blacky:เหตุที่ต้องหยุดขาย เพราะเราไม่สามารถขายในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนได้ จะขายได้ก็ต่อเมื่อขายหมูที่ตายเพราะโรคระบาดนั่นแหละครับ(แล้วมันก็มีแล้วด้วย หากท่านเจอเคสที่พ่อค้าหมูขายหมูในราคาที่ต่ำกว่าทางภาครัฐกำหนด ท่านควรระมัดระวังไว้ก็ดีนะครับ)
พึ่งทราบครับ ว่าเหตุที่รวมตัวกันประท้วงหยุดขายหมู คือไม่สามารถขายต่ำกว่าต้นทุน(140-157 บาท) รู้สึกต้นทุนของพวกท่านสูงมากเลยครับ แสดงว่าพ่อค้าหมูในเชียงราย ทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล ทุกอำเภอ หรืออาจจะทุกจังหวัด ทุกห้างสรรพสินค้า ที่ไม่หยุดขายหมูเหมือนพวกท่าน ขายต่ำกว่าต้นทุนนะสิ(โอ้ว.....พึ่งรู้นะครับ)
หรือในอีกทางหนึ่งตามที่ท่านได้อ้าง พ่อค้าหมูในเชียงราย ทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล ทุกอำเภอ ทุกจังหวัด ทุกห้างสรรพสินค้า ที่ขายหมูต่ำกว่า กิโลกรัมละ157 เอาหมูที่เป็นโรคระบาดมาขายสิครับ ถึงยังพากันขายได้อยู่.... บอกเขาตรงๆเถอะครับ... ว่ากำไรมันน้อยเลยไม่ยอมขาย.. ใช้วิธีรวมตัวกันหยุดขาย เพื่อบีบให้ต้นขั้วลดราคาหมูลง หรือให้รัฐแก้ปัญหาให้ ไม่ใช่วิธีที่ดีครับ ผู้บริโภคมีทางเลือกพอที่จะเข้าถึงแหล่งบริโภคครับ กลับสะท้อนถึงคุณธรรมจริยธรรมอะไรๆของท่านนั่นหละ หากเปรียบเปรยก็ไม่ได้ต่างกับคนที่มาปิดถนนเพื่อมาเรียกร้องอะไรบางอย่างนั่นหละ โดยอ้างทำเพื่อส่วนรวม...
รีบกลับมาขายเถอะครับ ยิ่งนานผลเสียยิ่งตกอยู่กับพวกท่านเอง..
หากอยากรู้ว่า เขียงที่ยังไม่ปิดขายหมู เอาหมูมาจากไหนถึงขายได้(กันทั้งประเทศ) PM มาได้ครับ
จะลองอธิบายดูนะครับไม่รู้ว่าจะพอเข้าใจหรือปล่าวเพราะผมอธิบายเป็นภาษาเขียนไม่ค่อยเก่ง คือยังงี้นะครับ
คนที่ขายได้ไม่หยุดขายคือ เขาขายแล้วมีกำไรมากไงครับ จะอธิบายได้ว่า
1. คนที่เขาขายปลีกครับ คนมาซื้อทีละโลหรือทีละ50 บาทก็ขาย เขาสามารถขายแพงได้ เช่นคุณมาซื้อเขาบอกเอาเนื้อแดง50 บาทจริงๆก็ต้องขายให้ 315 กรัมโดยประมาณ(อิงจากราคากิโลละ157 บาท)แต่ แต่กิโลที่พ่อค้าใช้นั้นไม่เหมือนกับในห้างมันวัดได้ทีละ100กรัม โดยอิงกิโล 7 (วัดได้สูงสุด7กิโลกรัม) เขาก็ใส่ให้คุณแค่ 300 กรัม คุณจะต่อว่าเขาก็ไม่ได้ก็มันวัดออกมาไม่ได้ เพราะถ้าคุณจะไปซื้อที่ห้างคุณไปบอกเขาจะเอา 50 บาทเขาก็ขายให้ไม่ได้เพราะเขาขายเป็นกรัมวัดออกมาได้วัดเป็นบาทออกมาเป็นกรัม ในข้อนี้คนขายได้ราคาแพงมากกว่าเดิมกำไรแน่นอน ส่วนพวกผม ลูกค้าจะสั่งเป็นกิโลมาครับ10-100 กิโลกรัม กำไรส่วนต่างแบบนี้ไม่มีครับ
