เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 29 เมษายน 2024, 04:07:43
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ⒷⒼ*, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  ประวัติ คนสำคัญของโลก
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 2 [3] พิมพ์
ผู้เขียน ประวัติ คนสำคัญของโลก  (อ่าน 74523 ครั้ง)
Ck 401
"....เมื่อเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา ก็ไม่มีอะไรมาทำให้ทุกข์ได้อีก...."
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,267


...งานหนักไม่เคยฆ่าคน...


« ตอบ #40 เมื่อ: วันที่ 06 มีนาคม 2010, 07:48:25 »

ขอบคุณมากครับสำหรับความรู็ดีๆ

.....นอนบ่หลับ...เฮ้อ...........
ยิ้ม...เบียร์..ก่อนนอนซิครับ..
คำเตือน...
ห้ามดื่มเกิน ครั้งละ 3 ขวด
เดี๋ยวเมา. ยิงฟันยิ้ม.
IP : บันทึกการเข้า

"....คณะเรา ไม่ยอมให้ด้อยถอยลง ต่ำเราต้องค้ำชูให้สูงจรุงศรี....."
....เมื่อเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา  ก็ไม่มีอะไรมาทำให้ทุกข์ได้อีก...."
Lจ้าXญิJlม็๑nsาe
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 140


I walk alone,,,


« ตอบ #41 เมื่อ: วันที่ 06 มีนาคม 2010, 10:40:53 »

จูเลียส ซีซาร์ มีชื่อเต็มว่า เดอุส จูเลียส ซีซาร์ เป็นรัฐบุรุษในประวัติศาสตร์เขาได้สถาปนาตนเองขึ้นปกครองกรุงโรม และได้ทำให้อาณาจักรโรมมีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักของชาวโลกมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ จูเลียสได้สร้างชื่อซีซาร์อันยิ่งใหญ่นี้ขึ้น และเป็นต้นแบบของกษัตริย์โรมในสมัยต่อมาที่ใช้ชื่อซีซาร์นี้ถึงสิบสององค์ แม้คำว่า ชาห์ แห่งอิหร่าน ซาร์ แห่งรัสเซีย ไกเซอร์ แห่งเยอรมัน ล้วนแล้วแต่มีรากศัพท์มาจากคำว่าซีซาร์ทั้งสิ้น และได้สืบทอดคำเรียกเหล่านี้มาจนถึงปัจจุบัน
     ชีวประวัติและผลงาน
ช่วงต้นของชีวิต
จูเลียส เกิดในวันที่ 12 กรกฎาคม เมื่อประมาณ 100 ปี ก่อนคริสตศักราช(พ.ศ. 444) ในตระกูลขุนนางเก่าตระกูลหนึ่ง มีบิดาชื่อเคอุส จูเลียส และมารดาชื่ออรอเรเลีย บิดาของเขาแม้จะมั่งคั่งร่ำรวย แต่ก็มิได้มีตำแหน่งสูงนักในทางราชการ จูเลียสเป็นกำพร้าบิดาตั้งแต่อายุยังน้อย คงมีแต่มารดาซึ่งคอยให้ความปกป้องคุ้มครองดูแลต่อมา

นับตั้งแต่เด็กมา จูเลียสไม่เคยคิดที่จะยึดเอาการทหารเป็นอาชีพอย่างแท้จริงเลยทั้ง ๆ ที่เขาเคยเข้าฝึกทหารอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เขาตั้งใจจะเป็นทนายความ หรือเป็นนักกฎหมายซึ่งเป็นอาชีพที่ขึ้นหน้าขึ้นตาในสมัยนั้นมากกว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกโจรสลัดจับตัวไปเรียกค่าไถ่ เมื่อเขารอดชีวิตกลับมาเขากลับรวบรวมสมัครพรรคพวกและเรือทั้งหลาย กลับไปยังเกาะที่เขาเคยถูกนำตัวไปกักไว้ ได้สู้รบกับบรรดาโจรสลัดจนได้ชัยชนะนำพวกโจรกลับมารับการลงโทษ เหตุการณ์นี้ได้แสดงให้เห็นว่า จูเลียสนั้นเป็นผู้ที่ชอบการสู้รบมาตั้งแต่เด็กๆ และก็ดูเหมือนว่าเขาจะมีชื่อเสียงที่สุดในด้านการทหาร เมื่ออายุ 21 ปี เขาได้รับเหรียญกล้าหาญในฐานะที่ได้ช่วยชีวิตทหารคนหนึ่งไว้ได้จากการรบ สามารถตีชนะประเทศต่าง ๆ ถึง 300 ประเทศ ได้เมืองต่าง ๆ ไว้ในอำนาจถึง 800 เมือง แม้แต่ในวงการทหารสมัยปัจจุบันก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมจูเลียส ซีซาร์ จึงสามารถเดินทัพ และทำสงครามเผด็จศึก ได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนั้น ทัพของโรมันได้ชัยชนะตั้งแต่ยุโรปทางตอนเหนือจรดยุโรปตอนใต้ จากสเปนไปจนถึงอาเซียน้อยและเรื่อยไปจนถึงอียิปต์ ตลอดเวลาของการเดินทัพ จูเลียสจะกินอยู่หลับนอนร่วมกับทหารเลวทั้งหมด ทั้งมักจะชอบแสดงถึงความกล้าหาญ ปราศจากความกลัวในภยันตรายทั้งหลายทั้งปวงให้เหล่าทหารได้เห็น ครั้งหนึ่งเขาควบม้าอย่างรวดเร็ว เต็มฝีเท้าแต่กลับปล่อยมือจากสายบังเหียน แล้วยกขึ้นประสานไว้เหนือศีรษะ และอีกครั้งหนึ่งเขาได้ขอลองขึ้นขี่ม้าที่ขึ้นชื่อว่าดุที่สุด จนไม่มีใครกล้าขี่ ในการบุกทุกครั้ง จูเลียสจะเข้าร่วมอยู่ในกลุ่มทหาร ปฏิเสธไม่ยอมใส่แม้แต่หมวกเหล็กเพื่อให้ทหารจำได้ เขาไม่เคยตกใจจนทำอะไรไม่ถูกและไม่ว่าจะทำอะไรเขาจะทำอย่างเชื่อมั่นในตนเอง ตลอดเวลาเขามักจะคิดถึงแต่ความสง่างามความยิ่งใหญ่ของเขาในฐานะเป็นผู้นำ

