์ ๓ กัลป
ผู้ใดสร้างต้นกัลปพฤกษ์ให้เป็นทานได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป์
ผู้ใดสร้าง ฆ้อง กลอง แคน ซอ หอยสังข์ ปี่ แตร แตรวง ดนตรีให้เป็นทานได้อานิสงส์ ๖๐ กัลป
ผู้ใดได้ถวายเสื่อสาดอาสนะได้อานิสงส์ ๔ กัลป
ผู้ใดถวายเตียงเก้าอี้ฟูกเบาะให้เป็นทาน ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดได้ปลูกกุฏีกรรมให้พระภิกษุเข้าปริวาสกรรม และมานัตตกรรม ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดได้สร้างบั้งไฟจุดบูชาพระรัตนตรัย ได้อานิสงส์ ๔ กัลป
ผู้ใดได้สร้างพัทธสีมาน้ำได้อานิสงส์ ๖๗ กัลป
ผู้ใดได้สร้างธรรมาสน์ ได้อานิสงส์ ๓๒ กัลป
ผู้ใดได้สร้างเวจกุฏี ได้อานิสงส์ ๔๐ กัลป
ผู้ใดได้เผาซากศพที่ตกเรี่ยราดอยู่ตามป่าตามดง ได้บริวารหมื่นหนึ่ง
ผู้ใดได้เผาศพญาติมิตรสหาย ได้บริวาร ๓ หมื่น
ผู้ใดได้เผาศพบิดามารดาได้บริวารหนึ่งแสน
ผู้ใดได้เผาศพอุปัชฌาย์อาจารย์ ได้บริวารโกฏิหนึ่ง
ผู้ใดได้ถวายโอ่งน้ำ และส้วมอาบน้ำ และครุตักน้ำก็ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
สัพพทานทั้งหลายชนิดเหล่านี้บุคคลผู้ใดมีศรัทธากล้าหาญอาจสละสมบัติออกสร้างวัตถุประสงค์ ดังแสดงมานี้ ก็มีอานิสงส์ผลบุญพูนสุขในชั่วนี้และชั่วหน้า

อานิสงส์ที่ได้ปัจจุบันนี้คือ
จะไปมาทางใดก็มีคนนับหน้าถือตาไม่ได้เป็นที่รังเกียจของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง มีแต่ผู้อยากให้ร่วมกินร่วมอยู่ทั้งนั้น เราจะเข้าไปสู่สมาคมใด ๆ ก็ไม่ครั้นคร้ามสยดสยองเกรงกลัวต่ออำนาจผู้ใด การทำมาหากินก็สมความมุ่งมาตรปรารถนาสมประสงค์ ครั้นสิ้นบุพพกรรมมนุษย์ในโลกนี้แล้ว ก็จะถือเอาตนเมื่ออุบัติขึ้นบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสายามาตุสิตาโดยลำดับ จนถึงพรหมโลก ครั้นจุติจากพรหมโลกลงมาเกิดในมนุษย์โลก ก็ไม่ได้ไปเกิดในหิเนกุลชั่วร้าย และจักได้ไปเกิดในตระกูลท้าวพระยามหากษัตริย์ หรือตระกูลพราหมณ์ผู้มั่งครั่งมั่งมีเศรษฐีกฎุมพีแล้วก็จักได้ทัวระวัดไปมาบารมีแก่กล้า ก็จะได้บ่ายหน้าเข้าสู่เมืองแก้วนิรพาน
พอจบธรรมเทศนาแห่งองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าลง สมเด็จพระเจ้ามหานามะ ก็ได้ตั้งอยู่ในไตรสรณคมณ์ สามส่วนบริษัททั้งหลาย ก็ได้ถึงโสดาสกิทาคา อนาคา อรหันต์
IP : บันทึกการเข้า

อย่ายึดมั่นกับสิ่งใดๆ เพราะอะไรๆ ก็ไม่แน่นอน
@ไอ้อ้วน@
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,031


2 มือ ที่ดูเหมือนจะบอบบาง


« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 04 กรกฎาคม 2011, 17:14:35 »

โอ้โห พุทธศาสนิกชนดูไว้เน้อ แล้วเอาไปปฏิบัติตวยเน้อ
IP : บันทึกการเข้า

สมองดี แกมโกง แต่เลือกที่จะเดินทางผิดเอง ก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เป็นไป
witoonaha
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 552


ทำงานเพื่อลูก


« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 04 กรกฎาคม 2011, 18:15:32 »

