เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 14 กันยายน 2025, 22:54:47
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ห้องนั่งเล่น
| | |-+  ลิงกับแพะ
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 [2] พิมพ์
ผู้เขียน ลิงกับแพะ  (อ่าน 694 ครั้ง)
ศิษย์หลวงพ่อ
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 346



« ตอบ #20 เมื่อ: วันที่ 08 สิงหาคม 2013, 18:33:53 »

ใครมีเรื่องดีใครมีเรื่องเด็ดเอามาแบ่งปันกันคับ เรื่องบางเรื่องคนไทยเราต้องมีการกระตุ้นคับอิอิ
IP : บันทึกการเข้า

ซื่อกินไม่หมด คตกินไม่นาน
ศิษย์หลวงพ่อ
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 346



« ตอบ #21 เมื่อ: วันที่ 08 สิงหาคม 2013, 18:39:55 »

cr.สมาคมนิยมความ ฮาาา า
..นักศึกษา ปี 4 สองนายไปเที่ยวงานปาร์ตี้ ที่บ้านเพื่อนจนถึงสว่างด้วยอาการเมามาย
..พอสร่างเมาก็ทำให้นึกขึ้นได้ว่า ภาคเช้ามีสอบวิชาเคมี
..กระทาชายนายนักศึกษาทั้งสองก็กระวีกระวาด รีบกลับบ้านแต่งตัวไปมหาลัย
..เมื่อไปถึง ด้วยความที่ไม่ได้อ่านหนังสือ กลัวทำข้อสอบไม่ได้ จึงจัดแจงแต่งเรื่องมุสาอาจารย์ว่า
.."อาจารย์ครับ เมื่อคืนรถผมยางมันแตก เลยทำให้กลับบ้านไม่ได้ ก็เลยไม่ได้อ่านหนังสือเตรียมตัวมาสอบอะครับจารย์
..อา จารย์ได้โปรดเลื่อนวันสอบให้พวกผมทั้งสองหน่อยน่ะครับ น่ะๆๆจารย์น่ะ"
.. เมื่ออาจารย์ได้ฟัง ก็ตอบตกลง จะให้โอกาส อีกหนึ่งวัน
..ถึงวันสอบ ทั้งสองก็กระหยิ่ม ยิ้มย่อง ..แต่อาจารย์ต้องจับแยกห้องสอบเพื่อป้องกันการคัดลอก
..เปิดข้อสอบออกมา
ข้อ1.) จงอธิบายความหมายของคำว่า "อะตอม" มาให้ละเอียด (คะแนน 5 คะแนน)
ข้อ2.) จงบอกมาว่ารถที่ยางแตกเป็นรถยี่ห้ออะไร สีอะไร ทะเบียนอะไร ยางแตกที่ไหน ยางแตกกี่เส้น แตกข้างไหน บ้าง (คะแนน 95 คะแนน)
IP : บันทึกการเข้า

ซื่อกินไม่หมด คตกินไม่นาน
ศิษย์หลวงพ่อ
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 346



« ตอบ #22 เมื่อ: วันที่ 08 สิงหาคม 2013, 18:46:36 »