ครั้งหนึ่งในการทำสงครามที่เฟซาเลีย ซึ่งในที่สุดโรมันก็เป็นฝ่ายได้ชัยชนะ ฟาร์เนเซส เจ้าผู้ครองแคว้นได้ก่อการกบฎขึ้น โดยปฏิเสธไม่ยอมสวามิภักดิ์ด้วย จูเลียสจึงยกทัพเข้าตะลุมบอน และได้ชัยชนะภายในเวลาเพียงวันเดียว ผลจากการสู้รบครั้งนี้เอง ทำให้เราได้รู้จักคำพูดที่เป็นอมตะประโยคหนึ่งของจูเลียส ซีซาร์ ซึ่งได้รายงานกลับมาโรมว่า Veni, Vedi, Vici! ซึ่งแปลว่า "ข้าไปถึงแล้ว ข้าได้เห็น และข้าก็ได้ชัยชนะ"

เหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในสมัยที่ซีซาร์ครองโรม
เหตุการณ์ที่สำคัญนั้นก็คือ การยกทัพเข้ารุกรานเกาะอังกฤษ ที่เรียกว่าสำคัญก็ด้วยเหตุผลประการหนึ่งคือ ทำให้คนรุ่นหลังได้รู้จักประวัติของเกาะเล็ก ๆ เกาะหนึ่งซึ่งก่อนหน้านั้นไม่เคยมีอยู่บนแผนที่เลยด้วยซ้ำ ปีนั้นตรงกับปีที่ 55 ก่อนคริสตศักราช ซีซาร์ได้ครองอาณาจักรโกล ซึ่งปัจจุบันคือประเทศฝรั่งเศสเรียบร้อยแล้ว แต่พวกโกลมักจะได้รับความช่วยเหลือจากชนชาติหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่ตรงข้ามเมืองคาเล่ส์ให้ก่อการกบฎอยู่เสมอ และถ้าพ่ายแพ้ พวกนี้ก็มักจะอพยพหนีไปพำนักพักพิงชั่วคราวอยู่ ณ เกาะเล็ก ๆ แห่งนั้น เกาะนั้นจะเป็นเกาะอะไร มีพลเมืองมากน้อยเพียงใด มีความเป็นอยู่อย่างไร จูเลียส ซีซาร์ หาได้มีความรู้แม้แต่น้อยไม่ แต่กระนั้น เขาก็ตัดสินใจยกทัพเข้ารุกรานทันที จูเลียส สั่งเตรียมทหารให้มาพร้อมกันลงเรือที่เมืองบูโลญราว 10,000 คน เพียงข้ามคืนเดียว กองทัพโรมก็จะขึ้นฝั่งได้แถบบริเวณโดเวอร์ แต่ชาวพื้นเมืองเตรียมต่อสู้อย่างเต็มที่ ทำให้จูเลียสต้องสั่งทหารให้แล่นเรือต่อไปรอบ ๆ เกาะจนถึงดีส จึงขึ้นบกและขับไล่ชาวพื้นเมืองให้หนีไปได้ เหตุการณ์เป็นปกติเรียบร้อย จนถึงวันที่สี่นับจากการยึดครองเกาะได้ คืนนั้นเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง น้ำทะเลขึ้นสูง ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ชาวโรมันไม่เคยได้รู้จักมาก่อน กำลังน้ำทำลายเรือเสียมากต่อมาก ในที่สุดซีซาร์ต้องออกคำสั่งให้ถอยทัพกลับยุโรป พอดีกับเหตุการณ์วุ่นวายในแถบยุโรปตะวันออก ซึ่งซีซาร์ต้องเสียเวลาปราบปรามอยู่พักหนึ่ง

เดือนเมษายนปีต่อมา จูเลียส ซีซาร์ สั่งให้เตรียมกองทัพเรืออีกครั้ง คราวนี้มีเรือถึง 600 ลำ กองทหารถึง 28 กอง และเมื่อถึงวันที่ 20 กรกฎาคม ก็เริ่มออกเดินทาง คราวนี้ชาวเกาะมิได้คิต่อสู้เลย คงจะเกิดความกลัวตั้งแต่เห็นความยิ่งใหญ่ของกองเรือ จึงพากันอพยพหนีขึ้นไปทางเหนือ ซีซาร์ยกทัพตามขึ้นไปจนถึงเมืองเซนต์ อาลลานส์ เมื่อฤดูหนาวใกล้เข้ามาก็ตัดสินใจยกทัพกลับโรม โดยนำเชลยติดมาด้วยเป็นจำนวนมาก ชาวโรมันตื่นเต้นกันมากในชัยชยะครั้งนี้

เมื่อวัยหนุ่ม ซีซาร์ได้เดินทางไปรับการศึกษา ณ เกาะโรดส์ระหว่างนั้นได้เกิดสงครามขึ้น และซีซาร์ก็ได้ไปร่วมรบด้วย ทำให้เขามีชื่อเสียงขึ้น และเมื่อกลับมายังโรม เขาจึงได้รับแต่งตั้งเป็นมอนติเฟดส์ และเริ่มสนใจทางการเมือง เขาร่วมมือกับปอมเปย์ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทัพโรมัน และเครสซัส เศรษฐีคนหนึ่งเรียกคณะของตนว่า ไตรอุมวิเรท มีอำนาจควบคุมกิจการบริหารในสมัยนั้นอย่างมากมาย

ต่อมาราว 59 ปี ก่อนคริสตศักราช จูเลียสได้รับเลือกเป็นกงสุลและได้มีการแบ่งอำนาจกันระหว่างคู่สัญญาทั้งสาม ซึ่งทำให้จูเลียสได้โอกาสแผ่ขยายอำนาจต่อไปได้เต็มที่ จนปอมเปย์อิจฉา จนในที่สุดเกิดเป็นสงครามขึ้น ตอนนี้แครสซัสตายแล้ว จูเลียสได้ชัยชนะ ปอมเปย์หนีไปอียิปต์ และไปถูกฆ่าตายที่นั้น ราว 48 ปี ก่อนคริสตศักราช เขาได้เข้าเมืองอียิปต์ช่วยจัดการให้คลีโอพัตรา ซึ่งกำลังมีเรื่องแย่งราชสมบัติกับพระอนุชาให้ได้ขึ้นครองราชบัลลังก์ จนมีเรื่องลื่อกระฉ่อนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับพระนางคลีโอพัตรา

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้จูเลียสก็ได้มีอำนาจเต็มที่ในโรมเขากลับมาถึงโรม และได้รับการยกย่องให้เป็น "ผู้มีอำนาจปกครองโดยเผด็จการ" โดยกำหนดให้มีอำนาจอยู่ครั้งละสิบปี และต่อมาเมื่อเขาปราบปรามตีดินแดนทางแถบอาฟริกาและสเปนได้ เขาจึงได้รับการอนุมัติให้เป็น "หัวหน้าผู้เผด็จการ" ตลอดชีวิต