อานิสงส์ถวายสัพพทาน
[/b]

...... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทานของสัปบุรุษเหล่านี้ ๘ อย่าง คือ

๑. ให้ของที่สะอาด
๒. ให้ของประณีต
๓. ให้ถูกกาล
๔. ให้ของที่สมควร
๕. เลือกให้
๖. ให้เสมอ ๆ
๗. กำลังให้ยังจิตให้เลื่อมใส
๘. ครั้นให้แล้วปลื้มใจ สัปปุริสทาน ๘ อย่างนี้ประเสริฐยิ่งนักหนา

ในกาลครั้งนั้น องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าก็สถิตสำราญอยู่ในป่าเชตวันอันเป็นอารามของนายอนาถปิณฑิกมหาเศรษฐีอยู่ในที่ใกล้ ๆ นครสาวัตถี ในกาลครั้งนั้นมีพระยาองค์หนึ่ง ชื่อ มหานามะ ก็เอา ประธูปประทีปคันธรสของหอม แล้วพาหมู่บริวารทั้งหลายเข้าไปสู่ที่เฝ้าพระสัพพัญญูเจ้า แล้วก็นั่งในที่ควรแห่งหนึ่ง จึงทูลถามพระสัพพัญญูเจ้าว่า “ภนฺเต ภควา” ข้าแต่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าบุคคลผู้ใดเลื่อมใสศรัทธา มาก่อสร้างสัพพาทานหลาย ๆ ชนิด ก็จักมีอานิสงส์ดังรือพระเจ้าข้า “ภควา” อันว่าองค์