อ่านให้จบนะ !!!
..ณ โรงเรียนแห่งหนึ่ง.มีเพื่อนต่างเพศอยู่คู่หนึ่ง เป็นเพื่อนที่รักกันมาก
..ฝ่ายชายจะเดินไปส่งฝ่ายหญิงที่บ้านเสมอทุกวัน
..เวลาผ่านไปจนทั้งสองอยู่ มหาวิทยาลัยฝ่ายหญิงเริ่มไปแอบชอบ ผู้ชายคนนึง และได้ถามเพื่อนชายว่า"นี่...เธอว่าเค้าเหมาะกับเราไหม"
.."เค้าก็หล่อดีนะ นิสัยก็ดีด้วย"
.."เหรอ! อืม อยากให้เค้ามานั่งอยู่ข้างๆ เราจังเลยเนอะ"
..ต่อมาไม่นาน หญิงสาวก็ได้เป็นแฟน กับผู้ชายคนนั้นจริงๆ
..วันนึงหญิงสาวบอกกับ เพื่อนชายของตนว่า"นี่เธอ ไม่ต้องมาส่งเราทุกวันแล้วแหละ ตอนนี้เค้าจะมาส่งเราแล้วเราไม่อยากให้ เค้าเข้าใจ ผิดน่ะ"
.."อืม" ฝ่าย ชายตอบรับ และเขาก็ไม่ได้ไปส่งหญิงสาวอีก
..ต่อมาหญิงสาวเกิดทะเลาะกับแฟน ของตนจึงมาปรึกษาเพื่อนชาย ว่า"เธอ! เด๋ว นี้เขาไม่ค่อยสนใจเราเลยแหละเธอว่า... เราจะทำอย่างไร ดีหล่ะ!"
.."ก็ เธอ ยังรักเค้าอยู่หรือป่าวหล่ะ" ฝ่ายชายถาม
.."ก็รักสิ และก้อรักมากด้วย"
.."ถ้าอย่างนั้น ก็มอบความรักให้เขาต่อไปสิ ก้อเธอรักเค้านี่หน่า"
.."อืม ม" หญิงสาวทำตามคำแนะนำของเพื่อนชาย
..หลังจากนั้น ... วันหนึ่งระหว่างที่เพื่อนชายหนุ่ม เดินกลับบ้าน เค้าเห็นหญิงสาวนั่งร้องไห้อยู่ข้างทาง
.."เธอ เป็น อะไรหน่ะ ทำไมถึงร้องไห้ มีอะไรให้เราช่วยไหม"
.."เค้าไม่ รักเราเลยหล่ะ เขาเปลี่ยนไปเดี๋ยวนี้เขาไม่เคยมาส่งเรา ที่บ้านเลย"
.."แล้วเราจะ ช่วยอะไรเธอได้บ้างหล่ะ"
.."ช่วยอยู่ กับเราซักพักได้ไหม?" หญิงสาวร้องขอ
.."ก้อได้ซิ! ทำไมจะไม่ได้หล่ะ"ทั้งสองได้นั่งอยู่ด้วยกัน โดยไม่พูดจาอะไรกันเลย
..ในที่สุดหญิงสาวก็เอ่ย ขึ้นมาว่า"เราควรจะ ทำอย่างไรดี เธอจะช่วยบอกเราได้ไหมว่าเราควรจะทำอย่างไร ดี"
.."เธอยังรัก..เขาอยู่หรือป่าวหล่ะ"
.."รักสิ เรา รักเค้ามากเลย""แต่เค้า ไม่รักเราเลยนี่หน่า" หญิงสาวร้องไห้โฮ
.."แต่เธอก็รัก..เขาไม่ใช่เหรอ"และชายหนุ่มก็ไปส่งหญิงสาว ที่บ้านอย่างที่เคยทำมาแต่ก่อน
.."ถ้า เมื่อไหร่...ก็ตามที่เธออยากให้เรามาส่งเธอที่บ้าน อย่าลืมเรียกเรา นะ"
.."อืม" และ หญิงสาวก็เดินขึ้นบ้านไป
..ต่อมาวันหนึ่งชายหนุ่มได้ รับโทรศัพท์จากหญิงสาว"เราไม่ไหวแล้ว ช่วยมารับเราที"เสียงของหญิงสาวดูช่าง อ่อนล้า และหมดกำลัง เธอกำลังร้องไห้อย่างฟูมฟายอยู่
..ชายหนุ่มได้ไปหาเธอและพาเธอมาส่งบ้าน
..เธอยังคงถามชายหนุ่มนั้น เหมือนที่เคยถามมา ..."เราจะทำอย่างไรต่อไปดี เราไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว..ดูยังไง ๆ เขาก็เหมือนไม่ได้รักเราเลย"
.."แล้วเธอเลิก รักเค้าแล้วเหรอ"
.."ป่าว! เรา ยังรักเค้ามาก เรายังรักเขาอยู่เหมือนเดิม"
.."งั้นก็ เหมือนที่เราเคยพูดไว้ จงรักเขาต่อไป..แม้มันจะเจ็บบ้างก็ตามเพราะมันไม่สำคัญหรอกว่า เขาจะรักเธอไหม..? แต่ถ้าเธอยังรักเขาเธอก็คงทำได้แค่เพียงรักเขา...และจงรักเขาให้มากกว่าเดิมเพื่อแสดงให้เขารู้ว่าเธอรักเขามาก และก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมีแต่เพิ่มมากขึ้น"
.."อืม"..แล้วหญิงสาวก็เดินขึ้นบ้านไปและในที่สุดวันที่เธอเรียนจบก็มาถึง
..เพื่อนชายหนุ่มของเธอมาแสดงความยินดีกับเธอ เธอรู้สึกแปลกใจมาก ที่เพื่อนชายหนุ่มของเธอ ยังเรียนไม่จบเธอถามเขาว่า ทำไม..?
..ชายหนุ่มตอบว่า เขาขี้เกียจไปหน่อยทำให้เขาต้องเรียนซ้ำวิชาหนึ่งจึงยังเรียนไม่จบ
..หญิง สาวแปลกใจ เพราะตลอดมา ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนขยันแต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ..
..ต่อมาไม่นานแฟนของหญิงสาว ก็ได้มาขอเธอแต่งงานเนื่องด้วยเห็นถึงความรัก ที่หญิงสาวมีให้ หญิงสาวจึงได้ไปชวนเพื่อนชาย เพื่อให้มางานแต่งของเธอ