ด้านมืด และจุดจบของซีซาร์
ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะไม่มีความชั่วติดตัวเลย จูเลียส ซีซาร์เอง แม้ว่าจะมีความสามารถเก่งกล้ายิ่งนักในการสงคราม แต่ก็มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือ มีความทะเยอทะยานอย่างรุนแรง เมื่อเล็ก ๆ เขามีชื่อเสียงในเรื่องการใช้เงินเปลืองจนเป็นหนี้สินเมื่อเติบโตมีอำนาจในมือ เขาก็จับจ่ายใช้สอยเงินอย่างไม่อั้นทั้ง ๆที่เงินนั้นเป็นของหลวง ในด้านการสงคราม จูเลียส ซีซาร์ ก็ถูกโจมตีว่าพาคนไปตายเสียมากต่อมาก แต่ในการรบในสมัยโน้น แต่ละฝ่ายต่างก็ยอมเสียทหารเป็นจำนวนมากเสมอ การสั่งประหารชีวิตแม่ทัพโกล ซึ่งย่อมแพ้ต่อทัพโรมันเมื่อครั้งจูเลียส ซีซาร์ พากองทัพอันเกรียงไกรเข้าไปบุกโกล เป็นจุดด่างดำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา จูเลียสสั่งขังแม่ทัพโกลไว้ถึงหกปี แล้วจึงสั่งให้ประหารชีวิตทั้ง ๆ ที่มิได้มีความผิดใด ๆ เพียงแต่ต้องการให้เป็นเครื่องส่งเสริมบารมีของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น

แต่ก็น่าแปลกที่ครั้งหนึ่งจูเลียส ซีซาร์ ได้ทราบข่าวว่าปอมเปย์ คู่อริที่ยิ่งใหญ่ของเขาถูกฆ่าแล้วในอียิปต์ จูเลียสก็ถึงกับทรุดนั่ง และร้องไห้

อย่างไรก็ตาม แม้จูเลียสจะได้ชื่อว่าทารุณ โหดร้าย แต่เขาก็เป็นแม่ทัพที่ทหารพากันจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่ง จนแทบจะพูดได้ว่า ไม่เคยมีทหารในสมัยใดจะ รักเจ้านายของตนยิ่งไปกว่าทหารรักซีซาร์ ที่ไหนมีอันตราย ที่นั่นซีซาร์จะเป็นคนแรกที่บุกเข้าไปก่อน ถ้าในการเดินทางกองทหารจำเป็นจะต้องข้ามแม่น้ำสักสายหนึ่งที่น่ากลัวที่สุด จูเลียสจะเป็นคนแรกที่ลงว่ายน้ำนำบรรดาทหารทั้งหลายลงไป

ผู้ยิ่งใหญ่ทุกคนย่อมมีศัตรู ในโลกนี้มีคนอีกหลายคนที่ทนเห็นความสำเร็จของผู้อื่นไม่ได้ จูเลียส ซีซาร์ เป็นคน ๆ หนึ่งที่ถูกอิจฉาริษยา เขาเองก็รู้ตัวดี แต่เขาจำเป็นต้องทำเป็นไม่รู้ ไม่เห็นเสียบ้าง คนที่คิดปองร้ายเขา คือนักโทษคนหนึ่งที่ซีซาร์เองเป็นผู้ออกคำสั่งให้ไว้ชีวิต จูเลียสไม่เคยคิดเลยว่า คน ๆ นี้จะเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้ เขาผู้นั้นมีชื่อว่า มาร์คุส จูนิอุส บรูตุส ซึ่งเขารับเป็นลูกเลี้ยงในเวลาต่อมา

การลอบฆ่าเป็นไปอย่างง่ายดาย ซีซาร์เองไม่เคยได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย จึงไม่มีการระวังตัวแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามในวันที่ 14 มีนาคมก่อนคริสตศักราช 44 ปี ซึ่งเป็นวันก่อนวันเกิดเหตุร้ายเพียงหนึ่งวัน ก็ได้มีสัญญาณหลายอย่างที่แสดงว่า โลกเรากำลังจะต้องสูญเสียผู้ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่ง พายุพัดแรงจัด มีดาวหางขึ้นในท้องฟ้าคัลเฟอร์เนีย ภรรยาของจูเลียสนึกสังหรณ์ใจจนถึงกับกราบขอร้องอ้อนวอนมิให้สามีเธอเดินทางไปประชุมสภาเซเนทในวันรุ่งขึ้น แต่จูเลียสกลับหัวเราะเยาะราวกับเห็นเป็นเรื่องขบขันเสียเต็มประดา จูเลียสดื้อรั้นที่จะไปประชุมในวันนั้นให้ได้ เมื่อเขาเดินผ่านห้องโถง รูปปั้นตัวเขาเองก็หล่นลงมาแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย นอกจากนั้นระหว่างทาง มีชายคนหนึ่งแอบส่งจดหมายให้เขาฉบับหนึ่งขอร้องให้เขาอ่านก่อนที่จะเข้าประชุม แต่จูเลียสเพียงแต่กำไว้ในมือโดยไม่ทันได้อ่าน ถ้าเพียงแต่เขาจะได้มีโอกาสอ่านจดหมายฉบับนั้น ประวัติศาสตร์โรมันก็คงจะเปลี่ยนไปอีกเป็นคนละรูป เพราะในจดหมายฉบับนั้นมีรายชื่อของผู้ที่คิดวางแผนจะเอาชีวิตเขาทั้งหมด รวมทั้งแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการนั้นด้วย

11.00 น. เช้าวันที่ 15 มีนาคม ก่อนคริสตศักราช 44 ปี ขณะที่จูเลียส ซีซาร์กำลังยืนอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับการประชุมในสภาเซเนท แคสซิอุส มาร์คุส จูนิอุส บรูตุส ลูกเลี้ยงของเขา หนึ่งในจำนวนผู้วางแผนทรยศก็ได้ปักดาบคู่มือทะลุผ่านลำคอ ซีซาร์ยกมือขึ้นรับ แต่ก็ไม่สำเร็จ เขาล้มลงขาดใจตายจมกองเลือดอยู่ ณ ที่นั่นเอง