... สมเด็จพระศาสดาจารย์เจ้าจึงเทศนาว่า
ดูกรมหาบพิตร นรชนหญิงชายทั้งหลายมีใจเลื่อมใสศรัทธามาก่อสร้าง
สัพพาทานหลาย ๆ ชนิดเป็นต้นว่า
สร้างพระพุทธรูปก็จักได้อานิสงส์ ๙ กัลป
สร้างพระไตรปิฏกธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็ได้อานิสงส์ ๑๐ กัลป
ผู้ใดได้บวชตนเป็นสามเณร ก็จักได้อานิสงส์ ๑๒ กัลป
ผู้ไดได้บวชตนเป็นพระภิกษุ ก็จักได้ อานิสงส์ ๒๔ กัลป
ผู้ใดได้สร้างพระธาตุเจดีย์ก็จักได้อานิสงส์ ๘๐ กัลป
ผู้ใดได้ปลูกไม้ศรีมหาโพธิ์ ก็จักได้อานิสงส์ ๙ กัลป
ผู้ใดให้โภชะนังยังข้าวน้ำ โภชนะอาหารให้เป็นทานแก่ภิกษุสามเณร ก็จักได้บริวารแสนหนึ่ง
ผู้ใดได้สร้างเจดีย์ทรายก็จักได้อานิสงส์ ๖๐ กัลป
ผู้ใดสร้างกุฏีให้เป็นทานก็จักได้อานิสงส์ ๔๐ กัลป
ผู้ใดสร้างอุโบสถให้เป็น ทานก็จักได้อานิสงส์ ๔๐ กัลป
ผู้ใดสร้างกฐินให้เป็นทานก็จักได้อานิสงส์ ๘๐ กัลป
ผู้ใดสร้างอารามให้เป็นทานก็จักได้อานิสงส์ ๔๐กัลป
ผู้ใดสร้างพัทธสีมาให้เป็นทานก็จักได้อานิสงส์ ๑๐๐ กัลป
ผู้ใดได้บวชบุรุษผู้อื่นให้เป็นพระภิกษุก็จักได้อานิสงส์ ๘ กัลป
บวชบุตรตนเองให้เป็นภิกษุ ก็จะได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ภรรยาบวชสามีของตนให้เป็นสามเณร ก็จักได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ภรรยาบวชสามีของตนให้เป็นพระภิกษุ ก็จักได้อานิสงส์ ๓๒ กัลป
สามีบวชภรรยาให้เป็นภิกษุณี ก็จักได้อานิสงส์ ๖๔ กัลป
ผู้ใดได้สร้างพระเจดีย์ธาตุข้าวเปลือกให้เป็นทาน ก็จักได้อานิสงส์ ๓๑ กัลป
ผู้ใดสร้างพระเจดีย์ธาตุข้าวสารให้เป็นทานได้อานิสงส์ ๔๒ กัลป
ผู้ใดได้สร้างพระเจดีย์ธาตุเหลือให้เป็นทาน ก็จักได้อานิสงส์ ๖๔ กัลป
ผู้ใดสร้างรั้วล้อมอาราม ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดปัดกวาดขยะมูลฝอยถอนเสียจากเขตอารามได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดสร้างศาลาสะพานบ่อน้ำให้เป็นทานได้อานิสงส์ ๓๐ กัลป
ผู้ใดได้ถวายดอกไม้ธูปเทียนได้อานิสงส์ ๘ กัลป
ผู้ใดได้สร้างอัฏฐให้เป็นทานได้อานิสงส์ ๓๖ กัลป
ผู้ใดได้ถวายจีวรเถราภิเษก ได้อานิสงส์ ๓๒ กัลป
ผู้ใดถวายผ้าป่าได้อานิสงส์ ๔๐ กัลป
ผู้ใดให้ฝาผนังและเพดานเป็นทานได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดสร้างธงฝ้าย ธงผึ้ง ธงชัย ธงชาย ธงเหล็ก บูชาพระรัตนตรัย ได้อานิสงส์ ๖๔ กัลป
ผู้ใดสร้างขันหมากเบ็งบูชาระรัตนตรัย ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดถวายซึ่งข้าวพันก้อนบูชาพระรัตนตรัยได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดถวายผ้าอาบน้ำฝน และผ้าจำนำพรรษา ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดสร้างปราสาทดอกผึ้งให้เป็นทาน ได้อานิสงส์ ๓ กัลป
ผู้ใดสร้างต้นกัลปพฤกษ์ให้เป็นทานได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป์
ผู้ใดสร้าง ฆ้อง กลอง แคน ซอ หอยสังข์ ปี่ แตร แตรวง ดนตรีให้เป็นทานได้อานิสงส์ ๖๐ กัลป
ผู้ใดได้ถวายเสื่อสาดอาสนะได้อานิสงส์ ๔ กัลป
ผู้ใดถวายเตียงเก้าอี้ฟูกเบาะให้เป็นทาน ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดได้ปลูกกุฏีกรรมให้พระภิกษุเข้าปริวาสกรรม และมานัตตกรรม ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดได้สร้างบั้งไฟจุดบูชาพระรัตนตรัย ได้อานิสงส์ ๔ กัลป
ผู้ใดได้สร้างพัทธสีมาน้ำได้อานิสงส์ ๖๗ กัลป
ผู้ใดได้สร้างธรรมาสน์ ได้อานิสงส์ ๓๒ กัลป
ผู้ใดได้สร้างเวจกุฏี ได้อานิสงส์ ๔๐ กัลป
ผู้ใดได้เผาซากศพที่ตกเรี่ยราดอยู่ตามป่าตามดง ได้บริวารหมื่นหนึ่ง
ผู้ใดได้เผาศพญาติมิตรสหาย ได้บริวาร ๓ หมื่น
ผู้ใดได้เผาศพบิดามารดาได้บริวารหนึ่งแสน
ผู้ใดได้เผาศพอุปัชฌาย์อาจารย์ ได้บริวารโกฏิหนึ่ง
ผู้ใดได้ถวายโอ่งน้ำ และส้วมอาบน้ำ และครุตักน้ำก็ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
สัพพทานทั้งหลายชนิดเหล่านี้บุคคลผู้ใดมีศรัทธากล้าหาญอาจสละสมบัติออกสร้างวัตถุประสงค์ ดังแสดงมานี้ ก็มีอานิสงส์ผลบุญพูนสุขในชั่วนี้และชั่วหน้า

อานิสงส์ที่ได้ปัจจุบันนี้คือ
จะไปมาทางใดก็มีคนนับหน้าถือตาไม่ได้เป็นที่รังเกียจของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง มีแต่ผู้อยากให้ร่วมกินร่วมอยู่ทั้งนั้น เราจะเข้าไปสู่สมาคมใด ๆ ก็ไม่ครั้นคร้ามสยดสยองเกรงกลัวต่ออำนาจผู้ใด การทำมาหากินก็สมความมุ่งมาตรปรารถนาสมประสงค์ ครั้นสิ้นบุพพกรรมมนุษย์ในโลกนี้แล้ว ก็จะถือเอาตนเมื่ออุบัติขึ้นบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสายามาตุสิตาโดยลำดับ จนถึงพรหมโลก ครั้นจุติจากพรหมโลกลงมาเกิดในมนุษย์โลก ก็ไม่ได้ไปเกิดในหิเนกุลชั่วร้าย และจักได้ไปเกิดในตระกูลท้าวพระยามหากษัตริย์ หรือตระกูลพราหมณ์ผู้มั่งครั่งมั่งมีเศรษฐีกฎุมพีแล้วก็จักได้ทัวระวัดไปมาบารมีแก่กล้า ก็จะได้บ่ายหน้าเข้าสู่เมืองแก้วนิรพาน
พอจบธรรมเทศนาแห่งองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าลง สมเด็จพระเจ้ามหานามะ ก็ได้ตั้งอยู่ในไตรสรณคมณ์ สามส่วนบริษัททั้งหลาย ก็ได้ถึงโสดาสกิทาคา อนาคา อรหันต์


