เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 28 เมษายน 2024, 10:01:51
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ห้องนั่งเล่น (ผู้ดูแล: แชทซาโนย่า กอยุ่ง~*-., ©®*)
| | |-+  กินอยู่อย่างไรให้มีสุข? ในยุคของแพง...ข้าวแกงปรับราคา!
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน กินอยู่อย่างไรให้มีสุข? ในยุคของแพง...ข้าวแกงปรับราคา!  (อ่าน 713 ครั้ง)
ปวดตับ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,555


ถ่ายรูปคือความสุข ..


« เมื่อ: วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 09:50:13 »




"ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงกลางปีภาวะราคาสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เป็นผลสะท้อนและกระทบถึงตัวได้อย่างชัดเจนก็คือ ร้านข้าวแกงรวมถึงร้านอาหารริมทาง ที่ทยอยปรับราคาเพิ่มขึ้นเป็นทิวแถว เป็นผลต่อเนื่องมายังผู้บริโภคที่ต้องแบกภาระรายจ่ายเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับบรรดาร้านค้าที่จำเป็นต้องเพิ่มราคา เหตุเพราะวัตถุดิบแพงและไม่มีทีท่าว่าจะลดลง

ทัศนีย์ แน่นอุดร ผู้จัดการสำนัก งาน มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มองว่า การขึ้นราคาของอาหาร สาเหตุหนึ่งมาจากเรื่องความแปรปรวนของสภาพอากาศ และภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งส่งปัจจัยลบให้กับสินค้าหลายประเภท อย่างเช่น ข้าว ปาล์ม ฯลฯ และความจริงอีกประการที่มักมองข้ามคือ สินค้าเกษตรในไทยควรได้ราคาที่เป็นธรรมมากกว่าในปัจจุบัน แต่เนื่องจากกลไกตลาดที่ทำให้คนกลางเป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาดทำให้ผู้ปลูกก็ไม่ได้ราคา ผู้บริโภคก็ต้องรับภาระราคาสินค้าที่แพงขึ้น แต่คนกลางดูเหมือนจะไม่เดือดร้อนอะไร

ผู้บริโภคควรปรับตัวในการยอมรับให้ได้ว่า ราคาอาหารจะไม่ถูกอีกแล้ว ดังนั้นหากพอรับภาระไหวต้องเลือกซื้อสินค้าด้วยคุณภาพเป็นสำคัญ เช่น สินค้าทางเลือกทั้งหลาย สินค้าที่อุดหนุนเกษตรกรหรือผู้ผลิตโดยตรง หรือสินค้าในท้องถิ่นที่ใกล้บ้านไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายในการขนส่ง สำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย อาจต้องทำตัวเองให้เป็นมากกว่าผู้บริโภค คือ เป็นผู้ผลิตด้วย อาหารอะไรที่พอปลูกได้ ทำเองได้ ควรทำ เพื่อช่วยประหยัดในบางส่วน วางแผนการใช้จ่ายเงินในเรื่องอาหารเป็นสัปดาห์จะช่วยให้มองเห็นทางเลือกได้กว้างขึ้น

ขณะเดียวกัน ด้านผู้ประกอบการควรทำเมนูที่สร้างสรรค์มากขึ้น และอย่าเอาเปรียบผู้บริโภคมากเกินไป เพราะเมื่อสินค้าแพงขึ้น ทุกคนก็ขายแพงเหมือนกัน แต่ถ้าเห็นว่าร้านนี้แพง แต่ของคุณภาพดีกว่า ผู้บริโภคก็จะเลือกที่คุณภาพมากกว่า

อนาคตราคาอาหารเป็นไปตามอุปสงค์อุปทาน อย่าสร้างอุปทานให้คนฉวยโอกาสมาเอาเปรียบได้ และมองว่า ของมีแต่จะแพงขึ้น!

สอดคล้องกับ ณัฐพงศ์ ธีรนันทพิชิต ผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายอบรมอาหารและเครื่องดื่ม โรงเรียนการอาหารนานาชาติสวนดุสิต ที่มองว่าปัจจัยหนึ่งของการปรับราคาเป็นผลมาจากภาวะสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง แต่ผลที่กลับมาเกษตรกรยังไม่ได้รับประโยชน์จากการปรับราคาอย่างสมน้ำสมเนื้อ หากมองการปรับตัวของรัฐที่มีการจำหน่ายสินค้าธงฟ้าซึ่งเป็นการช่วยเหลือประชาชนแบบเฉพาะหน้า เหมือนการนำปลามาให้คนกินมากกว่าจะสอนคนตกปลา เพราะปัจจัยของภาวะโลกร้อนซึ่งมีผลกระทบต่อพืชผักเกิดตั้งแต่ต้นน้ำแต่ภาครัฐเองยังไม่มีมาตรการช่วยเหลือระยะยาวเพื่อรองรับผลกระทบดังกล่าว