การตีความคำพูดสุดท้ายของซีซาร์
ซีซาร์เป็นเผด็จการแต่ก็ไม่เคยเป็นจักรพรรดิ แม้ว่าเขาจะมีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนั้น อันเป็นเหตุให้ถูกลอบสังหารในที่สุด คำพูดสุดท้ายของซีซาร์ได้แก่ καὶ σύ, τέκνον (kaì sú, téknon)ในภาษากรีก ภาษาของบุคคลชั้นสูงในกรุงโรม (หรือแปลเป็นภาษาละตินโดยซูเอโทนว่า "Tu quoque, fili" ซึ่งแปลว่า "เจ้าก็ด้วย ลูกชายของข้า") มีความเห็นต่างๆกันไปเกี่ยวกับความหมายในคำพูดสุดท้ายของจูเลียส ซีซาร์
การตีความที่พบบ่อยที่สุด คือซีซาร์รู้สึกประหลาดใจที่บุตรชายของตนเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้วางแผนทรยศ
บางคนเชื่อว่านี่เป็นคำสาปที่ซีซาร์แช่งให้บรูตุสได้รับชะตากรรมเดียวกับตน
การตีความอีกรูปแบบมีการอ้างอิงถึงสุขภาพที่ทรุดโทรมของซีซาร์ก่อนถึงแก่อสัญกรรม เขาอาจจะเป็นโรคเรื้อน ซึ่งทำให้เกิดอาการท้องเสีย อาเจียนอย่างรุนแรง ไม่ฟังเสียงทัดทานของคนรอบข้าง และเลือกจะจบชีวิตตนเองในที่สุด คำพูดสุดท้ายของซีซาร์จึงอาจตีความได้ว่า "เจ้าก็ด้วย ลูกชายของข้า เจ้าจะต้องแก่และอ่อนแอ และมีชะตากับเดียวกับข้า"
และท้ายสุด เป. อาร์โนด์ ได้เสนอแนวทางตีความต่อไปนี้ เราพบว่าซูเอโทนก็ใช้คำว่า καὶ σύ, τέκνον เมื่อ ซีซาร์ออกุสตุส กล่าวถึง กัลบา บุตรชาย (ซึ่งได้กลายเป็นจักรพรรดิในเวลาต่อมา) ในความหมายว่า "เจ้าก็ด้วย บุตรของข้า เจ้าจะสืบทอดอำนาจข้าต่อไป" แม้แต่ดิออน ซาสซิอุส ก็ใช้คำนี้เพื่อบอกเล่าเรื่องของ 'ทิเบรุส เคลาดิอุส เนโร' กล่าวกับกัลบา คนเดียวกัน ดังนั้น เมื่อซีซาร์ถูกลอบสังหารอย่างเป็นทางการเพื่อปกป้องสาธารณรัฐ เขาจึงได้กล่าวโทษบรูตุสซึ่งต้องการขึ้นสู่อำนาจเช่นเดียวกับเขา และได้กล่าวทำนายการลอบสังหารบรูตุสในอนาคตว่าจะเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่เขาถูกลอบสังหาร
 

"เจ้าก็ด้วย บุตรชายของข้า" เป็นคำที่ยังตีความไม่ได้ ว่าซีซาร์หมายถึงอะไรมีความหมายในหลายๆ แง่ อ่านแล้วชอบนะ ไหนๆ ก็เอาซีซาร์มาลง เอาพระนางคลีโอพัตรา มาด้วยสิ มาร์ก แอนโทนี่ด้วย


* italy_julius-caesar-statue.jpg (39.7 KB, 470x330 - ดู 1000 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

ผู้หญิงไม่ใช่สิ่งของที่อยากจะใช้ก็เรียกหา อยากจะลาก็ไปโดยไม่บอก ผู้หญิงเป็นคนมีหัวใจ เจ็บได้ เสียใจเป็นเหมือนอย่างคุณนั้นแหล่ะ ให้เกียรติกันบ้างครั้งสุดท้ายก่อนจะไปก็ยังดี
☺ (ต้นฟ้า1 อิดเหนื่อย) ☺
มีเงินล้นฟ้า ไม่เท่าค่าของคน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,194


** ความสุขเล็กๆ **


« ตอบ #42 เมื่อ: วันที่ 06 มีนาคม 2010, 11:12:49 »

 ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

รับซื้อ-ขายมือถือ มือ 2 ทุกรุ่น ราคามิตรภาพ Line id = spphone  อิดเหนื่อย
AEK13@กว่างกรุง
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,991


กว่างกรุง


« ตอบ #43 เมื่อ: วันที่ 06 มีนาคม 2010, 11:54:24 »

ลำบากคุณชายแล้ว


* คารวะ.jpg (40.06 KB, 590x406 - ดู 969 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

วีรบุรุษไซร้ ไร้น้ำตา ร่ำสุราหยาดโลหิตคลุกเคล้า หมื่นพันอดีตกาลแสนเศร้า ยิ้มเยาะเย้ามลายสิ้น กระบี่เดียว
Lจ้าXญิJlม็๑nsาe
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 140


I walk alone,,,


« ตอบ #44 เมื่อ: วันที่ 06 มีนาคม 2010, 12:10:38 »

มีประวัติคตีกวีของโลก ดิฉันก็เอาผลงานของคีตกวีระดับมาให้ฟังบ้างดีกว่า

http://www.mediafire.com/file/ltmzmmyylmj/Classical Music By LADY POISON.rar
IP : บันทึกการเข้า

ผู้หญิงไม่ใช่สิ่งของที่อยากจะใช้ก็เรียกหา อยากจะลาก็ไปโดยไม่บอก ผู้หญิงเป็นคนมีหัวใจ เจ็บได้ เสียใจเป็นเหมือนอย่างคุณนั้นแหล่ะ ให้เกียรติกันบ้างครั้งสุดท้ายก่อนจะไปก็ยังดี
mod_jx
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #45 เมื่อ: วันที่ 06 มีนาคม 2010, 12:25:21 »

^^ชอบฟังคลาสสิคเหรอคะ
IP : บันทึกการเข้า
Lจ้าXญิJlม็๑nsาe
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 140


I walk alone,,,


« ตอบ #46 เมื่อ: วันที่ 06 มีนาคม 2010, 12:39:30 »

^^ชอบฟังคลาสสิคเหรอคะ

ชอบมากค่ะ สะสมไว้เป็น Collection ฟังแล้วมันอธิบายความรู้สึกไม่ถูก มันปลื้ม
IP : บันทึกการเข้า

ผู้หญิงไม่ใช่สิ่งของที่อยากจะใช้ก็เรียกหา อยากจะลาก็ไปโดยไม่บอก ผู้หญิงเป็นคนมีหัวใจ เจ็บได้ เสียใจเป็นเหมือนอย่างคุณนั้นแหล่ะ ให้เกียรติกันบ้างครั้งสุดท้ายก่อนจะไปก็ยังดี
mod_jx
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #47 เมื่อ: วันที่ 06 มีนาคม 2010, 21:00:08 »

^^ชอบฟังคลาสสิคเหรอคะ

ชอบมากค่ะ สะสมไว้เป็น Collection ฟังแล้วมันอธิบายความรู้สึกไม่ถูก มันปลื้ม

ชอบฟังยุคไหนเป็นพิเศษมั้ยคะ
IP : บันทึกการเข้า
WH_Y
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,222



« ตอบ #48 เมื่อ: วันที่ 06 มีนาคม 2010, 21:11:55 »