จัดเต็มไปเลยครับ  ขอบคุณมากครับ


* สาธุ.gif (34.29 KB, 50x50 - ดู 157 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
ClanNad
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 41



« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 04 กรกฎาคม 2011, 20:57:32 »

อานิสงส์ถวายสัพพทาน
[/b]

...... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทานของสัปบุรุษเหล่านี้ ๘ อย่าง คือ

๑. ให้ของที่สะอาด
๒. ให้ของประณีต
๓. ให้ถูกกาล
๔. ให้ของที่สมควร
๕. เลือกให้
๖. ให้เสมอ ๆ
๗. กำลังให้ยังจิตให้เลื่อมใส
๘. ครั้นให้แล้วปลื้มใจ สัปปุริสทาน ๘ อย่างนี้ประเสริฐยิ่งนักหนา

ในกาลครั้งนั้น องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าก็สถิตสำราญอยู่ในป่าเชตวันอันเป็นอารามของนายอนาถปิณฑิกมหาเศรษฐีอยู่ในที่ใกล้ ๆ นครสาวัตถี ในกาลครั้งนั้นมีพระยาองค์หนึ่ง ชื่อ มหานามะ ก็เอา ประธูปประทีปคันธรสของหอม แล้วพาหมู่บริวารทั้งหลายเข้าไปสู่ที่เฝ้าพระสัพพัญญูเจ้า แล้วก็นั่งในที่ควรแห่งหนึ่ง จึงทูลถามพระสัพพัญญูเจ้าว่า “ภนฺเต ภควา” ข้าแต่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าบุคคลผู้ใดเลื่อมใสศรัทธา มาก่อสร้างสัพพาทานหลาย ๆ ชนิด ก็จักมีอานิสงส์ดังรือพระเจ้าข้า “ภควา” อันว่าองค์