.."เราไม่ว่างจริงๆ เราติดธุระน่ะ! ขอโทษด้วยนะ"เพื่อนชายตอบเธอด้วยน้ำ เสียงแผ่วเบา
..หญิงสาวโกรธและเสียใจที่ เพื่อนชายไม่ยอมมางานแต่ง จึงวางหูกระแทกไป แต่หญิงสาวก็ต้องประหลาดใจ เมื่อวันที่เธอแต่งงานชายหนุ่มได้มาปรากฎตัวก่อนที่งาน แต่งจะจบลง
.."ยินดีด้วย นะ เรามาแล้วหล่ะ"หญิงสาวดีใจมากที่เห็นเพื่อนชาย ของเธอมาถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตามเธอรู้สึกมีความสุขมาก ถึงกับกลั้นน้ำตาไม่ให้มันไหลออกมาไม่ได้
..และเพื่อนชายก็พูดว่า เธอมีอะไรให้เราช่วยไหม..?ยิ่งทำให้เธอร้องไห้หนักกว่าเดิม
..ต่อมาหญิงสาวก็มีความสุข กับชีวิตแต่งงานของเธอจนไม่มีเวลาได้ติดต่อกับเพื่อนชายอีกเลย
..จนวันหนึ่งหญิงสาวได้ ทะเลาะกับสามีของตนหญิงสาวไม่รู้จะไปปรึกษาใคร จึงนึกถึงเพื่อนชายขึ้นมา แม้ว่าหญิงสาวจะโทรไปหาเท่าไหร่?ก็ไม่สามารถติดต่อกับชายหนุ่มคนนั้นได้เลย เขาจึงโทรไปหาเพื่อนของชายหนุ่มคนนั้น
..เพื่อนของชายหนุ่มเล่า ว่า ชายหนุ่มเป็นโรคร้าย เขาไม่สามารถไปไหนได้ตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล... มาร่วมหลายเดือนแล้ว
..หญิงสาวตกใจมาก ถามว่า..เขาเป็นอะไร?เพื่อนชายหนุ่มบอกว่า อาการเขากำเริบ เพราะวันที่ชายหนุ่มต้องมาผ่าตัดชายหนุ่มดัน ...หายตัว ไปเฉย ๆ โดยไม่มีใครรู้
..เพื่อนของชายหนุ่ม ก็ยังบอกอีก ว่า ..."มันเป็นนิสัยเสียของมันหน่ะมันชอบหายตัวไปไหนก็ไม่รู้ ในช่วงเวลาสำคัญๆ คราวที่แล้วตอนสอบไล่ มันก็หายตัวไปจากห้องสอบเฉยเลย"ไม่รู้มันหายไปไหน..ถามใคร ก็ไม่มีใครรู้
..หญิงสาวตกใจมาก เลยขอที่อยู่ของโรงพยาบาลที่ชายหนุ่มรักษาตัว หญิงสาวไปเยี่ยมชายหนุ่ม ที่โรงพยาบาล
..เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็ต้อง ตกใจ ! ชายหนุ่มที่เคยดูแข็งแรง กับผอมซูบ ไม่มีแรง
..เมื่อชายหนุ่มเห็นเธอก็ดีใจ ทักทาย เธอเป็นการใหญ่"เป็นอย่าง ไรมั่ง ไม่เจอกันตั้งนานเลยน่ะ"
..หญิงสาวนิ่งเงียบซักพัก น้ำตาหญิงสาวก็ไหลออกมา
.."อ้าวร้องไห้ทำไมหล่ะ เธอหน่ะ ไปทะเลาะกับแฟนมาอีกแล้วเหรอจะให้เราช่วยอะไรไหม...? แต่เราก็คงจะแนะนำเธอ ได้เหมือนเดิมนะ"
..หญิงสาวเข้าไปหาชายหนุ่ม แล้วก็บอกกับชายหนุ่มว่าวันที่เธอ มารับเราเป็นวันสอบไล่เธอใช่ไหม..?"
..ชายหนุ่มทำหน้าตกใจและไม่กล้าพูดอะไรทั้งสิ้น กลับนิ่งเงียบไป
..หญิงสาวจึงพูด ต่อ..."และวันที่ เธอต้องผ่าตัดใหญ่ เธอกลับมางานแต่งงานของเราใช่ไหม..?"
..ชายหนุ่มไม่รู้จะพูดอะไรอีกแล้ว กลับนิ่งเงียบกว่าเดิม
..หญิงสาวเข้าไปกอดชายหนุ่ม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ"ตลอดเวลา เรารักแต่คนอื่น มองแต่คนอื่นเรากลับไม่รู้เลยว่าเธอรักเรามากแค่ ไหน เรารู้สึกเสียใจจริงๆ ที่ ไม่ได้รักเธอมากกว่านี้"
..ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มแล้วก็บอกกับหญิงสาวด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า"เราบอกเธอ แล้วไง..ถ้าเรารักใครสักคน เราก็ต้องรักเขาให้มากๆและมากขึ้นกว่าเดิม มันไม่สำคัญหรอก..ว่าเขาจะรักเราหรือไม่ มันสำคัญแค่เพียงว่า..เรายังรักเธออยู่หรือเปล่า แค่เราสามารถช่วยเธอได้ นั่นมันก็เป็นความสุขของเราแล้ว ต่อให้เราจะเจ็บสักแค่ไหน..เราก็ยังรักเธอต่อไปและไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลง"
..หญิงสาวรู้สึกเสียใจมาก นั่งร้องไห้โฮ...อยู่ที่ตักของชายหนุ่ม
..ชายหนุ่มจึงพูด... ขึ้น ว่า"ถ้าเราหายเมื่อไหร่... เราจะไปส่งเธอที่บ้านอีกนะ"
IP : บันทึกการเข้า