..สรียินดีเจ้าน้องฮักแม่จัน.. ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
Lจ้าXญิJlม็๑nsาe
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 140


I walk alone,,,


« ตอบ #49 เมื่อ: วันที่ 06 มีนาคม 2010, 21:27:13 »

^^ชอบฟังคลาสสิคเหรอคะ

ชอบมากค่ะ สะสมไว้เป็น Collection ฟังแล้วมันอธิบายความรู้สึกไม่ถูก มันปลื้ม

ชอบฟังยุคไหนเป็นพิเศษมั้ยคะ

ยุค Romantic ค่ะ
IP : บันทึกการเข้า

ผู้หญิงไม่ใช่สิ่งของที่อยากจะใช้ก็เรียกหา อยากจะลาก็ไปโดยไม่บอก ผู้หญิงเป็นคนมีหัวใจ เจ็บได้ เสียใจเป็นเหมือนอย่างคุณนั้นแหล่ะ ให้เกียรติกันบ้างครั้งสุดท้ายก่อนจะไปก็ยังดี
bm farm
หัวหมู่ทะลวงฟัน
ผู้ดูแลบอร์ด
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,575


canon eos


« ตอบ #50 เมื่อ: วันที่ 06 มีนาคม 2010, 22:08:29 »

 ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ....ขอบคุณที่เอามาฝากกันครับ....นั่งอ่านเพลินเลย...
IP : บันทึกการเข้า

ยิ้มกว้างๆ .....อ่านกฏ,กติกาการใช้งานเวบบอร์ดด้วยครับ.....
mod_jx
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #51 เมื่อ: วันที่ 06 มีนาคม 2010, 22:51:03 »

ดีใจ๋เจ้า มีคนชอบดนตรีคลาสสิค^^
IP : บันทึกการเข้า
corolado4
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,835


บ้านสวน ดอยพระบาท11 (ธารน้ำกรณ์2)


« ตอบ #52 เมื่อ: วันที่ 07 มีนาคม 2010, 15:41:38 »

ขอเพิ่มบุคคลสำคัญของไทยในอดีต มากระจายให้ชาวเวปทราบบ้าง
เด็กสมัยนี้ ถูกถามว่า รู้จัก "พันท้ายนรสิงห์" หรือไม่คือใคร?
แทบทุกคนตอบว่า ชื่อน้ำพริกกระปุกยี่ห้อหนึ่ง  อนาถจริงๆ
เด็กยุคหลังๆ ไม่มีความรู้ประวัติศาสตร์ไทยในสมอง  ความรู้สึกไทยไม่ฝังลึก
พอมาถูกย้อมสี ถูกบอกกล่าวไปในหลายๆทาง อาจไม่มีฐานความรู้มาไตร่ตรอง
วิชา ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย หน้าที่พลเมือง ศีลธรรม หายไปจากระบบการเรียน
ข่าวการขัดแย้งเขตแดน ก็อาจไม่เข้าใจถ้าไม่ทราบประวัติศาสตร์เป็นมา
     ศาสนาพุทธ  วิถีไทย เริ่มเพี้ยนไปเรื่อยจากสาเหตุใด คนรุ่นเก่าล้มหายไปแล้ว
คนรุ่นใหม่ไม่ได้สานต่อ ก็อาจจะเป็นมาจากการไม่ได้รับความรู้ตามที่ว่าไว้ข้างต้น
แล้วท่านล่ะ  รู้จักไหมชื่อนามไทยสักชื่อ ถ้าลองระบุมาให้ตอบ
หรือแม้แต่ของเชียงราย ลองตั้งคำถาม ค้นหาคำตอบมาหน่อย
เช่น  กิ่วทัพยั้ง  มันเป็นมาอย่างไร    วานคุณฮักแม่จัน เป็นธุระหน่อยได้ไหมครับ

IP : บันทึกการเข้า

۰•ฮักแม่จัน©®
เลวบ้างในบางเวลา
ผู้ดูแลบอร์ด
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,017


"มารบ่มี บารมี บ่เกิด.."


« ตอบ #53 เมื่อ: วันที่ 07 มีนาคม 2010, 15:51:33 »

ขอเพิ่มบุคคลสำคัญของไทยในอดีต มากระจายให้ชาวเวปทราบบ้าง
เด็กสมัยนี้ ถูกถามว่า รู้จัก "พันท้ายนรสิงห์" หรือไม่คือใคร?
แทบทุกคนตอบว่า ชื่อน้ำพริกกระปุกยี่ห้อหนึ่ง  อนาถจริงๆ
เด็กยุคหลังๆ ไม่มีความรู้ประวัติศาสตร์ไทยในสมอง  ความรู้สึกไทยไม่ฝังลึก
พอมาถูกย้อมสี ถูกบอกกล่าวไปในหลายๆทาง อาจไม่มีฐานความรู้มาไตร่ตรอง
วิชา ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย หน้าที่พลเมือง ศีลธรรม หายไปจากระบบการเรียน
ข่าวการขัดแย้งเขตแดน ก็อาจไม่เข้าใจถ้าไม่ทราบประวัติศาสตร์เป็นมา
     ศาสนาพุทธ  วิถีไทย เริ่มเพี้ยนไปเรื่อยจากสาเหตุใด คนรุ่นเก่าล้มหายไปแล้ว
คนรุ่นใหม่ไม่ได้สานต่อ ก็อาจจะเป็นมาจากการไม่ได้รับความรู้ตามที่ว่าไว้ข้างต้น
แล้วท่านล่ะ  รู้จักไหมชื่อนามไทยสักชื่อ ถ้าลองระบุมาให้ตอบ
หรือแม้แต่ของเชียงราย ลองตั้งคำถาม ค้นหาคำตอบมาหน่อย
เช่น  กิ่วทัพยั้ง  มันเป็นมาอย่างไร    วานคุณฮักแม่จัน เป็นธุระหน่อยได้ไหมครับ



เคยมีคนเอามาตั้งกระทู้ถามครั้งหนึ่งแล้วครับ

ตามกระทู้นี้ครับ
http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=4169.0
IP : บันทึกการเข้า

"ทำบุญเท่าไรก็ไม่สามารถลบล้างบาปได้ บุญอยู่ส่วนบุญ บาปอยู่ส่วนบาป"

ไม่มีใครหรอกที่จะเลวโดยสันดาน ..
หากแต่สถานการณ์มันบีบบังคับให้ทำ
bitthailand2012
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6


« ตอบ #54 เมื่อ: วันที่ 23 สิงหาคม 2013, 10:50:43 »

อื่ม น่าสนใจแฮะ
IP : บันทึกการเข้า

~ Bullet for my Brother ~
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,630


« ตอบ #55 เมื่อ: วันที่ 23 สิงหาคม 2013, 18:59:26 »