... สมเด็จพระศาสดาจารย์เจ้าจึงเทศนาว่า
ดูกรมหาบพิตร นรชนหญิงชายทั้งหลายมีใจเลื่อมใสศรัทธามาก่อสร้าง
สัพพาทานหลาย ๆ ชนิดเป็นต้นว่า
สร้างพระพุทธรูปก็จักได้อานิสงส์ ๙ กัลป
สร้างพระไตรปิฏกธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็ได้อานิสงส์ ๑๐ กัลป
ผู้ใดได้บวชตนเป็นสามเณร ก็จักได้อานิสงส์ ๑๒ กัลป
ผู้ไดได้บวชตนเป็นพระภิกษุ ก็จักได้ อานิสงส์ ๒๔ กัลป
ผู้ใดได้สร้างพระธาตุเจดีย์ก็จักได้อานิสงส์ ๘๐ กัลป
ผู้ใดได้ปลูกไม้ศรีมหาโพธิ์ ก็จักได้อานิสงส์ ๙ กัลป
ผู้ใดให้โภชะนังยังข้าวน้ำ โภชนะอาหารให้เป็นทานแก่ภิกษุสามเณร ก็จักได้บริวารแสนหนึ่ง
ผู้ใดได้สร้างเจดีย์ทรายก็จักได้อานิสงส์ ๖๐ กัลป
ผู้ใดสร้างกุฏีให้เป็นทานก็จักได้อานิสงส์ ๔๐ กัลป
ผู้ใดสร้างอุโบสถให้เป็น ทานก็จักได้อานิสงส์ ๔๐ กัลป
ผู้ใดสร้างกฐินให้เป็นทานก็จักได้อานิสงส์ ๘๐ กัลป
ผู้ใดสร้างอารามให้เป็นทานก็จักได้อานิสงส์ ๔๐กัลป
ผู้ใดสร้างพัทธสีมาให้เป็นทานก็จักได้อานิสงส์ ๑๐๐ กัลป
ผู้ใดได้บวชบุรุษผู้อื่นให้เป็นพระภิกษุก็จักได้อานิสงส์ ๘ กัลป
บวชบุตรตนเองให้เป็นภิกษุ ก็จะได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ภรรยาบวชสามีของตนให้เป็นสามเณร ก็จักได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ภรรยาบวชสามีของตนให้เป็นพระภิกษุ ก็จักได้อานิสงส์ ๓๒ กัลป
สามีบวชภรรยาให้เป็นภิกษุณี ก็จักได้อานิสงส์ ๖๔ กัลป
ผู้ใดได้สร้างพระเจดีย์ธาตุข้าวเปลือกให้เป็นทาน ก็จักได้อานิสงส์ ๓๑ กัลป
ผู้ใดสร้างพระเจดีย์ธาตุข้าวสารให้เป็นทานได้อานิสงส์ ๔๒ กัลป
ผู้ใดได้สร้างพระเจดีย์ธาตุเหลือให้เป็นทาน ก็จักได้อานิสงส์ ๖๔ กัลป
ผู้ใดสร้างรั้วล้อมอาราม ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดปัดกวาดขยะมูลฝอยถอนเสียจากเขตอารามได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดสร้างศาลาสะพานบ่อน้ำให้เป็นทานได้อานิสงส์ ๓๐ กัลป
ผู้ใดได้ถวายดอกไม้ธูปเทียนได้อานิสงส์ ๘ กัลป
ผู้ใดได้สร้างอัฏฐให้เป็นทานได้อานิสงส์ ๓๖ กัลป
ผู้ใดได้ถวายจีวรเถราภิเษก ได้อานิสงส์ ๓๒ กัลป
ผู้ใดถวายผ้าป่าได้อานิสงส์ ๔๐ กัลป
ผู้ใดให้ฝาผนังและเพดานเป็นทานได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดสร้างธงฝ้าย ธงผึ้ง ธงชัย ธงชาย ธงเหล็ก บูชาพระรัตนตรัย ได้อานิสงส์ ๖๔ กัลป
ผู้ใดสร้างขันหมากเบ็งบูชาระรัตนตรัย ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดถวายซึ่งข้าวพันก้อนบูชาพระรัตนตรัยได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดถวายผ้าอาบน้ำฝน และผ้าจำนำพรรษา ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดสร้างปราสาทดอกผึ้งให้เป็นทาน ได้อานิสงส์ ๓ กัลป
ผู้ใดสร้างต้นกัลปพฤกษ์ให้เป็นทานได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป์
ผู้ใดสร้าง ฆ้อง กลอง แคน ซอ หอยสังข์ ปี่ แตร แตรวง ดนตรีให้เป็นทานได้อานิสงส์ ๖๐ กัลป
ผู้ใดได้ถวายเสื่อสาดอาสนะได้อานิสงส์ ๔ กัลป
ผู้ใดถวายเตียงเก้าอี้ฟูกเบาะให้เป็นทาน ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดได้ปลูกกุฏีกรรมให้พระภิกษุเข้าปริวาสกรรม และมานัตตกรรม ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
ผู้ใดได้สร้างบั้งไฟจุดบูชาพระรัตนตรัย ได้อานิสงส์ ๔ กัลป
ผู้ใดได้สร้างพัทธสีมาน้ำได้อานิสงส์ ๖๗ กัลป
ผู้ใดได้สร้างธรรมาสน์ ได้อานิสงส์ ๓๒ กัลป
ผู้ใดได้สร้างเวจกุฏี ได้อานิสงส์ ๔๐ กัลป
ผู้ใดได้เผาซากศพที่ตกเรี่ยราดอยู่ตามป่าตามดง ได้บริวารหมื่นหนึ่ง
ผู้ใดได้เผาศพญาติมิตรสหาย ได้บริวาร ๓ หมื่น
ผู้ใดได้เผาศพบิดามารดาได้บริวารหนึ่งแสน
ผู้ใดได้เผาศพอุปัชฌาย์อาจารย์ ได้บริวารโกฏิหนึ่ง
ผู้ใดได้ถวายโอ่งน้ำ และส้วมอาบน้ำ และครุตักน้ำก็ได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
สัพพทานทั้งหลายชนิดเหล่านี้บุคคลผู้ใดมีศรัทธากล้าหาญอาจสละสมบัติออกสร้างวัตถุประสงค์ ดังแสดงมานี้ ก็มีอานิสงส์ผลบุญพูนสุขในชั่วนี้และชั่วหน้า