2. ในส่วนของเนื้อแดงเท่านั้นที่รัฐกำหนด ให้ 157 ส่วนอื่นเขาจะขายเท่าไหร่ก็ได้นะครับ เช่น สันคอ,สันนอก,สันใน,เขาจะขายแพงเท่าไหร่ก็ได้ เช่นห้างในเชียงราย บางทีขาย สันคอกิโลกรัมละ195 บาทก็เคยมี ซึ่งทางพวกผมจะขายแบบนั้นไม่ได้ต้องเป็นราคาที่จะคงที่สักหน่อยคือขึ้นหรือลงต้องใช้ระยะเวลาให้ลูกค้าปรับตัว และโดยส่วนมากคนที่หยุดขายคือคนที่ขายส่งให้กลับอุตสาหกรรมขนาดย่อมหรือร้านค้าใหญ่ๆในเชียงราย แค่เราขายราคาทุกอย่าง ในราคา155 เราก็อยู่ได้แล้วแต่มันไม่ง่ายขนาดนั้นเพราะ ถ้าขายราคา155 ต้นทุนของลูกค้าต้องขึ้นสูง จะต้องปรับราคา ของ เช่น หมูยอ แหนม ลูกชิ้น ร้านอาหารต่าง ยกตัวอย่างก๋วยเตี๋ยว จากธรรมดา 30 บาท อาจจะต้องเป็น 35 แต่เรื่องปรับมันไม่เท่าไหร่ แต่มันจะส่งผลระยะยาว คือเมื่อลูกค้าปรับราคาแล้ว ยอดขายของลูกค้าต้องตกอย่างแน่นอน เพราะผู้บริโภคต้องลดการบริโภคลงอย่างแน่นอน พอยอดขายตกก็ส่งผลกระทบต่อพวกผมแน่นอน แน่ละพอขายของไม่ดีหมุมีชีวิตก็จะราคาลง แต่ความจริงเวลาหมูขึ้นราคาจะขึ้นทีละหลายบาท และขึ้นเป็นรายวัน กลับกันเวลาลงกลับลงเดือนละบาท หรือเร็วสุดก็พระ(1 รอบวันพระ) ละ 1 บาท กว่าราคาจะลงก็เรียกว่านอน เอาชนิดที่ว่า ล้มไปหลายคน เลยทีเดียวกว่าจะลงจนอยู่กันได้ คงจะงงนะครับว่าทำไมถึงอยู่กันไม่ได้เพราะว่าขายได้ราคา อย่าลืมนะครับพวกผมเป็นพวกขายส่ง ต้นทุนมันสูงอยู่แล้ว เช่น พื้นที่ๆใช้ในการขาย ก็ต้องใช้เยอะ ทุนค่าเช่าที่ก็ต้องเยอะ ค่าขนส่งก็มีบางทีรถพังปีละคันเลยนะครับ เพราะต้องใช้ขนของหนัก เวลาของเหลือก็ต้องแช่ แล้ววิธีที่แช่แล้วของสดดีแล้วลูกค้าชอบก็คือการแช่ด้วยน้ำแข็ง แล้วตอนนี้ราคาน้ำแข็งกระสอบละเท่าไหรละครับ 30-40 บาทนะครับ วันหนึ่งๆใช้ ไม่น้อยกว่า 5 กระสอบแน่นอน ลูกน้องก็มาก(ถ้าเอาออกแล้วจะหามาใหม่ยากครับ เพราะคนที่จะรับจ้างทำอาชีพนี้ได้ส่วนมากไม่ใช่คนไทย เพราะคนไทยไม่ชอบอาชีพนี้ เนื่องจากเหม็น หลับดึก งานหนัก เสี่ยงกับของมีคม ถึงแม้จะจ้างแพงกว่าเงินเดือนปริญญาตรีขณะนี้ก็เถอะ) ซึ้งถ้าขายราคาแพงแล้วขายได้น้อยเราก็เสียหายเหมือนกัน
3. เนื่องจากหมูมี อวัยวะเหมือนกับคนคือ 32 อย่าง ต้องขายให้หมดถึงจะมีกำไร ฉนั้นถ้าฆ่าแล้วมาขายปลีก ฆ่าน้อย ก็ขายหมด ไม่พอขายได้ราคาแพงอีก แต่ถ้าทำแบบขายส่งละ แบบพวกผมละฆ่ามากของที่คนไม่ค่อยกินก็มีมาก แล้วจะทำไงละขายถูกก็ขาดทุน ขายแพงก็ไม่มีคนซื้อ เหลือก็เน่า ไม่ฆ่ามาก็ไม่ของส่งลูกค้า แต่ถ้าต้นทุนหมูถูกแบบพอรับไหว ก็พอจะขายถูกได้บ้าง หรือบางที่ก็ยกให้กับคนที่เขาไม่มีกินเอาไปกินกันหรือไปบริจาคได้(ทำบ่อยตอนราคาถูก เพราะทำบาปเยอะ ต้องทำบุญบ้าง)