ผมว่าในกล่องอุปกรณ์ของคนที่ตีเหยื่อปลอมคงต้องมีเหยื่อของราพาร่าซักตัวล่ะพอดีไปเจอมาเลยเก็บมาฝากให้เพื่อนๆอ่านครับ

“ถ้าคุณเป็นนักกีฬาตกปลา คุณน่าจะรู้จัก ราพาล่า เหยื่อปลอมขนาดต่างๆ ซึ่งแต่ละตัวมีอำนาจที่สามารถสะกตจิตปลาให้เข้ามาคว้ากินได้ แต่คุณอาจจะไม่เคยได้ยินถึงเรื่องราวของคนผู้ซึ่งผลิตเหยื่อปลอมเหล่านี้ ขึ้นมา
นักตกปลาธรรมดาๆซึ่งใช้ชีวิตของตัวอย่างเงียบๆ ซ่อนเร้น มีชื่อว่า ลัวรี่ ราพาล่า ซึ่งประสบโชคจากงานประดิษฐกรรมของเขา
เพื่อที่จะจบชีวิตลงในความเศร้าที่เป็นโศกนาฏกรรม”

ลัวรี่ ราพาล่า

เขาเกิดที่เมืองเล็กๆ ในปี 1907 ไม่เคยเห็นหรือรู้เรื่องราวของพ่อผู้ให้กำเนิด ไม่มีแม้แต่นามสกุล จนกระทั่งอายุได้ 5 ขวบ เจ้าหน้าที่ทางสำมะโนประชากรจึงตั้งนามสกุลให้เขาว่า “ราพาล่า” ตามชื่อของเมืองที่เขาได้เกิดมา

คำนี้ในภาษาที่ใช้กันอยู่พื้นบ้าน หมายความถึงความมัวมน ปลักตม ซึ่งรู้สึกว่าตรงกับบุคลิกภาพหม่นหมองของเด็กกำพร้าคนนั้น ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาพบรู้จักแต่ความยากจน ต้องทำงานหนัก ออกรบในสงครามทั้งกับพวกรัสเซียนและเยอรมันเพื่อจะได้มีประสบการณ์ที่ทั้งรุ่งโรจน์และถูกกระแทกซ้ำเติมในบั้นปลายเหมือนความสำเร็จรุ่งโรจน์นั้นหัวเราะเยาะเขาพร้อมๆ กัน

ในปี 1936 ราพาล่าได้ทำเหยื่อปลอมชนิดลอยน้ำได้ขึ้นมาตัวหนึ่ง เหยื่อตัวนี้มีอาการส่ายตัวบิดไปบิดมาที่ไม่เหมือนตัวอื่นๆ เป็นเวลาเป็นปีๆ มาแล้วที่เขาตกปลาอยู่ตามทะเลสาบชายป่าซึ่งอยู่ไกลออกไปทางด้านเหนือของเฮลซิงกิประมาณ 2 ชั่วโมง จากเรือกรรเชียงที่เขาใช้ เขาเพียรศึกษาการต่อสู้เพื่อยังชีพในกระแสน้ำ เฝ้ามองปลาเหยื่อตัวเล็กๆ ที่ถูกงาบเข้าไปในอุ้งปากมหึมาของเกมส์ฟิช ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปลาเทร้าท์หรือไม่ก็ปลาไพค์

“ผมได้เห็นว่าปลาใหญ่ๆ นั้นมักจะรอคอยจนกระทั่งสามารถเลือกเหยื่อที่มีลักษณะอาการแตกต่างไปจากตัวอื่น”
เขาเคยพูดอธิบายให้ฟัง “การที่ปลาเหยื่อถูกปลาเกมขนาดใหญ่ๆ กินก็เป็นเพราะกริยาอาการว่ายน้ำที่ไม่เหมือนตัวอื่นๆเป็นจังหวะที่ต่างกัน” ด้วยการฝึกหัดอันนี้ เขาถึงขนาดทายไว้ล่วงหน้าได้ว่าเมื่อลงเหยื่อเสร็จ ปลาจะกินเหยื่อตัวใหนก่อน

นี่ไม่ใช่การฝึกอดทนที่ไร้ค่า เพราะครอบครัวราพาล่ามีชีวิตอยู่ได้ด้วยปลาตลอดระยะเวลาทุกข์ยากอันยาวนาน หลังจากไม่ได้มรรคผลอะไรจากอาชีพเพาะปลูกและตัดซุง เขาตกลงใจเป็นชาวประมงและแต่งงานกับภรรยาของเขา เอลมา มีลูกด้วยกัน 7 คนตลอดระเวลาระหกระเหินจากพรากกันบ้างยาวนานถึง 21 ปี ในภาวะสงครามนั้น ครอบครัวนี้อยู่รวมกันในกระท่อมซุงสี่เหลี่ยมขนาดกว้างยาว 13 ฟุต เฟอร์นิเจอร์ในบ้านมีเตียงอยู่ตัวหนึ่งและเมื่อไฟฟ้าไปถึงที่นั่นในปี 1939 ทั้งบ้านมีตะเกียงน้ำมันอยู่เพียงดวงเดียว

ลัวรี่ ราพาล่า ตกปลาอย่างหนักแทบทุกลมหายใจที่ตื่น ในทะเลสาบใกล้ๆกับ วาแอคซี่ ฟินด์แลนด์ เขาจะวนเวียนพายเรืออยู่ในนั้นเป็นวันๆ วันข้ามวัน มีตาข่ายใส่เหยื่อปลาและเบ็ดนับร้อยๆสาย และเขาไม่เคยมีคันเบ็ดใช้เลย บางทีเขาจะหายไป 2 วันแล้วกลับมาพร้อมด้วยปลาเทร้าท์หนักรวมกันถึง 600 ปอนด์ และบางทีก็หายไปนานกว่านั้นแล้วกลับมาแบบไม่ได้อะไรเลย

ริสโต้ ลูกชายคนหนึ่งของเขาพูดถึงพ่อแบบทบทวนความหลังว่า พ่อออกจากบ้านในฤดูหนาว วิ่งสกีไปหลายๆ ไมล์ข้ามหิมะและน้ำแข็งไปยังแหล่งตกปลา เพื่อเจาะหิมะและน้ำแข็งซึ่งหนาถึง 23 นิ้ว ให้เป็นรูแล้ววางเบ็ดพร้อมปลาเหยื่อลงไปนำอาหารกลับมาให้ครอบครัวยังชีวิต