อานิสงส์ที่ได้ปัจจุบันนี้คือ
จะไปมาทางใดก็มีคนนับหน้าถือตาไม่ได้เป็นที่รังเกียจของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง มีแต่ผู้อยากให้ร่วมกินร่วมอยู่ทั้งนั้น เราจะเข้าไปสู่สมาคมใด ๆ ก็ไม่ครั้นคร้ามสยดสยองเกรงกลัวต่ออำนาจผู้ใด การทำมาหากินก็สมความมุ่งมาตรปรารถนาสมประสงค์ ครั้นสิ้นบุพพกรรมมนุษย์ในโลกนี้แล้ว ก็จะถือเอาตนเมื่ออุบัติขึ้นบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสายามาตุสิตาโดยลำดับ จนถึงพรหมโลก ครั้นจุติจากพรหมโลกลงมาเกิดในมนุษย์โลก ก็ไม่ได้ไปเกิดในหิเนกุลชั่วร้าย และจักได้ไปเกิดในตระกูลท้าวพระยามหากษัตริย์ หรือตระกูลพราหมณ์ผู้มั่งครั่งมั่งมีเศรษฐีกฎุมพีแล้วก็จักได้ทัวระวัดไปมาบารมีแก่กล้า ก็จะได้บ่ายหน้าเข้าสู่เมืองแก้วนิรพาน
พอจบธรรมเทศนาแห่งองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าลง สมเด็จพระเจ้ามหานามะ ก็ได้ตั้งอยู่ในไตรสรณคมณ์ สามส่วนบริษัททั้งหลาย ก็ได้ถึงโสดาสกิทาคา อนาคา อรหันต์


ตามนั้นครับ
IP : บันทึกการเข้า
@ไอ้อ้วน@
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,031


2 มือ ที่ดูเหมือนจะบอบบาง


« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 04 กรกฎาคม 2011, 21:19:51 »

สาธุๆๆๆ
IP : บันทึกการเข้า

สมองดี แกมโกง แต่เลือกที่จะเดินทางผิดเอง ก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เป็นไป
koyjang
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 132


« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 07 กรกฎาคม 2011, 13:30:03 »

ขอเรียนถามคุณลุงหนานค่ะ จากข้อความที่ว่า "ดูก่อน มหาบพิตร."  น่าจะเป็นคำพุทธวัจน  แต่ประโยคที่ว่า "ดูกรมหาบพิตร" และ "สร้างพระพุทธรูปก็จักได้อานิสงค์ 9 กัลป.......   ไม่ทราบว่าเป็นคำพุทธวัจน หรือเปล่าคะ  หรือเป็นของอรรถกถา  เป็นการอธิบายเพิ่มเติม  เพราะคิดว่าในสมัยพระพุทธเจ้ายังไม่มีการสร้างพระพุทธรูป  เพราะการสร้างพระพุทธรูปให้เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้ามีการสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ามิลินท ซึ่งมีเชื้่อสายมาจากกรีก เพราะพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ได้จัดให้คนของพระองค์ปกครองในท้องถิ่นต่าง ๆ ที่ตีเป็นเมืองขึ้นได้ แล้วพระเจ้ามิลินท ได้สนใจในพระพุทธศาสนา จึงคิดสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาเพื่อเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าเพื่อกราบไหว้บูชา  เพราะคนกรึกชอบที่จะสร้างรูปปั้นเทพเจ้าต่าง ๆ ไว้เป็นที่เคารพบูชาของเขาเหล่านั้น  ไม่ทราบว่าที่เข้าใจมานี้ถูกต้องไหมคะ  เพราะเคยฟังcdบรรยายธรรมของท่านเจ้าคุณ ปอ.ปยุตโตมาค่ะ   ขอขมากรรมจากคุณลุงหนานนะคะหากคำถามอาจจะดูเหมือนไม่สุภาพ







IP : บันทึกการเข้า
ลุงหนาน
ผู้ดูแลบอร์ด
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 249



« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 07 กรกฎาคม 2011, 15:21:31 »