ถ้ามองในภาวะของผู้ประกอบการร้านอาหารก็น่าเห็นใจ เพราะต้องแบกภาระค่าวัตถุดิบที่สูงขึ้น ซึ่งถ้าการขึ้นราคาสามารถเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรระดับล่างจะดีกว่านี้ เนื่องจากสิ่งที่เป็นปัญหาอยู่คืออาชีพเกษตรกรไม่มีใครอยากเป็น เนื่องจากราคาผลผลิตได้ไม่ดี ซึ่งด้วยระบบของพ่อค้าคนกลางทำให้เกษตรกรไม่มีเงินที่จะไปพัฒนาการทำงานของตนเองด้วย

จากการขึ้นราคาของสินค้า ผู้บริโภคและผู้ประกอบการควรมีแนวทางปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยเน้นซื้อของตามฤดูกาลเพราะจะมีมากทำให้ราคาถูก และมีคุณภาพดี รวมถึงใช้วัตถุดิบที่ผลิตในประเทศเพื่อลดต้นทุนในการขนส่ง และควรหาวัตถุดิบอื่นทดแทนในภาวะที่วัตถุดิบที่ใช้อยู่ราคาแพง เช่น หมูแพง ผู้ประกอบการสามารถนำไก่มาใช้แทนได้ ขณะเดียวกันต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค โดยยึดหลักอย่างคนโบราณที่เมื่อมีอาหารชนิดใดมากจะไม่กินให้หมดเพียงครั้งเดียว แต่จะกินพออิ่มแล้วเก็บส่วนที่เหลือไปถนอมอาหารเพื่อใช้กินในฤดูต่อไป

หากมีพื้นที่ในบ้านควรทำแปลงปลูกผักโดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง และวางแผนการถนอมอาหารว่าแต่ละอย่างสามารถเก็บไว้ได้ถึงเมื่อไหร่ และควรนำสิ่งใดมาถนอมอาหารโดยยึดหลักคิดของคนสมัยก่อน ถือเป็นอีกสิ่งที่ต้องได้รับการเผยแพร่ให้สู่วงกว้างเพราะ คนสมัยนี้มีค่านิยมจะต้องกินให้หมดก่อนที่จะเน่าเสีย แต่ลืมกรรมวิธีการถนอมอาหารแบบสมัยก่อน

“ในมุมมองการนำวัตถุดิบอื่นมาใช้แทนวัตถุดิบที่มีราคาแพง บางอย่างสามารถนำมาแทนได้ในกรณีที่วัตถุดิบนั้นไม่มีกลิ่นหรือลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น เนื้อหมูแพงเอาเนื้อไก่มาแทนหรือนำเนื้อกุ้ง ปลาหมึกมาแทนได้ แต่ในวัตถุดิบที่มีลักษณะเฉพาะอย่างใบกะเพรา ที่ถ้าเราจะทำเมนูผัดกะเพราไม่สามารถนำใบอื่นมาแทนได้เนื่องจากมีกลิ่นและลักษณะเฉพาะตัวสูง ดังนั้นควรเปลี่ยนไปทำเมนูอื่น”

ด้านผู้ประกอบการร้านอาหารไม่ควรจำกัดการปรับราคาในทุกเมนู แต่ควรมีการแยกประเภทว่าเมนูไหนที่ต้องใช้วัตถุดิบราคาแพงอาจปรับราคาขึ้น แต่เมนูไหนที่วัตถุดิบไม่แพงควรขายในราคาเดิม ซึ่งจะเป็นส่วนที่ช่วยลูกค้า เพราะถ้าร้านค้าปรับราคาทุกเมนูอาจทำให้ลูกค้าเริ่มหันไปกินร้านอื่น ขณะเดียวกันผู้บริโภคไม่ควรกินอาหารที่เป็นเมนูซ้ำ ๆ ทุกวัน เนื่องจากสารพิษในอาหารจะค่อย ๆ สะสมและเป็นผลร้ายต่อตัวเอง

สำหรับผู้บริโภคที่ตุนอาหารในตู้เย็นหรือมีอาหารเหลือในตู้เย็นแล้วจะนำมาประกอบอาหารควรระมัดระวัง ซึ่งถ้ามีฉลากควรดูวันหมดอายุ และดูรูปทรงด้านกายภาพว่าเปลี่ยนไปจากเดิมมากน้อยพอที่จะทานได้หรือไม่ ตลอดจนดมดูว่าวัตถุดิบนั้นมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวหรือไม่ ถ้ามีไม่ควรรับประทาน เพราะเมื่อทานเข้าไปแล้วอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อาจทำให้ราคาค่ายารักษาแพงกว่าการเสียเงินซื้อของเหล่านั้นใหม่