อย่างไรก็ตาม ในช่วงฤดูร้อนซึ่งเขาต้องทำงานสายตัวแทบขาดนั่นเองที่ราพาล่าได้ความคิดที่เป็นรูปร่างเหยื่อปลอมขึ้นในขณะที่เขาคอยให้ปลามากินเบ็ดเพื่อที่มันจะได้เต็มตาข่ายเอากลับไปบ้าน เขาเอาสายเบ็ดพันมือและพายเรือช้าๆ ลากปลาเหยื่อไปอย่างคนที่ไม่ยอมให้ทุกวินาทีของตนผ่านไปเฉยๆ อย่างไร้ค่า เขาก็ได้ความคิดถึงเรื่องเหยื่อปลอมซึ่งถูกลาก  และมีแอคชั่นบอกอาการคล้ายๆปลาเหยื่อที่กำลังบาดเจ็บซึ่งจะเรียกร้องความสนใจจากเกมส์ฟิช

หลังจากทดลองหลายครั้งหลายหนเขาก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า เหยื่อนั้นต้องใช้วัสดุเบาๆ ทำ มันจะได้มีแอ็คชั่นเหมือนเหยื่อปลาที่บาดเจ็บมากที่สุด ตอนแรกเขาใช้ไม้สนในการทำเหยื่อปลอมรูปตัวปลา ต่อมาได้ทดลองใช้เปลี่ยนเป็นไม้บัลซ่าจากอีควาดอร์ เขาตกแต่งเหยื่อนั้นให้มีลักษณะคลายตัวปลา ใช้กระดาษตะกั่วทากาวทับติดตัวปลา ติดปากเพื่อให้เหยื่อมีแอคชั่นและเพื่อให้มองดูเหมือนปลาเหยื่อมากขึ้น เขาระบายสีเหยื่อปลอมตัวนี้ด้วยหมึกสีแบบเก่า

เหยื่อปลอมนั่นประสบความสำเร็จอย่างน่าตื่นตกใจ มากยิ่งกว่าความคาดหมายของคนทำเป็นล้นพ้นทวี ทั่วท้องถิ่นเล่าลือกันถึงเหยื่อนี้ และอย่างชาวนาผู้ซื่อตรง เขาไม่ได้หวงแหนหรือเก็บงำไว้เป็นความลับส่วนตน เขาทำเหยื่อปลอมแบบตัวเก่งออกแจกจ่ายให้กับเพื่อนบ้านและเพื่อนคนหาปลาด้วยกัน สุดแล้วแต่ใครจะขอหรืออยากได้

ข่าวดีนั้นเดินทางเร็วในโลกของคนตกปลา มันแพร่ไปเร็วและกว้างยิ่งกว่าไฟใหม้ป่า ความต้องการหลั่งใหลเข้ามา และราพาล่าเริ่มต้นขายเหยื่อปลอมของเขา

อะไรกำลังจะดี แต่มีอุปสรรคเข้ามาขวางให้โชคของคนยากจนสิ้นลงง่ายๆ รัสเซียบุกเข้ายึดครองฟินด์แลนด์ในปี 1939 และเขาต้องไปรับใช้กองทัพเป็นเวลาถึง 5 ปี กว่าเขาจะได้กลับคืนไปที่กระท่อมน้อยริมทะเลสาบของเขาอีก ในช่วงนั้น เอลมา เลี้ยงลูกชาย 5 คนและลูกสาว 2 คนให้มีชีวิตอยู่ได้โดยอาศัยการทำงานเล็กๆน้อยๆ และกู้ยืม

เมื่อภาวะสงบกลับคืนมาและคนเราเริ่มมีเวลาว่าง กีฬาตกปลากได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในทวีปอเมริกาเนือ ราพาล่าก็สามารถผลิตและขายเหยื่อปลอมของเขาได้มากขึ้น

กลางๆ ปี 1950 เหยื่อราพาล่าจึงได้ไปถึงอเมริกา เขาส่งมันไปเป็นของขวัญแก่ชาวฟินด์แลนด์โพ้นทะเลซึ่งอยู่ในฟลอริดาและแถบเหนือติดกับพรมแดนแคนาดาซึ่งกำลังบ้าตกปลาขนานใหญ่ ในมิเนโซต้าซึ่งลูกหลานว่านเครือผู้สืบเชื้อสายจากชาวฟินด์แลนด์ตั้งรกรากกันอย่างถาวร นามราพาล่าจึงอุโฆษขึ้น ทั้งในฐานะความภาคภูมิใจอันเก่าแก่ที่คนเหล่านั้นมีต่อบรรพชน

ในฐานะเหยื่อตกปลาที่มหัศจรรย์ที่สุด บางคนไปจากอเมริกายังบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อเอารางวัลที่ได้จากปลาเหยื่อไปให้ผู้ผลิตได้ร่วมชื่นชม ดูเหมือนว่าเหยื่อราพาล่าจะได้ปลาทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นปลาเทร้าท์ ปลาไพค์ หรือปลาแบสส์ เป็นจำนวนมากมายอย่างที่ไม่เคยตกได้มาก่อนและในขนาดที่มโหฬารน่าตื่นระทึก

เพราะว่ามันเป็นงานฝีมือ ทำด้วยมือล้วนๆ และหายาก โรคบ้าเหยื่อราพาล่าเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง มันเป็นเหยื่อน้ำหนักขนาดเบาอยู่ระหว่างปานกลาง ดังนั้นจึงใช้ได้กับคันขนาดเบาทุกประเภท แต่แปลกที่มันมีน้ำหนักเพียงพอให้ขว้างหรือยิงสายออกไปได้ ลากได้และไม่จม

เป็นเรื่องตลกที่เกิดมีการเล่าถึงเรื่องนักกีฬาตกปลาขโมยเหยื่อปลาปลอมจากเพื่อนนักตกปลาด้วยกัน มีอาชีพใหม่เกิดขึ้น นั่นคือ การให้เช่าเหยื่อปลอมราพาล่า ซึ่งบัดนี้ขนานนามกันว่าเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติอันหนึ่งอันใดขึ้นแล้ว ผู้เช่าคือคนที่ได้ยินกิตติศัพท์แต่ไม่สามารถหาซื้อมาไว้เป็นเจ้าของได้ ต้องไปเช่าคนอื่นมาทดลองตก ของที่ถูกส่งข้ามประเทศมาในฐานะของขวัญ บัดนี้ ได้เกิดการแอบขายให้กันตามเคาท์เตอร์สำหรับคนกันเอง เพราะมันมีเพียงจำนวนน้อย ในราคาตัวละ 25 เหรียญ ซึ่งในยุคนั้นเป็นราคาที่แพงเหมือนกับทอง

และแล้วก็มีคนหัวใสเกิดขึ้นมาจนได้ หมอนั่นเป็นพนักงานขายจอมจ้อในมินเนโซต้า ซึ่งได้ยินปรากฎการณ์อันพิลึกกึกกือนี้ รอน เวบเบอร์ จึงร่วมทุนร่วมความคิดกับเพื่อนที่ชื่อ เรย์ ออสตรอม เขียนจดหมายไปถึง ลัวรี่ ลาพาร่า ขออนุญาตเป็นตัวแทนขายเหยื่อปลอมราพาล่าแต่เพียงผู้เดียวในทวีปอเมริกาเหนือ