ซื่อกินไม่หมด คตกินไม่นาน
ศิษย์หลวงพ่อ
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 346



« ตอบ #23 เมื่อ: วันที่ 08 สิงหาคม 2013, 18:50:00 »

บทความธรรมะสอนใจ " ถังน้ำ 2 ใบ "
ชายจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่าเพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร
ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง
…แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกลจากลำธารกลับสู่บ้าน จึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตกเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลา 2 ปีเต็ม
ที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำ กลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง
ซึ่งแน่นอนว่าถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิจะรู้สึกภาคภูมิใจ ในผลงานเป็นอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึก อับอายต่อความบกพร่องของตัวเอง
มันรู้สึกโศกเศร้ากับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียวของจุดประสงค์ ที่มันถูกสร้างขึ้นมา
หลังจากเวลา 2 ปี ที่ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่าเป็นความล้มเหลวอันขมขื่น
วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า ‘ข้ารู้สึกอับอายตัวเอง
เป็นเพราะ รอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้าที่ทำให้น้ำที่อยู่ข้างในไหลออกมาตลอดเส้นทาง ที่กลับไปยังบ้านของท่าน
คนตักน้ำตอบว่า ‘เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่ามีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้นทางในด้านของเจ้า
แต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่ง
เพราะข้ารู้ว่าเจ้ามีรอยแตกอยู่ ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ลงข้างทางเดินด้านของเจ้า
และทุกวันที่เราเดินกลับ เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเมล็ดพันธุ์เหล่านั้น
เป็นเวลา 2 ปี ที่ข้าสามารถที่จะเก็บดอกไม้สวย ๆ เหล่านั้นกลับมาแต่งโต๊ะกินข้าว
ถ้าหากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบนี้ได้
คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่องที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
แต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เราแต่ละคนมีนั้น อาจช่วยทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจ และกลายเป็นบำเหน็จรางวัลของชีวิตได้
สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับคนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็น และมองหาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง
IP : บันทึกการเข้า

ซื่อกินไม่หมด คตกินไม่นาน
ศิษย์หลวงพ่อ
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 346