ขอเรียนถามคุณลุงหนานค่ะ จากข้อความที่ว่า "ดูก่อน มหาบพิตร."  น่าจะเป็นคำพุทธวัจน  แต่ประโยคที่ว่า "ดูกรมหาบพิตร" และ "สร้างพระพุทธรูปก็จักได้อานิสงค์ 9 กัลป.......   ไม่ทราบว่าเป็นคำพุทธวัจน หรือเปล่าคะ  หรือเป็นของอรรถกถา  เป็นการอธิบายเพิ่มเติม  เพราะคิดว่าในสมัยพระพุทธเจ้ายังไม่มีการสร้างพระพุทธรูป  เพราะการสร้างพระพุทธรูปให้เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้ามีการสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ามิลินท ซึ่งมีเชื้่อสายมาจากกรีก เพราะพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ได้จัดให้คนของพระองค์ปกครองในท้องถิ่นต่าง ๆ ที่ตีเป็นเมืองขึ้นได้ แล้วพระเจ้ามิลินท ได้สนใจในพระพุทธศาสนา จึงคิดสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาเพื่อเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าเพื่อกราบไหว้บูชา  เพราะคนกรึกชอบที่จะสร้างรูปปั้นเทพเจ้าต่าง ๆ ไว้เป็นที่เคารพบูชาของเขาเหล่านั้น  ไม่ทราบว่าที่เข้าใจมานี้ถูกต้องไหมคะ  เพราะเคยฟังcdบรรยายธรรมของท่านเจ้าคุณ ปอ.ปยุตโตมาค่ะ   ขอขมากรรมจากคุณลุงหนานนะคะหากคำถามอาจจะดูเหมือนไม่สุภาพ
น่าจะประมาณนั้นแล่ะ เพราะว่าคัมภีร์ต่างๆ ส่วนหนึ่งนักปราชญ์เพิ่มเติมบ้าง ไม่ต้องขมาหลอก ดีเสียอีก คนจะได้เข้าใจ หลักกาลามสูตรก็บอกอยู่แล้ว อย่าเชื่อตามตำรา.. เพราะบางทีนักปราชญ์หรือผู้เขียนคัมภีร์อาจจะใส่ความคิดเห็นของตนไปบ้าง..โดยการเอาหลักในพระไตรปิฏกมาและนำขยายเพิ่มเติม






IP : บันทึกการเข้า

อย่ายึดมั่นกับสิ่งใดๆ เพราะอะไรๆ ก็ไม่แน่นอน
koyjang
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 132


« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 07 กรกฎาคม 2011, 15:28:31 »

สาธุค่ะ
IP : บันทึกการเข้า
@ไอ้อ้วน@
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,031


2 มือ ที่ดูเหมือนจะบอบบาง


« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 07 กรกฎาคม 2011, 16:45:04 »

ขอเรียนถามคุณลุงหนานค่ะ จากข้อความที่ว่า "ดูก่อน มหาบพิตร."  น่าจะเป็นคำพุทธวัจน  แต่ประโยคที่ว่า "ดูกรมหาบพิตร" และ "สร้างพระพุทธรูปก็จักได้อานิสงค์ 9 กัลป.......   ไม่ทราบว่าเป็นคำพุทธวัจน หรือเปล่าคะ  หรือเป็นของอรรถกถา  เป็นการอธิบายเพิ่มเติม  เพราะคิดว่าในสมัยพระพุทธเจ้ายังไม่มีการสร้างพระพุทธรูป  เพราะการสร้างพระพุทธรูปให้เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้ามีการสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ามิลินท ซึ่งมีเชื้่อสายมาจากกรีก เพราะพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ได้จัดให้คนของพระองค์ปกครองในท้องถิ่นต่าง ๆ ที่ตีเป็นเมืองขึ้นได้ แล้วพระเจ้ามิลินท ได้สนใจในพระพุทธศาสนา จึงคิดสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาเพื่อเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าเพื่อกราบไหว้บูชา  เพราะคนกรึกชอบที่จะสร้างรูปปั้นเทพเจ้าต่าง ๆ ไว้เป็นที่เคารพบูชาของเขาเหล่านั้น  ไม่ทราบว่าที่เข้าใจมานี้ถูกต้องไหมคะ  เพราะเคยฟังcdบรรยายธรรมของท่านเจ้าคุณ ปอ.ปยุตโตมาค่ะ   ขอขมากรรมจากคุณลุงหนานนะคะหากคำถามอาจจะดูเหมือนไม่สุภาพ








อะนั้นเจอผู้รู้อีกคนแระ แวะมาสอบถามได้นะคะ ตอนนี้มีลุงหนานมาช่วยตอบ จะดีใจมากเลยถ้ามีคนมาช่วยตอบเยอะๆคะได้ความรู้เพิ่มเติมอีก
IP : บันทึกการเข้า