พอถึงตอนนั้น เนื้อที่ขนาดแมวดิ้นตายในกระท่อมของลัวรี่ กลายเป็นโรงงานผลิตเหยื่อปลอม โดยเขา เมีย ลูกๆ และเพื่อนบ้านสาละวนกับการทำเหยื่อตามใบสั่งที่ทยอยตามกันเข้ามาเหมือนสายน้ำ เหยื่อถูกส่งไปอเมริกาขายหมดในพริบตา ใบสั่งระลอกใหม่ตามเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง

จนถึงปี 1962 นักตกปลาซึ่งโดนความยากจนกระหน่ำมาทั้งชีวิตและเริ่มดูว่าแก่หง่อม ทั้งที่เขามีอายุเพียง 55 ปี ก็ตกลงเซ็นสัญญากับพนักงานขายชาวอเมริกัน 2 นายนั้น ทั้งสองหมอนั่นเป็นผู้ขายราพาล่าแต่เพียงผู้เดียว ไม่จำกัดจำนวน เอาหมดของให้ผลิตออกมาได้เท่าไหร่เป็นเอาทุกตัว ตอนนั้นลัวรี่ ยังคงผลิตเหยื่อทุกตัวด้วยมือ

อะไรที่มันจะเกิด มันต้องเกิดนิตยสารไลฟ์ได้เรียนรู้เหยื่อตัวนี้ และพาดหัวบนปก ซึ่งหน้าปกนั้นมีมาริลีน มอนโร ผงาดเนื้อหนังโนมเนื้อทุกส่วนของเธอ มันเป็นฉบับประจำวันที่ 17 สิงหาคม 1962 ด้วยถ้อยคำสั้นๆ ว่า “เหยื่อปลอมที่ปลาไม่มีสิทธิปฏิเสธ” เป็นฉบับที่ไลฟ์เองก็ทำลายสถิติการจำหน่ายของตัวเองเหมือนกัน

“เราแทบไม่เชื่อ ไม่เชื่อเอาจริงๆ เสียงโทรศัพท์ดังเข้ามาสั่งเหยื่อปลอมทุกนาที…” ออสตรอมเล่าให้ฟัง เพียงปีเดียวขายไปได้100,000 ตัว พอถึงปี 1964 ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 800,000 และไม่นานก็เพิ่มเป็นล้านและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ลัวรี่ ย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ซึ่งใหญ่โตขึ้นแต่ยังคงอยู่ในชนบท เขาเป็นวีรบุรุษเอกชนของท้องถิ่น ซึ่งดูเหมือนว่าเมื่อความสำเร็จจะมาถึง มันมาในชั่วเวลาไม่ทันข้ามคืนหลังจากที่ความยากจนกระหน่ำย่ำยีเขามาตลอด  แต่เขาก็ยังเป็นคนหาปลาชนบทเหมือนดังเดิมความสำเร็จนั้นไม่ได้มีผลแตกต่างอะไรต่อตัวเขา ยังเป็นคนง่ายๆ จะพูดถึงความสำเร็จนั้นอย่างร่าเริงบ้างกับกลุ่มเพื่อนฝูงชาวบ้านนอกที่สนิทกันมาเก่าก่อน แต่จะเก็บตัวและขลาดอายอยู่เสมอเมื่อมีคนไม่รู้จักแวะเวียนไปหาซึ่งในจำนวนนั้นก็มีประธานาธิบดีฟินด์แลนด์ และเจ้าชายฟิลลิปแห่งอังกฤษรวมอยู่ด้วย

“พ่อไม่เคยอยากท่องเที่ยว”ริสโต้ ลูกชายคนโตเล่า “พ่อเคยไปอเมริกาเพียงครั้งเดียว ไปอยู่แค่สองอาทิตย์และตลอดเวลาก็ตกปลาในทะเลสาบชายป่ามินเนโซต้า”

เอ็นซิโอ ลูกอีกคนบอกว่า “พ่อมีเงินติดตัวไม่มาก บางทีก็ไม่มีเลย ถ้าพ่อนั่งแท็กซี่กลับบ้าน พ่อก็จะบอกให้คนขับรถขับไปที่แบงค์ไปเอาเงินที่พ่อฝากอยู่”

ในปี 1965 ลูกคนเล็กชื่อ คัวโก้ ได้จมน้ำตายในทะเลสาบซึ่งเขาเคยทดสอบเหยื่อปลอมอยู่เสมอ เรือที่นั่งไปชนสิ่งกีดขวางและเขาตกลงไปในน้ำ กว่าจะพบศพก็อีกอาทิตย์ถัดมา ที่ติดขึ้นมากับขากางเกงของหนุ่ม 26 ปีผู้เคราะห์ร้ายเป็นเหยื่อราพาล่าตัวหนึ่ง

โศกนาฏกรรมนั้นทำร้ายชายชราที่ชราแล้วอย่างสาหัส ริสโต้ บอกว่า “พ่อไม่เป็นอย่างเดิมอีกเลยตั้งแต่วันนั้น พ่อรู้สึกว่าสายน้ำซึ่งการุณพ่อมาตลอดชีวิต บัดนี้ได้ทวงหนี้ที่พ่อต้องชำระ นั่นคือชีวิตของ คัวโก้”

ชายชราดื่มอย่างหนักหลังการตายของลูกชาย โอนกิจการให้ลูก ไม่เคยมาสนใจใยดีว่ากิจการนั้นก้าวหน้ายิ่งใหญ่เพียงใด ร่างกายซึ่งครั้งหนึ่งเคยแข็งแกร่ง บัดนี้เปราะบางแล้ว สำหรับทุกข์ยากนานาของชีวิต ลัวรี่ ราพาล่า ตายลงในวันที่ 20 ตุลาคม 1974 มีทรัพย์สินส่วนตัวที่เหลือเพียง 27,000 เหรียญ เพราะนอกนั้นเขาอุทิศให้กับลูกๆ และคนอื่น

เขาฝังศพลัวรี่ ไว้ใกล้ๆกับศพของคัวโก้ แต่ชื่อของเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เป็นอมตะนามเสมอในหมู่นักกีฬาตกปลา ตราบเท่าที่เหยื่อปลอมราพาล่ายังติดปลาทุกตัวขึ้นมาจากน่านน้ำและกระแสธารทั่วโลก…

เนื้อหาก๊อปมาจาก http://www.pla-game.com
รูปก๊อปมาจาก http://jawnoyfishing.blogspot.com
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!