4. ต้นทุนชีวิตของคนขายหมูอย่างพวกผมนั้นสูงนะครับ เช่น ถ้าผมจะทำประกันชีวิต เบี้ยประกันชีวิตแพงกว่าคนธรรมดา เนื่องจากเป็นอาชีพที่เสี่ยง กับโรค และอุบัติเหตุ แล้วพวกผมตายเร็วกันทุกคน เนื่องจากนอนไม่เหมือนคนอื่น ถูกต้องนะครับ คนที่ทำงานกลางคืนแบบผมมี แต่ไม่ได้เหมือนพวกผม เพราะพวกผมไม่งานไม่จบแค่ที่ตลาด คือขายส่งครับ ต้องมีรับออเดอร์ เก็บเงินลูกค้า จะไปในเวลาที่เราต้องการไม่ได้ ต้องเป็นเวลาที่ลูกค้าต้องการครับ จึงส่งผมให้นอนไม่เป็นเวลา เสี่ยงกับโรคที่จะเข้ามามากกว่าคนอื่น และอุบัติเหตุก็เกิดขึ้นกับตัวเองได้มาก เนื่องจากบางทีหลับไม่เพียงพอ แล้วเมื่อเป็นแบบนี้จะให้พวกผมขายของแบบที่มีกำไรน้อยมาก แล้วไม่มีเงินเก็บแก่ตัวมาทำยังไงครับ เพราะถ้าแค่อายุ 55 ก็ทำไม่ไหวกันแล้ว ที่เหลือของชีวิตจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ จะเริ่มต้นใหม่ก็ไม่ได้ เป็นอาชีพที่มีกรรมจริงๆนะครับ เพราะทุกคนที่ขายหมูบอกว่าถ้ามีทางเลือกที่ดีกว่า ก็เลิกขายแน่นอน
ส่วนในเรืองหมูที่เป็นโรคผมว่าทุกคนที่อ่านข้อความนี้ที่กินหมู เคยกินหมูเป็นโรคหมดทุกคนแน่ๆ เพราะรัฐไม่มีการบอกให้ประชาชนทราบเลยว่าหมูเป็นโรค อาจจะมีออกข่าวบ้างแต่ไม่มีการเตือน คุณรู้หรือไม่ว่าแค่คนเชียงรายเป็นโรคหูดับกันแล้วกี่คนครับ อยากรู้ลองสืบเอานะครับ ถ้ารู้คุณอาจจะตกใจเพราะเหตุที่ไม่บอกนี่แหละ เวลาเราไปซื้อหมูมีชีวิตมาฆ่า ก็ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นโรค ฆ่ามาก็ยังไม่รู้ เพราะเราดูไม่เป็นหรอก เนื่องจากเท่าที่ทราบมาไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่านะครับฟังเขามาอีกทีว่าหมูที่เป็นโรคใกล้ตายเขาก็จะฉีดยาให้หายใจอยู่ ง่ายๆคือเอาศพที่หายใจมาให้พวกเราขาย แต่ข้างในนี้เรียบร้อยไปแล้ว ผมเคยเจอนะครับฆ่ามา แล้วส่งลูกค้า ไม่กี่ชั่วโมงลูกค้าบอกว่ามันเน่า โอ้ทำไงละผมซื้อมาก็ราคาแพง วันนั้นเสียหายเยอะเลยครับชนิดที่ว่าเซงไปหลายวัน