สมองดี แกมโกง แต่เลือกที่จะเดินทางผิดเอง ก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เป็นไป
koyjang
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 132


« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 08 กรกฎาคม 2011, 13:18:11 »

ยังไม่ใช่ผู้รู้ที่แท้จริงหรอกค่ะ  อาศัยว่าช่วงที่อยู่กรุงเทพ (เป็นเด็กเทพ) ได้มีโอกาสเข้าวัดทำบุญและได้พบพระสุปฏิปันโนซึ่งเป็นสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง  ได้ปฏิบัติธรรมและมีโอกาสได้ฟังธรรมและสนธนาธรรมกับพระอริยสงฆ์หลาย ๆ ท่าน ได้ความรู้จากท่านผู้รู้(ที่แท้จริง)ซึี่งเป็นกัลยาณมิตร ทำใ้ห้ความมืดบอด โมหะ (ความหลง) และอื่น ๆ ที่ไม่ดีในตัวเราหลาย ๆ อย่างพอที่จะแก้ไขให้มีความเป็นมนุษย์สูงขึ้นอีกนิดหน่อยค่ะ  ยังต้องขัดเกลาสันดานดั้งเดิมที่ไม่ดีทั้งหลายและติดมาหลายภพหลายชาติให้ค่อย ๆ หมดไป ชาตินี้ได้เกิดมาเจอพระพุทธศาสนาและกัลยาณมิตรทั้งหลายก็ถือว่าพอมีบุญติดตัวมาแต่ปางก่อนแล้วล่ะค่ะ
IP : บันทึกการเข้า
@ไอ้อ้วน@
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,031


2 มือ ที่ดูเหมือนจะบอบบาง


« ตอบ #14 เมื่อ: วันที่ 10 กรกฎาคม 2011, 19:11:45 »

ยังไม่ใช่ผู้รู้ที่แท้จริงหรอกค่ะ  อาศัยว่าช่วงที่อยู่กรุงเทพ (เป็นเด็กเทพ) ได้มีโอกาสเข้าวัดทำบุญและได้พบพระสุปฏิปันโนซึ่งเป็นสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง  ได้ปฏิบัติธรรมและมีโอกาสได้ฟังธรรมและสนธนาธรรมกับพระอริยสงฆ์หลาย ๆ ท่าน ได้ความรู้จากท่านผู้รู้(ที่แท้จริง)ซึี่งเป็นกัลยาณมิตร ทำใ้ห้ความมืดบอด โมหะ (ความหลง) และอื่น ๆ ที่ไม่ดีในตัวเราหลาย ๆ อย่างพอที่จะแก้ไขให้มีความเป็นมนุษย์สูงขึ้นอีกนิดหน่อยค่ะ  ยังต้องขัดเกลาสันดานดั้งเดิมที่ไม่ดีทั้งหลายและติดมาหลายภพหลายชาติให้ค่อย ๆ หมดไป ชาตินี้ได้เกิดมาเจอพระพุทธศาสนาและกัลยาณมิตรทั้งหลายก็ถือว่าพอมีบุญติดตัวมาแต่ปางก่อนแล้วล่ะค่ะ
ศรัทธา ตัวแต้น้อ ได้สนธนาธรรมมาตวย  ตัวสีแดงแรงงงไปรึป่าวคะ
IP : บันทึกการเข้า

สมองดี แกมโกง แต่เลือกที่จะเดินทางผิดเอง ก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เป็นไป
koyjang
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 132


« ตอบ #15 เมื่อ: วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 12:17:21 »

ที่จริงจะใช้คำว่า "เด็กเตป"น่ะค่ะ  แต่ด้วยความที่แก่แล้ว จึงเขิน ๆ ที่จะเขียนแบบนั้น  ไม่ได้หมายความว่า "เทพ"ที่หมายถึงเทวดาหรอกค่ะ  ขอโทษด้วย
IP : บันทึกการเข้า
@ไอ้อ้วน@
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,031


2 มือ ที่ดูเหมือนจะบอบบาง


« ตอบ #16 เมื่อ: วันที่ 12 กรกฎาคม 2011, 18:06:56 »

ใกล้เข้าพรรษาแล้วเน้อใครจะไปทำบุญที่ไหมมั้งเจ้า
IP : บันทึกการเข้า

สมองดี แกมโกง แต่เลือกที่จะเดินทางผิดเอง ก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เป็นไป
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!