« ตอบ #24 เมื่อ: วันที่ 08 สิงหาคม 2013, 18:54:34 »

ร้านซาลาเปาร้านหนึ่ง กิจการดีมาก มีลูกค้าเข้าร้านตลอดทั้งวัน
อยู่มาวันหนึ่งมีขอทานสวมเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ เนื้อตัวสกปรก มาที่ประตูร้าน ทำให้ลูกค้าหลายคนพากันอุดจมูกเดินหนี
ลูกจ้างของร้านก็เข้ามาต่อว่า และเอ่ยปากไล่ไปให้พ้นร้าน
แต่ขอทานก็รีบอธิบาย "คุณครับ ผมไม่ได้มาขอทานหรอก แต่จะมาซื้อซาลาเปา" พร้อมกับเอาเหรียญเศษสตางค์ ออกมานับด้วยสองมือ...
ลูกจ้างรู้สึกรำคาญ ออกแรงปัด เหรียญทั้งหมด..ต ก พื้ น !!!
ขอทานตกใจ รีบก้มลงเก็บเหรียญบาทบนพื้น แต่หาอย่างไร ก็ขาดไป 1 บาท อยู่ดี
"เหรียญ 1 บาท นี่...คุณทำตกใช่ไหมครับ"
ขอทานเงยหน้ามอง ก็เห็นเถ้าแก่ของร้าน...เขาไม่กล้าแม้แต่จะรับเงินจากเถ้าแก่ และกำลังจะวิ่งหนีด้วยความลุกลี้ลุกลน
แต่ก็ถูกเถ้าแก่เรียกให้หยุด พร้อมพูดว่า..."ยินดี ต้อนรับครับ คุณลูกค้า !!! ไม่ทราบว่าคุณต้องการ ซาลาเปาไส้อะไร"
ขอทานตะลึงงัน ผ่านไปสักพัก จึงตอบกลับไปว่า "ผมอยากได้ซาลาเปาไส้หมู 1 ลูก"
"ครับ...กรุณารอสักครู่" แล้วหันไปคีบซาลาเปาไส้หมู ออกจากซึ้งมา และยื่นให้ขอทานอย่างนอบน้อม
และหันไปถามลูกจ้างว่า..."นี่คือวิธีต้อนรับลูกค้าของเธองั้นหรือ"
"แต่เค้าเป็นแค่ ขอทานคนหนึ่ง" ลูกจ้างอธิบาย
"ต่อให้เค้าเป็นขอทาน ก็เป็นลูกค้าของเรา เธอโดนไล่ออกแล้วล่ะ" เถ้าแก่กล่าว
จากนั้น...เรื่องที่ทำให้คนในร้าน ตกใจยิ่งกว่า ก็คือ...เถ้าแก่ให้ขอทานคนนี้ มาเป็นลูกจ้างในร้าน
และเมื่อขอทานคนนี้ ชำระร่างกายจนสะอาด เผยให้เห็นหน้าตาที่หล่อเหลาผิดคาด
อีกทั้งยังขยันขันแข็ง กลายเป็นผู้ช่วยของร้านได้อย่างดี...
ภายหลังมีคนถามเถ้าแก่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าเถ้าแก่ดูออกได้อย่างไรว่า
แท้จริงแล้วขอทานคนนี้ เป็นทองชั้นดี
เถ้าแก่ตอบกลับมาว่า..."ที่จริงแล้วง่ายมาก
เขาไม่ได้มาขอซาลาเปากิน แต่เขารวบรวมเงินอย่างอยากลำบาก
มีเงินแล้วค่อยมาซื้อซาลาเปาของเรา
แสดงให้เห็นว่า...
>>> เขาเป็นคนที่...เ ค า ร พ ตั ว เ อ ง <<<
.........................................................
การไม่เคารพผู้อื่น หมายถึงการไม่เคารพตัวเอง และ
มีเพียงคนที่เคารพตัวเองเท่านั้น จึงจะเคารพ...ง า น ที่ ตั ว เ อ ง ทำ"
IP : บันทึกการเข้า

ซื่อกินไม่หมด คตกินไม่นาน
platu
KnOwLedge ... iS ... PoweR !!!
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,274


.... Up to mE ....