ในอนาคตวัตถุดิบอาหารไม่มีวี่แววว่าจะปรับราคาลดลง มีแต่จะเพิ่มขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการร้านอาหารและผู้บริโภคควรใช้ชีวิตอย่างพึ่งพาตนเองให้มากที่สุด ขณะเดียวกันรัฐและกระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องควรเร่งเข้ามาดูปัญหาต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นน้ำมากกว่ามานั่งแก้ที่ปลายน้ำ อย่างญี่ปุ่นร้านค้าที่ทำอาหารกับเกษตรกรผู้ปลูกมีการวางแผนร่วมกันว่าฤดูนี้ควรมีการเพาะปลูกและส่งให้เท่าไหร่ ส่วนผู้ประกอบการรายย่อยเองควรเสาะหาแหล่งวัตถุดิบราคาถูกตามตลาดใหญ่ ๆ ให้มากขึ้น

ราคาอาหารถือเป็นบทสะท้อนคุณภาพชีวิตของคนในประเทศ ไม่ต่างจากเกษตรกรผู้ผลิตที่แม้ราคาสินค้าจะถีบตัวสูงขึ้น แต่ราคาผลผลิตยังถือว่าไม่ได้งอกเงยมากกว่าเก่านัก จึงเป็นเรื่องที่ต้องขบคิดในสังคมที่พ่อค้าคนกลางเป็นใหญ่ บนโครงสร้างสังคมเกษตรกรรมที่เกษตรกรและผู้บริโภคยังต้องก้มหน้ารับภาระอยู่เนือง ๆ.

..................

ฝึกอุปนิสัยการกิน ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย

รายจ่ายส่วนใหญ่ของครอบครัวมักจะใช้จ่าย ไปกับค่าอาหารมากกว่าอย่างอื่น การสร้างอุปนิสัยการกินอยู่อย่างประหยัด ไม่เพียงแต่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายของครอบครัวเท่านั้น แต่ยังจะทำให้สมาชิกในครอบครัวมีสุขภาพดีด้วย โดย อ.สง่า ดามาพงษ์ ได้แนะนำการสร้างสุขนิสัยการกินอย่างได้ประโยชน์และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไว้เป็นแนวทางปฏิบัติพอสังเขป ดังนี้

1. กินอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ และครบ 5 หมู่ การประหยัดโดยงดการกินอาหารมื้อใดมื้อหนึ่งหรือกินไม่ครบ 5 หมู่ จะนำไปสู่การมีสุขภาพที่ไม่ดี เจ็บป่วยบ่อย นั่นย่อมหมายถึงเราจะต้องเสียเงินเสียทองไปกับค่ายาและค่ารักษาซึ่งมีราคาแพง

2. เลือกซื้อ ผัก ผลไม้ไทย ๆ โดยเฉพาะ ผักพื้นบ้าน แล้วให้ซื้อตามฤดูกาล เพราะไม่เพียงแต่ราคาถูกเท่านั้น ยังจะมีคุณค่าทางอาหารมากกว่า

3. กินอาหารในปริมาณที่พอเหมาะ กินพอดีอิ่ม อย่ากินทิ้งกินขว้าง หากเหลือควรเก็บในที่ให้เหมาะสมสำหรับมื้อต่อไป

4. ควรกินอาหารไทย ๆ เป็นประจำ หลีกเลี่ยงการกินอาหารต่างชาติราคาแพง เพราะอาหารไทยราคาถูกและให้คุณค่าทางโภชนาการที่ดีเหมาะสมสำหรับคนไทย การกินอาหารฝรั่งประจำไม่เพียงแต่จะฟุ่มเฟือยเท่านั้นแต่จะก่อให้เกิดโรคอ้วน เจ็บป่วยซึ่งตามมาด้วยค่ารักษา

5. หลีกเลี่ยงการกินอาหารนอกบ้าน โดยเฉพาะอาหารมื้อเย็นและในวันหยุด ควรหันมาปรุงอาหารกินเองในครอบครัว.

......................

ทีมวาไรตี้
เดลินิวส์ออนไลน์

http://ict.in.th/25701


* p4var.jpg (51.39 KB, 260x195 - ดู 263 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

อนิจจาผู้ไม่เคยมีความฝัน ... ไม่มีวันได้เจอสุข
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!