ในส่วนของการแข่งขันกับห้างพวกผมสู้ไม่ได้แน่นอน แต่ถ้าไม่มีพวกผม พวกคุณต้องได้ของแพงแน่ๆ อย่าบอกนะว่าไม่กินหมูก็ได้ ที่สู้ไม่ได้ก็คือ ทุน เขามีทุนมาก การต่อรองเขาก็มีอำนาจมากกว่า ลองคิดอีกอย่างนะครับห้างเขาจะกำหนดราคายังไงก็ได้ เช่น บางคนเดินทางเพื่อไปซื้อแล้วเจอราคาแพง จะไม่ซื้อก็ได้(ผีถึงผ่าช้าไม่เผาก็ไม่ได้) ไม่ซื้อก็ไม่มีของไปขาย เจอแพงยังไงก็ต้องซื้อไม่มากก็น้อย ซึ่งห้างเขามีการทำต้นทุนกำไรออกมาเป็นวันอยู่แล้ว เมื่อเขาขายจนได้กำไรที่มาก แล้วถึงเวลาที่ของใหม่จะเข้ามา ของเก่ายังขายไม่หมด(ของเก่านานหลายวันไม่รู้คุณภาพจะดีอยู่หรือปล่าวก็ไม่ทราบ) เขาก็โละขายถูกคนก็แห่ไปซื้อ แล้วบอกว่าห้างขายถูก 555 คนซวยอยู่ที่ผู้บริโภคคนสุดท้ายครับ อีกแบบนะครับ เขาบอกของถูกบางทีไปถึงแล้วไม่มี หรือเป็นการโฆษณาหลอกให้ไป เมื่อไปแล้วไม่มีหรือเป็นของที่ไม่ใช่ หากจะซื้อของที่ต้องการก็แพง จะทำไงละไปแล้ว ก็ต้องซื้ออีกละครับ ทั้งนี้ซึ้งมีอีกหลายอย่างที่ห้าง เขาได้เปรียบกว่าพวกผมมาก แต่อย่างที่บอก ถ้าไม่มีพวกผม ห้างก็เป็นคนกำหนดราคาเอง แล้วทีนี้ผู้บริโภคจะเจอกับของที่แพงมากๆแน่
เรื่องของการหยุดที่พวกเราทำกันนั้นไม่ได้หวังผลในทันทีหรอกครับ ซึ้งตอนนี้ถือว่าได้ผลนะครับเพราะตอนนี้ราคาหมูหน้าฟาร์มหยุดขึ้นแล้วนะครับ เพราะก่อนหน้านี้รัฐกำหนดราคาหน้าฟาร์มมาก แต่มีการใช้หลังบิลล์กัน ตอนนี้ไม่มีแล้ว เหลือแต่เวลาที่รัฐจะทำให้ลงเท่านั้นซึ่งก็คงต้องรอจนการแถลงนโยบายเสร็จ รัฐมนตรีเข้าทำงานเต็มตัว แล้วก็จะเป็นการสร้างผลงานให้ของลงครับ ซึ่งที่เราทำแบบนี้คือการเร่งให้เกิดการทำงานของรัฐโดยเร็ว แต่การที่ทำแบบนี้นั้นนะครับ เราคิดหาทางออกแล้วไม่รู้ว่าทำยังไงดี ก็พวกเรามันแค่พ่อค้า แต่ถ้าท่านทราบว่าควรทำยังไง กรุณาแนะนำด้วยนะครับว่าควรทำยังไงดี พวกเราจะได้ทำตามหากทำแล้วดีกว่าทำแบบนี้ แต่ขออย่าเอาตำรามากางแล้วบอกนะครับ เพราะผมลองกางแล้ว มันทำไม่ได้ครับ เนื่องจากคนบริหารประเทศไม่ได้บริหารแบบในตำราครับ
ในส่วนเขียงที่เขาขายกันได้ทั่วประเทศผมไม่ขอสนใจ แต่บอกได้เลยว่าการที่หมูแพงขึ้นมานี้เป็นกรณีที่จคลายกับไก่ ซึ่งอยากจะบอกว่า ตอนนี้นายทุนพยายามจะครอบงำอีกหน่อยทุกคนจะไม่ได้กินของสด จะได้กินแต่ของห้องเย็นเหมือนไก่ ซึ้งตอนนี้ถ้าคุณลองไปซื้ออาหารที่เป็นไก่ คุณลองถามคนขายนะว่าเป็นไก่ ที่มาจากไหน 80 เปอร์เซนต์นะ จะบอกว่าเป็นไก่ชิ้นส่วน ยกเว้นอาหารอิสลาม(อาจจะมีแล้วก็ได้) ซึ่งอีกหน่อยหมูก็คงจะเป็นอย่างนั้น พูดง่ายๆคือนายทุนจะครอบงำหมด(ระบบทุนนิยมนี่น่า)
ขอบคุณครับที่อ่าน ขอโทษด้วยนะครับถ้าบางคำพูดอาจทำให้ท่านไม่พอใจ หรือไม่เข้าใจ แต่มันก็เป็นเพียงสิ่งที่ออกมาจากใจ คนค้าขายเล็กๆ ที่ถูกนายทุนรังแก