« ตอบ #25 เมื่อ: วันที่ 08 สิงหาคม 2013, 21:45:47 »

ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ  ชอบเรื่องสอนใจแนวนี้ค่ะ อ่านแล้วได้มุมมองและกำลังใจให้ตัวเองดี

เคยได้อ่านมาแล้วเกือบทั้งหมด ถ้าไปอ่านเจอเรื่องอื่นๆ จะเอามาแจมด้วยนะคะ  ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

N o t h i n g     d o e s n ' t     C h a n g e .
b.benzshop
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,201



« ตอบ #26 เมื่อ: วันที่ 09 สิงหาคม 2013, 00:05:55 »

จัดมาแหมครับชอบๆ ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

0835716902 เบ้นซ์   อ.พาน จ.เชียงราย
โอ ณ นครสวรรค์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 177



« ตอบ #27 เมื่อ: วันที่ 09 สิงหาคม 2013, 09:34:22 »

อยากให้หลายๆ คนได้อ่าน....
IP : บันทึกการเข้า
ศิษย์หลวงพ่อ
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 346



« ตอบ #28 เมื่อ: วันที่ 09 สิงหาคม 2013, 14:27:00 »


"มูลค่า...แห่งชีวิต"
..เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่น พร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งวิ่งผ่านฉันกับแม่ที่กำลังซื้อเนื้อหมูในตลาดไปอย่างรวดเร็ว
..ทั้งแม่และฉันหันไปดูทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นแค่แวบเดียว
..แม่ถามฉันว่า "อ้าว นั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ"
"ใช่จ้ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันล่ะ"
..ป้าคนนั้นชื่อว่า "ป้าหนอม" เป็นแม่ค้าขายของชำสารพัดอย่างในตัวตลาดในอำเภอที่ฉันอยู่
มีฐานะจัดว่าดีกว่าแม่ค้าคนอื่น ๆ ในละแวกเดียวกัน และเป็นที่รู้จักกันว่าแกเป็นคนที่ขี้เหนียวอย่างร้ายกาจ แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย
ใครต่อราคาของมากเกินไป หรือถามราคาแล้วไม่ซื้อ ป้าแกจะโวยวายชนิดต้องรีบเผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันทีเดียว
..เสียงเอะอะดังมากขึ้น ฉันหันไปมองป้าหนอมจับข้อมือเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 12-13 ขวบ ไล่เลี่ยกับฉัน ซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือ
..แม่จึงเดินเข้าไปถาม"พี่หนอม มีไรเหรอคะ""ก็ไอ้เด็กเวรนี่นะสิ มันมาทำทีขอซื้อยาแก้ปวดกับยาธาตุ พอฉันหยิบส่งให้มันก็วิ่งหนีมาเลย เงินก็ไม่จ่าย" พูดจบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้นอย่างแรงหนึ่งที และคงจะมีตามมาอีกหลายทีแน่ ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้
"ตายแล้วพี่หนอม อย่าถึงกับลงไม้ลงมือกันเลยนะ แล้วนี่จะทำไงต่อ" แม่รีบตัดบทเพราะเห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่
"เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ เสียนิสัย พ่อแม่ไม่สั่งสอนยังเด็กตัวแค่นี้ก็ริจะเป็นขโมยซะแล้ว ต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินแหละ"
ฉันสะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมองพลางส่ายหัวน้อย ๆ ทำนองว่าอย่าไปยุ่งดีกว่า
..แม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้น ซึ่งท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้ แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า "อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลยนะพี่หนอม เด็กมันคงอยากซื้อยาแต่ไม่มีเงินน่ะ เอาเป็นว่าฉันจ่ายให้ละกันนะ กี่บาทกันล่ะ"
..ในที่สุดเรื่องก็จบลง โดยการที่แม่ยอมจ่ายเงินค่ายาแก้ปวดกับยาธาตุ แล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด แต่ป้าหนอมยังไม่วายเตือนแม่
"ใจดีกับเด็กขี้ขโมยแบบนี้ ระวังจะเสียใจทีหลังนะเธอ"
..แม่ไม่ได้ตอบอะไร แต่พอเดินห่างจากร้านพอสมควรแล้วก็ถามว่า "ทำไมหนูขโมยของป้าเขาล่ะ"
..เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองแม่ แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า"แม่ผมปวดท้องมากเลยครับ แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอ ผมก็เลยต้อง..."
..แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วยื่นผลไม้ที่ซื้อมา ให้เด็กคนนั้นถุงหนึ่ง แล้วบอกว่า
"ทีหลังอย่าขโมยของใครนะ ถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะ น้าชื่อสมพร เปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง ถามคนแถวนี้ก็ได้ รู้จักน้าแทบทุกคนเลยแหละ เอ้า...เอา ส้มไปฝากคุณแม่ซิ คนป่วยต้องกินผลไม้มาก ๆ จะได้หายไว ๆ รู้ไหม" แม่เสริมพร้อมกับยิ้ม
..เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะรับส้มพร้อมกับพูดขอบคุณแม่แล้วเดินจากไป
..หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ถามแม่ทันที "ทำไมแม่ต้องช่วยเด็กคนนั้นด้วยล่ะ รู้จักกันเหรอจ้ะ"
แม่ยิ้ม แล้วตอบฉันว่า "ไม่รู้จักหรอก แต่แม่เห็นเด็กคนนั้นรับจ้างหาบขนมขายอยู่แถวบ้านเราน่ะลูก แต่คงจำแม่ไม่ได้หรอก แม่ซื้อขนมแกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง"
"แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขาถ้าเขาเป็นขโมยนี่แม่" ฉันถามต่อ
..แม่มองหน้าฉันแล้วพูดว่า "แม่เชื่อว่าเด็กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนตั้งแต่อายุเท่า ๆ กับลูกจะต้องเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบ รู้คุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ว่ากว่าจะได้มามันเหนื่อยยากขนาดไหน
และคนที่มีความรับผิดชอบนะ จะไม่มีทางขโมยของใครนอกจากจะจำเป็นจริง ๆ เมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น"
ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า "แล้วต่อไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีก แม่จะให้เขารึเปล่า"
"ให้สิลูกถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร"
"แล้วแม่ไม่เสียดายเงินเหรอ บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนบ้านป้าหนอมเขานะแม่"
"ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนัก แต่การที่ได้ช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากน่ะ มันทำให้แม่มีความสุข แล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว ไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก"
แล้วแม่ก็พูดต่ออีกว่า "จำไว้นะลูก คนเรานะ ต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคนอื่นแก้ตัวเสมอ
อย่างเด็กคนนั้น.. แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะรักคุณแม่ของแกจริง ๆ แม่ถึงช่วยแกเอาไว้"
แล้วแม่ก็พูดต่อว่า "ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งที่ผิด ใช่...แม่ไม่เถียง
แต่บางครั้งคนเราก็ต้องมองด้านอื่น ๆ บ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง
ตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ"
..หลังจากนั้น ฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่น ๆ กันต่อ ฉันเองไม่เคยคิดเรื่องนี้อีกเลย
จนเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นทำให้ฉันต้องย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้งทั้งน้ำตา
ว่าคำพูดของแม่ในครั้งนี้ถูกต้องที่สุดจริง ๆ
..หลังจากนั้นฉันเรียนจบระดับปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฏแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด
แล้วฉันก็ได้งานทำในโรงงานแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดนั้นเอง เงินเดือนก็พอประมาณสามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก
ฉันก็เลยขอร้องให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้าเพราะอยากให้แม่พักผ่อนบ้างหลังจากทำงานหนักมาเกือบ 20 ปี เพื่อส่งฉันเรียน
แม่ยอมปิดร้าน แต่ก็ยังรับงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเพื่อนบ้านมาทำบ้างโดยไม่คิดเงิน
แม่บอกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ ฉันก็เลยต้องยอมตามใจแม่
ฉันทำงานอยู่ประมาณ 2-3 ปี แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบาย
เริ่มจากปวดหัวบ่อยขึ้นช่วงแรก ๆ ไม่กี่วันก็หาย หลังจากนั้นก็เริ่มเป็นนานขึ้นเรื่อย ๆ
ฉันบอกให้แม่ไปหาหมอ แล้วฉันก็พาแม่ไปหาหมอในเมือง
หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่ทำงานหนักมากเกินไป หมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับให้พักผ่อนมาก ๆ จะได้หายเร็ว ๆ
หลังจากกินยาตามที่หมอสั่ง อาการปวดหัวของแม่ก็หายไป ฉันเริ่มสบายใจขึ้น
แต่หลังจากไปหาหมอได้ประมาณหนึ่งเดือน แม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีก
คราวนี้เป็นหนักมากกว่าครั้งที่แล้ว ยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อนก็ไม่ได้ผลเลย
ฉันกังวลใจมาก พอถามหมอ หมอก็บอกว่าต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ เพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่าโรงพยาบาลต่างจังหวัด
..หลังจากนั้นฉันรีบพาแม่ไปกรุงเทพฯ ทันที ไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง
ซึ่งหลังจากหมอตรวจแล้วบอกว่า มีเนื้องอกในสมองต้องผ่าตัดโดยด่วน หากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับเส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้ หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต
..ฉันตกใจมากขอให้หมอผ่าตัดให้ทันที แต่หมอบอกว่าโรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมองที่มีความพร้อมที่จะผ่าตัดเนื้องอกในสมองเป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า
ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลนั้น ฉันก็ตกลง
..หลังจากถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลดังกล่าวแล้ว แม่ก็ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที
ขณะที่ฉันรออย่างกังวลใจอยู่ด้านนอกทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่และจากคำพูดของหมอที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนส่งตัวแม่มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้
หมอบอกให้ทำใจไว้บ้าง เพราะการผ่าตัดสมองเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมาก โอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก แม้การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จก็ตาม
อีกเรื่องก็คือค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสมองค่อนข้างสูง เป็นหลักแสนบาท เมื่อรวมกับค่ายา ระหว่างพักฟื้น คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราว ๆ ห้าแสนบาท
ฉันได้ยินแล้วแทบลมจับ ฉันจะไปหาเงินห้าแสนบาทมาจากไหน
ลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นบาทเลย แต่ยังไงฉันก็ต้องรักษาแม่ให้หาย
ส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลังหลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง
เป็นโชคดีของแม่ที่การผ่าตัดประสบผลสำเร็จและไม่มีอาการแทรกซ้อนใด ๆ
ทางโรงพยาบาลบอกให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือนก็สามารถไปพักฟื้นที่บ้านได้
ทางโรงพยาบาลแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉัน ปรากฏว่าเป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาท เป็นค่าติดต่อประสานงานเท่านั้น
ฉันแปลกใจมาก จึงสอบถามกับนางพยาบาล
นางพยาบาลบอกว่าคุณหมอที่เป็นคนผ่าตัดและเป็นเจ้าของไข้บอกไม่ให้คิดเงินกับฉันและแม่ โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ
ฉันจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ
นางพยาบาลบอกว่า หลังจากเสร็จ คุณหมอก็ถูกส่งตัวไปต่างประเทศทันทีเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่าตัดสมองที่อเมริกา
แต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ฉันกับแม่ โดยกำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ฉันพร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้
..เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น
เมื่ออ่านจบทั้งฉันและแม่ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน
เนื้อความในจดหมายมีดังนี้ ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร ภู่จันทร์ ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้ค่าผ่าตัด 0 บาทค่ายาทั้งหมด 0 บาทค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ 0 บาทรวมเป็นเงินทั้งหมด 0 บาท
..ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วยยาแก้ปวด ยาธาตุ ส้มหนึ่งถุง
ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนาน ๆ นะครับคุณน้า
นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร
IP : บันทึกการเข้า

ซื่อกินไม่หมด คตกินไม่นาน
ศิษย์หลวงพ่อ
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 346



« ตอบ #29 เมื่อ: วันที่ 09 สิงหาคม 2013, 14:28:56 »

ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ  ชอบเรื่องสอนใจแนวนี้ค่ะ อ่านแล้วได้มุมมองและกำลังใจให้ตัวเองดี

เคยได้อ่านมาแล้วเกือบทั้งหมด ถ้าไปอ่านเจอเรื่องอื่นๆ จะเอามาแจมด้วยนะคะ  ยิงฟันยิ้ม
จัดมาเลยครับ ร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้กับสังคม รีเจนซี่ บรั่นดีไทย แงะ
IP : บันทึกการเข้า

ซื่อกินไม่หมด คตกินไม่นาน
b_boy
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 34



« ตอบ #30 เมื่อ: วันที่ 10 สิงหาคม 2013, 12:28:37 »

ชอบมากเลยครับ.. ยิ้ม ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า
maplewing
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 52



« ตอบ #31 เมื่อ: วันที่ 10 สิงหาคม 2013, 17:13:37 »

เยอะจัง แต่เจ๋ง ได้ข้อคิดนะ...ขอบคุณมากค่ะ
IP : บันทึกการเข้า

หน้า: 1 [2] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!